หัวใจหลังเลนส์
#25
ฝ่ามือทั้งสองข้างยกขึ้นปิดหน้าปิดตาไว้อย่างนั้นแม้ในห้องจะไม่มีใครอื่นนอกจากตัวเองนานนับสิบนาทีได้แล้วตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาลมา
ภาพเหตุการณ์เมื่อชั่วโมงก่อนยังคงวนเวียนอยู่ในหัวอย่างชัดเจนประหนึ่งถูกบันทึกไว้ด้วยระบบเอชดี
หลังจากที่ริมฝีปากของพวกเขาทั้งคู่ถอนออกจากกัน ภายในห้องผู้ป่วยก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบอยู่นานสองนาน มีเพียงเสียงหัวใจสองดวงเต้นแข่งกันไปมาแว่วให้ได้ยินเท่านั้น ยังจำได้ดีว่าตอนนั้นทั้งเขาทั้งกวินต่างก็เสมองไปทางอื่น พื้นบ้าง เพดานบ้าง นอกหน้าต่างบ้าง ผ้าห่มบ้าง ราวกับเล่นหนังตลกก็ไม่ปาน
คิดแล้วก็ได้แต่กดมือลงกับใบหน้าแน่นเข้าไปอีก...
ไม่รู้ว่าตอนนั้นคิดอะไรอยู่...ถึงได้เลื่อนหน้าเข้าไปหาอีกฝ่าย...
สติสตังมันเหมือนจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว...
เหมือนทุกอย่างมันลอยๆฟุ้งๆไปทั่ว...
แต่ที่รำพึงรำพันมาทั้งหมดนี่...
...ไม่ใช่ไม่ชอบนะ...
...คือมันก็...รู้สึกดีอยู่เหมือนกัน...
เมื่อคืน กว่าจะได้ข้อสรุปกับตัวเองก็ปาไปเกือบเช้า เรียกว่าเสียน้ำตาไปเป็นลิตร โดยที่สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกที่จะไม่ละทิ้งต่อความรู้สึกอุ่นซ่านในหัวใจที่เกิดขึ้นทุกครั้งเวลาอยู่ใกล้คนๆนั้น...แม้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่ามันคือความรู้สึกแบบไหนกันแน่
และหลังจากที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์เครียดสุดชีวิตมาสดๆร้อนๆ ตัวเขาเองก็ไม่นึกว่าจะสามารถรู้สึกเบาสบายหัวใจพองโตแปลกๆแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้
สุขหรือทุกข์...ทั้งหมดคงขึ้นอยู่กับตัวเขาจริงๆ
...ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“ยกดีๆหน่อย เดี๋ยวของบนโต๊ะร่วงหมด...” เสียงทุ้มต่ำที่ดูจะสดใสขึ้นกว่าหลายวันก่อนเอ่ยขึ้นกับลูกน้องสองสามคนที่เขาเรียกมาช่วยยกโต๊ะตัวพิเศษกลับเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวในขณะที่ตนเองยืนคลำเฝือกที่แขนขวาดูด้วยท่าทีสบายๆอยู่บริเวณด้านหน้า
โต๊ะตัวที่ว่าค่อยๆถูกขนพ้นกรอบประตูเข้าไป...
“แหมพี่ หน้าตาสดชื่นเชียวนะ” เสียงทักทายที่ดังมาก่อนตัวของเต้ดังขึ้นเรียกให้กวินหันไปมอง “ไม่ทำหน้าเป็นตูดลิงเหมือนอาทิตย์ก่อนแล้วเหรอ”
“เดี๋ยวกูตัดเงินเดือนมึงดีไหมเนี่ย” ชายหนุ่มยกมือข้างที่ไม่บาดเจ็บขึ้นชี้หน้าคาดโทษคนเป็นลูกน้องอย่างไม่จริงจังนัก
เขาพักฟื้นในโรงพยาบาลเพียงสามวัน หมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้...และการย้ายโต๊ะเจ้าหนูของเขากลับเข้าห้องก็เป็นสิ่งแรกที่ชายหนุ่มหมายมั่นปั้นมือว่าจะทำหลังจากกลับมาทำงาน
เต้หัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับท่าทีของเจ้านายรูปหล่ออย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยแววตาเป็นประกายระริก “ดีกับน้องแล้วเหรอพี่...”
เพียงได้ฟังคำถามจบ รอยยิ้มบนริมฝีปากก็ค่อยๆเผยขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ นึกไปถึงคำพูดในวันนั้นของจักรวาลก็ยิ่งทำให้หัวใจพองโต...
