.... มาแบบยาว ๆ จุใจกว่าเดิม แถมตอนนี้บอกได้เลยว่า มีทุกรสชาติ ....ขอเชิญอ่านได้เลยค่ะ ...หึ ๆ (หัวเราะแบบมีเลศนัย) 
Miracle Café / 32
ปวีร์สังเกตเห็นความอึมครึมจากพนักงานบางคนของเขาที่มารวมตัวกันบริเวณสระ แล้วก็ต้องนิ่วหน้า จากนั้นชายหนุ่มจึงเรียกรุจมาถาม ซึ่งอีกฝ่ายก็เล่าไปตามตรง พอได้ฟังแล้วปวีร์ก็ถอนหายใจ แล้วเหล่มองไกรสรที่เดินตามรุจมาด้วยอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“พี่ไกรนี่จริง ๆ เลยเชียว ชอบหาเรื่องยุ่งมาให้ผมอยู่เสมอตั้งแต่เมื่อก่อนนั่นแล้วนะ”
“...สงสัยเขาคงจะแอบชอบคุณมานานแล้วก็ได้มั้งครับ ถึงได้ทำอย่างนั้น”
รุจเปรยขัดด้วยใบหน้าเอือมระอา ทำให้ปวีร์ขมวดคิ้วประหลาดใจ ส่วนไกรสรที่ได้ยินก็ยิ้มน้อย ๆ อย่างพอใจ
“แบบนี้สิ ...ค่อยเหมือนหึงหน่อย... อ๊ะ ไม่ได้สิ ฉันต้องทำหน้าที่ง้อแก้ความเข้าใจผิดสินะ”
“ไม่ต้องก็ได้ครับ ...อ้อ ผมทำตามสัญญาแล้วนะ ขออนุญาตไปใช้เวลาส่วนตัวบ้างล่ะครับ”
รุจเปรยตอบอย่างเซ็ง ๆ ส่วนปวีร์ก็มองตามลูกน้องที่เดินห่างไป แล้วหันมาถามคนที่อยู่ใกล้ ๆ
“เล่นอะไรกันน่ะพี่...”
“ไม่มีอะไร ก็แค่อยากให้เด็กของนายหึงให้ดูเฉย ๆ อ้อ ... ก็แค่เกมน่าราเมศ ไม่ต้องทำหน้าบึ้งอย่างนั้นหรอก ถ้าฉันชอบแฟนนายจริง ๆ ฉันแย่งไปตั้งนานแล้ว ไม่ปล่อยให้เค้ารอนายรู้สึกตัวมาถึงป่านนี้หรอก”
ไกรสรบอกจบก็เดินฮัมเพลงจากไป ส่วนปวีร์หันมามองคนข้าง ๆ แล้วก็หลุดยิ้มน้อย ๆ ออกมา
“หึงฉันหรือ...”
ราเมศไม่ตอบ แต่เบือนหน้าหนีไปด้วยความเขินแทน เขายอมรับว่ารู้สึกหึงปวีร์กับไกรสรขึ้นมาจริง ๆ เมื่อได้ยินรุจพูด เพราะแต่ไหนแต่ไรทั้งคู่ก็มักจะคุยกันถูกคอ ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวเป็นประจำอยู่แล้ว
“ฉันรักนายคนเดียว ...ยืนยันด้วยความรักกว่าสิบปีของฉันได้เลยล่ะ”
ปวีร์กระซิบบอกคนข้างกาย แล้วจึงลุกขึ้นไปดูพนักงานของเขาแต่ละคน ทิ้งให้คนข้าง ๆ นั่งยิ้มมองตามไปอย่างอารมณ์ดี ส่วนปวีร์ก็ไปพูดคุยล้อเล่นกับคนอื่น ๆ จนบรรยากาศอึมครึมกลับมาตามปกติ จากนั้นทุกคนก็เปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมกลับ โดยปวีร์นำทีมไปอำลาอนุชิตและกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย และให้สัญญาว่าจะบอกต่อเรื่องสระว่ายน้ำของชายหนุ่มกับคนรู้จักของเขา รวมไปถึงลูกค้าที่ร้านได้ทราบแน่นอน
เช้าวันจันทร์...พนักงานแต่ละคนพากันแปลกใจ เพราะวันนี้ปวีร์ไม่มาทำงาน ถามราเมศอีกฝ่ายก็ตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง และบอกเพียงว่าปวีร์ไม่สบาย เลยต้องนอนพักผ่อนอยู่บ้าน คนอื่นพอได้ฟังต่างก็เชื่อสนิทใจ ยกเว้นรุจที่มองด้วยสายตาตั้งคำถามและรอยยิ้มน้อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไร ทำให้ราเมศรู้สึกโล่งอกแม้จะอดคิดไม่ได้ว่า อีกฝ่ายคงพอคาดเดาเรื่องที่ปวีร์หยุดงานวันนี้ได้ไม่มากก็น้อยบ้างแล้วแน่
“เป็นห่วงคุณปวีร์จังแฮะ ไว้งานเลิกแล้วแวะไปเยี่ยมกันไหม?”
