ในตอนที่แล้วมีท่านผู้อ่านแนะนำให้ทำสารบัญค่ะ เดี๋ยวตอนดึกๆจะลองมาทำดู
ลืมคิดไปเลยว่าเดี๋ยวท่านผู้อ่านใหม่ๆจะงงเอาว่าตอนไหนอยู่หน้าไหน
ยังไงต้องขอบคุณมากๆสำหรับคำแนะนำนะคะ
*แก้ไข : ตอนนี้มีสารบัญอยู่ที่หน้าแรกแล้วจ้า--------------
หัวใจหลังเลนส์
#12
“อะไรของพี่ ก็ผมบอกแล้วว่าไม่มีอะไร” เสียงทุ้มต่ำกล่าวกับคนเป็นพี่ชายตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายใจ เขายืนพูดคำนี้มาจะเป็นรอบที่สิบแล้ว
“ไม่มีอะไรแล้วทำไมลูกศิษย์พี่ถึงมาโผล่ในห้องนอนแกในสภาพนั้นวะ” กรวิทย์ถามกลับอย่างหัวเสีย เมื่อครู่ชายหนุ่มตกใจแทบตายตอนเห็นนายจักรวาลเดินออกมาจากห้องนอนของไอ้น้องชายตัวดีในชุดนอนของมัน “บอกไว้ก่อนนะเว่ย ว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กดี อย่าให้รู้นะว่าแกไปทำเขาเสียคน”
“โถ่ พี่เห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ย” กวินยกมือขึ้นขยี้ผมที่กระเซิงอยู่แล้วของตัวเองให้กระเซิงมากขึ้นไปอีก ตื่นมาฟันก็ยังไม่ได้แปรง หน้าก็ยังไม่ได้ล้าง ข้าวก็ยังไม่ได้กิน ดันต้องมายืนเถียงกับพี่จอมระเบียบตั้งแต่ตายังเปิดไม่เต็มที่อย่างนี้อีก
“ก็ฉันเห็นเมื่อก่อนแกชอบหิ้วสาวขึ้นห้องนี่หว่า” กรวิทย์ยังจำได้แม่นถึงเหตุการณ์ในเช้าวันหนึ่งเมื่อครั้งที่น้องชายเพิ่งกลับจากอเมริกาหมาดๆ เขาตั้งใจจะมาเยี่ยมแต่กลายเป็นต้องตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเปิดเข้ามาเจอสาวสวยยืนใส่เสื้อผ้าอยู่ตรงโซฟา พร้อมกับการร่างของน้องชายในสภาพเมาค้างนอนแผ่หราอยู่บนพื้น แล้วลองคิดดูสิ ขนาดผู้หญิงที่ไม่รู้จักเขายังตกใจขนาดนั้น แล้วนี่มันศิษย์รักนะเห้ย...
“เอ้า! ก็นั่นมันสาว แต่ลูกศิษย์พี่มันเด็กผู้ชายไม่ใช่หรือไง”
กรวิทย์พ่นลมหายใจออกทางจมูกแรงๆพลางส่ายหน้าอย่างกระฟัดกระเฟียด “ไม่รู้แหละ ยังไงพี่ขอสั่งตรงนี้เลยว่าห้ามยุ่งกับเด็กคนนั้นในเชิงชู้สาว เข้าใจไหม!”