'ผมอยากจะลองดูสักครั้ง....'
คิดแล้วมันก็ตื้นตัน...
เมื่อเห็นคนเป็นเจ้านายไม่ยอมตอบอะไรกลับมา เอาแต่ยิ้มเหมือนคนบ้า เต้จึงถามต่ออย่างสนุกสนาน “...อย่าบอกนะว่าเป็นแฟนกันแล้ว?”
กวินหัวเราะออกมาเบาๆ “ยังโว้ย...ถ้าเป็นแล้วตอนนี้กูปิดบริษัทพาพวกมึงไปเลี้ยงแล้วล่ะ...” ดวงตาคู่คมหลุบลงมองปลายเท้าตนเองอย่างต้องการระบายความกระดากอายที่ต้องมาพูดจาอะไรไม่สมตัวแบบนี้ “...แต่กูบอกเขาไปแล้วว่ากูรู้สึกยังไง...แล้วเขาก็อนุญาตให้กูจีบเขาได้ด้วย...”
พูดแล้วก็...เขินชิบหายเลย...
คนฟังส่งเสียงโห่แซวอย่างไม่เกรงใจ แค่ฟังก็เนื้อเต้น อยากจะขอเสนอหน้าเข้าไปสังเกตการณ์ในห้องทำงานด้วยเสียเหลือเกิน...
“พี่พูดแล้วนะว่าถ้าได้เป็นแฟนกับน้องเมื่อไหร่จะพาพวกผมไปเลี้ยง แล้วเดี๋ยวจะมาทวง”
เจ้านายลูกน้องยืนกวนประสาทต่อปากต่อคำกับอีกครู่หนึ่ง ร่างของเด็กหนุ่มที่คุ้นตาก็ปรากฏขึ้นที่บริเวณหน้าบริษัท
และจากที่พ่นคำหยาบใส่ลูกน้องตัวดีปาวๆๆเมื่อครู่ ชายหนุ่มก็กลับกลายสภาพเป็นหมาเซื่องๆที่เอาแต่ยืนยิ้มพลางเสตามองนู่นนี่ไปเรื่อย
หลังจากจุ๊บๆกันวันนั้น นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เจออีกที...
...รู้สึกเขินเป็นสาวน้อยไปเลยเว้ย...
คนเป็นลูกน้องหันมองเจ้านายอย่างงุนงง วันนี้มาลุคใหม่...สดใส แอ๊บแบ๊ว...
มหัศจรรย์จริงหนอ...ความรัก...
และเมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังจะได้เป็นก้างขวางคอในอีกไม่ช้า เต้จึงรีบขอตัวหลบฉากไปอย่างรู้หน้าที่ โดยไม่ลืมที่จะส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้กำลังใจเจ้านายไปเบาๆหนึ่งที
ฝ่ายเด็กหนุ่มเอง พอเห็นมาตั้งแต่ระยะไกลว่ากวินยืนอยู่หน้าห้องทำงาน แข้งขาก็พากันขวิดไปขวิดมาราวกับคนเดินไม่ตรงทาง ยังไม่ทันที่จะเข้าไปถึงรัศมีสองเมตรด้วยซ้ำ แก้มสองข้างก็ร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้เสียแล้ว
บัดซบจริง...
“อรุณสวัสดิ์/อรุณสวัสดิ์ครับ” เสียงของคนทั้งคู่กล่าวทักขึ้นพร้อมกันทันทีที่เด็กหนุ่มเดินเข้ามาถึงตัวช่างภาพคนดัง เพิ่มระดับความประดักประเดิดให้มากขึ้นไปอีก
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเกาท้ายทอย ในขณะที่อีกคนก็ยิ้มออกมาบางๆพลางก้มหน้าลงมองพื้นด้วยความขัดเขินกันทั้งคู่ ก่อนจะเป็นกวินที่เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน
“ฉัน...เอ่อ...ย้ายโต๊ะนายกลับเข้ามาวางในห้องแล้วนะ...ได้ใช่ไหม?”
คนถูกถามพยักหน้าลงเบาๆ “ได้สิบครับ...ก็พี่วินเป็นเจ้านาย...”
ได้ยินอย่างนั้นกวินก็ได้แต่คิดดังๆในสมองด้วยอย่างหมั่นเขี้ยว...ก็แล้วเด็กคนไหนล่ะวะที่มันกล้าขัดคำสั่งเจ้านายขอย้ายโต๊ะออกไปเมื่อสัปดาห์ก่อนน่ะ...น่าจับมาตีซะให้เข็ด...