วาโยหันไปถามการินซึ่งนิ่วหน้าแล้วสั่นศีรษะปฏิเสธ
“ไม่ล่ะ กว่าร้านจะเลิกก็ค่ำแล้ว อีกอย่างอานั่นก็เป็นอะไรได้ไม่นานหรอก แป๊บ ๆ ก็หาย เห็นแบบนั้นเขาแข็งแรงจะตาย นี่มาป่วยแค่เพราะเล่นน้ำฉันยังแปลกใจเลย”
การินพึมพำ ทำเอาราเมศที่ได้ยินชะงักเล็กน้อย แต่ก็ทำเป็นเมินเฉย จนรุจที่อยู่แถวนั้นลอบยิ้ม ก่อนจะหันไปทางประตูที่เปิดออกพร้อมกับขวัญแก้วและขวัญตาที่ปรากฏกายขึ้น
“สวัสดีจ้า หนุ่ม ๆ เมื่อวานเล่นน้ำกันสนุกดีไหม”
คนอื่นเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ตามมาว่าทั้งสองสาวนั้นเป็นน้องแท้ ๆ ของไกรสร การที่ชายหนุ่มจะเล่าอะไรให้ฟัง ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก
“น่าเสียดาย ถ้ารู้ก็จะตามไปด้วยแล้ว ไม่ปล่อยให้ไปกันแค่หนุ่ม ๆ หรอก ...อ้อ รุจจ๊ะ มีคนเอาดอกไม้มาฝากน่ะ”
ดอกกุหลาบสีขาวดอกใหญ่ก้านยาวเข้าช่อ แม้จะมีแค่ดอกเดียว แต่ดูลักษณะแล้วก็คงไม่ใช่ดอกไม้ที่ราคาถูกเป็นแน่
“เจ้าตัวเขามาไม่ได้เลยฝากมา ฉันว่าจะไม่รับฝากแล้วล่ะ แต่กลัวมีปัญหา ก็เลยต้องเอามาส่ง อ้อ...ขอถ่ายรูปยืนยันด้วยนะ เดี๋ยวรายนั้นจะหาว่าฉันเอาดอกไม้เขาไปทิ้งกลางทางน่ะ”
รุจถอนหายใจเบา ๆ แล้วปล่อยให้ขวัญแก้วถ่ายรูปเขากับดอกไม้ผ่านมือถือของเจ้าหล่อน ก่อนจะวานให้หญิงสาวนำดอกไม้ที่ได้รับไปปักแจกันประดับร้านแทน โดยมีสายตาพิศวงของพนักงานบางคนมองตามอย่างแปลกใจ
“ตกลงหมอนั่นเขาเปลี่ยนมาจีบนายแทนหรอกหรือ...”
ภูริเดินมาถามเสียงค่อย ด้วยสีหน้าสงสัย รุจยิ้มน้อย ๆ แล้วแสร้งตอบรูมเมทของตน
“ไม่รู้สิ อาจจะจีบหว่านไปทั่วก็ได้ ...นายเองก็ระวังเอาไว้ล่ะ บางทีคราวหน้าที่เขามา เขาอาจจะเปลี่ยนมาเล็งนายแทนก็ได้นะ”
ภูริขมวดคิ้วพลางสบถพึมพำในลำคออย่างรู้สึกขนลุกขึ้นมานิด ๆ ก่อนจะชะงักเมื่อหันไปเจอสายตาของวาโยจ้องเป๋งมาที่เขา และพออีกฝ่ายรู้สึกตัวว่าเขามองตอบ ชายหนุ่มก็ก้มหน้าก้มตาหลบ แล้วเลี่ยงไปจัดโต๊ะทำความสะอาดด้านนอกร้านแทนทันที
“ยังไม่คืนดีกันอีกหรือ เฮ้อ...ทำเหมือนเด็กแย่งเพื่อนกันไปได้... ถ้าไม่ใช่ที่หนึ่งเมื่อวาน ก็ทำให้เป็นที่หนึ่งในวันนี้และวันต่อไปแทนก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่นะ”
ภูริสะดุ้งกับคำเปรยบ่นของรูมเมท เขายอมรับว่าเมื่อวานนี้เขารู้สึกหงุดหงิดและไม่สบอารมณ์ที่วาโยเลือกกวินแทนเขา แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้หมายถึงเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ และทั้งคู่ก็เป็นรูมเมทที่อยู่ห้องเดียวกัน จะนับว่าสนิทกันที่สุดในร้านก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่พออีกฝ่ายเป็นกวินที่แข่งเรื่องความรักกับเขา เขาก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองพ่ายแพ้ต่อชายหนุ่มรุ่นน้องขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“เป็นฉันนะ...ฉันจะฉวยโอกาสนี้แกล้งงอนให้ง้อเสียเลย ...แต่แน่นอนว่า ฉันคงไม่บึ้งใส่ให้เขากลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้แบบนี้แน่...”
