หัวใจหลังเลนส์
#24
นัยน์ตาดำขลับจับจ้องไปยังร่างสูงใหญ่ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงอย่างเหม่อลอย เมื่อสักสามสี่ชั่วโมงก่อน หลังจากเข้าห้องฉุกเฉินไปพักใหญ่ ชายหนุ่มก็ถูกเข็นออกมาในสภาพหลับไปแล้ว โดยหมอบอกพวกเขาว่านอกจากอาการกระดูกร้าวที่แขนขวา และแผลที่ได้จากตะปูบนแผ่นหลัง ก็ไม่มีอะไรอันตรายร้ายแรง เพียงแต่คงต้องให้นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสักสองสามวัน
พี่ๆที่บริษัทคนอื่นพากันกลับไปตั้งนานแล้ว แต่เขายังไม่อยากไปไหน...
ความรู้สึกเจ็บในอกยังคงชัดเจน เขาโกรธตัวเอง...ที่มองกวินในแง่ร้าย
แม้หมอจะบอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่สีหน้ายามหลับของคนป่วยในยามนี้ก็ดูซีดเซียวไม่มีชีวิตชีวาเอาเสียเลย ยิ่งได้นั่งมองก็ยิ่งรู้สึกใจเสีย
จักรวาลหลุดออกจากภวังค์เมื่อเห็นคนบนเตียงเริ่มขยับตัวเล็กน้อย ก่อนที่ดวงตาคมดุที่คุ้นเคยคู่นั้นจะค่อยๆเปิดออก...
ชายหนุ่มนอนนิ่งกวาดตามองสภาพรอบด้านอย่างมึนงงครู่หนึ่ง ภาพเหตุการณ์ในสตูดิโอเริ่มไหลกลับเข้ามาในสมอง จำได้ดีถึงความตกใจแทบสิ้นสติตอนที่เห็นร่างเล็กๆนั่นกำลังจะถูกฉากชิ้นโตล้มทับ แล้วเพียงไม่นานความรู้สึกเจ็บปวดบนแผ่นหลังและแขนขาก็ตามมา
เมื่อเห็นคนบนเตียงนิ่วหน้า เด็กหนุ่มก็รีบลุกเข้าไปดูใกล้ๆ
“พี่วิน! เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ผมตามหมอให้นะ” นิ้วเรียวทำท่าจะกดปุ่มเรียกพยาบาล แต่ก็ถูกหยุดไว้ด้วยเสียงแหบพร่าของอีกคน
“ไม่ต้องๆ...ฉันไม่เป็นไร” กวินจ้องมองใบหน้าของเด็กหนุ่มไปด้วยในขณะที่พูด นึกดีใจที่เขาเข้าไปช่วยไว้ทัน ไม่อย่างนั้นคนที่มานอนอยู่บนเตียงนี้คงเป็นเจ้าหนูเขาของแน่นอน และที่สำคัญ คงจะได้รับบาดเจ็บมากกว่าที่เขาเป็นอยู่...
แต่กระนั้น ความอัดอั้นตันใจที่มีตลอดสามสี่วันที่ผ่านมาก็ยังคงกัดกินทุกอณุของความรู้สึก...
“หิวน้ำหรือเปล่าครับ? ผมเอาให้นะ” จักรวาลรินน้ำในขวดใส่แก้วแล้วยื่นให้คนที่นอนอยู่ ก่อนจะต้องหันไปวางมันลงที่เดิมเมื่อกวินยกแขนข้างที่ไม่ได้ใส่เฝือกขึ้นเป็นเชิงปฏิเสธ ริมฝีปากได้รูปเอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา...
“โกรธอะไรเหรอปอม?”
“ครับ?” คนฟังเลิกคิ้วขึ้นด้วยความงุนงง
สีหน้าที่ดูจะแย่อยู่แล้วยิ่งดูเคร่งเครียดเข้าไปอีกเมื่อตัดสินใจพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา “ที่นายย้ายโต๊ะออกไปนี่เพราะโกรธฉันใช่ไหม...บอกหน่อยได้หรือเปล่าว่าเรื่องอะไร...”
ได้ยินดังนั้นเด็กหนุ่มก็หัวใจกระตุกวูบ จะให้ตอบว่าอะไรดีล่ะทีนี้...ถูกถามเข้าจังๆเขาก็ตั้งตัวไม่ถูก
คนถูกถามส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ได้โกรธหรอกครับ ผมแค่...”
