(เรื่องสั้น) :: H • O • M • E (จบ) แจ้งเปิดจองรวมเล่ม HOME The Series P.6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E (จบ) แจ้งเปิดจองรวมเล่ม HOME The Series P.6  (อ่าน 66737 ครั้ง)

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-08-2014 16:42:54 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
Re: (เรื่องสั้น) :: H O M E
«ตอบ #1 เมื่อ30-07-2012 21:02:49 »

H • O • M • E
by ExecutioneR

บรรดาเพื่อนบ้าน เพื่อนที่ทำงาน และนักเรียนของพ่อต่างก็กลับไปกันหมดแล้ว ตอนนี้จึงเหลือแค่ผมยืนอยู่ตามลำพังในบ้านที่ว่างเปล่าและเงียบเหงา ผมยืนมองดูเก้าอี้โยกที่พ่อชอบนั่งประจำ บนโต๊ะไม้ข้างๆ มีรูปถ่ายของผมกับพ่อในกรอบรูปสีน้ำตาลเข้มวางเอาไว้อยู่ แต่สิ่งที่ผมเห็นกลับไม่ใช่เพียงรูปของเรา ผมเห็นพ่อที่กำลังเล่นวิ่งไล่จับกับผมที่สนามหลังบ้านตอนผมอายุราวๆ 7-8 ขวบ ผมเห็นพ่อต่อกรงนกขนาดใหญ่ด้วยตัวเองโดยมีผมคอยช่วยอีกแรงตอนผมอายุ 13 และเห็นแผ่นหลังของพ่อที่เดินนำผมอยู่ข้างหน้า เวลาที่ไม่ต้องไปสอนหนังสือ พ่อมักจะพาผมไปทำธุระในที่ต่างๆ กับพ่อตลอด มันจึงทำให้ผมเคยชินกับการพบเจอคนแปลกหน้า และมีความมั่นใจติดตัวมาตั้งแต่เด็ก พ่อสอนให้ผมเป็นคนกล้าแสดงออกด้วยการแนะนำให้ผมรู้จักกับคนทุกคน และสอนผมถึงเรื่องความสำคัญของการรู้จักพูดคุยกับคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นคนแปลกหน้าหรือเพื่อนของตนเองก็ตาม ซึ่งเมื่อโตขึ้น ผมถึงเข้าใจว่านั่นคือหนึ่งในการสอนเพื่อให้ผมประสบความสำเร็จในชีวิตนั่นเอง

พ่อของผมเป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด แต่ก็สามารถสอนวิชาช่างได้อีกด้วย ดังนั้นผมจึงได้ความสามารถพิเศษด้านนี้มาตั้งแต่ยังไม่เข้าสู่วัยรุ่นดี พอถึงอายุ 15 ผมก็สามารถใช้เครื่องมืออุปกรณ์ช่างไม้และช่างไฟฟ้าแทบทุกชนิดได้อย่างชำนาญ และเมื่อโตขึ้นอีกหน่อย ผมก็สานต่อความชอบของตัวเองและความฝันของพ่อด้วยการเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้พ่อรู้สึกภูมิใจในตัวผมเป็นครั้งแรก

พ่อมีบุคลิกความเป็นผู้นำที่อ่อนโยนอยู่ในตัว เสียงของพ่อหนักแน่นแต่ก็อบอุ่น เวลาที่ผมอ่อนแอหรือเสียใจ พ่อจะคอยปลอบโยนผม คำพูดแต่ละคำของพ่อพร้อมกับฝ่ามือใหญ่ๆ ที่ลูบหัวผมไปด้วยจะช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นทุกครั้ง แม้แต่เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนตอนที่ผมโทรกลับมาหาพ่อและเล่าเรื่องที่ทำงานให้ฟัง เสียงของพ่อก็ยังคงช่วยเป็นกำลังใจและมอบความเข้มแข็งให้แก่ผมได้อยู่เสมอจริงๆ บางครั้ง ผมก็จะคิดถึงตอนที่ผมเริ่มแยกห้องนอนคนเดียวและมีพ่อมาคอยอ่านหนังสือหรือนิทานให้ฟัง รวมทั้งผมยังจำเสียงของพ่อกับแม่คุยกันแว่วๆ เบาๆ จากห้องข้างๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยจนสามารถหลับลงไปเองได้จนถึงทุกวันนี้

พ่อเป็นพ่อที่ยอดเยี่ยมที่สุดในความรู้สึกของผม ผมรักพ่อมาก และสิ่งเดียวที่ผมรู้สึกเสียใจอยู่ ณ ตอนนี้คือการที่ผมไม่ได้กลับบ้านมาเยี่ยมพ่อให้บ่อยกว่านี้หลังจากที่แม่จากไปด้วยอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน

พ่อจากไปด้วยอายุ 65 ปี เพื่อนบ้านคนหนึ่งของเราเข้ามาพบพ่อกำลังนอนหลับจากไปอย่างสงบบนเก้าอี้ตัวที่ผมกำลังยืนมองมันอยู่นี้ โรคหัวใจของพ่อคงกำเริบขึ้นโดยที่พ่อไม่ทันได้ระวังตัว ตอนที่เพื่อนบ้านเข้ามาพบว่าพ่อจากไปแล้ว ทีวียังคงเปิดอยู่ และยาที่พ่อต้องกินประจำก็วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ รูปถ่ายของผมกับพ่อตรงนี้เอง ไอ้มอมแมม สุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ เพื่อนเพียงตัวเดียวที่อยู่กับพ่อมาห้าปีก็นอนขดอยู่ที่ปลายเท้าของพ่อตามปกติ มันคงไม่รู้เลยว่านายอันเป็นที่รักของมันได้จากไปแล้ว และผมในตอนนี้ก็ไม่เหลือสมาชิกในครอบครัวอยู่อีกเลย นอกจากไอ้มอมแมมแค่เพียงตัวเดียว

หลังจากเรียนจบ ผมก็ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ มาตลอดเจ็ดปี เมื่อทราบข่าวนี้จากเพื่อนที่โรงเรียนของพ่อ ผมก็รีบขับรถนานกว่าหกชั่วโมงตรงกลับมาที่บ้านทันที ผมคุยกับอาไพศาล เพื่อนของพ่อที่เป็นทนาย เพื่อจัดการและรับทราบความประสงค์ของพ่อสำหรับงานศพ เราจะตั้งศพพ่อที่วัดแค่สามวันเพราะพ่อไม่อยากให้ผมและแขกเหรื่อต้องลำบาก

วันนี้ที่เป็นวันสวดวันแรก ผมรู้สึกอบอุ่นและตื้นตันขึ้นมากที่เห็นเพื่อนๆ ของพ่อ นักเรียน เพื่อนบ้าน รวมทั้งเพื่อนสนิทของผมจำนวนหนึ่งที่มาร่วมไว้อาลัยกันมากมาย ทั้งๆที่ผมไม่ได้บอกข่าวนี้กับคนมากมายนัก เนื่องจากมันเป็นความต้องการของพ่อที่อยากให้จัดงานศพอย่างเงียบๆ และผมเองก็ไม่อยากให้ใครต้องเห็นความอ่อนแอของผมด้วย แต่ทว่าท่ามกลางผู้คนมากมายที่มาเคารพศพพ่อและเป็นกำลังใจให้แก่ผมนั้น ผมเห็นคนๆ หนึ่งที่ทำให้หัวใจของผมพองโตขึ้นเล็กน้อยได้ทันที เขาคนนั้นคือ เต้ เพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กที่ผมสนิทที่สุดนั่นเอง

หลังจากยืนคุยกับอาจารย์ที่เคยสอนผมเมื่อสมัยมัธยมและเป็นเพื่อนของพ่อเสร็จ ผมก็ขอตัวเดินออกไปเข้าห้องน้ำ และเมื่อออกมาจากห้องน้ำแล้ว ผมก็เห็นเต้กำลังยืนรอผมอยู่

ผมรู้สึกว่าท้องไส้ของผมบิดมวนขึ้นทันทีที่ได้ยืนอยู่ใกล้ๆ เขา เขาคือคนๆ เดียวนอกจากพ่อกับแม่ที่ผมรู้สึกรักที่สุดยิ่งกว่าใครๆ เขายิ้มให้ผมน้อยๆ และกางแขนออกเพื่อรับผมเข้าไปกอด ทันทีที่ผมอยู่ในอ้อมกอดของเขา น้ำตาที่ผมพยายามฝืนกลั้นเอาไว้มาตลอดก็เริ่มไหลออกมาทันที

“กูเสียใจด้วยจริงๆ นะเว้ย พี แต่พ่อมึงเค้าไปสบายแล้วนะ เค้ารักมึงและภูมิใจในตัวมึงมากนะเว้ย เพราะงั้นมึงต้องเข้มแข็งไว้นะ...”

“ไอ้เต้ กู... กู... ฮึกก...” ผมกัดริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา

“กูขอโทษนะเว้ยที่ไม่ได้มาหามึงให้เร็วกว่านี้ ที่จริงกูน่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนมึงตั้งแต่เมื่อวานแล้วแท้ๆ”

ผมส่ายหน้าและถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว “ไม่เป็นไรหรอก กูรู้ว่ามึงติดงาน และเมื่อวานกูก็ยุ่งๆ ด้วย” ผมใช้ปลายนิ้วชี้ปาดน้ำตาออก “แค่มึงมาวันนี้กูก็ดีใจมากแล้วว่ะ”

ผมมองหน้าเพื่อนเพียงคนเดียวที่ผมคบมานานแทบจะทั้งชีวิต เขาหล่อขึ้นกว่าตอนที่เราเจอกันเมื่อครั้งสุดท้ายในงานศพพ่อของเขามาก ซึ่งนั่นก็สักประมาณเกือบสี่ปีมาแล้ว ในตอนนี้ที่เราอายุเกือบจะ 30 ด้วยกันแล้วทั้งคู่ เต้ดูเป็นผู้ใหญ่ที่อบอุ่นขึ้น ดูตัวใหญ่ขึ้นจากกล้ามเนื้อ แต่ก็ยังคงมีโครงหน้าและแววตาขี้เล่นแบบเด็กๆ อยู่เหมือนเดิม