รุจเอ่ยเสริม ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ทำให้คนฟังขมวดคิ้ว ภูริพอจะเข้าใจหรอกว่ารุจอยากให้เขาทำอะไร แต่เขาก็เขินเกินกว่าที่จะทำแบบนั้น แต่พอเห็นกวินเดินผ่านพวกเขาออกไปด้านนอก แล้วพูดคุย ทักทาย ยิ้มแย้มกับวาโยตามปกติ ชายหนุ่มก็ต้องนิ่วหน้าขมวดคิ้วขึ้นอีกรอบ
“หมอนั่นน่ะ...ขนาดโดนโยย้ำหลายต่อหลายครั้งว่าเป็นแค่เพื่อน แต่เขาก็ยังไม่ถอดใจ และพยายามขนาดนั้นแท้ ๆ”
เสียงการินเปรยขึ้นใกล้ ๆ ทำให้ภูริสะดุ้งโหยง แล้วหันไปมองชายหนุ่มหน้าสวยอย่างประหลาดใจ อีกฝ่ายนั้นจ้องเขานิ่ง แล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง
“ถ้าไม่ชอบโยได้เท่าหมอนั่น คุณก็ถอยออกมาดีกว่านะครับ”
การินพูดจบก็เดินเลี่ยงไปดูแลปัดกวาดเช็ดถูโต๊ะด้านในร้านต่อ ทำให้ภูรินิ่งอึ้ง เขารู้สึกอิจฉากวินอยู่เสมอที่สามารถพูดคุยสนิทใจกับวาโยได้ขนาดนั้น แต่ตรงกันข้ามหากเขาเป็นกวิน เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะสามารถยิ้มกับวาโยที่คิดกับตนแค่เพื่อนได้แบบนี้หรือไม่
“เรื่องการต่อสู้แย่งชิงความรักของคนเกินสองคน ยังไงมันก็ต้องมีคนผิดหวังและสมหวังอยู่แล้วล่ะนะ ...แต่ถ้าจะต้องผิดหวังเพราะไม่ได้ทำเต็มที่ ...นายคิดว่ามันดีแล้วหรือ”
รุจเปรยเบา ๆ คล้ายพูดกับตัวเอง พอได้ยินดังนั้น ก็ทำให้ภูริกำมือแน่น แล้วจึงตัดสินใจกระทำบางอย่างขึ้นมาบ้างภายในวันนั้น
พอเริ่มมีลูกค้าเข้าร้าน แต่ละคนก็ตั้งอกตั้งใจทำงานกันเต็มที่ แม้แต่ธีรัชที่เป็นพนักงานพาร์ทไทม์ก็ยังขยันขันแข็ง จนราเมศที่มีอคติเรื่องความเจ้าชู้ของชายหนุ่มในตอนแรก ยังนึกชื่นชมและลดอคติลงไปเกือบหมด
“ธี...ฝากไปให้เด็กนั่นหน่อยสิ”
ภูริที่แอบหยิบกระดาษแสดงความเห็นของทางร้าน มาเขียนข้อความบางอย่าง ฝากธีรัชไปส่งให้กับวาโยที่รับผิดชอบด้านนอกในช่วงนี้ ธีรัชมองกระดาษที่พับในมือและใบหน้ากึ่งเขินกึ่งเฉยแปลก ๆ ของเพื่อนก็ต้องอมยิ้ม แล้วพึมพำเบา ๆ
“ไว้ใจกามเทพคนนี้ได้เลยเพื่อนรัก”
จากนั้นเจ้าตัวจึงเดินไปหาวาโย โดยทำทีเหมือนออกมาช่วยดูแลด้านนอกปกติแต่กลับส่งกระดาษที่ได้รับมาให้อีกฝ่าย
“คนหน้าดุข้างในเขาฝากมาให้น่ะ”
วาโยชะงักและรีบเปิดอ่าน ก่อนจะหน้าแดงนิด ๆ อย่างไม่อาจห้ามได้ จากนั้นเขาจึงหยิบปากกามาเขียนอะไรบางอย่างตอบต่อท้ายข้อความในกระดาษแผ่นนั้นกลับไป
“ฝากคุณธีรัช ส่งให้ เอ่อ...เขา หน่อยได้ไหมครับ”
ธีรัชมองคนตรงหน้าแล้วก็อมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะรับกระดาษที่พับไว้เรียบร้อยแล้วนั้นมา มองจากปฏิกิริยาของวาโยแล้ว เพื่อนของเขาคงจะมีหวังลุ้นได้ไม่ยากนักหรอก
“เอ้า! นี่สารตอบจากเจ้าหญิง ...ถ้าจะแลกเปลี่ยนจดหมายกันอีก รอบนี้ก็เดินไปบอกเองแล้วกัน เพราะคนรับเขาคงไม่รังเกียจอะไรหรอก”
ธีรัชส่งกระดาษแผ่นนั้นคืนกลับมาให้กับภูริ ชายหนุ่มรับมาแล้วหามุมไปเปิดอ่านเงียบ ๆ ลำพัง ก่อนจะหลุดยิ้มน้อย ๆ เมื่อได้อ่านข้อความที่เขียนต่อท้ายประโยคของเขา