“อย่าตอบว่าแค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศนะ เพราะฉันรู้ว่ามันไม่ใช่...มีอะไรไม่พอใจก็บอกตรงๆเถอะ ขอร้อง...” เสียงทุ้มต่ำที่ส่งออกมาฟังดูเว้าวอนเสียจนจักรวาลต้องเผลอตัวกัดริมฝีปากระบายความอึดอัด ดวงตาคู่เรียวปิดลงอย่างใช้ความคิด ควรจะพูดออกไปจริงๆหรือ...สิ่งที่เขาคิดน่ะ
แล้วในที่สุดเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจส่งคำถามถามกลับไปแทนคำตอบ...
“ผมได้เข้ามาทำงานที่บริษัทนี้เพราะอะไรเหรอครับ...?”
กวินขมวดคิ้วกับสิ่งที่ถูกส่งมา แต่ก็ยอมตอบออกไปแม้จะยังไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายดีนัก “ก็นายมีแวว ฉันคิดว่าถ้าได้พัฒนาฝีมืออีกนิด นายจะไปได้ดีในอาชีพนี้....ถามทำไมเหรอ?”
“...แล้วที่พี่ให้ผมเข้าไปนั่งในห้องทำงานส่วนตัวด้วยนี่...ทำไมเหรอครับ?”
คราวนี้...กวินก็เริ่มจะเข้าใจอะไรมากขึ้น....
“ก็...นายจะได้เรียนรู้เร็วๆ...” ชายหนุ่มตอบออกไปไม่เต็มเสียง รู้ดีอยู่แก่ใจว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น
และดูเหมือนคนถามเองก็คิดเหมือนกัน...
ความอยากรู้ไม่ได้ถูกส่งออกมา จักรวาลไม่มีความกล้าพอที่จะเปิดประเด็น...แค่เป็นต้นเหตุทำให้กวินต้องเจ็บตัวก็แย่พออยู่แล้ว บทสนทนาจึงค้างเติ่งอย่างนั้นไปดื้อๆ
เมื่อเงียบกันไปนานสองนาน สุดท้ายก็ต้องเป็นคนบนเตียงที่ตัดสินใจสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วถามกลับไป...
“แล้วนาย...คิดว่าฉันให้นายมาทำงานในห้องด้วย...เพราะอะไร?”
ใบหน้าเรียวได้รูปเงยขึ้นสบสายตากับชายหนุ่มอย่างชั่งใจ ความลังเลที่มีอยู่เต็มหัวใจทำให้เขาเผลอกัดริมฝีปากตัวเองแรงๆจนเจ็บไปหมด
“อย่ากัดปากสิ รู้ตัวไหมว่าเวลาเครียดนายชอบกัดปาก...”
แนวฟันละออกจากริมฝีปากทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น...
“ตอบมาสิปอม...”
เมื่อถูกเร่งเร้าจากคนตรงหน้าเด็กหนุ่มก็ผ่อนลมหายใจออกมาแรงๆด้วยความหนักใจ จะดีจริงๆหรือถ้าให้ตอบออกไปตามตรง ในเมื่อสิ่งที่เขาคิดมันไม่ใช่เรื่องน่าฟังเลยสักนิดเดียว...แต่ความจริงเขาเองก็อยากจะรู้ว่าเรื่องจริงคืออะไร...
ความเงียบที่เกิดขึ้นจากการที่จักรวาลนิ่งคิดไปนั้น ทำให้กวินทนไม่ได้ในที่สุด ชายหนุ่มไม่รอให้อีกฝ่ายเป็นคนตอบออกมาอีกแล้ว...
“นายเคยคิดว่าฉันชอบ...เอ่อ...แบบว่า...ฉวยโอกาสหรือแต๊ะอั๋งอะไรแบบนั้นบ้างหรือเปล่า...?”
ได้ฟังดังนั้นดวงตาคู่เรียวก็เบิกกว้างขึ้นน้อยๆ สรุปว่ากวินรู้...ว่าเขาคิดอะไร....
สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจพยักหน้าเบาๆอย่างรู้สึกผิดส่งไปแทนคำพูด
กวินผ่อนลมหายใจออกระบายความอึดอัด “เรื่องนี้จริงๆด้วยสินะ...” นับเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของเขาเองที่คอยแต่จะบุ่มบ่ามเข้าหา ไม่แปลกเลยที่จักรวาลจะคิดหนีเขาไป โง่จริง...ไอ้วิน
แต่กระนั้น เขารู้สึกว่านี่ไม่ใช่ประเด็นเดียวที่ทำให้เด็กหนุ่มตีตัวออกห่าง
“ยังมีเรื่องอื่นด้วยใช่ไหม? บอกมาให้หมดเลยได้หรือเปล่า ฉันจะได้อธิบายทีละเรื่อง”
จักรวาลนิ่งสบตากับคนตรงหน้าอย่างลังเล...