เขาดึงตัวของผมเข้าไปสวมกอดอีกครั้ง ครั้งนี้แนบแน่นกว่าเดิม เป็นอ้อมกอดที่ราวกับจะแสดงออกว่าเขายินดีต้อนรับผมกลับมาบ้าน และผมยังมีเขาอยู่ตรงนี้อีกคนเหมือนเมื่อตอนที่เราเติบโตมาด้วยกัน บ้านของเขาอยู่ฝั่งตรงข้ามกับบ้านของผม เขาย้ายมาที่นี่เมื่อตอนผมอายุเจ็ดขวบ และนับตั้งแต่นั้นเราก็เป็นเพื่อนสนิทกันมาตลอด จนกระทั่งเราต่างแยกย้ายกันไปเรียนมหาวิทยาลัยและทำงาน ต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเอง ผมอยู่กรุงเทพฯ ส่วนเขาอยู่เชียงใหม่ ความห่างไกลทำให้เราติดต่อกันน้อยลง แต่ความรู้สึกที่ผมมีต่อเขากลับไม่เคยลดน้อยลงเลยแม้แต่นิดเดียว

“ไปกันเถอะ พระจะเริ่มสวดแล้ว...” เขาดันตัวผมออก แล้วจากนั้นก็คอยประกบติดอยู่ข้างกายผมตลอด จนกระทั่งแขกทุกคนรวมถึงแม่ของเขากลับไปจนหมด เขาจึงขับรถกลับมาส่งผมที่บ้านหลังนี้

ผมหยิบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ขึ้นมาถือไว้ในมือแล้วรู้สึกเหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง ดังนั้นผมจึงรีบวางมันกลับลงไปที่เดิมก่อนที่จะต้องเสียน้ำตาอีก ผมเดินขึ้นไปที่ห้องของพ่อบนชั้นสอง ที่ตู้เสื้อผ้า มีเสื้อแจ๊คเก็ตตัวเก่งของพ่อแขวนเอาไว้อยู่ ผมหยิบมันออกมาจากไม้แขวนเสื้อและซุกหน้าลงบนเนื้อผ้า สูดกลิ่นของพ่อที่ผมคุ้นเคยตั้งแต่เด็กเข้าเต็มปอด ผมสวมมันทับลงบนเสื้อเชิ้ตสีดำของผม รู้สึกถึงความอบอุ่นราวกับผมเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่ถูกพ่อสวมกอดเอาไว้อีกครั้ง ผมกำลังจะร้องไห้ออกมาพอดีเมื่อตอนที่ผมได้ยินเสียงของเต้จากตรงประตูห้อง

“กูว่ามึงใส่เสื้อพ่อตัวนั้นได้พอดีเลยนะ เหมาะกับมึงดีด้วย”

ผมหันไปมองหน้าเขาและก้มลงมองดูเสื้อที่ตัวเองใส่ทับอยู่ “กูไม่รู้ว่ะ... จริงๆ แล้วกูไม่รู้ว่ากูจะกล้าเอามันมาใส่อีกรึเปล่าด้วยซ้ำ”

เขานิ่วหน้า “มึงกลัวเหรอ”

“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น” ผมรีบส่ายหน้าพลางถอดเสื้อออก “แต่กูกลัวว่าจะทนคิดถึงเค้าไม่ได้ต่างหาก...” ผมพูดไปพลางก็รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล ความทรงจำที่มีต่อพ่อเริ่มกลับมาฉายภาพอยู่ในหัวของผมอีกครั้ง “ทุกๆ อย่างที่อยู่ในห้องของพ่อนี่แทบไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อตอนกูยังเด็กเลยแม้แต่นิดเดียวว่ะ เต้”

เขาถอนหายใจเบาๆ และเดินเข้ามาหาผม “งั้นมึงก็เก็บเสื้อนั้นไว้เถอะ เก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดี เก็บทุกอย่างเหล่านี้ไว้ให้เหมือนเดิม” เขารับเสื้อของพ่อไปถือไว้ในมือ จากนั้นก็ดึงตัวผมเข้าไปกอด เขาที่สูงกว่าผมเกือบ 10 เซนติเมตรทำให้ผมรู้สึกราวกับเป็นเด็กน้อยไปเลย “มึงอยากร้องไห้ก็ร้องเถอะ ไม่ต้องฝืน กูรู้ว่ากูบอกให้มึงเข้มแข็ง แต่การฝืนกลั้นน้ำตาเอาไว้ก็ไม่ได้ทำให้มึงหลอกตัวเองว่ามึงเข้มแข็งได้จริงๆ หรอกนะเว้ย ตอนนี้เราอยู่กันตามลำพังแล้ว มึงร้องไปเถอะ จะได้รู้สึกดีขึ้น”

คำพูดของเขาทำให้ผมไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป ผมร้องไห้ลงบนอกของเขาอยู่นานจนแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้เลยว่านานขนาดไหน ผมดีใจเหลือเกินที่มีเขาอยู่เคียงข้างแบบนี้ เพราะมันคือสิ่งที่วิเศษที่สุดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของผมอย่างตอนนี้จริงๆ

เมื่อผมเริ่มรู้สึกดีขึ้นแล้ว เต้ก็พาผมเดินไปที่ห้อง เขาช่วยผมถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือแค่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียว แล้วจากนั้นก็พาผมนอนลงที่เตียง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นราวกับความฝันที่พร่ามัว ผมอาจจะเหนื่อยจากการเดินทาง การอดนอน และความบอบช้ำทางจิตใจมาก จนทำให้สมองอ่อนล้าเกินกว่าจะจำรายละเอียดบางอย่างได้ แต่สิ่งถัดมาที่ผมรู้สึกอย่างชัดเจนก็คือความผ่อนคลายที่ได้เอนหลังนอนลงบนเตียง และความอบอุ่นจากร่างกายของเต้ที่สัมผัสโดนผิวหนังของผม แล้วจากนั้นผมจึงผล็อยหลับลงไปได้ในที่สุด

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-07-2012 21:07:44 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
Re: (เรื่องสั้น) :: H O M E
«ตอบ #2 เมื่อ30-07-2012 21:03:01 »

ผมรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งในตอนเช้า หัวของผมซุกอยู่ตรงหว่างแขนของเขา จมูกของผมอยู่ห่างจากหน้าอกของเขาแค่ไม่กี่นิ้ว หลังจากนั้นผมก็หลับลงไปอีกครั้งแต่ไม่สนิทดีนัก ผมพลิกตัวไปมาอยู่อีกหลายครั้ง จนกระทั่งเมื่อรู้สึกว่าข้างกายของตัวเองดูว่างเปล่า จึงลืมตาและชันตัวขึ้นนั่ง กลิ่นกาแฟหอมๆ ที่โชยมาทำให้ผมลุกออกจากเตียงและเดินตรงไปยังห้องครัวชั้นล่าง เต้กำลังยืนจุดเตาแก๊สเพื่อเตรียมทำอาหารเช้าสำหรับเราทั้งคู่อยู่พอดี แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องผงะไปก็คือเขายืนอยู่ในชุดเสื้อกล้ามสีขาวและกางเกงในสีเดียวกันเท่านั้นเอง

“ตื่นแล้วเหรอวะ พีพี” เขาหันมายิ้มให้ผมเมื่อเห็นผมหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูครัว แถมที่สำคัญ เขายังเรียกชื่อเล่นผมแบบที่เขาเคยเรียกเมื่อตอนเรายังเรียนอยู่ด้วยกันด้วย

“ตื่นแล้วคร้าบ เตเต้” ผมหัวเราะเบาๆ รู้สึกเขินๆ ชอบกลที่ได้เรียกชื่อเขาแบบนี้อีกครั้งหลังจากไม่ได้เรียกมานานนับ 10 ปี

“เอ้ออ ค่อยดูหน้าตาสดชื่นขึ้นหน่อยนะมึง แต่สภาพไม่ค่อยเหมือนคนตื่นนอนแล้วสักเท่าไหร่” เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ “ไปๆ ไปล้างหน้าแปรงฟันซะ กูกำลังจะทำอาหารเช้าให้”

“มึงทำเป็นด้วยเหรอวะ”

เขาเลิกคิ้วขึ้นและทำหน้าทะเล้น “จะกินมั้ย พูดแบบนี้น่ะ ถ้าอร่อยอย่ามาขอเติมก็แล้วกัน”

ผมยิ้มตอบ “กูล้อเล่นน่า แล้วจะทำอะไรกินล่ะ”

“ว่าจะผัดข้าวผัดอเมริกันน่ะ ตอนเด็กๆ มึงชอบไม่ใช่เหรอวะ”

ผมยิ้มกว้าง ไม่คิดว่าเขาจะจำได้ “แล้วต้องมีไส้กรอกหั่นเป็นรูปปลาหมึกด้วยนะ”

“เออ รู้น่า เดี๋ยวจัดให้แน่ๆ ไม่ต้องห่วง” เขาใส่น้ำมันลงในกระทะ ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาเตรียมเครื่องปรุงและวัตถุดิบทุกอย่างเอาไว้พร้อมหมดแล้ว “จะว่าไปเมื่อคืนมึงก็ไม่ได้กินอะไรเลยนี่ ใช่มั้ย”

“ที่จริงกูไม่ได้กินอะไรเลยมาตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้าแล้วล่ะ ต้องทำนู่นนี่หลายอย่างว่ะ แล้วก็กินไม่ค่อยลงด้วย”

“งั้นดีแล้วล่ะที่กูไม่ได้ทำข้าวต้ม ไม่งั้นคงไม่อยู่ท้องแหงๆ ไปๆ ไปล้างหน้าล้างตาซะ อีกแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว” เขาโบกตะหลิวไล่ผม

ผมยิ้มให้กับตัวเองน้อยๆ ก่อนจะเดินไปล้างหน้าแปรงฟันอย่างที่เขาบอก เมื่อกลับมาที่ครัวอีกครั้งก็เห็นเขากำลังขยับกระทะกับตะหลิวอย่างคล่องแคล่วอยู่พอดี

“เออว่ะ จริงด้วย!” ผมอุทานขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรบางอย่างที่สำคัญมากๆ ไป “ไอ้มอมไปไหนวะเนี่ย!!”