แต่ก็ทำได้แค่คิดเมื่อตอนนี้เขาเองก็ยังควบคุมน้ำเสียง สีหน้า ท่าทางของตัวเองให้เข้าที่ไม่ได้เลย ทุกอย่างมันพันกันมั่วไปหมด
“แล้ว...แขนพี่เป็นยังไงบ้างครับ...?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามออกมาทำลายความเงียบ ทั้งที่ในใจตัวเองก็ยังเต้นหนักอยู่ไม่น้อย
คนถูกถามก้มลงมองเฝือกที่แขนตัวเองก่อนจะสั่นศีรษะเบาๆ “ที่แขนนี่ไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่แล้วล่ะ แค่ลำบากเวลาจะทำนู่นทำนี่นิดหน่อย แต่แผลที่หลังนี่สิยังแสบอยู่เลย”
คนฟังนิ่งไปเมื่อได้ยินอย่างนั้น...
...ก็เขาเป็นต้นเหตุ...
และเมื่อเห็นคนตรงหน้าเริ่มมีสีหน้ารู้สึกผิด กวินจึงตัดบทขึ้นด้วยการยกมือขึ้นลูบหัวเด็กหนุ่มก่อนดันหลังเล็กๆนั่นให้นำเข้าห้องทำงานไป...
แต่เมื่อเข้ามาแล้ว ชายภาพคนดังก็ต้องตกใจจนเข่าแทบทรุด...ในหัวนึกคาดโทษไอ้เจ้าพวกลูกน้องที่เขาใช้ให้มาขนโต๊ะให้...
ก็จะอะไรเสียอีกนอกจากตำแหน่งที่เปลี่ยนไปของโต๊ะตัวนั้น...
จากที่เคยอยู่คนละมุม...
บัดนี้มันถูกยกมาติดกับโต๊ะเขาแบบประจันหน้าเข้าหากันด้วยน่ะสิ...
ชิบหายล่ะ...เจ้าหนูนี่จะหาว่าเขาฉวยโอกาสอีกไหมเนี่ย
เสียงทุ้มต่ำรีบระล่ำระลักกล่าวออกมาอย่างลนลาน “ไม่ใช่นะ...ฉันไม่ได้สั่งให้คนยกมาวางตรงนี้นะปอม...ฝีมือไอ้อาร์ทแน่ๆ...เดี๋ยวฉันจะไปเรียกคนมายกไปวางที่เดิมนะ...”
ฝ่ายจักรวาลเอง ในทีแรกที่เห็นตำแหน่งที่เปลี่ยนไปของโต๊ะก็ทำเอาเขาอึ้งไปไม่น้อย แต่เมื่อดูจากอาการของคนตรงหน้าเขาก็ต้องรีบยกมือปฏิเสธคนที่ทำท่าจะหุนหันออกจากห้องไป...
“ไม่ต้องก็ได้ครับพี่...ถ้าพี่โอเค...นั่งแบบนี้ผมก็...เอ่อ...ไม่มีปัญหาอะไร...” เด็กหนุ่มกล่าวออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาในตอนท้ายประโยค ไม่ได้คิดอะไรหรอกนะ...ไม่ได้คิดเลย...แค่ไม่อยากให้กวินต้องลำบากไปมากกว่านี้ก็เท่านั้นเอง...จริงๆนะ
.
.
.
.
แล้วสุดท้ายจักรวาลก็ต้องมานึกเสียใจที่พูดออกไปแบบนั้น...
ระยะห่างเพียงเมตรกว่าๆที่มีเพียงโต๊ะทำงานสองตัวคั่นทำเอาเด็กหนุ่มรู้สึกวูบๆวาบๆตลอดเวลา ได้แต่นั่งก้มหน้าก้มตาลงจดจ่อกับบรรดาภาพถ่ายตรงหน้า
ฝ่ายกวินก็ใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆไม่แพ้กันเมื่อเหลือบตาขึ้นมองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม บ่อยครั้งที่เขาเผลอเลื่อนสายตาลงไปมองที่บริเวณริมฝีปากซึ่งเคยสัมผัสมาแล้วสองครั้งอย่างลืมตัว
และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันที่เขาเผลอไปจ้องมันเข้าอีกแล้ว...