อีกด้านหนึ่งวาโยที่ได้รับข้อความของอีกฝ่ายและตอบกลับไป ก็ยังคงมีใบหน้าแดงระเรื่อให้เห็น เขาหวนคิดถึงข้อความของอีกฝ่ายบนกระดาษ ซึ่งเขายังคงจดจำเนื้อหาในนั้นได้เป็นอย่างดี
‘ถ้าไม่นับรูมเมทของนายแล้ว เวลาอยู่กับฉันล่ะ...เคยรู้สึกดีบ้างไหม’
“เขาคิดอะไรนะ ถึงได้ถามแบบนี้... แสดงว่าเมื่อวานที่โมโหนั่น ก็แค่น้อยใจใช่ไหมนะ”
วาโยพึมพำกับตัวเอง รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างประหลาด เมื่อรู้ว่าภูริไม่ได้โกรธเขาจริงอย่างที่เขากังวล
“ตอบไปแบบนั้นจะดูแปลกไหมนะ... ไม่หรอก ก็คงคิดว่ามันปกตินั่นล่ะ”
วาโยไม่แน่ใจว่าภูริจะรู้สึกเช่นไรหากได้อ่านข้อความตอบกลับของเขา ที่พอมาลองทบทวนดูในตอนนี้ เขาก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างจะแปลกไปนิด หากจะเขียนถึงคนเป็นเพื่อนกันแบบนั้น
ทว่าเพราะตอนนี้วาโยนั้นอยู่ด้านนอก จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของคนด้านในบางคน ซึ่งกำลังอารมณ์ดีผิดหูผิดตาจนพนักงานคนอื่นยังนึกสงสัย ยกเว้นธีรัชที่รู้ดี แต่ชายหนุ่มเองก็ไม่รู้ถึงข้อความข้างในกระดาษแผ่นนั้น เพียงแต่แน่ใจว่าวาโยต้องเขียนอะไรที่มันดีมากจนเพื่อนของเขาถึงกับยิ้มได้ขนาดนี้
“บอกบ้างสิ เห็นอารมณ์ดีแบบนี้ก็ชักอยากรู้บ้างแล้วล่ะ... น่านะ ถือว่าเป็นรางวัลตอบแทนที่เดินส่งสารให้แล้วกันนะ”
ธีรัชตามตื๊อถามเพื่อนไม่ห่าง ทำให้ภูริเริ่มรู้สึกว่าตนเองคิดผิดที่ฝากอีกฝ่ายเอาข้อความไปส่งให้
“อ่านเองแล้วกัน...แล้วอย่าปากมากล่ะ”
ภูริกระซิบขู่ ทว่าคนเป็นเพื่อนไม่ได้นึกกลัวอะไร มิหนำซ้ำยังรับกระดาษแผ่นนั้นมาเปิดอ่านอย่างร่าเริงแทน ก่อนจะชะงักแล้วพับเก็บส่งคืนเจ้าของ พลางยิ้มน้อย ๆ เอ่ยแซวอีกฝ่าย
“หวานจังว่ะ...อ่านแล้วเขินแทนเลย”
“บอกแล้วไงว่าอ่านแล้วอย่าปากมาก”
ภูริกระซิบเสียงดุ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อวาโยกลับเข้ามาในร้าน เนื่องจากลูกค้าที่นั่งด้านนอกสั่งเช็คบิล ทว่าระหว่างเดินไปหารุจ ชายหนุ่มก็เหลือบมามองภูริ แล้วก็ต้องยิ้มน้อย ๆ เมื่อภูริยิ้มตอบ ก่อนจะรีบหันกลับไปเมื่อได้ยินเสียงกระแอมแซวเบา ๆ ของรุจที่ลอบมองทั้งคู่อยู่
“แหม ๆ พอรู้ว่าเขาชอบให้ยิ้ม ก็รีบยิ้มโกยคะแนนใหญ่เลยนะ”
ธีรัชเอ่ยแซว ซึ่งภูริก็ทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วเดินเลี่ยงไปดูแลลูกค้าโต๊ะอื่นต่อ โดยมีสายตาของอีกฝ่ายมองตามไปอย่างนึกขำ เพราะเขานั้นจดจำถ้อยคำที่วาโยตอบมาในกระดาษแผ่นนั้นได้เป็นอย่างดี
‘ผมเองก็รู้สึกดีเวลาอยู่ใกล้คุณนะครับ... ยิ่งเวลาคุณยิ้มให้ ก็ยิ่งรู้สึกดีขึ้นไปอีก’
“เอาล่ะ เพื่อนเรานำไปแล้วแต้มนึง แล้วทางนั้นล่ะ จะทำยังไงต่อไปกันนะ ...แถมยังมีเรื่องของคุณหนูเข้าไปเอี่ยวด้วย มันช่างอีรุงตุงนังกันดีแท้ พวกนี้”