“คร้าบๆ” คนเป็นน้องได้แต่รับคำด้วยเสียงเหนื่อยหน่ายก่อนจะถอนหายใจเบาๆปิดท้าย
“เอาล่ะ ออกไปกันเถอะ”
กรวิทย์เดินนำไปที่ประตูห้องแล้วเปิดออกกลับไปสู่ห้องรับแขก หมิวและจักรวาลดูเหมือนจะกำลังคุยกันอย่างถูกคอ
เมื่อเห็นสองหนุ่มลูกชายบ้านจารุกิตติ์เดินออกจากห้องมา บทสนทนาระหว่างหญิงสาวและเด็กหนุ่มก็หยุดลง
“คุยอะไรกันอยู่ ท่าทางสนุกเชียว” กรวิทย์ปรับอารมณ์ได้อย่างทันท่วงทีในขณะที่คนเป็นน้องชายกลับพาหน้าตาเซ็งสนิทออกจากห้องนอนมาด้วย
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พอดีถามไปถามมาบังเอิญหมิวกับน้องเขาดันจบมาจากโรงเรียนเดียวกันตอนมัธยมน่ะสิ เลยได้เม้าท์เรื่องครูที่เคยเรียนด้วยไปหลายคนเลย แล้วคุณคุยธุระกับวินเสร็จแล้วเหรอ” หญิงสาวกล่าวอย่างอารมณ์ดี
“เสร็จแล้วล่ะ” พูดจบชายหนุ่มก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “บ่ายสองกว่าแล้ว เรากลับกันเถอะหมิว เดี๋ยวต้องไปเยี่ยมที่บ้านคุณต่ออีก”
ร่ำลากันอีกสักพัก สองสามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันก็ขอตัวกลับไป หากแต่ก่อนกลับ อาจารย์หนุ่มก็ไม่ลืมที่จะหันมาย้ำอะไรแปลกๆให้เป็นปริศนากับคนเป็นลูกศิษย์...
'ถ้าไอ้วินมันมาทำอะไรประหลาดๆกับคุณ รีบบอกผมเลยนะ...'
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“โอ้โห วันนี้ทำไมหน้าตาอิ่มเอิบจังพี่” เสียงลูกน้องเอ่ยทักขึ้นทันทีที่ร่างสูงเดินเข้าบริษัทมา “มีเรื่องอะไรดีๆหรือเปล่า”
ได้ยินดังนั้นกวินก็เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองก่อนจะหันไปถามคนที่ส่งคำถามมาเมื่อครู่ “กูดูเป็นอย่างนั้นเหรอ”
“เออดิพี่ ดูแฮปปี๊แฮปปี้ว่ะ คนละเรื่องกับสามสี่อาทิตย์ที่ผ่านมาเลย” ไม่เพียงแค่คนตอบเท่านั้น แต่คนฟังรอบข้างก็พากันพยักหน้าสนับสนุน
หากแต่กวินก็ทำเพียงแค่ยักไหล่เบาๆก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพลางกวาดตามองไปทั่วฟลอร์ “เออ มีโต๊ะว่างๆบ้างไหมวะ”
“อ่า...มีโต๊ะพี่เต้ยที่เพิ่งลาออกไปน่ะครับ ทำไมเหรอพี่ หรือมีเด็กใหม่”
“ใช่ ใครช่วยให้แม่บ้านไปจัดหน่อยสิ เดี๋ยวเขาคงมาแล้วล่ะ”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ร่างของเด็กหนุ่มซึ่งเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีในบริษัทก็ปรากฏขึ้นที่ทางเข้า และเพียงไม่นานสองเรียวขาก็พาร่างเล็กๆนั่นเดินเข้ามาถึงจุดที่กวินยืนอยู่
“อ้าวเห้ย อย่าบอกนะว่าเด็กใหม่ที่ว่าคือน้องปอม” บรรดาลูกน้องต่างก็ยิ้มกว้างออกมาเมื่อกวินพยักหน้าตอบคำถามที่ว่า ก่อนจะแย่งกันทักทายเด็กหนุ่มที่ไม่ได้เจอกันมาสักพักใหญ่ๆ
จักรวาลยกมือขึ้นไหว้พี่ๆพนักงานรอบข้างด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มดูจะเข้าได้ดีกับพวกลูกน้องของเขาอยู่แล้ว กวินจึงเอ่ยขึ้นตัดบทให้ตัวเอง “ไอ้เต้ ฝากมึงดูเรื่องโต๊ะให้เจ้าหนูนี่หน่อยนะ เดี๋ยวกูขอเข้าไปเคลียร์งานส่งฝรั่งก่อน”
พูดจบชายหนุ่มก็เดินหายเข้าไปในห้องทำงาน
เต้ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่รีบลุกกุลีกุจอมาพาจักรวาลไปยังโต๊ะตัวที่ว่า ก่อนเรียกแม่บ้านมาเก็บกวาดข้าวของละแวกโต๊ะตัวนั้นออกให้ด้วยความกระตือรือร้น
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ทันทีที่ส่งแผนสรุปงานไปให้ทางเมืองนอกสำเร็จ กวินก็ลุกก้าวออกจากห้องทำงานของตน
ร่างสูงยืนสอดส่ายสายตาหาเจ้าเด็กใหม่ที่เพิ่งเริ่มงานหมาดๆในเช้าวันนี้ ก่อนจะต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อพบว่าโต๊ะของลูกน้องที่ลาออกไปตัวที่ว่ามันดันอยู่เลยไปถึงริมห้องอีกฝั่ง และหากไม่ใช่เพราะไอ้พวกสิงห์สาราสัตว์ที่รุมล้อมชวนเจ้าหนูนั่นคุยอยู่รอบโต๊ะแล้วล่ะก็ เขาก็คงหาไม่เจอได้ง่ายๆแบบนี้แน่นอน
สองขาสาวยาวๆไปที่จุดหมายอย่างแน่วแน่
ชายหนุ่มกระแอมเบาๆเมื่อเคลื่อนตัวไปถึงที่หมาย
“อุ้ย! พี่วิน” บรรดาลูกน้องที่หันมาตามเสียงต่างก็สะดุ้งไปเมื่อเห็นว่าใครมายืนอยู่ข้างหลัง
“งานการไม่ทำ?”