อยากจะเอาปากตัวเองแนบลงไปอีกสักครั้ง...
เหมือนรู้ตัว เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากภาพถ่ายตรงหน้า และสบสายตาเข้ากับกวินเข้าอย่างจังโดยไม่ทันตั้งตัว
คนทั้งคู่สะดุ้งขึ้นพร้อมกัน
เมื่อถูกจับได้ว่าแอบมองกะทันหันช่างภาพคนดังก็รีบซ่อนหน้าซ่อนตาลงกับหลังจอคอมพิวเตอร์ด้วยสัญชาตญาณ แล้วก็ต้องแอบลอบยิ้มกับตัวเองอยู่นานสองนาน
เห็นดังนั้นเด็กหนุ่มก็ได้แต่ยกมือขึ้นถูต้นคอตัวเองอย่างไม่มีเหตุผล แก้มมันเมื่อยๆเพราะเอาแต่เกร็งไว้ อยากจะยิ้มแต่ก็ไม่กล้า
.
.
.
.
บรรยากาศการทำงานแปลกใหม่เป็นไปแบบนั้นตลอดช่วงเช้า จนกระทั่งนาฬิกาข้างฝาเดินมาถึงเลขสิบสอง กวินจึงวางมือลงจากงานที่ทำอยู่
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นกล่าวกับคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามด้วยน้ำเสียงประหม่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
...ให้ตายสิ...นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาชวนจักรวาลกินข้าวเสียหน่อย...
...ทำไมถึงเพิ่งมาเขินเอาวันนี้วะ...
“คือ...วันนี้ฉันไม่ได้เอารถมาเพราะจับพวงมาลัยไม่ได้ เลยตั้งใจว่าจะสั่งอะไรเข้ามากินในห้อง...” จักรวาลเงยหน้าขึ้นมองคนพูด “...นายนั่งกินเป็นเพื่อนกันหน่อยได้ไหม?...ไม่ได้นัดใครไว้ใช่หรือเปล่า...?”
ที่ต้องถามแบบนี้ก็ไม่ใช่อะไร ช่วงหลายวันที่พวกเขาไม่ได้พูดคุยกัน เด็กหนุ่มไม่ยอมออกไปทานข้าวกับเขาเลยแม้แต่มื้อเดียว ถ้าไม่ออกไปกับพวกลูกน้องของเขา ก็นั่งกินข้าวกล่องเงียบๆอยู่ที่โต๊ะตัวเองนั่นแหละ
คนถูกถามคลี่ยิ้มบางๆส่งกลับไปก่อนจะรับคำเบาๆ “...ได้ครับ...”
เพียงเท่านั้นกวินก็ยิ้มกว้างออกมาแล้วจึงลงมือต่อสายโทรสั่งอาหารทันที
.
.
.
.
-เคร้ง-
ช้อนแสตนเลสในฝ่ามือใหญ่เป๋ไปโดนขอบจานอย่างควบคุมไม่อยู่ เนื่องจากแขนขวาที่ถูกเข้าเฝือกไว้...ช่วงนี้กวินจึงต้องทำทุกอย่างด้วยมือซ้ายเพียงข้างเดียว
...ก็ไม่ใช่ถึงกับใช้ชีวิตไม่ได้...แต่ถ้าให้พูดจริงๆก็ลำบากไปไม่น้อยเลย...
เด็กหนุ่มเงยขึ้นมองอากัปกิริยาของคนตรงหน้าเงียบๆอยู่ครู่ใหญ่
ท่าทางการหยิบจับสิ่งของอย่างเงอะงะนั้นทำเอาเขารู้สึกผิดขึ้นมาอีกครั้ง...และเมื่อครุ่นคิดอยู่เพียงไม่นานก็ตัดสินใจเอ่ยปากขึ้นเบาๆ
“ผมช่วยไหมครับ?”
กวินวางช้อนในมือลงช้าๆ “จะดีเหรอ...?” แม้ปากจะพูดไปแบบนั้น หากแต่นัยน์ตากลับดูเป็นประกายอย่างบอกไม่ถูก
คนถูกถามพยักหน้าลงยืนยันข้อเสนอของตัวเอง
เห็นดังนั้นคนป่วยจึงยิ้มออกมาบางๆ “อืม...ถ้าได้ก็ดีนะ...”