แต่ไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้ว พูดออกไปตรงๆอาจจะดีกว่า
“พี่วิน...ชอบให้ของแพงๆกับผม...”
ฟังจบประโยค...กวินก็ต้องหลับตาลงอย่างเจ็บปวด เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี่มันมาจากพฤติกรรมไม่น่าไว้ใจของเขาทั้งนั้นเลย เขาคงพลาดไปแล้ว...
หวังว่าจักรวาลคงยังไม่หมดความเชื่อถือในตัวเขาจนกลายเป็นเกลียดกันไปแล้วหรอกนะ...
ถึงเวลานี้ คงต้องทำทุกอย่างให้มันชัดเจน...
“จริงอยู่ที่ฉันอาจจะชอบอยู่ใกล้ๆนาย ชอบให้นู่นให้นี่...แต่ที่ทำไปทั้งหมดมันมีเหตุผลนะ...ไม่ใช่แค่เรื่องฉาบฉวยแน่นอน”
จักรวาลจ้องกลับไปยังคนพูดด้วยนัยน์ตาสั่นระริก
“นายอาจจะคิดว่าฉันเป็นผู้ใหญ่แบบที่คอยจ้องจะหลอกเด็ก...หรือเป็นผู้ใหญ่ที่เอาแต่คิดเรื่องลามกอะไรแบบนั้น...” พูดไปชายหนุ่มก็รู้สึกกระดากปาก เกิดมาไม่เคยคิดว่าต้องมาพูดอะไรแบบนี้กับใครทั้งนั้น...โดยเฉพาะกับเด็กผู้ชาย “แต่ฉันสาบานได้นะว่าไม่เคยคิดอกุศลกับนาย ฉันไม่เคยคิดอยากหิ้วนายขึ้นห้อง หรือเอาไปเลี้ยงดู หรือ...อะไรก็ตามที่นายคิดอยู่...”
ถึงตรงนี้คนฟังก็รู้สึกจุกในอก ดวงตาคู่เรียวกวาดมองไปทั่วใบหน้าของชายหนุ่ม สีหน้าแบบนั้น...แววตาแบบนั้น เขาคิดไปได้ยังไงกันว่ากวินจะคิดเรื่องไม่ดี... “ขอโทษครับพี่วิน....” เด็กหนุ่มกล่าวออกมาเสียงแผ่ว น้ำตาเริ่มเอ่อขึ้นมาบังลูกตาไว้อีกครั้ง...วันนี้เป็นวันอะไรนะ เขาถึงต้องมาร้องไห้สองสามรอบติดๆกันแบบนี้
คนมองรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ “จะขอโทษทำไม ฉันผิดเองที่แสดงออกไปแบบนั้น...ไม่ต้องขอโทษ” แค่เห็นคนตรงหน้าเริ่มตาแดงๆเขาก็ใจอ่อนยวบลงไปแล้ว ชายหนุ่มรีบระล่ำระลักกล่าวต่อ
“ทุกอย่างที่ฉันแสดงออก...อย่างที่บอกว่ามันมีเหตุผล...”
เด็กหนุ่มมองร่างบนเตียงผ่านม่านน้ำตา
“อาจจะฟังดูไม่เข้าหู...แต่มันคือสิ่งที่ฉันรู้สึกจริงๆ...ไม่ใช่แค่อารมณ์ชั่ววูบแน่นอน...”
เสียงทุ้มต่ำที่บัดนี้แหบพร่าเว้นวรรคไปพักใหญ่ กวินสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ในขณะที่เด็กหนุ่มได้แต่ยืนกลั้นหายใจเพื่อรอฟัง...
“ทุกอย่างที่ทำไป....เป็นเพราะ....
….ฉันชอบนาย....”
หยดน้ำตาเม็ดโตร่วงหล่นลงจากดวงตาคู่เรียว...ในใจรู้สึกเหมือนลูกโป่งที่ถูกสูบลมเข้าไปแต่ติดที่ว่ามันอยู่ในกล่องแคบๆที่ทำให้ไม่สามารถพองโตได้อย่างใจอยาก
ประหลาดหรือเปล่า...ที่เขารู้สึกทั้งดีและร้ายในเวลาเดียวกันแบบนี้
กวินยังคงเดินหน้ากล่าวต่ออย่างใจไม่ดีเมื่อเห็นปฏิกิริยาจากคนตรงหน้า อย่าบอกว่าครั้งนี้เขาทำพลาดอีกแล้วนะ...
