H • O • M • E
by ExecutioneR
บรรดาเพื่อนบ้าน เพื่อนที่ทำงาน และนักเรียนของพ่อต่างก็กลับไปกันหมดแล้ว ตอนนี้จึงเหลือแค่ผมยืนอยู่ตามลำพังในบ้านที่ว่างเปล่าและเงียบเหงา ผมยืนมองดูเก้าอี้โยกที่พ่อชอบนั่งประจำ บนโต๊ะไม้ข้างๆ มีรูปถ่ายของผมกับพ่อในกรอบรูปสีน้ำตาลเข้มวางเอาไว้อยู่ แต่สิ่งที่ผมเห็นกลับไม่ใช่เพียงรูปของเรา ผมเห็นพ่อที่กำลังเล่นวิ่งไล่จับกับผมที่สนามหลังบ้านตอนผมอายุราวๆ 7-8 ขวบ ผมเห็นพ่อต่อกรงนกขนาดใหญ่ด้วยตัวเองโดยมีผมคอยช่วยอีกแรงตอนผมอายุ 13 และเห็นแผ่นหลังของพ่อที่เดินนำผมอยู่ข้างหน้า เวลาที่ไม่ต้องไปสอนหนังสือ พ่อมักจะพาผมไปทำธุระในที่ต่างๆ กับพ่อตลอด มันจึงทำให้ผมเคยชินกับการพบเจอคนแปลกหน้า และมีความมั่นใจติดตัวมาตั้งแต่เด็ก พ่อสอนให้ผมเป็นคนกล้าแสดงออกด้วยการแนะนำให้ผมรู้จักกับคนทุกคน และสอนผมถึงเรื่องความสำคัญของการรู้จักพูดคุยกับคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นคนแปลกหน้าหรือเพื่อนของตนเองก็ตาม ซึ่งเมื่อโตขึ้น ผมถึงเข้าใจว่านั่นคือหนึ่งในการสอนเพื่อให้ผมประสบความสำเร็จในชีวิตนั่นเอง
พ่อของผมเป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด แต่ก็สามารถสอนวิชาช่างได้อีกด้วย ดังนั้นผมจึงได้ความสามารถพิเศษด้านนี้มาตั้งแต่ยังไม่เข้าสู่วัยรุ่นดี พอถึงอายุ 15 ผมก็สามารถใช้เครื่องมืออุปกรณ์ช่างไม้และช่างไฟฟ้าแทบทุกชนิดได้อย่างชำนาญ และเมื่อโตขึ้นอีกหน่อย ผมก็สานต่อความชอบของตัวเองและความฝันของพ่อด้วยการเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้พ่อรู้สึกภูมิใจในตัวผมเป็นครั้งแรก
พ่อมีบุคลิกความเป็นผู้นำที่อ่อนโยนอยู่ในตัว เสียงของพ่อหนักแน่นแต่ก็อบอุ่น เวลาที่ผมอ่อนแอหรือเสียใจ พ่อจะคอยปลอบโยนผม คำพูดแต่ละคำของพ่อพร้อมกับฝ่ามือใหญ่ๆ ที่ลูบหัวผมไปด้วยจะช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นทุกครั้ง แม้แต่เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนตอนที่ผมโทรกลับมาหาพ่อและเล่าเรื่องที่ทำงานให้ฟัง เสียงของพ่อก็ยังคงช่วยเป็นกำลังใจและมอบความเข้มแข็งให้แก่ผมได้อยู่เสมอจริงๆ บางครั้ง ผมก็จะคิดถึงตอนที่ผมเริ่มแยกห้องนอนคนเดียวและมีพ่อมาคอยอ่านหนังสือหรือนิทานให้ฟัง รวมทั้งผมยังจำเสียงของพ่อกับแม่คุยกันแว่วๆ เบาๆ จากห้องข้างๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยจนสามารถหลับลงไปเองได้จนถึงทุกวันนี้
พ่อเป็นพ่อที่ยอดเยี่ยมที่สุดในความรู้สึกของผม ผมรักพ่อมาก และสิ่งเดียวที่ผมรู้สึกเสียใจอยู่ ณ ตอนนี้คือการที่ผมไม่ได้กลับบ้านมาเยี่ยมพ่อให้บ่อยกว่านี้หลังจากที่แม่จากไปด้วยอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน
พ่อจากไปด้วยอายุ 65 ปี เพื่อนบ้านคนหนึ่งของเราเข้ามาพบพ่อกำลังนอนหลับจากไปอย่างสงบบนเก้าอี้ตัวที่ผมกำลังยืนมองมันอยู่นี้ โรคหัวใจของพ่อคงกำเริบขึ้นโดยที่พ่อไม่ทันได้ระวังตัว ตอนที่เพื่อนบ้านเข้ามาพบว่าพ่อจากไปแล้ว ทีวียังคงเปิดอยู่ และยาที่พ่อต้องกินประจำก็วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ รูปถ่ายของผมกับพ่อตรงนี้เอง ไอ้มอมแมม สุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ เพื่อนเพียงตัวเดียวที่อยู่กับพ่อมาห้าปีก็นอนขดอยู่ที่ปลายเท้าของพ่อตามปกติ มันคงไม่รู้เลยว่านายอันเป็นที่รักของมันได้จากไปแล้ว และผมในตอนนี้ก็ไม่เหลือสมาชิกในครอบครัวอยู่อีกเลย นอกจากไอ้มอมแมมแค่เพียงตัวเดียว
หลังจากเรียนจบ ผมก็ทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ มาตลอดเจ็ดปี เมื่อทราบข่าวนี้จากเพื่อนที่โรงเรียนของพ่อ ผมก็รีบขับรถนานกว่าหกชั่วโมงตรงกลับมาที่บ้านทันที ผมคุยกับอาไพศาล เพื่อนของพ่อที่เป็นทนาย เพื่อจัดการและรับทราบความประสงค์ของพ่อสำหรับงานศพ เราจะตั้งศพพ่อที่วัดแค่สามวันเพราะพ่อไม่อยากให้ผมและแขกเหรื่อต้องลำบาก
วันนี้ที่เป็นวันสวดวันแรก ผมรู้สึกอบอุ่นและตื้นตันขึ้นมากที่เห็นเพื่อนๆ ของพ่อ นักเรียน เพื่อนบ้าน รวมทั้งเพื่อนสนิทของผมจำนวนหนึ่งที่มาร่วมไว้อาลัยกันมากมาย ทั้งๆที่ผมไม่ได้บอกข่าวนี้กับคนมากมายนัก เนื่องจากมันเป็นความต้องการของพ่อที่อยากให้จัดงานศพอย่างเงียบๆ และผมเองก็ไม่อยากให้ใครต้องเห็นความอ่อนแอของผมด้วย แต่ทว่าท่ามกลางผู้คนมากมายที่มาเคารพศพพ่อและเป็นกำลังใจให้แก่ผมนั้น ผมเห็นคนๆ หนึ่งที่ทำให้หัวใจของผมพองโตขึ้นเล็กน้อยได้ทันที เขาคนนั้นคือ เต้ เพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กที่ผมสนิทที่สุดนั่นเอง
หลังจากยืนคุยกับอาจารย์ที่เคยสอนผมเมื่อสมัยมัธยมและเป็นเพื่อนของพ่อเสร็จ ผมก็ขอตัวเดินออกไปเข้าห้องน้ำ และเมื่อออกมาจากห้องน้ำแล้ว ผมก็เห็นเต้กำลังยืนรอผมอยู่
ผมรู้สึกว่าท้องไส้ของผมบิดมวนขึ้นทันทีที่ได้ยืนอยู่ใกล้ๆ เขา เขาคือคนๆ เดียวนอกจากพ่อกับแม่ที่ผมรู้สึกรักที่สุดยิ่งกว่าใครๆ เขายิ้มให้ผมน้อยๆ และกางแขนออกเพื่อรับผมเข้าไปกอด ทันทีที่ผมอยู่ในอ้อมกอดของเขา น้ำตาที่ผมพยายามฝืนกลั้นเอาไว้มาตลอดก็เริ่มไหลออกมาทันที
“กูเสียใจด้วยจริงๆ นะเว้ย พี แต่พ่อมึงเค้าไปสบายแล้วนะ เค้ารักมึงและภูมิใจในตัวมึงมากนะเว้ย เพราะงั้นมึงต้องเข้มแข็งไว้นะ...”