แม้คำพูดที่เปล่งออกไปจะเป็นเพียงประโยคสั้นๆ หากแต่อานุภาพของมันกลับเห็นผลชงัด ยืนยันได้จากกลุ่มคนที่แตกฮือกันกลับที่นั่งของตัวเองแทบไม่ทัน
เมื่อในที่สุดบริเวณนั้นเหลือเพียงคนที่ต้องการจะคุยกวินจึงได้เริ่มพูดขึ้น
“เนื้อหอมจริงนะเจ้าหนู” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาเรียบๆ
เด็กหนุ่มเหลือบตาขึ้นมอง ในหัวลังเลว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไรในเมื่อตนไม่สามารถแยกออกได้ว่าที่ชายหนุ่มพูดมาเมื่อครู่มันเป็นคำชมหรือคำด่ากันแน่
“ฉันแค่จะมาเรียกให้เข้าไปคุยน่ะว่าหน้าที่ของนายมีอะไรบ้าง” กวินยกมือขึ้นลูบกรามสวยได้รูปของตนเองเบาๆ ก่อนจะปรายตามองโต๊ะตัวที่เด็กหนุ่มจับจองอยู่ สลับกับห้องทำงานของตนที่อยู่ห่างออกไปลิบๆนั่น “...แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว”
คำพูดชวนสับสนมึนงงของช่างภาพคนดังทำเอาคนฟังขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
“เอาอย่างนี้ นายไปนั่งรอในห้องฉันก่อนแล้วกัน เดี๋ยวตามไป” ชายหนุ่มกล่าวเพียงแค่นั้นก็เดินจากไป ทิ้งไว้ให้คนที่ยังไม่ทันจะพูดอะไรสักคำต้องนั่งมึนอยู่ครู่หนึ่ง
แต่ในที่สุดเด็กหนุ่มก็เดินตรงไปยังห้องส่วนตัวของกวินตามคำสั่งที่ได้รับ
ภายในห้องทำงานขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ถูกตกแต่งด้วยภาพถ่ายขนาดต่างๆที่เขารู้จักพวกมันทุกภาพเป็นอย่างดี ร่างเล็กนั่งลงที่โซฟาตัวกระทัดรัดที่มุมห้องพลางหยิบหนังสือภาษาฝรั่งบนโต๊ะตัวเตี้ยตรงหน้าขึ้นมาเปิดดูอย่างสนอกสนใจ
เพียงไม่นาน เสียงครืดคราดที่ประตูบานเลื่อนก็เรียกให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะต้องรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นเจ้าโต๊ะตัวที่เขานั่งอยู่เมื่อครู่ถูกยกเข้ามาในห้องโดยคนสองคน หนึ่งคือพี่ยามหน้าบริษัท ส่วนอีกหนึ่งคือคนเป็นเจ้าของบริษัทที่ลงทุนออกแรงยกเองกับมือ
เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นไปช่วยแม้ในใจจะยังเต็มไปด้วยความสงสัยก็ตาม
“ขอบใจมากพี่ดำ เอ้านี่” ช่างภาพคนดังยื่นเงินทิปเล็กๆน้อยๆไปให้ชายในชุดรปภ.ตรงหน้าก็เอ่ยปากบอกให้ไปทำงานต่อได้
เมื่อห้องทั้งห้องเหลือกันอยู่เพียงสองคน จักรวาลก็เป็นฝ่ายเริ่มถามขึ้นในขณะที่กวินยังคงง่วนอยู่กับการจัดที่จัดทางให้เจ้าเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหม่ของห้องเขา
“ยกเข้ามาทำไมเหรอครับ”
ชายหนุ่มออกแรงเลื่อนโต๊ะตัวที่ว่าไปจนกระทั่งชิดกับผนังว่างๆฝั่งหนึ่ง แล้วจึงหันมาตอบคำถาม
“เดี๋ยวนายทำงานในห้องนี้นี่แหละ ที่เดิมมันไกลไปหน่อย”
ได้ยินดังนั้นคนฟังก็ได้แต่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“ในห้องคุณเนี่ยนะ?”