“เออ โทษที กูลืมบอกมึงไปว่ามันอยู่ที่บ้านกูน่ะ แม่กูดูแลมันให้ตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้ว”

ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก “เฮ้อออ... ขอบใจมึงกับแม่มากๆ นะเว้ย ไอ้เต้”

“ไม่เป็นไรหรอก แม่กูเค้าเอามันไปตั้งแต่ตอนก่อนตำรวจจะมาที่บ้านและพาพ่อมึงไปโรงพยาบาลอีกด้วยซ้ำ เค้าไม่อยากให้มันเห็นพ่อมึงถูกพาไปน่ะ และเค้าก็ไม่อยากให้มันรู้ด้วยว่าพ่อมึงไม่อยู่แล้ว แต่กูว่ามันรู้ว่ะ” เขายักไหล่ “กูว่ามันดูหงอยๆ ลงไปเยอะเลยเหมือนกัน”

เมื่อนึกถึงเรื่องการจากไปของพ่อขึ้นมา ผมก็รู้สึกหดหู่อีกครั้ง เต้ที่เหมือนจะจับความรู้สึกของผมได้ปิดเตาแก๊สและเดินเข้ามาวางมือลงบนบ่าทั้งสองข้างของผม

“มึงต้องเดินต่อไปนะเว้ย พีพี คนเก่งของกู” เขามองตาผม “มึงจำได้มั้ยว่าทำไมกูถึงเรียกมึงว่า ‘คนเก่ง’ ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว มึงเป็นคนที่ไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ มึงมั่นใจ มึงเข้มแข็ง และมึงยังหัวดื้อสุดๆ อีกด้วย เวลาที่เรามีกันและกัน เราไม่เคยแพ้เรื่องชกต่อยใคร ไม่เคยมีอะไรที่เราทำไม่ได้ จริงมั้ยวะ เพราะฉะนั้นตอนนี้เราได้อยู่ด้วยกันแบบเดิมอีกครั้ง มึงมีกูอยู่ข้างๆ มึง มึงก็จะต้องเข้มแข็งและผ่านมันไปให้ได้เหมือนทุกๆ ครั้ง เหมือนตอนที่แม่ของมึงจากไปไง”

“แต่ตอนนั้นกูยังมีพ่อ...”

“และตอนนี้มึงก็มีกู” เขากอดผมและลูบหัวผมเบาๆ “ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องได้เลยเว้ย สำหรับกูแล้ว น้ำตานี่แหละคือสิ่งที่จะทำให้มึงเข้มแข็งขึ้น กูรู้ว่ามึงไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตามึง แต่กูคงเป็นข้อยกเว้นของมึงได้ จริงมั้ยวะ”

ผมกอดเขาตอบและยืนอยู่อย่างนั้นอึดใจหนึ่งก่อนจะดันตัวเองออกช้าๆ “ขอบใจเว้ย ขอบใจจริงๆ แต่กูไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยๆ ก็ตอนนี้...”

“ก็ดีแล้ว” เขายิ้มให้กำลังใจผม “งั้นก็ไปนั่งรอที่โต๊ะกินข้าวเลย กูใกล้เสร็จแล้ว เดี๋ยวกูตามออกไป”

“ให้กูช่วยยกจานชามหรืออะไรมั้ยวะ”

“ไม่ต้องเลย เดี๋ยวกูตักข้าวใส่จานสองใบก็เสร็จแล้ว มึงไปนั่งรอเถอะ อีกไม่เกินห้านาทีกูจะตามออกไป”

ผมยักไหล่ บอกเขาว่าโอเค แล้วจึงเดินไปนั่งรอเขาที่โต๊ะอาหาร ผมหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับเก่ามากางและไล่สายตาผ่านตัวหนังสือแต่ไม่ได้อ่านมันเข้าหัวเลยแม้แต่นิดเดียว ผมวางมันลงที่เดิมและเริ่มนั่งคิดถึงเรื่องในอดีตตั้งแต่สมัยที่ผมยังอยู่ที่บ้านหลังนี้ ผมรู้ตัวว่าผมชอบผู้ชายตั้งแต่อยู่ชั้น ม. 5 และเหตุผลหลักๆ เลยที่ทำให้ผมมั่นใจก็คือเต้นี่แหละ ถึงแม้เราจะไม่ได้เรียนอยู่ห้องเดียวกัน แต่เราก็ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ความเสียใจที่จะต้องแยกจากเขาหลังเรียนจบ ม. 6 คือสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ผมแน่ใจว่าผมไม่ได้ชอบผู้หญิงเหมือนเขาและคนอื่นๆ แต่ผมชอบผู้ชาย และผู้ชายคนนั้นก็คือเขาแค่เพียงคนเดียว หลังจากที่เราเลือกเส้นทางเดินกันคนละทางแล้ว ผมก็ยิ่งมั่นใจว่าผมคงไม่มีวันลืมเขาได้เลย

“มาแล้วๆ” เสียงของเต้ดังขึ้น ดึงผมกลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง เขาวางจานข้าวผัดอเมริกันที่ตบแต่งอย่างสวยงามลงตรงหน้าของผม “มีไส้กรอกรูปปลาหมึกให้มึงด้วยนะ เห็นปะ”

ผมหัวเราะเบาๆ “น่ากินนะเนี่ย มึงทำกับข้าวเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

“กูก็พอทำเป็นตั้งนานแล้ว แต่เพิ่งมาเริ่มทำจริงๆ จังๆ เพราะรู้สึกว่าตัวเองชอบก็สัก 2-3 ปีที่ผ่านมานี่แหละ”

“แต่ตอนมัธยมปลายมึงทอดไข่เจียวยังไม่เป็นเลยนะเว้ย”

“คนเรามันก็ต้องมีการพัฒนากันมั่งสิวะ เอ้า รีบกินซะ จะได้มีแรง”

ผมจัดการซัดข้าวผัดของเขาเสียหมดจานภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที ผมชมเขาไม่หยุดปาก แต่เขาก็เอาแต่บอกว่ามันเป็นแค่เมนูง่ายๆ เท่านั้น และเย็นนี้เขาก็คิดเอาไว้แล้วด้วยว่าจะกลับมาทำอะไรให้ผมกินอีก

“ชวนแม่มึงมากินด้วยกันสิ ตั้งแต่กลับมากูยังไม่มีโอกาสได้คุยกับแม่มึงดีๆ สักทีเลย และกูก็ไม่อยากให้แม่มึงนั่งกินข้าวคนเดียวด้วย”

“ได้อยู่แล้ว แต่ปกติกูก็กินข้าวกับแม่ทุกวันนะ ช่วงหลังๆ นี้กูก็ทำกับข้าวให้แม่กินแทบตลอดนั่นแหละ”

“แม่มึงก็สบายดีใช่มั้ยวะ”

“สบายดี ก็เรื่อยๆ อะว่ะ แต่ตอนที่รู้เรื่องพ่อมึง เค้าก็ช็อคเหมือนกัน กูต้องปลอบเค้าอยู่นานพอสมควรเลยล่ะ แต่พอเค้าเห็นหน้ามึง กูรู้สึกว่าเค้าก็ดีขึ้นนะ กูคิดว่าบางที...” เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย “กูพูดตรงๆ เลยนะ กูคิดว่าการจากไปของพ่อมึงคงทำให้เค้าเริ่มกังวลถึงคราวของตัวเองด้วยเหมือนกันน่ะ”

“ไร้สาระน่า แม่มึงเค้าอายุน้อยกว่าพ่อกูตั้งเกือบ 10 ปีไม่ใช่เหรอวะ แถมยังแข็งแรงอยู่ด้วย”

“พ่อมึงก็แข็งแรงเหอะ ไอ้พี ของแบบนี้มันก็พูดยากว่ะ แต่เรื่องทั้งหมดนี่ก็ทำให้กูคิดนะว่าการที่กูตัดสินใจกลับมาอยู่ที่นี่กับแม่ เป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดจริงๆ น่ะ พอเค้าแก่ตัวไป เราก็มีแต่ควรจะต้องอยู่ใกล้ชิดเค้า และดูแลเค้าเยอะๆ จริงมั้ยวะ”

ผมพยักหน้า “กูก็รักแม่มึงเหมือนเป็นแม่คนที่สองของกูเหมือนกันนั่นแหละ เพราะงั้นคืนนี้อย่าลืมชวนเค้ามากินข้าวที่บ้านนะเว้ย”

“ไม่ลืมหรอกน่า” เขายิ้มและลุกขึ้นยืนทำท่าจะเก็บจานของผมไปซ้อนลงบนจานของเขา

ผมรีบคว้าข้อมือของเขาเอาไว้ “ไม่เป็นไร กูจะช่วยมึงเก็บด้วย”

ผมเดินตามเขาเข้าไปในครัว แต่เขายืนยันว่าจะล้างจานให้ผมเอง ผมจึงได้แต่ยืนมองดูเขาอยู่ห่างๆ

“เกรงใจว่ะ ไอ้เต้ มึงทำให้กูกินแล้วยังมาล้างจานให้อีก”

“เรื่องแค่นี้น่า มึงพักผ่อนมากๆ นั่นแหละ ดีแล้ว”

“เต้... กู... กูขอบใจมึงมากนะเว้ย ที่มึงมาอยู่เป็นเพื่อนกูที่นี่แบบนี้น่ะ บอกตรงๆ ว่าถ้าไม่มีมึง กูก็คงเสียศูนย์ไปเหมือนกัน ถึงแม้ว่าเราได้เจอกันกี่ทีก็มีแต่เพราะเรื่องแย่ๆ แต่กูก็ดีใจนะเว้ยที่ได้อยู่กับมึงแบบนี้อีกครั้ง มันทำให้กูรู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเลยว่ะ”

เขาหันมายิ้มให้ผม “ก็เราเพื่อนรักกันนี่หว่า เราเคยสัญญาว่าจะเป็นเพื่อนรักกันไปตลอด จำไม่ได้รึไง แล้วเพื่อนจะทิ้งเพื่อนให้เศร้าอยู่คนเดียวได้ยังไงล่ะวะ ตอนงานศพพ่อกู กูก็ผ่านมาได้เพราะมึงเหมือนกัน”

“แต่ตอนนั้นกูอยู่กับมึงแค่ไม่กี่วันเองนะ แล้วไม่ได้ทำอะไรให้มึงเหมือนที่มึงทำให้กูแบบนี้ด้วย” ผมพูดด้วยความรู้สึกผิด

“แค่การที่มึงกลับมากอดกู ยืนอยู่ข้างๆ กู แค่นั้นก็พอแล้วว่ะ”

ผมช่วยเต้เก็บจานชามที่ล้างแล้วเข้าที่ จากนั้นเราสองคนก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปวัดในตอนเย็น แต่ก่อนหน้านั้นผมก็ต้องคุยกับอาไพศาลเรื่องธุระอื่นๆ ที่ยังค้างคาอยู่นิดหน่อยให้เรียบร้อยก่อน และเมื่อถึงเวลา ผมก็พาเต้และแม่ตุ๊ก แม่ของเขา ไปที่วัดพร้อมกับผม

หลังจากที่พระสวดเสร็จและแขกเหรื่อเริ่มทยอยกลับไปกันเกือบหมดแล้ว เต้ก็เดินเข้ามาหาผม

“มึงอยู่กับพ่อไปนะ กูจะดูแลแขกและเรื่องอื่นๆ ให้เอง”