“ไอ้เต้ กู... กู... ฮึกก...” ผมกัดริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา
“กูขอโทษนะเว้ยที่ไม่ได้มาหามึงให้เร็วกว่านี้ ที่จริงกูน่าจะมาอยู่เป็นเพื่อนมึงตั้งแต่เมื่อวานแล้วแท้ๆ”
ผมส่ายหน้าและถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว “ไม่เป็นไรหรอก กูรู้ว่ามึงติดงาน และเมื่อวานกูก็ยุ่งๆ ด้วย” ผมใช้ปลายนิ้วชี้ปาดน้ำตาออก “แค่มึงมาวันนี้กูก็ดีใจมากแล้วว่ะ”
ผมมองหน้าเพื่อนเพียงคนเดียวที่ผมคบมานานแทบจะทั้งชีวิต เขาหล่อขึ้นกว่าตอนที่เราเจอกันเมื่อครั้งสุดท้ายในงานศพพ่อของเขามาก ซึ่งนั่นก็สักประมาณเกือบสี่ปีมาแล้ว ในตอนนี้ที่เราอายุเกือบจะ 30 ด้วยกันแล้วทั้งคู่ เต้ดูเป็นผู้ใหญ่ที่อบอุ่นขึ้น ดูตัวใหญ่ขึ้นจากกล้ามเนื้อ แต่ก็ยังคงมีโครงหน้าและแววตาขี้เล่นแบบเด็กๆ อยู่เหมือนเดิม
เขาดึงตัวของผมเข้าไปสวมกอดอีกครั้ง ครั้งนี้แนบแน่นกว่าเดิม เป็นอ้อมกอดที่ราวกับจะแสดงออกว่าเขายินดีต้อนรับผมกลับมาบ้าน และผมยังมีเขาอยู่ตรงนี้อีกคนเหมือนเมื่อตอนที่เราเติบโตมาด้วยกัน บ้านของเขาอยู่ฝั่งตรงข้ามกับบ้านของผม เขาย้ายมาที่นี่เมื่อตอนผมอายุเจ็ดขวบ และนับตั้งแต่นั้นเราก็เป็นเพื่อนสนิทกันมาตลอด จนกระทั่งเราต่างแยกย้ายกันไปเรียนมหาวิทยาลัยและทำงาน ต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเอง ผมอยู่กรุงเทพฯ ส่วนเขาอยู่เชียงใหม่ ความห่างไกลทำให้เราติดต่อกันน้อยลง แต่ความรู้สึกที่ผมมีต่อเขากลับไม่เคยลดน้อยลงเลยแม้แต่นิดเดียว
“ไปกันเถอะ พระจะเริ่มสวดแล้ว...” เขาดันตัวผมออก แล้วจากนั้นก็คอยประกบติดอยู่ข้างกายผมตลอด จนกระทั่งแขกทุกคนรวมถึงแม่ของเขากลับไปจนหมด เขาจึงขับรถกลับมาส่งผมที่บ้านหลังนี้
ผมหยิบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ขึ้นมาถือไว้ในมือแล้วรู้สึกเหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง ดังนั้นผมจึงรีบวางมันกลับลงไปที่เดิมก่อนที่จะต้องเสียน้ำตาอีก ผมเดินขึ้นไปที่ห้องของพ่อบนชั้นสอง ที่ตู้เสื้อผ้า มีเสื้อแจ๊คเก็ตตัวเก่งของพ่อแขวนเอาไว้อยู่ ผมหยิบมันออกมาจากไม้แขวนเสื้อและซุกหน้าลงบนเนื้อผ้า สูดกลิ่นของพ่อที่ผมคุ้นเคยตั้งแต่เด็กเข้าเต็มปอด ผมสวมมันทับลงบนเสื้อเชิ้ตสีดำของผม รู้สึกถึงความอบอุ่นราวกับผมเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่ถูกพ่อสวมกอดเอาไว้อีกครั้ง ผมกำลังจะร้องไห้ออกมาพอดีเมื่อตอนที่ผมได้ยินเสียงของเต้จากตรงประตูห้อง
“กูว่ามึงใส่เสื้อพ่อตัวนั้นได้พอดีเลยนะ เหมาะกับมึงดีด้วย”