ธีรัชพึมพำกับตัวเอง เขาพอมองออกเรื่องความรู้สึกของทั้งกวินและการิน เขาเองก็อยากจะช่วยคุณหนูหน้าสวยนั่นให้สมหวังอยู่หรอก แต่เรื่องของความรักมันบังคับกันไม่ได้ ยกเว้นเพื่อนของเขาจะชนะใจวาโยได้ การินก็คงได้มีสิทธิ์ลุ้นกับกวินอยู่บ้าง เพราะดูแล้วกวินก็ไม่ได้นึกรังเกียจอะไรการินสักนิด และถ้าไม่มีวาโยในหัวใจเจ้าตัวล่ะก็ อีกฝ่ายก็คงชอบการินได้ไม่ยากนักหรอกนะ
“เฮ้อ! ฉันนี่มันเป็นทั้งพ่อพระ ทั้งกามเทพ เลยนะ”
ธีรัชเปรยชมตัวเองเบา ๆ ตั้งแต่รู้ว่าใจการินไม่ว่าง เขาก็ไม่คิดจะเซ้าซี้และดึงการินมาทางเขา นอกเสียจากว่าการินจะถูกปฏิเสธและตัดใจจากกวินได้ ถึงตอนนั้นเขาก็ค่อยเข้าไปจีบอีกทีก็ยังไม่สาย
ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ เมื่อนึกถึงนิสัยเสียของตัวเอง ที่ชอบถูกใจคนอื่นไปเรื่อย แถมยังไม่คิดจริงจังกับใครแบบนี้ แต่เขาก็ยังเชื่อมั่นว่า วันใดถ้าเขาเจอคนที่คิดว่าใช่จริง ๆ ขึ้นมา เขาก็พร้อมจะหยุดเรื่องไม่ดีทุกอย่างที่เคยทำก่อนหน้านั้น และเริ่มต้นปรับปรุงตัวเสียใหม่เพื่อคนที่เขารักจริงอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลาพักของพนักงานรอบแรก ซึ่งเวรพักของวันนี้เป็นเวรของกวินและวาโย ทางด้านการินนั้นแอบกระซิบเอาใจช่วยให้กวินทำคะแนนกับอีกฝ่ายให้สำเร็จ ส่วนภูริแม้ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่เขาก็ไม่ได้แสดงความหงุดหงิดอะไรออกมา เพราะถือว่านี่คือการแข่งขันระหว่างเขากับกวินนั่นเอง
และเมื่อวาโยกับกวินทานข้าวกลางวันเรียบร้อย พวกเขาก็ขึ้นไปนั่งพักผ่อนและคุยเล่นกันที่ด้านบนห้องพักของพนักงานอยู่ครู่ใหญ่ จนกระทั่งกวินเริ่มตัดสินใจเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามถึงความในใจของวาโยขึ้นมาบ้าง
“โย...นายคิดว่าคุณภูริเขาเป็นยังไงบ้าง...น่าคบดีไหม”
วาโยสะดุ้งกับคำถามของรูมเมท เจ้าตัวหน้าแดงนิด ๆ แล้วอุบอิบตอบไม่เต็มเสียง
“คุณภูริเขาก็เป็นคนดีน่าคบนี่...ถามทำไมหรือ”
กวินฝืนยิ้มกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย เพราะมันแสดงออกชัด ๆ ว่าแตกต่างจากเพื่อนคนอื่นที่วาโยรู้จัก
“แล้วถ้านายเป็นผู้หญิง แล้วเขามาชอบนายล่ะ ...นายจะชอบเขาไหม”
คำถามที่ตามมาทำให้คนฟังสะดุ้ง แล้วเงยหน้ามองคนถามอย่างประหลาดใจ
“ทำไมถามอะไรแบบนี้ล่ะ มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน”
“ก็สมมุติยังไงล่ะ”
กวินบอกเรียบ ๆ แล้วรอคอยคำตอบของอีกฝ่าย วาโยมีสีหน้าขัดเขินปนลำบากใจ แล้วจึงตอบเสียงแผ่ว
“ถ้าฉันเป็นผู้หญิง...ก็คงชอบเขาได้ไม่ยากล่ะนะ”
กวินเงียบกริบ เขานิ่งไปสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อ
“แล้วกับฉันล่ะ...จะชอบได้บ้างไหม”
“เอ๋...กับนายน่ะหรือ”
คราวนี้วาโยมองเพื่อนด้วยความประหลาดใจยิ่งขึ้น กวินมีสีหน้าเคร่งขรึม แล้วจ้องเขานิ่งอย่างน่ากลัว
“เอ่อ...วิน ฉันว่าเราลงไปด้านล่างกันดีไหม...นี่ก็ใกล้เวลาเปลี่ยนเวรแล้วนะ”
วาโยเลี่ยงตอบ และทำท่าจะลุกขึ้น แต่กวินนั้นฉุดแขนเขาเอาไว้ แล้วถามเสียงกระชาก
“บอกมาสิ! ถ้าเป็นกับฉันล่ะ นายจะชอบบ้างไหม จะยอมคบด้วยหรือเปล่า!”