ผมพยักหน้าและเข้าไปนั่งอยู่หน้าโลงศพที่พ่อนอนหลับอยู่ ผมนึกถึงวันเวลาดีๆ ที่เราเคยมีด้วยกัน นึกถึงความฝันว่าสักวันผมจะพาพ่อไปอยู่กับผมที่กรุงเทพฯ แต่ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว พ่อรักที่นี่มาก ถึงจะไม่ได้เกิดและเติบโตที่นี่ แต่พ่อก็พูดกับผมอยู่เสมอว่าที่แห่งนี้คือที่ๆ พ่ออยู่แล้วสบายใจที่สุด ซึ่งผมเองก็รักบ้านหลังนี้มากเช่นกัน แต่ด้วยความฝันที่อยากจะทำให้พ่อมีชีวิตที่สุขสบายขึ้น ทำให้ผมตัดสินใจทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ เพื่อรายได้และโอกาสที่ดีกว่า แต่สุดท้ายผมก็ไม่สามารถอยู่ดูใจพ่อ คนที่สำคัญที่สุดสำหรับผม ก่อนที่พ่อจะจากไปได้

อย่างน้อยๆ ผมก็ดีใจนะที่ผมกับพ่อไม่เคยมีเรื่องอะไรบาดหมางหรือค้างคาใจต่อกันเหลืออยู่ ผมบอกพ่อและแม่ว่าผมเป็นเกย์ตอนที่เรียนอยู่ปี 2 แต่ทั้งคู่กลับไม่ว่าอะไรผมเลย พ่อยอมรับว่าตกใจนิดหน่อย แต่สิ่งที่พ่อต้องการมากที่สุดก็มีแค่เพียงการเห็นผมมีความสุข เป็นลูกที่ดีของพ่อ และเป็นคนดีของสังคมเท่านั้นเอง หลังจากนั้นไม่นานแม่ก็จากเราไป ซึ่งเหตุการณ์นั้นกลับยิ่งทำให้ผมกับพ่อสนิทสนมและคุยกันผ่านโทรศัพท์มากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ผมกลับมาเยี่ยมพ่อบ่อยขึ้น และหากผมมีงานเยอะ พ่อก็จะลงไปเยี่ยมผมเอง มีแค่ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้แหละที่ผมมีโอกาสกลับมาบ้านน้อยลงเพราะตำแหน่งงานที่สูงขึ้นกับงานที่เพิ่มมากขึ้น แต่เราก็ยังคงโทรหากันทุกๆ สามหรือสี่วันเหมือนเดิม การได้คุยกับพ่อกลายเป็นกิจวัตรที่ผมเสพติดโดยที่ผมไม่รู้ตัว
หลังจากที่แขกทุกคนกลับไปจนหมดและเริ่มดึกมากแล้ว ผมก็เดินออกจากศาลามาเจอเต้กำลังนั่งรอผมอยู่

เขาลุกขึ้นยืนและเดินตรงเข้ามาโอบไหล่ผม “กลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยวกูขับรถให้เอง มึงดูเหนื่อยมากเลยนะ”

“แล้วแม่มึงล่ะ”

“เค้ากลับไปกับคนอื่นแล้ว”

ผมพยักหน้า รู้สึกเหนื่อยและเพลียมากอย่างที่เขาบอกจริงๆ ในระหว่างที่เขาขับรถผมกลับ เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันออกมาเลย วันนี้เป็นงานศพวันที่สองแล้ว แต่บรรยากาศในวัดและบรรดาผู้คนในชุดดำที่มีสีหน้าเศร้าสร้อย ก็ไม่ได้ช่วยทำให้ผมรู้สึกทำใจยอมรับกับการสูญเสียพ่อ สมาชิกครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของผมไปได้เลย

หลังจากที่กลับถึงบ้าน เราก็พบกับอาหารจากบรรดาเพื่อนบ้านในละแวกนี้จำนวนมากมายวางไว้อยู่ที่หน้าระเบียง สิ่งเหลานี้คือการแสดงความเสียใจและห่วงใยต่อทั้งผู้ที่ล่วงลับไปแล้วและผู้ที่ยังอยู่ที่ทำกันมานานของคนที่นี่ ผมรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูกที่เห็นว่าพ่อเป็นที่รักของคนมากมายถึงขนาดนี้

เต้สั่งให้ผมกลับขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวอาบน้ำในขณะที่เขาจะจัดการเก็บอาหารเหล่านี้ให้ ผมพยักหน้าตอบตกลงและเดินขึ้นไปบนชั้นสอง แต่แทนที่ขาของผมจะพาผมเดินไปที่ห้องนอนของตัวเอง มันกลับพาผมไปหยุดอยู่ในห้องนอนของพ่อโดยที่ผมไม่ได้ออกคำสั่ง ผมยืนเคว้งอยู่ตรงนั้น ไม่ได้คิด ไม่ได้นึกถึงอะไรเลย สายตาของผมมองตรงออกไป ไม่ได้โฟกัสที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นพิเศษ สมองของผมราวกับจะหยุดทำงานไปชั่วขณะหนึ่ง เวลาผ่านไปอีกกี่นาทีผมก็ไม่รู้ แต่สิ่งถัดมาที่ผมรู้สึกก็คืออ้อมกอดของเต้จากทางด้านหลัง ความอบอุ่นจากร่างกายของเขาทำให้น้ำตาของผมไหลออกมา เขาหมุนตัวให้ผมหันกลับไปหาเขาและกอดผมอีกครั้ง ผมสะอื้นลงบนหน้าอกของเขาจนกระทั่งเริ่มรู้สึกหมดเรี่ยวแรงแม้แต่จะยืน เขาเดินจูงมือพาผมไปยังห้องของตัวเอง ถอดเสื้อผ้าของผมออก พาผมนอนลงบนเตียง และจัดการห่มผ้าห่มให้ผม ผมคิดว่าตาของผมปิดลงไปก่อนที่หัวจะถึงหมอนเสียอีก แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังพอจำได้ลางๆ ว่าผมบอกขอบใจเขาเบาๆ ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องไป

ผมตื่นขึ้นมากลางดึกและพบว่าเต้นอนหลับอยู่ข้างๆ ผมบนเตียง แสงจันทร์ที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาทำให้ผมมองเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน จมูกของเขาเล็กและเป็นสันตรง คิ้วของเขาเข้มหนารับกับโครงหน้าคมสันเป็นอย่างดี เขาดูดีขึ้นกว่าเมื่อตอนยังเด็กมากจริงๆ บนหัวเตียงยังมีรูปของเราสมัยมัธยมต้นยืนกอดคอกันอยู่ใต้แป้นบาสโรงเรียนอยู่เลย บางทีผมก็รู้สึกแปลกใจเหมือนกันที่เด็กผู้ชายห่ามๆ คนนั้นจะโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่อบอุ่นได้ขนาดนี้

ผมถอนหายใจเบาๆ และเขยิบตัวเข้าไปซบลงบนอกของเขา ผมกอดเขาเอาไว้ก่อนที่จะหลับไปอีกครั้ง
เมื่อผมรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้งก็ในเวลาเจ็ดโมงกว่า เต้กำลังนอนกอดผมโดยพาดแขนทับลงบนหน้าอกของผมอยู่ ผมนอนลืมตามองเพดาน ครุ่นคิดถึงความรู้สึกที่ตัวเองมีต่อเขามานานและความรู้สึกขอบคุณจนหาคำมาบรรยายไม่ได้ที่เขาคอยช่วยเหลือผมอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลาอย่างนี้ ความอบอุ่นที่รู้สึกได้จากอ้อมกอดของเขาทำให้ผมไม่อยากลุกออกจากที่นอนเลย แต่สุดท้ายเต้ก็ตื่นขึ้นและยกแขนออกจากตัวของผม

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอวะ” เขาพลิกตัวเป็นนอนหงายและบิดขี้เกียจ

“อืออ กูทำมึงตื่นรึเปล่าวะ ขอโทษทีนะเว้ย”

“เฮ้ย เปล่าๆ ว่าแต่มึงเถอะ นอนหลับดีรึเปล่า กูนอนดิ้นรึเปล่าเนี่ย”

“ไม่เลย หลับสบายดีทุกอย่าง” ผมหันไปยิ้มให้เขา

เขาชันตัวขึ้นนั่ง บิดตัวซ้ายขวาเบาๆ “อึ๊ดด... เฮ้ออ ตอนแรกกูก็กะแค่เข้ามาดูมึง และกะว่าจะนอนบนพื้นอะนะ กูไม่อยากให้มึงตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอใคร แต่พื้นแม่งก็แข็งเกินว่ะ และกูก็ไม่อยากขนผ้านวมมาปูด้วย กลัวว่าจะปลุกมึง เลยคลานขึ้นไปนอนกับมึงแม่งซะเลย” เขาหัวเราะเบาๆ

“ไม่เป็นไรเว้ย นอนไปเหอะ เตียงกูมันนอนได้สองคนสบายๆ อยู่แล้ว”

“งั้นเดี๋ยวกูลงไปทำกับข้าวให้” เขาลุกออกจากเตียง สภาพเกือบเปลือยกายของเขาทำให้ไอ้น้องชายของผมมันค่อยๆ แข็งผงาดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

“เออ เต้ แล้วแม่มึงล่ะ เมื่อคืนเลยไม่ได้กินข้าวกับแม่มึงจนได้” ผมขยับผ้านวมมาปิดส่วนล่างของร่างกายเอาไว้

“ไม่เป็นไรหรอก กูโทรบอกเค้าแล้วว่าจะนอนกับมึงที่นี่น่ะ แม่เค้ายังฝากให้กูดูแลมึงเยอะๆ เลย”

“เดี๋ยว ไอ้เต้” ผมหยุดเขาไว้อีกครั้งก่อนที่เขาจะทันได้เดินออกจากห้องไป

เขาหันมามองหน้าผมพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งและยิ้มที่มุมปากน้อยๆ สีหน้าท่าทางของเขาทำเอาผมอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

“มึงรู้ใช่มั้ยว่ากูจะพูดอะไรน่ะ”

“เออ มึงไม่ต้องขอบใจกูหรอก ได้ยินจนเบื่อแล้วเว้ย”

“เออๆ ก็งั้นแหละ แต่ก็ขอบใจจริงๆ นะเว้ยที่มึงยังคงรักกูเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิดน่ะ กู... กูรักมึงนะ ไอ้เตเต้”