ผมหันไปมองหน้าเขาและก้มลงมองดูเสื้อที่ตัวเองใส่ทับอยู่ “กูไม่รู้ว่ะ... จริงๆ แล้วกูไม่รู้ว่ากูจะกล้าเอามันมาใส่อีกรึเปล่าด้วยซ้ำ”
เขานิ่วหน้า “มึงกลัวเหรอ”
“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น” ผมรีบส่ายหน้าพลางถอดเสื้อออก “แต่กูกลัวว่าจะทนคิดถึงเค้าไม่ได้ต่างหาก...” ผมพูดไปพลางก็รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล ความทรงจำที่มีต่อพ่อเริ่มกลับมาฉายภาพอยู่ในหัวของผมอีกครั้ง “ทุกๆ อย่างที่อยู่ในห้องของพ่อนี่แทบไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อตอนกูยังเด็กเลยแม้แต่นิดเดียวว่ะ เต้”
เขาถอนหายใจเบาๆ และเดินเข้ามาหาผม “งั้นมึงก็เก็บเสื้อนั้นไว้เถอะ เก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดี เก็บทุกอย่างเหล่านี้ไว้ให้เหมือนเดิม” เขารับเสื้อของพ่อไปถือไว้ในมือ จากนั้นก็ดึงตัวผมเข้าไปกอด เขาที่สูงกว่าผมเกือบ 10 เซนติเมตรทำให้ผมรู้สึกราวกับเป็นเด็กน้อยไปเลย “มึงอยากร้องไห้ก็ร้องเถอะ ไม่ต้องฝืน กูรู้ว่ากูบอกให้มึงเข้มแข็ง แต่การฝืนกลั้นน้ำตาเอาไว้ก็ไม่ได้ทำให้มึงหลอกตัวเองว่ามึงเข้มแข็งได้จริงๆ หรอกนะเว้ย ตอนนี้เราอยู่กันตามลำพังแล้ว มึงร้องไปเถอะ จะได้รู้สึกดีขึ้น”
คำพูดของเขาทำให้ผมไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป ผมร้องไห้ลงบนอกของเขาอยู่นานจนแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้เลยว่านานขนาดไหน ผมดีใจเหลือเกินที่มีเขาอยู่เคียงข้างแบบนี้ เพราะมันคือสิ่งที่วิเศษที่สุดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของผมอย่างตอนนี้จริงๆ
เมื่อผมเริ่มรู้สึกดีขึ้นแล้ว เต้ก็พาผมเดินไปที่ห้อง เขาช่วยผมถอดเสื้อผ้าออกจนเหลือแค่กางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียว แล้วจากนั้นก็พาผมนอนลงที่เตียง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นราวกับความฝันที่พร่ามัว ผมอาจจะเหนื่อยจากการเดินทาง การอดนอน และความบอบช้ำทางจิตใจมาก จนทำให้สมองอ่อนล้าเกินกว่าจะจำรายละเอียดบางอย่างได้ แต่สิ่งถัดมาที่ผมรู้สึกอย่างชัดเจนก็คือความผ่อนคลายที่ได้เอนหลังนอนลงบนเตียง และความอบอุ่นจากร่างกายของเต้ที่สัมผัสโดนผิวหนังของผม แล้วจากนั้นผมจึงผล็อยหลับลงไปได้ในที่สุด
2 ปีถัดมา...