“ก็เออสิ” คนถูกถามหันมาตอบราวกับเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน หากแต่มันกลับฟังดูทะแม่งๆในความรู้สึกของคนฟังน่ะสิ
กวินกวักมือเรียกให้เด็กหนุ่มเดินมานั่งที่โต๊ะของตน ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ก็นายปิดเทอมแค่สองเดือนครึ่งไม่ใช่หรือไงล่ะ มานั่งใกล้ๆฉันจะได้เรียนรู้งานเร็วๆ ไม่ดีเหรอ”
จักรวาลคิดตามคำที่ชายหนุ่มด้วยสีหน้าลังเลใจ...ถึงจะแปลกๆไปสักหน่อยแต่ก็ฟังดูไม่เลว...
“มาคุยเรื่องงานที่นายต้องทำกันดีกว่า” แฟ้มเอกสารพิมพ์ลายกราฟฟิกเก๋ไก๋ถูกเลื่อนมาตรงหน้าจักรวาล “โชคดีมากที่นายเข้ามาช่วงนี้ เพราะประมาณปลายเดือนหน้าโฟโต้แฟคสตูกำลังจะมีโปรเจ็คร่วมกับคอนเทมป์อาร์ทแกลเลอรีในนิวยอร์ก เขาขอให้เราสร้างงานเซ็ทนึงไปโชว์ คีย์เวิร์ดที่ให้มาคือคำว่าคัลเจอร์ช็อค รายละเอียดอยู่ในแฟ้มนี้หมดแล้ว เดี๋ยวนายลองเอาไปนั่งอ่านดู”
เด็กหนุ่มหยิบแฟ้มขึ้นมาพลิกดูคร่าวๆ ในหัวนึกตื่นเต้นไปกับเนื้อหางานที่กวินพูดมา จินตนาการไปถึงช่วงเวลาหลังจากนี้ที่เขาคงจะได้เห็นการทำงานแบบเต็มๆของช่างภาพคนดังอย่างเจาะลึก...ซึ่งแค่นี้ก็เป็นบุญมากแล้ว
“ประเด็นสำคัญคืองานครั้งนี้เราจะผลิตผลงานภายใต้ชื่อบริษัท ไม่ใช่ชื่อฉันคนเดียว ฉันเลยวางตัวช่างภาพในทีมไว้สี่คน มีฉัน มีไอ้ก้อ ไอ้จอม...และอีกคนนึงก็คือนาย”
“เห้ย!”
“เห้ยอะไร?”
“ก...ก..ก็คุณบอกจะให้ผมเป็นช่างภาพในทีม”
“ก็ใช่ไง”
“ท..ทำไมอ่ะ?” เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงตระหนกตกใจที่ฟังดูแล้วไม่แน่ใจว่าถามคนตรงหน้าหรือถามคนตัวเองกันแน่
“เอ้า! แล้วคิดว่าฉันให้นายมาทำงานในฐานะอะไรล่ะ”
“ก็...แต่ว่านั่นมันงานใหญ่นี่นา มือสมัครเล่นอย่างผมจะไหวเหรอ”
ได้ยินดังนั้นคนฟังก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ไม่รู้ว่าเจ้าคนขี้แยเวอร์ชั่นว่าง่ายเมื่อวันก่อนหายไปไหนแล้ว ทำไมวันนี้มันเหลือแต่ไอ้เด็กเรื่องเยอะมานั่งคุยกับเขากันล่ะนี่
“มั่นใจในตัวเองหน่อยสิไอ้หนู มีฉันอยู่ด้วยทั้งคนนายกลัวอะไร” เสียงทุ้มต่ำกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ดวงตาคู่เรียวสวยช้อนขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยหลากหลายความรู้สึกปะปนกัน ทีแรกที่กวินชวนเขามาทำงานช่วงปิดเทอมที่นี่ก็คิดว่าคงจะได้มาทำหน้าที่ลูกจ๊อกเหมือนเด็กฝึกงานทั่วๆไป ซึ่งเพียงแค่นั้นก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากๆแล้วที่จะได้คอยเฝ้าเรียนรู้งานจากมืออาชีพชื่อดังแบบเต็มชั่วโมงขนาดนี้ หากแต่สิ่งที่กวินเพิ่งบอกเขาเมื่อครู่นี่มันวิเศษยิ่งกว่าวิเศษสำหรับเด็กบ้านนอกจนๆอย่างเขา....วิเศษจนเขาไม่กล้าคิดที่จะลองทำมันเลยด้วยซ้ำ...
“ขอบคุณครับคุณกวิน....” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่ว
“ดี” ชายหนุ่มพยักหน้าขึ้นลงอย่างพอใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น “เอาล่ะ นายเอาแฟ้มนี่กลับไปนั่งอ่านให้ละเอียดเถอะ”
จักรวาลลุกขึ้นคว้าแฟ้มเดินกลับไปที่โต๊ะตัวที่เพิ่งถูกยกเข้ามาไว้ในห้องเมื่อครู่ หากแต่ก็ต้องหยุดฝีเท้าลงเมื่อเสียงจากอีกคนดังขึ้นมาอีกครั้งให้เขาต้องหันกลับไปฟัง
“เอ้อ...แล้วก็นะ พนักงานที่นี่ทุกคนเรียกฉันว่า 'พี่วิน'”
“ครับ?” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วลงด้วยความไม่เข้าใจในประโยคที่ส่งมา
“ฉันบอกว่า ลูกน้องทุกคนเรียกฉันว่า 'พี่วิน'”
“แล้ว...ทำไมเหรอครับ?”
เพียงเท่านั้นร่างสูงก็ได้แต่ยกมือขึ้นเกาท้ายทอย ก่อนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเก้อๆ “ช่างมันเถอะๆ ไม่มีอะไร”
เด็กหนุ่มยืนนิ่งคิดทบทวนอยู่กับสิ่งที่กวินพยายามจะสื่อครู่หนึ่ง
และเพียงไม่นานรอยยิ้มบางๆก็ถูกจุดขึ้นที่มุมปากสีสด....
“...พี่ๆคนอื่นเขาก็ไม่เรียกผมว่าไอ้หนูเหมือนกันครับ...เอ่อ....พี่วิน....”
ไม่รู้ทำไม อยู่ๆชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนว่าหุบยิ้มไม่ลงเอาดื้อๆ
“อืม...ปอม”
TBC.
*นอกเรื่องสำหรับเฉพาะผู้ที่สนใจศิลปะภาพถ่าย
เมื่อวานมีท่านผู้อ่านรีเควสท์ให้เอาภาพที่ชอบมาโพสท์ให้ดู เลยขอเลือกผลงานของคุณ Ralph Gibson มาโชว์แล้วกันค่ะ
Gibson เป็นศิลปินช่างภาพที่คนเขียนชอบอีกหนึ่งท่าน โดยเฉพาะผลงานในยุคแรกๆ (และเคยพูดถึงชื่อนี้ไปตอนต้นเรื่องด้วยแหละ จะบอกให้) งานของศิลปินท่านนี้ส่วนมากจะหนักไปทางเซอร์เรียลค่ะ แต่บางภาพก็ไม่ใช่นะ ไลฟ์ธรรมดาก็มี และภาพสีก็มีเหมือนกัน
ภาพชุดที่คนเขียนชอบเป็นพิเศษคือ Somnambulist (ผู้ละเมอ) กับ Quadrants (เสี้ยว)
ลองเข้าไปยลภาพในเว็บไซต์ของเขากันเองเลย
http://www.ralphgibson.com/ขอให้สนุกกับการตีความนะคะ