เขายิ้มกว้าง “กูก็รักมึงเหมือนกัน คนเก่ง มึงก็เป็นเหมือนน้องชายกูคนนึงว่ะ กูจะไม่รักมึงได้ไง จริงมะ”

ผมยิ้มให้เขาอีกครั้งก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องไป คำว่า ‘รัก’ และคำว่า ‘น้องชาย’ ของเขามันบาดลึกลงไปในหัวใจของผม เขาคงไม่รู้เลยว่าเพื่อนสนิทคนนี้มันรักเขาเกินเพื่อนไปตั้งนานแล้ว

หลังจากที่น้องชายของผมมันกลับมาสงบดังเดิม ผมก็ลุกออกจากเตียงและเดินตามเขาลงไปในครัวในสภาพที่ใส่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียว และผมเผ้ารุงรังชี้ไปคนละทิศละทาง

เต้หันมาเห็นสภาพของผมแล้วก็หัวเราะออกมา “มึงนี่ยังดูขี้เซาเหมือนเมื่อตอนเด็กๆ ไม่ผิดเลยนะ”

ผมหัวเราะแหะๆ “มึงไม่รู้หรอกว่ากูมีปัญหากับการตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงานให้ทันแปดโมงครึ่งทุกวันมากขนาดไหน”

“กูว่ากูพอเดาได้นะ” เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ “มึงจำได้มั้ยว่าตอนเข้าค่ายลูกเสือ ม.ต้นที่มึงตื่นสายอยู่คนเดียว ทำให้เราซวยไปกันหมดทั้งหมู่น่ะ ตอนนั้น ม. อะไรนะ”

“ม. 3”

“แล้วก็ตอน ม. 4 ที่กูไปเที่ยวเชียงใหม่กับครอบครัวมึง เราไปกางเต้นท์กันบนดอย แล้วมึงเป็นคนที่อยากตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นมากที่สุด แต่สุดท้ายก็ดันตื่นไม่ทันอยู่คนเดียวแล้วพาลโกรธกู หาว่ากูไม่ยอมปลุกน่ะ”

“เอออ จำได้เว้ย”

“กูปลุกมึงตั้งหลายทีเหอะ แต่แม่งก็ไม่ยอมลุกสักที”

“กูรู้แล้วน่าาา หลังจากนั้นมึงก็บอกกูหลายหนแล้ว” ผมเดินไปหยิบกาแฟที่เขาชงไว้ให้ขึ้นจิบ

“แล้วมึงรู้มะว่าตอนนั้นกูแอบจับเจี๊ยวมึงด้วย”

ผมแทบสำลักกาแฟทันที “ว่าไงนะ!”

“ก็แม่งแข็งเด่ขนาดนั้นอะ กูก็นึกว่ามึงตื่นแล้วแต่แกล้งทำเป็นหลับต่อซะอีก” เขาหัวเราะอารมณ์ดี “ก็เลยจับเล่นซะเลย”

“อ... ไอ้...!!”

“เช้าๆ ก็งี้แหละ ใช่มะ เป็นกันทุกคนแหละน่า”

“ประเด็นมันไม่ใช่แข็งตอนเช้าหรือตอนไหนเว้ย แต่มันคือที่มึงแอบจับของกูมากกว่า!”

ก่อนหน้านี้เราเคยแก้ผ้าอาบน้ำด้วยกัน เคยนอนแก้ผ้าด้วยกันก็จริง แต่เราไม่เคยเห็นของกันและกันในตอนเข็งตัวสักครั้งเดียว และเรื่องจับหรือสัมผัสไอ้นั่นของอีกฝ่าย ‘โดยตั้งใจ’ ก็ยิ่งไม่มีเข้าไปใหญ่

“แค่จับนิดๆ หน่อยๆ ทำเป็นเขิน เรื่องตั้งหลายปีมาแล้วแท้ๆ”

“ก็มึงเริ่มพูดเรื่องนี้ก่อนนี่หว่า!” ผมต่อยลงบนแขนของเขา รู้สึกเขินจนร้อนหน้าไปหมด

“แต่ตอนนั้นมึงเล็กกว่ากูนะ” เขายักคิ้วข้างเดียวพลางยิ้มมุมปากกวนๆ

“ไอ้...!! เออ! ตอนนั้นเล็กหรือใหญ่กว่ากูไม่รู้เว้ย แต่ที่แน่ๆ คือตอนนี้กูมีอยู่ ‘พอตัว’ ก็แล้วกัน”

“พอตัวอะไรวะ เล็กพอตัวเหรอ” เขาหัวเราะ

“พอๆ นี่มึงอยากคุยเรื่องเจี๊ยวกูตั้งแต่เช้าเลยรึไง ไม่มีเรื่องเหี้ยอะไรคุยกันแล้วรึไงวะ” ผมตัดบทเพราะไม่อยากพูดและคิดอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นไอ้น้องชายที่เพิ่งจะสงบลงไปอาจจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ได้ และคราวนี้ผมก็ไม่มีผ้าห่มมาคลุมปกปิดแล้วด้วย

“นึกถึงสมัยก่อนว่ะ ตอนเราเด็กๆ เราสองคนก็ลุยและทำอะไรห่ามๆ ด้วยกันมาเยอะเหมือนกันนะ ทั้งเที่ยว จีบสาว หนีเรียน ชกต่อย”

“อืออ” ผมจิบกาแฟต่อ

“น่าเสียดายที่ตั้งแต่กูย้ายกลับมาทำงานที่นี่ มาอยู่กับแม่ กูดันไม่ได้เจอมึงเลยว่ะ ปกติมึงมาเยี่ยมพ่อบ่อยขนาดไหนวะ”

“ก็ 2-3 เดือนครั้งมั้ง แต่ 3-4 ปีหลังนี่เหลือแค่ปีละ 2-3 ครั้งเอง งานกูเยอะว่ะ วันหยุดติดๆ กันก็ไม่ค่อยมี”

“มึงมาทีไรก็คลาดกับที่กูต้องไปอบรมหรือไม่ก็สัมนาที่อื่นตลอดเหมือนกัน”

“พ่อกูเค้าก็เล่าให้ฟังตลอดแหละว่ามึงมาคุยกับเค้าบ่อยๆ”

“ส่วนมากก็คุยเรื่องมึงนั่นแหละ พ่อมึงเค้าภูมิใจในตัวมึงมากนะเว้ย”

“ว่าแต่มึงเถอะ ผันตัวเองมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยซะงั้น ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าไอ้ตัวแสบอย่างมึงจะกลายมาเป็นอาจารย์ซะเองได้” ผมเปลี่ยนเรื่อง เพราะยังไม่อยากคิดถึงเรื่องของพ่อตอนนี้ “แล้วเป็นไงมั่งวะ โอเคมั้ย”

“ก็ดีนะ ตอนจบโทใหม่ๆ กูก็เคยเป็นแค่อาจารย์พิเศษเฉยๆ อะว่ะ แต่พอหย่าแล้ว กูก็เลยตัดสินใจเรียนต่อและมาเป็นอาจารย์ที่นี่เลยดีกว่า จะได้อยู่กับแม่ด้วย”

เต้เคยแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อประมาณสามปีก่อน แต่หลังจากที่ลูกคนแรกของเขาตายทันทีหลังจากคลอด แฟนของเขาก็เสียใจมากและเปลี่ยนไปเป็นคนละคน พ่อเล่าให้ผมฟังว่าพวกเขาอยู่กันโดยมีแต่ความทุกข์ ความเศร้า จนสุดท้ายเธอที่ทนไม่ไหวก็ขอแยกทางกลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านเกิด แล้วสุดท้ายพวกเขาก็หย่าขาดจากกันในอีกหนึ่งปีถัดมา

เราสองคนไม่เคยคุยเรื่องชีวิตของกันและกันมาก่อนเลย ส่วนมากเราจะรู้ผ่านปากของผู้ใหญ่ที่บ้านเรามากกว่า และนั่นทำให้ผมคิดว่าหลังจากที่เสร็จพิธีเผาในวันนี้แล้ว เราคงต้องหาเวลามานั่งคุยกันจริงๆ จังๆ บ้างสักที
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-07-2012 21:12:32 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
Re: (เรื่องสั้น) :: H O M E
«ตอบ #3 เมื่อ30-07-2012 21:13:50 »

ขอให้มีความสุขกับการอ่านครับ :)

หากชอบก็บอก ไม่ชอบก็ติ ขอกำลังใจเป็นคอมเมนท์บอกความในใจเล็กๆ น้อย ๆก็พอ

อัพเดทว่าจะอัพต่อเมื่อไหร่ที่แฟนเพจ https://www.facebook.com/ExecutionerNovel นะครับ ^3^

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
«ตอบ #4 เมื่อ30-07-2012 21:32:05 »

อยากอ่านต่ออ่าาา o13

MiiCell

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
«ตอบ #5 เมื่อ30-07-2012 21:38:41 »

ง่ะ เอาเรื่องใหม่มายั่วให้อยากอ่านอีกแล้วง่า o18

ออฟไลน์ 2NITE

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
«ตอบ #6 เมื่อ30-07-2012 21:44:12 »

น่ารักอ่ะ >< อยากอ่านต่อออออออออ

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
«ตอบ #7 เมื่อ30-07-2012 21:50:44 »

ติดตามๆๆๆ
จะจบแบบเรื่องล่าสุดหรือเปล่าคะ ^_^"

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
«ตอบ #8 เมื่อ30-07-2012 21:54:55 »

ไปเล่นเกมกันๆ ในแฟนเพจ!!

ปล. พี่  yeyong ครับ หมายความว่ายังไงครับพี่ 5555

ฺBieKung

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
«ตอบ #9 เมื่อ30-07-2012 22:03:42 »

ตามอ่านของพี่ต้นทุกเรื่องเลยยยยยย  ชอบบบบ!!!