ผมใช้เงินส่วนหนึ่งที่ได้จากพ่อร่วมลงหุ้นกับเพื่อนที่สนิทและไว้ใจได้ เปิดบริษัทเล็กๆ ขึ้นในตัวเมืองไม่ไกลจากบ้านเรามากนัก ผมใช้ความรู้และความถนัดในสายงานวิศวกรรมที่ทำมาหลายปีให้เกิดประโยชน์ โดยมีเพื่อนคอยช่วยเหลือด้านการบริหาร และมีเต้คอยสนับสนุนโดยการใช้เส้นสายในแวดวงอาจารย์ของเขา นอกจากนั้น เขายังเป็นคนที่กระตุ้นให้ผมเรียนต่อปริญญาโทด้านการบริหารจัดการเพิ่ม และตอนนี้ผมก็กำลังจะได้วุฒินั้นมาในเวลาอีกไม่กี่เดือน ทุกๆ อย่างดูเหมือนจะไปได้ดีทีเดียว ผมได้ทำงานด้านที่ตัวเองถนัดและทำในสิ่งที่ผมชอบพร้อมๆ กันโดยไม่จำเป็นต้องเป็นลูกน้องใคร ผมสามารถบริหารเวลาเพื่อที่จะดูแลงานอื่นๆ เล็กๆ น้อยๆ ที่รับเพิ่มมาอย่างเช่นการเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทอื่นๆ หรือแม้แต่ซ่อมเครื่องใช้เครื่องเรือนให้บรรดาคนในหมู่บ้าน และผมยังสามารถดูแลครอบครัวที่เหลืออยู่ได้อย่างเต็มที่อีกด้วย ถึงแม้รายได้ของผมจะไม่มากมายนักอย่างที่ใครหลายๆ คนคิด แต่มันก็เพียงพอและทำให้ผมมีความสุขอย่างแท้จริง และผมเชื่อว่าในอนาคต บริษัทของเราจะต้องได้ผลกำไรที่สูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน
ในส่วนของเต้ นอกจากเงินเดือนที่เขาได้รับแล้ว เขายังมีรายได้พิเศษจากการเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยอื่นๆ เป็นที่ปรึกษา และค่าวิชาการอีกจำนวนไม่น้อย ถึงแม้ผมจะย้ำกับเขาหลายครั้งว่าเงินของผมก็คือเงินของเรา เขาไม่จำเป็นต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมาช่วยค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆ ในบ้าน แต่เขายืนยันว่าเขาต้องทำและอยากที่จะทำ มันคือสิ่งที่เขาทำและมีความสุข ดังนั้นผมจึงปล่อยให้เขาทำงานมากตามที่เขาต้องการ ตราบเท่าที่เขาสัญญาว่าจะดูแลร่างกายของตัวเองและมีเวลาให้กับครอบครัว ซึ่งเขาก็ทำอย่างนั้นได้จริง เพราะตอนนี้เขาเลิกบุหรี่ได้ขาดมาเกือบสองปีแล้ว และเรายังไปออกกำลังด้วยกันทุกสัปดาห์ อย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้งด้วย
เย็นวันหนึ่งในขณะที่ผมกำลังนั่งดูทีวีอยู่ในห้องรับแขกอยู่นั้น เต้ก็กลับมาถึงบ้าน หลังจากที่จอดรถเสร็จ เขาก็เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับกล่องขนาดใหญ่กล่องหนึ่ง ไอ้มอมแมมที่นอนอยู่บนพื้นข้างเท้าผมรีบลุกขึ้นและกระโจนเข้าหาเต้ทันที มันพยายามจะดมกลิ่นและอยากรู้ให้ได้ว่าข้างในนั้นมีอะไร
“ใจเย็นๆ เว้ยย ไอ้มอม ดีใจซะยังกับรู้เลยนะว่าในนี้มีอะไรน่ะ” เต้หัวเราะพลางชูกล่องขึ้นสูง
ไอ้มอมแมมเห่าด้วยความดีใจและวิ่งวนรอบตัวของเต้ราวกับผีเข้า
“กล่องอะไรวะน่ะ” ผมถาม