“ถามอะไรไร้สาระกันวิน ...วันนี้นายแปลก ๆ ไปนะ”
วาโยบอกกลับอย่างสงสัยปนหวาดหวั่น เพราะท่าทางของกวินนั้นผิดจากทุกทีที่เขาเคยเห็น
“กับเขานายโอเค แต่กับฉันมันไร้สาระสินะ!”
กวินบอกอย่างแค้นใจ แล้วดึงร่างเล็กแรง ๆ จนอีกฝ่ายเสียหลัก ล้มไปด้วยกันบนพื้นพรม จากนั้นกวินจึงจับร่างของวาโยตรึงไว้โดยมีร่างของเขาคร่อมทับอีกที จนวาโยถึงกับนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก แต่พอกวินจะก้มลงมาเหมือนจะจูบเขา ชายหนุ่มร่างเล็กก็รีบเบือนหน้าหนี จนอีกฝ่ายพลาดเป้าไป
“โย...นายรังเกียจฉันใช่ไหม...ต้องเป็นเขาถึงจะได้อย่างนั้นหรือ”
กวินถามด้วยสีหน้าเจ็บปวดแล้วพยายามจะปล้ำจูบอีกฝ่ายให้ได้อีกครั้ง ทว่าคราวนี้วาโยฮึดสู้ เจ้าตัวขืนร่างแล้วงอเข่ากระแทกท้องอีกฝ่ายเต็มแรง จนกวินลงไปนอนจุก วาโยจึงผลักรูมเมทออกไปข้าง ๆ แล้วจ้องมองคนที่นอนอยู่ด้วยสายตาผิดหวัง
“ทำไมกันวิน...ทำไมต้องเป็นทำแบบนี้ ฉันเป็นเพื่อนนายไม่ใช่หรือไง!”
คนนอนจุกแค่นหัวเราะ พลางบอกกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงขมขื่น
“ใช่สิ... ไม่ว่าจะผ่านไปแค่ไหน ทำดีด้วยเท่าไหร่ ฉันก็เป็นได้แค่เพื่อนนายเท่านั้น...”
วาโยเงียบกริบ ก่อนจะชะงักนึกขึ้นได้ เขาหวนทบทวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมา คำพูด และท่าทางที่ชายหนุ่มแสดงต่อเขา รวมไปถึงเรื่องที่กวินเคยมาปรึกษากับเขาก่อนหน้านั้น
“เรื่องเพื่อนที่แอบชอบเพื่อนตัวเองนั่น ...เป็นเรื่องของนายสินะวิน”
กวินเงียบไม่ยอมตอบอะไร เขานิ่งไปจนวาโยใจหาย ชายหนุ่มขยับไปนั่งใกล้ ๆ แล้วแตะไหล่ของรูมเมท แต่ถูกสะบัดหลบ แล้วตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกระชาก
“ไม่ต้องมาสงสารฉัน! ถ้าไม่รักก็ไม่ต้องมาทำดีด้วยหรอก ...นายทำแบบนี้ฉันยิ่งสมเพชตัวเองเข้าไปอีก!”
“ขอโทษวินฉันไม่เคยรู้เลย...ไม่เคยรู้สักนิด...ฉัน...”
วาโยที่หดมือของตัวเองบอกเสียงสั่นเครือ น้ำตาค่อย ๆ ไหลอาบแก้มทั้งสอง ด้วยความสงสารเพื่อนจับใจ เขาไม่เคยรู้สักนิดว่าใบหน้ายิ้มแย้มที่มีให้เขาตลอด จะซ่อนความรู้สึกบางอย่างต่อเขาเอาไว้ โดยเขาไม่เคยสัมผัสมันได้ และไม่อาจจะตอบรับอีกฝ่ายได้ในแบบเดียวกับที่กวินต้องการ
ทั้งคู่นิ่งเงียบไปสักพัก จนกระทั่งกวินค่อยยังชั่ว เขายันกายลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับคนที่นั่งตาแดงก่ำเพราะผ่านการร้องไห้มามาก ชายหนุ่มเม้มปากแน่น พลางดึงร่างเล็กนั่นมากอด โดยที่วาโยนั้นตกใจเล็กน้อย ก่อนจะชะงักเมื่ออีกฝ่ายบอกกับเขาแผ่วเบา
“ขอโทษนะโย...ขอโทษที่รักนาย...แล้วก็ขอโทษที่ลืมตัว ทำเรื่องแย่ ๆ กับนายไปเมื่อครู่ด้วย”
วาโยสะอื้นค่อย ๆ น้ำตาเริ่มไหลออกมาอีก เขากอดอีกฝ่ายตอบ พลางกระซิบบอกกลับไป
“อย่าพูดเลยวิน...ฉันขอร้อง...ถ้าพูดแล้วนายจะต้องมีสีหน้าเจ็บปวดแบบนั้น...ก็อย่าพูดเลยดีกว่า”
“ไม่ได้หรอกโย...ฉันต้องพูด ...ต้องบอกนายให้รู้ความรู้สึกของฉันทั้งหมด....ไม่อย่างนั้นมันก็ยังคาอยู่ข้างใน และฉันก็ไม่อาจจะตัดใจ และกลับเป็นเพื่อนกับนายเหมือนเดิมได้สักที”
กวินเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงและสีหน้าขมขื่น แต่แววตาคู่นั้นฉายแววจริงจัง จ้องมองคนที่เงยหน้าขึ้นมาประสานสายตากับเขานิ่ง
“ฉันรักนายโย ...แล้วนายล่ะ รักฉันบ้างไหม มีฉันในหัวใจนายบ้างหรือเปล่า”
วาโยนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ขอโทษนะวิน ...แต่ฉันคิดกับนายได้แค่เพื่อน...ฉันให้ได้แค่นั้นจริง ๆ ...ขอโทษ”
กวินหลับตานิ่งด้วยหัวใจที่แตกสลายกับคำตอบที่ได้รับ แต่พอเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขากลับยิ้มน้อย ๆ ให้คนตรงหน้าอย่างอ่อนโยนแทน
“ขอบคุณโย ...ขอบคุณที่พูดความจริง ...ขอบคุณที่ไม่โกหกกัน”
วาโยพยักหน้าน้อย ๆ แล้วกอดอีกฝ่ายแน่น ก่อนจะกระซิบถามเสียงสั่น
“นับจากวันนี้ไป เราก็ยังคงเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมสินะวิน...ใช่ไหม”
กวินมองคนที่กอดเขา แล้วยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะกระซิบตอบ
“แน่นอน... เราก็ยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมนี่ล่ะ...ถามอะไรโง่ ๆ แบบนั้น ...แล้วที่สำคัญคนที่ต้องถามคำถามนั้นมันควรจะเป็นฉันมากกว่า”
วาโยเงยหน้ามองอีกฝ่าย เขาเช็ดน้ำตาตัวเอง แล้วบอกออกไปเบา ๆ
“ก็ฉันกลัวนายจะเกลียดฉัน แล้วเลิกคบกันน่ะสิ...ฉันชอบนายนะวิน ถึงจะไม่ใช่ชอบในแบบที่นายต้องการก็เถอะ”
กวินยิ้มรับน้อย ๆ สำหรับเขาได้เพียงแค่นี้ ก็ควรที่จะพอใจได้แล้ว
“อืม...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันก็ไม่มีวันเกลียดนายลงหรอกโย ...”
ทั้งคู่นิ่งเงียบกันไปสักพัก ก่อนที่กวินจะเอ่ยขอร้องอะไรบางอย่างต่ออีกฝ่าย
“โย...หลังจากนี้ฉันคงต้องพยายามตัดใจจากนายให้ได้ ...แต่ฉันขอได้ไหม ...ขอฉันจูบนายสักครั้ง...นะ”
วาโยชะงักกึกหน้าแดง แล้วมีสีหน้าลำบากใจหนัก จนกวินต้องยิ้มน้อย ๆ
“ไม่ต้องห่วงน่า ฉันไม่ชิงเฟิร์สคิสนายไปหรอก...ฉันก็แค่จะจูบแก้มนายก็แค่นั้น...แต่ถ้านายรังเกียจ ก็ไม่เป็นไร”
กวินยิ้มเศร้า ๆ แล้วทำท่าจะผละออกไปจากร่างเล็ก จนวาโยนึกสงสารจึงจับแขนชายหนุ่มเอาไว้ ก่อนจะบอกเบา ๆ ด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
“ถ้าแค่ที่แก้มก็ไม่เป็นไร...”
กวินชะงัก แล้วจึงยิ้มกว้างอย่างยินดี ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปใกล้หน้าอีกฝ่าย แล้วกระซิบบอก
“ขอบคุณนะโย...”
‘แล้วก็ลาก่อนนะ...รักแรกของฉัน’
กวินคิดในใจแล้วจูบเบา ๆ ที่แก้มของอีกฝ่าย แต่ทั้งคู่ก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อได้ยินเสียงทุบผนังดังปึง พร้อมกับภูริที่มองอยู่ด้วยสีหน้าขุ่นเคือง ก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเจ็บปวด แล้วเดินจากไป โดยที่ทั้งวาโยและกวินยังไม่ทันพูดอะไรแก้ตัวสักคำ
“เอ่อ...พวกฉันเห็นว่าได้เวลาเปลี่ยนเวรแล้ว ก็เลยขึ้นมาตามน่ะ...แต่ถ้าพวกนาย มีธุระคุยกัน...ฉันก็ขอตัวก่อน....”
การินที่ขึ้นมาด้วยกันกับภูริบอกตะกุกตะกัก พวกเขาทันขึ้นมาเห็นตอนกวินจูบแก้มของวาโยเข้าพอดี ชายหนุ่มหน้าสวยคิดไปเองเช่นเดียวกับภูริว่า ทั้งคู่นั้นคงสารภาพรักและไปกันได้ด้วยดีแล้วแน่ และพอการินพูดจบเขาก็รีบหันไปอีกทาง น้ำตาเหมือนจะไหลออกมาได้ทุกเมื่อ แต่พอเขาจะเดินจากไป เสียงกวินก็เรียกไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวริน! นายเข้าใจผิดนะ พวกฉันไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ ...เฮ้! โย! มัวอึ้งอะไรเล่า ตามไปอธิบายกับเขาสิ ถ้าเขาเข้าใจผิดมันก็ไม่ดีสำหรับนายใช่ไหมล่ะ!”