ร่างเล็กลุกขึ้นลากเก้าอี้อ้อมไปที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ จานข้าวถูกย้ายฝั่งมาเช่นกัน มือเรียวเอื้อมหยิบช้อนของคนข้างกายขึ้นตักอาหารก่อนจะยื่นมันจ่อปากชายหนุ่ม
น่าแปลก...จะไปป้อนเขาแท้ๆ แต่ไม่เห็นจะมองหน้าคนกินเลย...
นัยน์ตาดำขลับของจักรวาลหลุบมองที่หน้าตักตัวเอง
กวินอ้าปากรับอาหารที่ถูกส่งมาพลางกลั้นยิ้มจนเมื่อยแก้มไปหมด
ไม่นึกเลยว่าเวลาได้มาทำอะไรกุ๊กกิ๊กแบบนี้โดยที่รู้ตัวกันทั้งสองฝ่าย มันจะออกอาการเคอะเขินเก้ๆกังๆกันได้ขนาดนี้ ตอนที่เนียนจีบอยู่เพียงฝ่ายเดียวก็ไม่เห็นจะอายอะไร ยังแอบคิดอยู่เลยว่านี่เขาหน้าหนาไปหรือเปล่า
แต่มาเจอแบบวันนี้ ตอนนี้ คงต้องเปลี่ยนความคิดแล้วล่ะ
...ว่าจริงๆแล้วเขาหน้าบางกว่าที่คิดไว้มาก...
...แถมอีกฝ่ายก็ดูจะบางกว่าเขาอีกนี่สิ...
การป้อนข้าวป้อนน้ำเป็นไปอย่างทุลักทุเลเมื่อเด็กหนุ่มเอาแต่หลบตาไปมา ในขณะที่คนถูกป้อนก็เคี้ยวเชื่องช้าเสียเหลือเกิน เนื่องจากต้องคอยบังคับกล้ามเนื้อใบหน้าไม่ให้มันยิ้มกว้างออกมาจนเกินงาม แต่จนแล้วจนรอดอาหารทั้งสองจานก็พร่องลงไปเรื่อยๆ จนหมดลงในที่สุด
กวินชะโงกหน้ามองจานของเขาที่อยู่ในมือเด็กหนุ่ม รู้สึกว่ามันหมดเร็วเหลือเกิน แต่จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปไวกว่าที่เราคาดหวังเสมอ “อ้าว...หมดแล้วเหรอ ยังไม่อิ่มเลย...” เสียงทุ้มต่ำกล่าวออกมาเบาๆ
“จะกินอะไรอีกไหมล่ะครับ เดี๋ยวผมออกไปซื้อให้” เด็กหนุ่มเสนอขึ้นพลางรวบช้อนรวบจานเตรียมนำออกไปให้แม่บ้าน
ได้ยินดังนั้นคนเป็นผู้ใหญ่กว่าก็ส่ายหัว รอยยิ้มถูกจุดขึ้นบนริมฝีปาก
“...กินคนป้อนแทนได้ไหม...”
และนี่คืออาการของคนที่เรียกว่า...ปากไว...
พูดจบคนพูดก็ได้แต่นึกอยากเอาหัวโขกโต๊ะมันเดี๋ยวนั้น หยอดตอนไหนไม่หยอด ดันมาหยอดตอนกำลังอยู่ในระยะเขินม้วนกันทั้งคู่ หยอดไม่ดูตาม้าตาเรือเลยกวินเอ๊ย...
ส่วนจักรวาล ทันทีที่กวินพูดจบก็เผลอตัวเอื้อมมือทั้งสองข้างไปอุดปากคนพูดตรงหน้าจนสุดแขน “พี่วิน!” ใบหน้าเรียวได้รูปขึ้นสีจัด ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ก็...ใครจะไปนึกว่าจู่ๆพี่ชายใจดีของเขาจะพูดอะไรแบบนั้นออกมา...ไม่อายบ้างหรือไงวะ...
กวินหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเด็กหนุ่ม ก่อนจะต้องยกมือข้างที่ไม่ติดเฝือกขึ้นเป็นสัญญาณว่าเขายอมจำนน “ขอโทษที ไม่พูดแล้วๆ”
เด็กหนุ่มลดแขนทั้งสองข้างลง กระแอมไอเบาๆในลำคอ แล้วจึงก้มหน้าก้มตาคว้าจานที่ใช้เสร็จแล้วออกจากห้องไปด้วยความเขินอาย ปล่อยให้อีกคนได้แต่นั่งยิ้มกับตัวเองเป็นบ้าเป็นหลังอยู่คนเดียว
.
.
.
.