“ของขวัญให้มึงไง... แล้วก็ให้ไอ้ตัวใหญ่นี่ด้วย” เต้วางกล่องลงบนพื้นและคว้าคอของไอ้มอมเข้ามาล็อคเอาไว้ในแขนพลางขยี้หัวของมันอย่างเอ็นดู
“ข้างในมีอะไรวะ” ผมลุกออกจากโซฟาและเดินเข้าไปหาเขา
“อยากรู้ก็เปิดดูสิ”
ผมนั่งขัดสมาธิลงหน้ากล่องใบใหญ่และค่อยๆ เปิดฝากล่องออก เต้นั่งจับตัวของไอ้มอมที่กำลังเห่าและกระดิกหางอย่างบ้าคลั่งเอาไว้อย่างเต็มกำลัง และเมื่อฝากล่องถูกเปิดออก ลูกสุนัขตัวเล็กพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้ก็กระโดดออกมาและรีบวิ่งเข้าไปหาไอ้มอมแมมอย่างเป็นมิตร
“เฮ้ยยย!!” ผมร้องออกมาด้วยความแปลกใจ “เอาจริงเหรอวะ! ฮ่าๆๆ”
เจ้าตัวเล็กนี้มีขนสีขาวบริสุทธิ์ตัดด้วยขนสีเทาเข้ม หางเล็กๆ ของมันแกว่งไปมาอย่างร่าเริงในขณะที่มันกำลังดมกลิ่นทำความรู้จักกับเจ้าบ้านคนก่อน
เมื่อเต้ปล่อยมือที่ล็อคคอไอ้มอมแมมเอาไว้ออก ทั้งสองตัวก็เริ่มดมกลิ่นทำความรู้จักกันทันที ไอ้มอมแมมเห่าและวิ่งวนเป็นวงกลมด้วยความดีใจ ในขณะที่ไอ้ตัวเล็กก็พยายามวิ่งไล่ให้ทันไปติดๆ
“เมื่อตอนกลางวันกูไปกินข้าวกับอาจารย์ที่คณะแล้วเจอไอ้ตัวนี้อยู่ในร้านขายสัตว์เลี้ยง คือพอเห็นแล้วรู้สึกว่ามันใช่เลยอะ ไม่รู้ดิ กูตกหลุมรักมันตั้งแต่แรกเห็นเลย และคิดว่ามันน่าจะเป็นเพื่อนเล่นให้กับไอ้มอมได้ดีด้วย เพราะอีกไม่กี่เดือนมันก็น่าจะตัวโตพอๆ กันแล้ว”
“กูชอบหมาพันธุ์นี้มาตั้งนานแล้ว มึงก็รู้”
“ใช่ ก็เพราะกูรู้ไง ถึงได้เลือกมันมาเป็นสมาชิกใหม่ในบ้านเรา ว่าแต่มึงจะตั้งชื่อมันว่าอะไรวะ”
“ไม่รู้ว่ะ มันตัวผู้หรือตัวเมียล่ะ”
“ตัวเมีย ซึ่งกูว่าบ้านเราก็คงต้องมีสมาชิกผู้หญิงบ้างนะ” เขาหัวเราะ
ผมมองดูไอ้ตัวเล็กวิ่งไปมารอบบ้านอย่างอารมณ์ดี ขาเล็กๆ ของมันกระโดดดึ๋งๆ จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งโดยมีไอ้มอมแมมคอยเป็นตัวนำ เต้ลุกขึ้นยืนและขอตัวเดินกลับไปที่บ้านเพื่อตามแม่มาดูสมาชิกใหม่ของเราก่อน ผมพยักหน้าให้เขาและนั่งมองดูไอ้มอมแมมนอนหงายปล่อยให้ไอ้ตัวเล็กแทะหัวแทะหูเล่นอย่างเป็นมิตร เมื่อแม่ตุ๊กเดินเข้ามาที่บ้านของเรา แม่ก็ร้องอุทานออกมาอย่างดีใจพลางอุ้มไอ้ตัวเล็กขึ้นจากพื้นทันที เราสองคนมองดูแม่เล่นกับมันพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
“ตั้งชื่อรึยังล่ะ พี จะให้มันชื่ออะไรดี ตายแล้ววว น่ารักน่าชังที่สุด ดูขนซิเนี่ย!” แม่หอมมันดังฟอด
“อืมมมม...” ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ชาช่า!”
ไอ้ตัวเล็กที่แม่กำลังอุ้มอยู่หันขวับมามองผมทันที
“เฮ้ย! มึงเห็นมั้ย ไอ้เต้ พอเรียกมันว่าชาช่าแล้วมันก็หันมาทันทีเลยว่ะ!”