วาโยที่นั่งตกตะลึงสะดุ้งได้สติจากเสียงเตือนของกวิน ก่อนจะมีทีท่าลุกรี้ลุกรนจนคนมองปวดใจ
“ตะ...แต่ ...แล้วฉันจะบอกว่าอะไรล่ะ...แล้วทำไมเขาต้องโกรธด้วยล่ะ...ฉันกับเขาพวกเราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันนะ...ฉัน...แล้วฉันจะทำไงดี...เขาโกรธฉันจริง ๆ หรือวิน...”
“โย! ใช่เวลาจะสติแตกหรือไงกัน มานี่! ไปด้วยกันเลย! เฮ้! ริน! นายก็ตามมาด้วยนั่นล่ะ!”
กวินดึงแขนวาโย แล้วบอกการินให้ตามเขามา ทางด้านการินที่ตอนนี้กำลังมึนงง ได้แต่เดินตามทั้งคู่ไปต้อย ๆ พวกเขาเดินลงมาด้านล่าง ก็เห็นภูริเปิดประตูหลังร้านทิ้งไว้ แล้วออกมายืนสงบสติอารมณ์ข้างนอก ทว่าพอภูริเห็นกวินจูงมือวาโยมาทางเขา ชายหนุ่มก็เบือนหน้าหนีแล้วเอ่ยถามเสียงห้วน
“มีธุระอะไร!”
กวินมองอีกฝ่ายนิ่ง แล้วจ้องมองวาโยที่ทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ ก่อนกัดฟันกรอด แล้วโพล่งตอบไปเสียงดัง
“ผมสารภาพรักกับโยเรียบร้อยแล้ว!”
ภูริชะงักกึก ภาพที่กวินจูบแก้มวาโยย้อนกลับมาให้เห็นอีกครั้ง เจ้าตัวกำหมัดน้อย ๆ แล้วหันไปมองอีกฝ่าย ก่อนจะเหยียดยิ้มมุมปาก แล้วเอ่ยตอบห้วน ๆ
“ก็ดีนี่ ยินดีด้วยแล้วกัน”
ชายหนุ่มบอกแล้วทำท่าจะเดินกลับเข้าร้าน แต่ก็ถูกกวินเรียกไว้เสียก่อน
“นี่คุณ! หัดฟังชาวบ้านเขาพูดให้จบเสียก่อนสิ ผมสารภาพรักกับโยแล้ว และก็อกหักไปเรียบร้อย หมอนี่เขาคิดกับผมแค่เพื่อน ไม่ได้คิดกับผมในแง่นั้นสักนิด ...ส่วนจูบที่คุณเห็นนั่น...ผมก็แค่ขอเขาแทนการตัดใจแค่นั้นเอง”
ท้ายประโยคเจ้าตัวบอกเสียงค่อยลง ทว่าคนที่ฟังกลับนิ่งอึ้ง ชะงักกึก แล้วมองวาโยกับกวินอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
“ผมมาก็เพื่อจะพูดแค่นี้...ที่เหลือ ใครอยากเคลียร์อะไรก็เชิญตามสบาย ผมไม่ยุ่งด้วย...อ้อ โย นายไม่ต้องรีบกลับไปทำงานหรอกนะ เดี๋ยวฉันทำแทนให้เอง ไม่ต้องห่วง”
กวินหันไปยิ้มให้กับรูมเมทที่ยืนอึ้ง ๆ อยู่แถวนั้น ก่อนจะเดินไปทางการินที่จ้องมองเขาไม่กะพริบตา พลางเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มเจื่อน ๆ
“ฮะ ๆ อกหักเสียแล้วล่ะริน ...แย่จัง นายอุตสาห์ช่วยรับเป็นที่ปรึกษาแท้ ๆ”
การินเงียบกริบ ก่อนที่ดวงตาคู่สวยคู่นั้นจะค่อย ๆ มีน้ำตาไหลออกมา จนกวินตกใจ
“เฮ้ย! รินเป็นอะไร!”
“เจ้าบ้า! อกหักแล้วยังหัวเราะได้อีก ...นายมันบ้าที่สุดเลย วิน!”
การินตวาดใส่ด้วยความรู้สึกโมโหที่เจ้าตัวก็ไม่เข้าใจ จนวาโยกับภูริสะดุ้ง เห็นดังนั้นกวินจึงดึงมือของการินไปข้างในด้วยกัน แล้วปิดประตูหลังร้าน ปล่อยให้วาโยและภูริอยู่ด้วยกันตามลำพัง
… TBC …
ตอนหน้าเริ่มเคลียร์...ในแต่ละคู่ค่ะ หลังจากนี้ก็อยากจับคู่แล้วเขียนอะไรหวาน ๆ สักทีล่ะนะ