 :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
« ตอบ #9 เมื่อ: 30-07-2012 22:03:42 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ohm

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 424
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
«ตอบ #10 เมื่อ30-07-2012 22:17:40 »

ตามอ่านมาตั้งแต่เรื่องที่แล้ว love seedz แล้วครับ
ชอบมาก ขอบคุณที่เอามาลงให้อ่านครับ

winnie_the_far

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
«ตอบ #11 เมื่อ30-07-2012 22:35:29 »

แอบอิน น้ำตาจะไหล สงสารพีพีอะ :sad4:

มาลุ้นว่า เตเต้ กับ พีพีจะไดรักกันมั้ยยย  :z2:

ออฟไลน์ jimmyFG

  • Ich Liebe dich.
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2276
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +203/-4
    • @Facebook
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
«ตอบ #12 เมื่อ30-07-2012 23:19:51 »

ชอบจัง รอติดตามนะ

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4514
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
«ตอบ #13 เมื่อ30-07-2012 23:49:48 »

เต้จะรักพีพีแบบคนรักบ้างมั้ย

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
«ตอบ #14 เมื่อ30-07-2012 23:53:04 »

กรุ่นๆหน่วงๆจี๊ดเป็นพักๆ

เรานึกว่า...เรียบร้อย...กันไปแล้วซะอีก :o8:

ออฟไลน์ N.T.❁

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
«ตอบ #15 เมื่อ31-07-2012 01:25:44 »

ร้องไห้เลย :monkeysad:

อ่านแล้วรู้สึกว่า หนูโคตรโชคดีที่ตอนนี้ยังมีทั้งพ่อและแม่อยู่ข้างๆ ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวัน (หนูอยู่หอมาหลายปีแล้ว) แต่ก็ยังโทรคุยกันเป็นกิจวัตร นึกภาพไม่ออกเลยว่าวันนึง ถ้าหนูไม่เหลือใครแบบพีแล้วหนูจะเข้มแข็งอยู่ได้ยังไง?

พี ยังโชคดีที่มี เต้ อยู่ข้างๆในวันที่เค้ารู้สึกว่าอ่อนแอที่สุด ขอให้ข้ามผ่านทุกอย่างไปได้นะคะ

ไม่รู้ว่าพี่ต้นจะเขียนเรื่องต่อไปในทางไหน แต่มันอบอุ่นมากจริงๆ รออ่านต่อนะคะ :')

TimelessOne

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
«ตอบ #16 เมื่อ31-07-2012 04:34:26 »

อ่านแล้วคิดถึงคนที่จากไปครับ  :sad11:

และอยากใช้เวลากับคนที่ยังอยู่ให้ดีกว่าเดิม  :กอด1:

ฟังเพลงนี้คลอๆ
http://www.youtube.com/watch?v=Yas7T2DPbnE
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2012 02:01:09 โดย TimelessOne »

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
«ตอบ #17 เมื่อ31-07-2012 07:30:55 »

ดีใจที่คุณต้นยังไม่ลืมเพ่ือนๆในบอร์ดครับ

ออฟไลน์ Onlymin

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-4
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
«ตอบ #18 เมื่อ31-07-2012 11:55:05 »

อ่านแล้วให้บรรยากาศเหมือน  เต้เป็นคนที่รอคอยพีอยู่ที่ "บ้าน" เสมอ

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักแค่ไหน เหตุการณ์รอบตัวของแต่ละคนต่างเปลี่ยนไป

แต่ไม่ว่ายังไง ก็มีคน ๆ นึงที่..รอคอย...ปลอบใจ...


รอตอนต่อไปค่ะ

Mulberry

  • บุคคลทั่วไป
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
«ตอบ #19 เมื่อ31-07-2012 15:41:39 »

อ่านแล้วให้บรรยากาศเหมือน  เต้เป็นคนที่รอคอยพีอยู่ที่ "บ้าน" เสมอ

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักแค่ไหน เหตุการณ์รอบตัวของแต่ละคนต่างเปลี่ยนไป

แต่ไม่ว่ายังไง ก็มีคน ๆ นึงที่..รอคอย...ปลอบใจ...


รอตอนต่อไปค่ะ

รู้สึกแบบนี้เลยค่ะ ใช่เลย :n1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
« ตอบ #19 เมื่อ: 31-07-2012 15:41:39 »





ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
«ตอบ #20 เมื่อ31-07-2012 21:29:16 »

ดัน ดัน

 :z10:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
«ตอบ #21 เมื่อ01-08-2012 22:23:00 »

ใครอยากได้เวอร์ชั่นเต็มของเรื่องนี้ไปอ่านก่อนคนอื่นๆ ไปตอบคำถามในแฟนเพจนะครับ ไม่ใช่ในนี้เน่ออ ^^

ออฟไลน์ KaorPaor

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 669
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +140/-4
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
«ตอบ #22 เมื่อ02-08-2012 00:10:17 »

จิ้มเรื่องใหม่ก่อนกลับ HOME

ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
«ตอบ #23 เมื่อ02-08-2012 00:46:22 »

อ่านแล้วรู้สึกเหมือนมีเงื่อนงำบางอย่างซ่อนอยู่ในเรื่อง  o8

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
«ตอบ #24 เมื่อ03-08-2012 21:19:45 »

หากเปรียบเทียบกับเมื่อครั้งงานศพของแม่ ผมต้องยอมรับเลยว่าการจัดงานศพให้พ่อนั้นยากกว่ามาก ครั้งที่แล้วผมยังมีพ่อ เรายังมีกันและกัน แต่หนนี้ผมไม่เหลือใครอีกเลย นั่นคือเหตุผลที่ทำไมผมถึงได้รู้สึกขอบคุณเต้และแม่ของเขามากถึงขนาดนี้ พวกเขาคอยช่วยเหลือผมทุกอย่างจริงๆ นอกจากนั้น ครั้งก่อนเราตั้งศพของแม่ไว้เจ็ดวัน ซึ่งเมื่อถึงวันเผา เราก็เริ่มที่จะพอทำใจได้บ้าง แต่สำหรับพ่อแล้ว ผมยังแทบไม่มีเวลาได้ทำใจเลย เปลวไฟที่สะบัดไปมาและควันสีดำที่ลอยออกจากปล่องเมรุย้ำเตือนให้ผมรู้ว่าพ่อจะไม่มีวันกลับมาหาผมอีกแล้ว และตอนนี้ผมก็ไม่เหลือใครอีกแล้วจริงๆ

เต้ที่ยืนอยู่ข้างๆ โอบไหล่ผมไว้ตลอดเวลา แม่ตุ๊กก็ยืนใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาอยู่ข้างๆ ผมยื่นมือไปบีบมือของแม่ตุ๊กแน่น หวังจะเป็นกำลังใจให้เขา แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าผมต่างหากที่เป็นฝ่ายได้รับกำลังใจและการปลอบโยนกลับคืนมา

มื้อเย็นที่บ้านของเต้ช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง เราสามคนแลกเปลี่ยนเรื่องราวและคุยกันหลายเรื่อง โดยหลีกเลี่ยงเรื่องใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวกับพ่อ เต้กับแม่ตุ๊กผลัดกันเล่าเรื่องชีวิตการสอนของเขา รวมทั้งเรื่องช่วงก่อนที่เขาจะหย่าให้ผมฟัง แต่สิ่งที่ช่วยทำให้ผมรู้สึกหายคิดถึงพ่อได้มากที่สุด ก็คือตอนที่เราคุยถึงวีรกรรมในวัยเด็กของเราต่างหาก

“เนี่ย ยังจำได้มั้ย พี ตอนเด็กๆ เราสองคนเคยชอบไก่ทอดฝีมือแม่ขนาดไหน” แม่ตุ๊กพูดขึ้นพลางมองกองกระดูกที่อยู่ในจานของผมด้วยแววตาและรอยยิ้มอบอุ่น

“จำได้สิครับ ตอนนี้ก็ยังชอบนะครับ แม่ อร่อยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย”

“แหม ทำเป็นปากหวานยอแม่นะ”

“โหหห ยออะไรครับแม่ เห็นกองกระดูกนี่แล้วแม่ยังคิดว่าพีแค่ยออีกเหรอ” ผมหัวเราะ

“แม่จำได้มีอยู่ครั้งนึงตอนที่เราสองคนอยู่ ป. 4 และมากินข้าวบ้านแม่ แต่ไม่ยอมกินดีๆ กันสักที เอาแต่จะหยิบน่องไก่ไปคนละน่องแล้ววิ่งออกไปเล่นนอกบ้าน เล่นไปกินไป พอไก่หมดก็วิ่งแข่งกันกลับมาหยิบออกไปอีก”

“แล้วมึงที่ทำเป็นเก่ง วิ่งหนีกูไปไกลจนเจอกับหมาจรจัดตัวนึงและโดนมันไล่เอาจนต้องวิ่งร้องไห้จ้ากลับมาบ้านไง” เต้หันหาพูดกับผม

“มีเรื่องอย่างนั้นด้วยเหรอวะ กูไม่เห็นจะจำได้” ผมตีหน้าเซ่อ

“เหรออ จำไม่ได้เหรอวะ แล้วมึงจำตอน ม. 3 ที่มึงเคยไปจีบรุ่นพี่ ม. 4 อะ ชื่ออะไรน้าา... เก๋ ก้อย อะไรสักอย่าง แล้วปรากฏว่าโดนแฟนเค้าไล่เตะเอาได้รึเปล่า”

“จำไม่ได้เว้ย กูไม่เคยทำแบบนั้นสักหน่อย กูออกจะเป็นเด็กเรียบร้อยขี้อายจะตาย” ผมพูดพลางใช้เท้าเขี่ยพุงไอ้มอมแมมที่นอนอยู่ใต้โต๊ะ

“ถุยเถอะ แล้วใครวะที่ต้องปลอบมึงที่ร้องไห้เพราะโดนเค้าหักอกมาน่ะ”

“กูไม่ได้ร้องเพราะโดนหักอกมาเว้ย กูแค่เสียใจที่พี่เก๋แม่งโกหกกูว่ายังไม่มีแฟนต่างหาก”

“อ้าว ก็จำได้นี่หว่า” เต้หัวเราะ

“แม่ว่าเราสองคนมันก็พอกันทั้งคู่นั่นแหละ มีเรื่องนั้นเรื่องนี้กันได้ไม่เว้นแต่ละวัน” แม่ตุ๊กหัวเราะพลางลุกขึ้นยืนและเริ่มเก็บโต๊ะ

“เดี๋ยวพีช่วยครับ แม่”

“ไม่ต้องๆ” แม่ตุ๊กรีบห้าม “พวกลูกๆ ไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวแม่จัดการเอง เรื่องแค่นี้”

“แต่ว่า...”