“ฉันชอบนายแบบที่ผู้ชายคนนึงจะคิดกับคนที่เขาอยากใช้ชีวิตด้วย...ไม่ใช่แค่อยากนอนด้วย...เข้าใจที่ฉันพูดหรือเปล่า...นายไม่ต้องตอบรับตอนนี้ก็ได้...ฉันอยากขอแค่โอกาสให้ฉันได้ลองพิสูจน์ตัวเองก็ยังดี...ได้หรือเปล่าปอม...?”
ได้ยินอย่างนั้นน้ำตาก็พากันพรั่งพรูออกมามากกว่าเก่า รู้สึกเหมือนถูกใครเอามีดมาแทงเข้าที่อก เสียงปฏิเสธดังตีกันไปมาในสมองทั้งที่หัวใจกลับรู้สึกอยากเดินเข้าไปซุกกอดคนตรงหน้าเหลือเกิน
ทำไมทุกอย่างถึงกลายเป็นอย่างนี้ไปได้...
ทำไมกลไกบางอย่างในตัวเขามันถึงทำงานสวนทางกันได้ขนาดนี้...
“ปอม...” ชายหนุ่มเอ่ยเรียกขึ้นด้วยความรู้สึกร้าวในใจ ตอนนี้คนที่เขาเพิ่งบอกรักไปกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น น้ำตานองเปรอะไปทั่วใบหน้า...
หากแต่แทนที่จะพูดอะไรกลับมา เด็กหนุ่มกลับส่ายหน้าแรงๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
โดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆ อาการของคนตรงหน้าก็อธิบายทุกอย่างได้เป็นอย่างดี...
รู้หรือยัง...ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกับเขา ชัดเจนดีหรือยังกวิน...
ชายหนุ่มละสายตาออกจากร่างเล็กที่ยืนตัวสั่นด้วยแรงสะอื้น มองไปก็มีแต่จะทำให้หัวใจถูกบีบมากขึ้นไปอีก ดันทุรังอยู่แบบนี้ทุกอย่างคงยิ่งแย่ลง และแค่เห็นจักรวาลร้องไห้เพราะเขาก็แทบจะเกลียดตัวเองเสียแล้ว..
“อย่าร้อง...ช่างมันเถอะปอม...ลืมที่ฉันพูดไปนะ...แล้วหยุดร้องไห้เถอะ” ชายหนุ่มกล่าวออกไปทั้งที่สายตาเอาแต่จ้องมองที่พื้น
เคยได้ยินไหมว่า...ยิ่งปลอบยิ่งร้อง...
แทนที่จะหยุดร้อง จักรวาลกลับยิ่งสะอื้นหนักกว่าเก่า
“พี่วิน...ฮึก...ผมขอโทษ...”
สุ้มเสียงที่ได้ยินจากเด็กหนุ่มเสียดแทงเข้าไปในใจคนฟัง...ไม่ว่าจะคิดในมุมไหน ก็เจ็บปวดทั้งนั้น
“อย่าร้อง...ไม่เอาไม่ร้องนะเด็กดี...”
ชายหนุ่มได้แต่พร่ำบอกอย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมา ทั้งที่ในใจเขาเองก็อยากร้องไห้ไม่แพ้กัน...
สุดท้ายเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีขึ้น และเขา...ก็เริ่มจะทนไม่ไหวอีกต่อไป เสียงทุ้มต่ำจึงเอ่ยปากออกมาเบาๆ...
“วันนี้...นายกลับไปก่อนได้ไหม ฉันขออยู่คนเดียวหน่อยนะ...อย่าเครียดล่ะ ฉันบอกแล้วให้ลืมมันไป พอเจอกันที่ทำงานอีกทีก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วกัน...โอเคไหม..”
เด็กหนุ่มมองคนที่ไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาตั้งแต่เมื่อครู่อย่างเจ็บปวด
และเมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรที่เขาพูดไปแล้วจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ร่างเล็กจึงจำต้องหมุนตัวเดินออกจากห้องไปทั้งน้ำตา โดยไม่ลืมที่จะกล่าวย้ำคำขอโทษด้วยเสียงสั่นเครือ...
.
.
.
.