“ก็มึงพูดเสียงดัง มันตกใจแล้วก็เลยหันมาดูน่ะสิ ไหนแม่ลองปล่อยมันลงบนพื้นก่อนซิครับ”
แม่ตุ๊กวางชาช่าลงบนพื้น มันจึงเริ่มกระโดดเหยงๆ ไปรอบบ้านเหมือนเดิม
“ชาช่า” เต้ลองเรียกชื่อของมันบ้าง และเจ้าตัวเล็กก็หันหันขวับไปมองเขาทันทีเหมือนกัน
“นั่นไง กูบอกแล้ว! มันต้องชอบชื่อนี้แน่ๆ เลยว่ะ” ผมตีลงบนหน้าขาของเต้เบาๆ “งั้นเรียกมันว่าชาช่าเลยก็แล้วกัน”
“แล้วทำไมจู่ๆ ถึงคิดชื่อนี้ขึ้นได้วะ ไอ้พี”
“ไม่รู้ว่ะ ก็กูเห็นมันโดดดึ๋งดั๋งไปมา วิ่งไปวิ่งมา เหมือนมันกำลังเต้นอยู่บนพื้นอะ แล้วจู่ๆ ชื่อนี้ก็แว้บขึ้นมาในหัว หรือมึงจะให้มันชื่อ ‘แทงโก้’ ดี”
“ไม่ล่ะ ชื่อนี้ดีแล้ววว” ทั้งเต้และแม่ตุ๊กพูดออกมาพร้อมกันทันที
แม่ยืนเท้าเอวมองดูชาช่าเล่นกับมอมแมมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตรงไปยังชั้นวางทีวีและหยิบรูปสมัยเด็กของเราสองคนที่เต้กำลังหอมแก้มผมอยู่ขึ้นมาดู หลังจากที่ผมนำภาพนี้กลับมาจากเซฟของพ่อ ผมก็ทำก๊อปปี้ หากรอบมาใส่ และวางมันไว้ที่ชั้นล่างในห้องรับแขกนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
“แม่รู้อยู่แล้วว่าสักวันเราสองคนจะต้องลงเอยแบบนี้” แม่พูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ตั้งแต่เล็กๆ แล้ว เวลาเรานอนด้วยกันก็จะกอดกันกลมเชียวแหละ หรือแม้แต่ตอนมัธยมปลาย ขนาดโตอย่างนั้นแล้ว แม่ก็ยังเคยเห็นเรานอนกอดกันท่าเดิมเหมือนเมื่อตอนเด็กๆ ไม่มีผิด ตอนแรกๆ แม่ก็กังวลนะ แต่พอเราโตขึ้น เริ่มเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม่ก็รู้แหละว่า คนเรามันจะมีความสุขที่สุด ก็ต่อเมื่อได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เรารักที่สุด เรื่องมันก็ง่ายๆ แค่นั้นเอง” แม่วางรูปนั้นกลับลงไปที่เดิม
ผมลุกออกจากโซฟาและเดินเข้าไปกอดแม่ “ขอบคุณนะครับแม่ ที่รักพี และไว้วางใจพีให้ได้ดูแลลูกชายของแม่อย่างทุกวันนี้”
“แม่บอกแล้วไงว่าแม่เห็นเราเป็นลูกชายคนนึงมาตั้งแต่เรายังตัวเล็กนิดเดียวแล้ว ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนความรู้สึกนั้นของแม่ได้หรอก” แม่ตบหลังผมเบาๆ
“พีดีใจนะครับ ที่ได้กลับมามีครอบครัวอีกครั้ง และดีใจที่ได้กลับมาอยู่บ้านของตัวเองอีกอย่างนี้”
“ไม่มีที่ไหนจะดีเท่าบ้านของเราหรอก จริงมั้ยล่ะ”
เต้ลุกออกจากโซฟาและเดินเข้ามากอดเราสองคนด้วยเหมือนกัน “แม่มีหลานไม่ได้ แม่ก็ติ๊ต่างว่าชาช่าเป็นหลานสาวไปพลางๆ ก่อนแล้วกันนะ”
พวกเราสามคนหัวเราะออกมาพร้อมๆ กันจากนั้นก็คลายวงแขนออก แม่ขอตัวเดินกลับไปทำข้าวเย็นที่บ้านต่อ ส่วนผมกับเต้ก็กลับมานั่งดูทีวีด้วยกันบนโซฟาเหมือนเดิม ชีวิตของเราสองคนเจอกับความสูญเสียและโศกนาฏกรรมมาหลายครั้ง แต่เมื่อเราตัดสินใจที่จะทำตามสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง ผมคิดว่าในที่สุดเราก็สามารถพบกับความสุขที่แท้จริงได้ แม้มันอาจจะช้าไปสักหน่อย แม้เราจะไม่สามารถดึงวันเวลาที่เคยเสียไปให้ย้อนกลับคืนมาได้ แต่วันคืนเหล่านั้นก็ทำให้เรามีทุกวันนี้ และผมมั่นใจว่าเราจะสามารถออกแบบช่วงเวลาที่เหลืออยู่ในอนาคตให้มีความสุขที่สุดได้อย่างที่เราต้องการแน่นอน
จบ
.................................................................................
แจ้งเปิดจองและโอนเงิน
หนังสือชุด "Home The Series ความรัก & ความทรงจำ"
Home, Coming Back Home, Moving In และ Brother next door
และเรื่องสั้นพิเศษอีก 1 เรื่อง
อ่านรายละเอียดได้จากกระทู้ข้างล่างนี้ครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=43296.0