“ไม่มีแต่ ไม่งั้นเดี๋ยวแม่โกรธนะ แม่รู้ว่าเราสองคนมีเรื่องอยากจะคุยกันอีกเยอะแยะใช่มั้ยล่ะ กลับไปคุยกันที่บ้านเถอะ แม่ล้างจานเสร็จก็จะนอนพักผ่อนแล้ว”

“งั้นคืนนี้เต้นอนกับพีพีอีกคืนนะ แม่”

“ไปเถอะ ดูแลเพื่อนดีๆ ด้วยล่ะ แล้วก็อย่าอยู่กันจนดึกมาก พรุ่งนี้เราก็ต้องไปสอนนะ อย่าลืม และพีเองก็จะได้พักผ่อนเยอะๆ ด้วย ดูหน้าซิเนี่ย โทรมหมดแล้วลูกเอ๊ยย”

“งั้นมึงรอกูแป๊บนึง เดี๋ยวกูช่วยแม่เก็บจานไปไว้หลังบ้านก่อน” เต้พูดพร้อมกับยืนขึ้น

“มา กูช่วย” ผมทำท่าจะลุกออกจากเก้าอี้แต่ก็ถูกเขาห้ามเอาไว้ก่อน

“ไม่ต้องหรอกน่า นั่งรออยู่นี่แหละ” เขาตบบ่าผมเบาๆ จากนั้นก็ช่วยแม่เก็บจานบนโต๊ะและเดินหายเข้าไปในครัว

อีกไม่กี่นาทีถัดมา เต้ก็เดินกลับออกมาพร้อมกับเบียร์แพ็คหกกระป๋องหนึ่งแพ็คพร้อมส่งสัญญาณให้ลุกได้ ผมจึงเดินเข้าไปบอกลาแม่ตุ๊กในครัว แล้วเดินตามเขาออกจากบ้านไปโดยมีไอ้มอมแมมวิ่งตามกลับมาด้วย

ทันทีที่ผมเปิดประตูบ้าน ไอ้มอมก็เริ่มดมกลิ่นบนพื้นเพื่อหาพ่อทันที มันวิ่งขึ้นไปบนชั้นสองและหายไปครู่หนึ่งก่อนจะกลับลงมาชั้นล่าง มันตัดสินใจเดินมานอนขดอยู่ที่ขาเก้าอี้ที่พ่อนั่งประจำและถอนหายใจยาวๆ ออกมาครั้งหนึ่ง อาการของมันทำเอาผมรู้สึกเจ็บที่หน้าอกบอกไม่ถูก

“เมื่อวานกูเห็นในตู้เย็นมึงยังมีเบียร์เหลืออยู่ 4-5 กระป๋องใช่มั้ยวะ กินอันนั้นก่อนละกันนะ กูจะเอาพวกนี้เข้าฟรีซไว้ จะได้เย็นๆ” เต้ตะโกนออกมาจากในครัว

“เออ ยังไงก็ได้ว่ะ”

“นั่งไหนกันดี ห้องนั่งเล่นหรือม้าหินหน้าบ้าน”

“หน้าบ้านก็ได้มั้ง”

“โอเค”

อีกอึดใจต่อมา เต้ก็เดินออกมาจากในครัวพร้อมกระติกน้ำแข็งที่มีเบียร์แช่อยู่ในน้ำแข็งที่แทบล้นกระติก เราสองคนนั่งลงบนม้านั่งหน้าบ้านและจิบเบียร์กันเงียบๆ อยู่ครู่ใหญ่ๆ จนกระทั่งเขาเป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นก่อน

“จริงๆ แล้วกูก็มานั่งกินเบียร์คุยกับพ่อมึงตรงนี้บ่อยนะ”

“ที่คุยเรื่องของกูกันน่ะนะ”

“หึๆ ช่ายยย”

“แล้วทำไมต้องเป็นเรื่องกูด้วยวะ”

“ก็เพราะเป็นเรื่องที่ทั้งกูและพ่อมึงคุยกันแล้วมีความสุขที่สุดล่ะมั้ง” เขาหันมายิ้มให้ผม

คำพูดของเขาทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ขึ้นชอบกล แต่ก็พยายามคิดว่าเขาคงไม่ได้มีอะไรแอบแฝงหรอกมั้ง

“กูบอกแล้วไงว่าพ่อมึงเค้ารักและภูมิใจในตัวมึงมาก ส่วนกูเองก็อยากรู้เรื่องของมึง มึงก็เลยตกเป็นหัวข้อคุยหลักไปโดยปริยาย...” เขาเว้นช่วง “กูว่าบางทีอาจเป็นเพราะเราโตๆ กันแล้วด้วยว่ะ จะมัวมาโทรคุยกันอยู่บ่อยๆ ก็ใช่เรื่อง และแบบนั้นมันก็ไม่ใช่นิสัยกูด้วย กูก็เลยฟังเรื่องราวของมึงจากพ่อเค้าเอา แต่แค่กูรู้ว่ามึงสบายดีก็โอเคแล้วว่ะ”

ผมกระดกเบียร์ขึ้นดื่ม “ทำไมเราถึงไม่เคยแอดเฟซบุ๊คกันวะ”

“กูไม่ค่อยได้เล่นหรอก และกูก็ไม่รู้จะแอดมึงยังไงด้วย กูว่ามันแปลกๆ ว่ะ ไม่รู้ดิ ปีหน้าเราสองคนก็อายุ 30 แล้ว มึงคิดดู ขึ้นเลข 3 แล้วนะเว้ย ที่สำคัญ แต่ก่อนเราก็เจอกันทุกวัน คุยกันทุกวัน แต่พอโตขึ้นกลับต้องมาคุยกันผ่านตัวหนังสือในเฟซบุ๊คน่ะเหรอวะ กูไม่เอาด้วยหรอก จะว่ากูหัวโบราณก็ได้นะ แต่กูไม่ชอบความคิดนั้นเลยว่ะ”

“กูเข้าใจ”

“มึงไม่คิดอยากกลับมาที่นี่มั่งเหรอวะ พีพี”

“เฮ้ยนี่ กูว่ามึงอย่าเรียกกูอย่างนั้นเลยว่ะ ไอ้เต้”

“ทำไมวะ ไม่ชอบเหรอ กูขอโทษ” เขาหน้าเจื่อนลงไปนิดหน่อย

“เปล่า ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่กูเขินเว้ย”

เขากลับมามีรอยยิ้มกว้างขึ้นอีกครั้ง “เขินทำไมวะ แต่ก่อนยังเรียกประจำ”

“แต่นั่นมันตั้งกี่ปีมาแล้ว เป็น 10 ปีแล้วนะเว้ย และที่สำคัญก็มีแค่มึงคนเดียวนั่นแหละที่เรียกกูอย่างนั้นน่ะ พ่อกับแม่ยังเลิกเรียกกูแบบนั้นตั้งแต่กูขึ้น ม. 1 แล้วเลย”

“จะกี่ปีก็ไม่เห็นเกี่ยว สำหรับกู มึงก็ยังคงเป็นมึง เพื่อนรักกูโคตรๆ คนนั้นไม่เคยเปลี่ยนนั่นแหละ”

“เออๆ กูยอมแพ้ก็ได้วะ”

“ดีมาก เรื่องอย่างนี้ไม่ต้องมาทำเป็นอาย แต่ก่อนเราแก้ผ้านอนด้วยกันมาตั้งเท่าไหร่แล้วยังไม่เห็นอายเลย”

“แต่หลังจากนั้นกูก็ไม่เคยแก้ผ้านอนกับผู้ชายคนไหนอีกเลยนะ” ผมหัวเราะทั้งๆ ที่เพิ่งโกหกออกไป

“เออ กูก็เหมือนกัน ว่าแต่งานมึงเป็นไงมั่งวะ เห็นว่างานหนัก เจ้านายห่วยไม่ใช่เหรอ ไหนเล่าให้กูฟังมั่งซิ”

ผมถอนหายใจ “ก็ใช่ เจ้านายแม่งก็เขี้ยวเหลือเกินว่ะ เงินดีขึ้นก็จริงอะนะ แต่เวลาว่างแม่งก็น้อยลงไปเยอะว่ะ” ผมเริ่มบ่นและเล่าเรื่องงานให้เขาฟังจนเบียร์ของเราเริ่มหมดไปอีก 2-3 กระป๋อง และในระหว่างที่ผมกำลังพูดอยู่นั้น เขาหก็ยิบบุหรี่ออกมาจุดแล้วถามผมว่าจะเอาด้วยรึเปล่า

“ไม่อะ กูเลิกไปหลายปีแล้ว”

“กูก็เคยเลิกไปแล้วหนนึงนะ แต่กลับมาสูบอีกก็ตอนที่เครียดๆ เรื่องเมียนั่นแหละว่ะ เฮ้อออ... สงสัยมึงต้องกลับมาคอยช่วยกูเลิกบุหรี่ให้ได้อีกซะแล้วล่ะมั้ง”

“ก็คงยากว่ะมึง คือกูก็อยากกลับมานะเว้ย แต่กูว่าชีวิตกูอยู่ที่กรุงเทพฯ ไปแล้ว และไหนจะเรื่องงานกูอีกล่ะ ถ้ากลับมาที่นี่ กูจะทำอะไรวะ”

“เฮ้ย บ้านเรามันก็ไม่ได้บ้านนอกขนาดนั้นนะเว้ย มึงก็พูดเหมือนเราอยู่ซะโคตรต่างจังหวัดเลย กูว่าที่นี่มันก็แทบไม่ต่างจากในกรุงเทพฯ เท่าไหร่หรอก แค่รถติดน้อยกว่าและเงียบสงบกว่าเยอะเท่านั้นเอง ซึ่งกูว่าก็ดีออก”

“พยายามหว่านล้อมกูจริงๆ เลยเว้ย”

“กูแค่อยากให้มึงกลับมาอยู่บ้านหลังนี้อีกครั้งเท่านั้นเอง มาดูแลบ้านและสมบัติของครอบครัวไง”

ผมเงียบไปพักหนึ่ง “แค่นั้นเหรอวะ ที่มึงชวนกูกลับมาอยู่ที่นี่น่ะ”

“ไม่รู้ดิ ก็คงแค่นั้นแหละ” เขายักไหล่ “แต่มันก็เป็น ‘เรื่องแค่นั้น’ ที่สำคัญมากไม่ใช่เหรอวะ”

ผมถอนหายใจเบาๆ และเห็นด้วยหางตาว่าเต้เหลือบมามองผมอยู่แวบหนึ่ง

“มึงมีแฟนมั้ยวะ ไอ้พี”

“ไม่มีอะ”

“แล้วมึงอยู่ตัวคนเดียวที่กรุงเทพฯ ตลอดเลยเหรอ ไม่เหงามั่งเหรอวะ”

“ก็เหงาบ้างว่ะ แต่ไม่ถึงตายหรอก ชินแล้วล่ะมั้ง... ว่าแต่มึงล่ะ ไม่เจอคนใหม่สักทีเหรอวะ”

“ไม่ว่ะ” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ทำไมล่ะวะ มึงก็หน้าตาดี การงานก็ดี ดีกรีเป็นถึงด็อกเตอร์ ไม่มีอาจารย์สาวๆ หรือใครเข้ามาติดพันเลยรึไง”

“ไม่มีหรอก และกูก็ไม่ค่อยได้สนใจใครด้วย”

“มึงยังคิดถึงเมียเก่ามึงอยู่เหรอวะ เต้”

เขาพยักหน้า ดูเหมือนจะเจ็บปวดเล็กน้อย “ก็มีบ้าง แต่ที่ยิ่งกว่าคิดถึงคือกูเสียใจที่เป็นกำลังใจให้เค้าไม่ได้ ทำให้เราเริ่มเข้าใจไม่ตรงกัน สุดท้ายเค้าเลยเลือกที่จะไป... มันเป็นความผิดกูเองว่ะ”

“มึงจะผิดได้ยังไงวะ อย่าไปคิดอย่างนั้นสิเว้ย กูมั่นใจว่าตอนนั้นมึงเองก็คงพยายามปลอบเมียมึงเต็มที่แล้ว แต่เค้าเองรึเปล่าที่เสียใจมากและเริ่มมีปัญหา จนทำให้มึงอยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่ก็นั่นแหละวะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว อย่าไปสนใจเลย เดินต่อไปข้างหน้าเหอะ กูว่าคนดีๆ อย่างมึง ยังมีคนอยากใช้ชีวิตร่วมด้วยอยู่อีกเยอะ”

“จริงเหรอวะ” เขาหันมามองหน้าผม

“จริงสิวะ...”

ผมอยากจะบอกเขาเหลือเกินว่าอย่างน้อยก็มีนั่งอยู่ตรงนี้คนหนึ่งล่ะ แต่ก็พูดออกไปไม่ได้

“แล้วมึงล่ะ เล่าเรื่องชีวิตรักของมึงให้กูฟังมั่งดิ”

ผมเล่าให้เขาฟังว่าผมเคยมีแฟนที่คบกันจริงๆ จังๆ อยู่สองคน คนแรกคบตอนเข้ามหาวิทยาลัยและคบอยู่นานสองปี ส่วนคนที่สองคบนานถึงสี่ปี ผมเล่าให้เขาฟังเท่าที่ผมเล่าได้ โดยเว้นเนื้อหาส่วนไหนก็แล้วแต่ที่จะทำให้เขารู้ว่าทั้งสองคนนั้นเป็นผู้ชายเอาไว้ ผมอยากจะบอกเขาเหลือเกินว่าผมชอบผู้ชาย ไม่ได้ชอบผู้หญิงอย่างที่เขาเข้าใจ แต่ก็ไม่กล้า ผมกลัวว่าผมจะทำให้เขาตกใจและสูญเสียเขาไป ยิ่งในเวลาแบบนี้ ผมยิ่งไม่พร้อมที่จะเสียเพื่อนรักที่สุดคนนี้ไปอีกคน

บางทีผมว่ามันก็น่าแปลกเหมือนกันนะ ทั้งๆ ที่เขาคือเพื่อนที่ผมรักและไว้ใจมากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันผมกลับกลัวความรู้สึกของเขา และกลัวว่าเขาจะหันหลังให้แก่ผมมากที่สุดเช่นกัน

“ถึงเราจะไม่ได้คุยกันแบบนี้มานาน แต่กูก็ดีใจนะที่เรายังต่อกันติดและที่มึงเองก็ยังเห็นกูเป็นเพื่อนสนิทคนนั้นคนเดิมของมึงน่ะ” เขาพูดขึ้นในขณะที่เราต่างก็กำลังถือกระป๋องเบียร์กระป๋องสุดท้ายอยู่ในมือ

“กูดีใจที่ได้กลับมาบ้านอีกครั้งนะ ไอ้เต้ ถึงแม้ว่าจะกลับมาเพราะเรื่องแบบนี้ก็เถอะ แต่กูก็ดีใจที่ได้เจอมึงอีกครั้งมากๆ เหมือนกัน”

เขายิ้มและยื่นกระป๋องเบียร์มาชนกับผม ก่อนที่เราจะกระดกเบียร์ที่เหลือลงคอจนหมด

“กูว่ามึงเริ่มง่วงแล้วมั้ง ไอ้พี หน้าก็แดงเยอะแล้ว ไปเถอะ ไปนอนกัน”

ผมพยักหน้า รู้สึกหนังตาเริ่มจะปิดอยู่แล้วจริงๆ เราสองคนเดินเข้าบ้านและตรงขึ้นไปยังห้องนอนของผมด้วยกัน เขายืนดูผมถอดเสื้อผ้าจนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเดินไปที่ประตูห้อง

“งั้นมึงก็นอนซะนะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้เช้าเว้ย”

“มึงจะไปไหนน่ะ”

“ไปนอนโซฟาข้างล่างไง”

“ไม่ต้องเลย มานอนด้วยกันนี่แหละ มาทำเกรงใจอะไรเอาป่านนี้วะ”

“กูจะไม่เบียดมึงเหรอวะ”

“เหลือเฟือน่า พูดเหมือนคนไม่เคยนอนไปได้เว้ย” ผมตบมือลงบนเตียงขนาดควีนไซส์และเขยิบตัวไปชิดกับกำแพงเพื่อให้เขาเห็นว่ามีที่ว่างอยู่อีกเหลือเฟือขนาดไหน

เต้ถอดเสื้อผ้าจนเหลือแต่กางเกงในตัวเดียวและเดินตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าของผม เขาหยิบเอากางเกงขาสั้นตัวหนึ่งออกมา ถอดกางเกงในออก และเปลี่ยนเป็นใส่ขาสั้นตัวนั้น ผมเห็นก้นและไอ้น้องชายของเขาอย่างเต็มตา ถึงเป็นเวลาแค่ไม่กี่วินาที แต่มันก็ทำให้ใจผมเต้นแรงขึ้นอย่างอดไม่ได้

“ถ้ากูละเมอไปกอดมึงเข้าก็เขกหัวปลุกกูเลยนะ” เขาพูดพลางสอดตัวเข้ามาใต้ผ้าห่ม

“กูไม่ปลุกมึงหรอก กูจะกอดคืน” ผมแกล้งพูดทีเล่นทีจริง

เขาหัวเราะเบาๆ แล้วจากนั้นเราสองคนก็เริ่มเงียบลงไปอีกครั้ง แต่อาจจะเพราะด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ จึงทำให้ผมนอนไม่ค่อยหลับ ใจของผมมันว้าวุ่นคิดถึงทั้งเรื่องของเต้ และเรื่องของพ่อกับแม่ จนในที่สุดสมองของผมก็หยุดคิดอยู่ที่แต่เรื่องของพ่อกับแม่ ความรู้สึกอ้างว้างไม่เหลือใครกลับมาครอบงำจิตใจของผมอีกครั้ง ความรู้สึกผิดที่ไม่ได้อยู่ดูแลพ่อกับแม่ในนาทีสุดท้ายของพวกเขาทำให้ผมต้องนอนห่อตัวและร้องไห้ออกมาเบาๆ

เต้ที่ยังนอนไม่หลับเหมือนกันพลิกตัวมากอดผมเอาไว้จากทางด้านหลัง “ร้องไปเถอะ พี ร้องไปจนกว่าจะสบายใจ ไม่ว่ามึงจะร้องไห้อีกกี่ครั้ง อีกกี่คืน กูก็จะคอยอยู่ข้างๆ มึงแบบนี้ไปตลอด จนกว่ามึงจะเข้มแข็งเหมือนเดิมอีกครั้ง มึงคือสิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ของกูนะ... ไอ้คนเก่ง”

ผมจำไม่ได้ว่าหลับลงไปเมื่อไหร่ แต่ผมตื่นขึ้นมากลางดึกและพบว่าตัวเองกำลังนอนกอดเต้จากทางด้านหลังอยู่ ผมสะลึมสะลือกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น แล้วจึงผล็อยหลับไปอีกครั้ง เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกหน ก้นของเต้ก็กำลังเบียดอยู่กับไอ้น้องชายที่แข็งเป็นลำของผมอยู่พอดี ผมรู้สึกหัวใจเต้นแรงและขยับสะโพกเล็กน้อยเพื่อเบียดให้มันแนบชิดมากเข้าไปอีก เต้ที่อาจจะไม่รู้สึกตัวขยับสะโพกตอบสนองกับการขยับตัวของผม แต่เมื่อผมลองขยับสะโพกอีกครั้ง เขาก็เขยิบตัวห่างออกไป ผมที่กลัวว่าเขาจะรู้ตัวจึงคลายวงแขนที่พาดอยู่บนตัวของเขาออกและพลิกตัวเป็นนอนตะแคงหันหลังให้เขาแทน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-04-2013 06:05:21 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ Onlymin

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 465
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-4
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
«ตอบ #25 เมื่อ03-08-2012 21:35:11 »

ทั้งที่ซอกมุมของหัวใจทั้งสองคนต่างก็คิดตรงกัน

แต่...ต่างคนไม่ยอมเปิดมุม ๆ นั้นออกมา

ทั้งที่เป็นคนที่ใกล้ชิดเหลือเกิน...แต่พอเป็นเรื่องของความรู้สึกรัก...กลับเหมือนเป็นคนที่ไกลกันมาก ๆ

ต่างคน..กลัว...กลัวที่จะสูญเสียเพื่อนรักคนสำคัญไปเมื่อต่างได้รู้ความจริงที่มันมีมากกว่านั้น

ค่ำคืนนี้จะเป็นยังไงต่อนะ...ค้าง :z3:

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E
«ตอบ #26 เมื่อ03-08-2012 21:43:50 »

ไม่รู้จะพูดยังไง

เต้จะรู้สึกมากว่าเพื่อนมั่งมั้ย

หรือเราจะแค่คิดไปเอง

 :z10:

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E (up 3 Aug)
«ตอบ #27 เมื่อ04-08-2012 13:44:24 »

เหมือนแต่ละคนเก็บงำความรู้สึกบางอย่างที่มีต่อกันหรือเปล่า

นอนขยับไปขยับมาแบบนี้จะเกิดอะไรขึ้นไหมเนี่ย

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E (up 3 Aug)
«ตอบ #28 เมื่อ04-08-2012 14:29:19 »

อ่านแล้ว....


โคตรลุ้นเลยค่า >__<

ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2
Re: (เรื่องสั้น) :: H • O • M • E (up 3 Aug)
«ตอบ #29 เมื่อ04-08-2012 14:53:10 »

เอาล่ะครับ
ฟ้าเริ่มสลัวแหละครับ.....

ปล.เรื่องนี้อ่านแล้ว Feel มันดีนะคะ คุณต้น
ค่อยๆ ขยับอารมณ์คนอ่านดี
ชอบค่า ชอบ  :กอด1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด