ทฤษฎี : บทที่ 4
แซนออกจากบ้านไปสนามบินกับพ่อตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อเดินทางไปยังไร่องุ่น ส่วนตัวผมกับแม่อาจมีสวนปาล์มหรือไร่มันสำปะหลังรออยู่ข้างหน้า ก็แค่เดาสุ่มเพราะแม่เองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าที่ดินผืนนี้มีผลหมากรากไม้อะไรจับจองพื้นที่ไว้บ้าง
คุณโฉมฉายคนสวยวันนี้แต่งตัวทะมัดทะแมงพร้อมลุยป่า แต่ด้วยว่าแม่เป็นคนรักสวยรักงามจึงยังคงไว้ซึ่งเครื่องประทินผิวเพียงบางเบา อีกทั้งให้เกียรติเป็นตุ๊กตาหน้ารถพร้อมสำทับหนักแน่นว่าจะไม่เผลอหลับ อยู่เป็นเพื่อนคุยกับผมจนกว่าจะถึงที่หมาย
“กลับมารอบนี้ดูโทรม ๆ นะเรา งานหนักมากเลยหรือ”
“ไม่หรอกครับแม่ ผมแค่เพลียเพราะพักผ่อนน้อยมากกว่า”
“แล้วน้องอ้นล่ะ ทำไมไม่กลับมาด้วยกัน”
“ผมชวนแล้วแต่เขาปฏิเสธ อ้นของแม่เขาคงอยากให้เวลากับเพื่อนสนิทคนใหม่”
“ใคร แม่รู้จักหรือเปล่า”
“เพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ไม่แน่ใจว่าผมเคยเล่าให้แม่ฟังหรือเปล่า”
“วิน ๆ อะไรนั่นใช่ไหม”
“ครับ ธาวินคนนั้น ไม่รู้อะไรดลใจให้เขามาสมัครตำแหน่งงานที่เพิ่งเปิดรับ ช่วงหลังมานี้เปมทัตก็เลยต้องต้อนรับขับสู้สมาชิกใหม่ไม่เว้นแต่ละวัน”
“คู่ปรับเก่าเราไม่ใช่หรือ ธาวินคนนี้น่ะ คนที่หาเรื่องจนลูกต้องลาออกจากชมรมกีฬา แม่จำได้”
“ครับ แต่ตอนนี้เราไม่ใช่เด็กมัธยมกางเกงน้ำเงินอีกต่อไปแล้ว เรื่องในอดีตก็ปล่อยให้มันเป็นบทเรียน ผมขออยู่กับปัจจุบันดีกว่า”
“โตขึ้นเยอะเลยนะ ซันนี่ของแม่เนี่ย”
ผมยังไม่กล้าบอกท่านว่าบทเรียนจากอดีตมันส่งผลกับปัจจุบันของผมมากเพียงไหน ดังนั้นเพื่ออนาคตที่สว่างไสวผมขอใช้ชีวิตเพื่อตัวเองบ้างสักครั้ง หลังจากแปดปีที่พ้นผ่านกับความรักที่ไม่เคยมีรสชาติหอมหวานในความรู้สึก
เราเดินทางมาถึงที่ดินร่มรื่นผืนใหญ่เมื่อตะวันตั้งฉาก จากที่คาดหวังไว้ว่าจะเจอสวนปาล์มกลับกลายเป็นฟาร์มอาชา คอกม้ากว้างสุดลูกหูลูกตาดูอย่างไรก็ไม่น่าจะมีม้าเพียงสองตัวอย่างที่มองเห็น ตัวหนึ่งสีดำขลับกับอีกตัวสีมะฮอกกานี
“คุณโฉมฉายที่จะมาดูที่ดินวันนี้หรือเปล่าครับผม” เดาว่าคนที่เดินเข้ามาเมื่อรถของผมจอดสนิทคงเป็นนายหน้าที่ติดต่อมาผ่านทางโทรศัพท์ก่อนหน้านี้ เขาชี้แจงข้อมูลทุกอย่างผ่านเอกสารที่ยื่นให้แม่หลายต่อหลายแผ่นก่อนจะหยุดยืนรับลมเย็นที่เพิงไม้สักหลังใหญ่ มองเห็นได้จากระยะไกลแม้จะมีไม้ยืนต้นมากมาย แต่บ้านต้นไม้หลังนั้นก็ยังคงเด่นสะดุดตา
“เดิมทีที่ดินแปลงนี้เป็นของคนต่างชาติ จุดประสงค์มีไว้เพาะพันธุ์ม้าแข่ง แต่หลังจากเขาล้มป่วยจนดูแลไม่ไหวก็ไม่มีใครมาทำแทนได้ ภรรยาคนไทยที่แต่งงานกันก็ไม่มีความรู้ด้านนี้เลย ส่วนลูกม้าที่เคยเพาะเลี้ยงไว้ก็มีคนที่สนใจทยอยซื้อไปปรับปรุงสายพันธุ์จนเกือบหมดแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่สองตัวเท่าที่เห็นนี่แหละครับ”
“หน้าดินแถวนี้สมบูรณ์หรือเปล่าคะ เผื่อว่ามีการเพาะปลูกอะไรจะมีปัญหาหรือเปล่า”
“สมบูรณ์แน่นอนครับ มูลม้านี่ปุ๋ยชั้นดีทีเดียว” แม่พยักหน้า “เสียแต่ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่มีอยู่มาก ถ้าเพาะปลูกที่ผิวดินอาจต้องตัดออกบ้าง แต่ก็น่าเสียดายแย่ เพราะเหลืองปรีดียาธรกับกาสะลองคำเวลาออกดอกสวยอย่าบอกใครเชียว”
คุณนายหน้าเขาคงสังเกตเห็นว่าผมยังยืนจ้องมองบ้านต้นไม้จึงพาเดินมาชมใกล้ ๆ ต้นจามจุรีใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาจนเต็มพื้นที่ บันไดที่ทอดยาวลงมาดูแข็งแรงและดึงดูดให้ก้าวขึ้นไป ซึ่งผมก็ไม่รอให้คุณนายหน้าเชิญชวน คุณแม่เองก็เอ่ยปากห้ามปรามผมไม่ทันเหมือนกัน
“บ้านนี้นายฝรั่งเขาสร้างไว้ให้เด็กเลี้ยงม้าครับ กลับมาอยู่เฉพาะเวลาปิดเทอม เป็นแค่เด็กระแวกนี้แต่มีใจรักสัตว์มาก เจ้าของฟาร์มเขาก็เลยเอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลาน เห็นคนงานเล่าให้ฟังแบบนี้ แต่ผมเองก็ไม่เคยเจอเจ้าตัวเขาเหมือนกัน ถ้ายังไงเชิญคุณนายเดินชมรอบ ๆ ตัดสินใจอย่างไรก็บอกผมได้ครับ” คุณนายหน้าพูดจ้อก่อนจะเดินปลิวหายไปกับดอกหญ้า
“แม่อยากขึ้นมาไหมครับ ข้างบนนี้อากาศดีมากเลย” ผมส่งมือให้แม่ที่ก้าวขึ้นมาตามคำชวน ประตูด้านหน้าถูกล็อกไว้ก็จริง แต่พื้นที่ตรงระเบียงกว้างขวางเพียงพอจะยืนชมทัศนียภาพโดยรอบ ทั้งคอกม้ากลางแจ้งและในร่ม กระท่อมมุงจากแต่ดูแข็งแรงหลังหนึ่ง รวมถึงเพิงไม้สักที่เราเพิ่งเดินจากมา และที่แปลกตาเห็นจะเป็นริมขอบรั้วที่กั้นทุ่งหญ้าเขียวขจี มีคลองน้ำธรรมชาติไหลผ่าน ทำให้ผมถึงกับหลงรักตั้งแต่แรกเห็น
“ผมชอบที่นี่”
“แม่ก็เหมือนกัน แต่แม่เลี้ยงม้าไม่เป็นนะ คงต้องให้เจ้าของเดิมเขานำไปเลี้ยง” ผมยิ้มตอบรอยยิ้มสดใสของแม่ แต่ผมมีความคิดที่ดีกว่านั้น
“แม่คงไม่คิดว่าจะเพาะปลูกอะไรอย่างที่บอกคุณนายหน้าเขาไปหรอกใช่ไหมครับ”
“ไม่หรอก แม่ยังไม่ได้คิด”
“แล้วพวกรีสอร์ท บ้านพักตากอากาศอะไรจำพวกนี้”
“แม่ก็ยังไม่มีแผนเหมือนกัน บ้านจัดสรรโครงการล่าสุดยอดขายก็ยังไม่ถึงเป้า แม่ยังไม่อยากลงทุนอะไรมากในภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้”
“มิน่าพ่อถึงได้ตัดช่องน้อยแต่พอตัวไปบุกเบิกไร่องุ่น”
“อุตริน่ะสิพ่อเรา เคยจับเสียมจับพลั่วอย่างจริงจังเสียที่ไหน ไร่ออกกว้างใหญ่ปานนั้นจะไปเทียบกับสวนไม้ดอกไม้ประดับข้างบ้านได้ยังไง ถ้าไม่มีคุณเชี่ยวชาญแม่ก็ไม่ยอมให้พ่อเราซื้อมาเล่นสนุกหรอก”
“แล้วถ้าผมอยากกลับมาอยู่ไทย กลับมาช่วยพ่อกับแม่ดูแลธุรกิจ แม่จะว่ายังไงครับ” แม่หันขวับมองอย่างกับตกใจหนักหนา
แรกเริ่มเดิมทีการที่ผมเลือกเรียนภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แม่ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ อยากให้ศึกษาในคณะที่เป็นประโยชน์กับธุรกิจที่บ้านมากกว่า เพียงแต่ท่านไม่อาจหักหาญน้ำใจเพราะอาการติดเพื่อนของผมแสดงออกอย่างชัดเจนตั้งแต่มัธยมปลาย อีกทั้งยังจำยอมให้ผมทำงานตรงสายที่ร่ำเรียน ไกลก็แสนไกล ห่วงก็แสนห่วง แต่ท่านก็ไม่เคยขัดขวาง ท้ายที่สุดคนที่ทำร้ายผมก็คือตัวผมเอง
“พูดจริงหรือเปล่าซัน หรือแค่แกล้งให้แม่ดีใจเก้อ”
“ผมคิดมาสักพักแล้วว่างานที่สถานทูตเหมาะกับผมจริงหรือเปล่า หรือว่าผมแค่สนุกกับบรรยากาศแปลกใหม่ ผมเองก็เพิ่งให้คำตอบตัวเองได้ไม่นานก่อนหน้านี้”
“แล้วน้องอ้นล่ะ”
“เขาไม่เป็นไรหรอกครับ ช่วงนี้เขามีคนอื่นให้ตามติดกันแจ ผมคงไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว” แม่ขยับฝีปากเหมือนอยากถามแต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นถ้อยคำ ผมจึงเลือกที่จะแกล้งเย้าเพื่อเปลี่ยนเรื่อง “แม่ ผมกลับไทยทั้งทีขอมีข้อแลกเปลี่ยนหน่อยได้ไหมครับ”
“ว่าแล้วเชียวเจ้าลูกคนนี้ มีอะไรก็ว่ามาเลย”
“ที่แปลงนี้ ผมขอได้ไหม”
“จะเอาไปทำอะไร อย่าบอกว่าปลูกองุ่นอีกคนนะ แม่ค้านหัวชนฝาจริง ๆ ด้วย”
“เปล่าครับ ๆ” ผมตอบกลั้วหัวเราะ “ผมว่าผมถูกชะตากับม้าสองตัวนั้น”
“ม้า ลูกชอบม้าเหรอซัน ทำไมไม่เห็นเคยบอกแม่”
“ความจริงผมชอบเสือ แต่น่าจะเลี้ยงยากกว่ากันเยอะเลย” ผมเหลือบมองเพราะคิดว่าแม่จะเข้าใจในมุกตลกที่ผมปั้นแต่ง แต่ท่านกลับพยักหน้า “ผมล้อเล่นครับแม่ แค่เห็นว่ามันสวยดี ไม่ได้ชื่นชอบสัตว์อะไรเป็นพิเศษ ที่สำคัญแม้แต่คนเรายังไม่อยากย้ายบ้านบ่อย ๆ นับประสาอะไรกับม้าแข่งพวกนี้ จากเคยมีพื้นที่กว้าง ๆ ให้วิ่งเล่น ลองคิดแทนมันว่าถ้าต้องถูกจำกัดอยู่ในคอกแคบ ๆ มันจะน่าอึดอัดขนาดไหน”
“สรุปอยากได้มากเลยใช่ไหม ที่ดินผืนนี้”
“ครับ มันน่าจะทำประโยชน์ได้เยอะเลยเพราะใกล้แหล่งท่องเที่ยว ถนนหนทางสะดวก อากาศก็ดีไม่มีมลภาวะ มิหนำซ้ำสินค้าแปรรูปจากไร่องุ่นของพ่อก็น่าจะแย่งส่วนแบ่งการตลาดของที่ระลึกแถบนี้ได้มากพอดู แม่เชื่อสิว่าผมทำได้”
“ยังไม่ลาออกจากสถานทูตเลยแท้ ๆ ดูพูดเข้า”
“ผมอยากให้แม่มั่นใจไงครับ เพราะนี่คำสัญญา...ว่าผมจะกลับมาจริง ๆ”
พลบค่ำหลังจากเดินทางกลับถึงบ้านก็ได้เวลานัดกับน้องฐาที่ร้านอาหารกึ่งบาร์ เส้นทางการเดินรถในเมืองหลวงยังติดคงขัดเหมือนอย่างเคย นี่อาจเป็นหนึ่งในหลาย ๆ เหตุผลที่ทำให้ผมตัดสินใจย้ายไปอยู่เบอร์ลิน ถึงแม้จะจดจำความคิดของตัวเองในช่วงแรกไม่ได้มาก แต่ผมก็ไม่อยากกลับไปทำผิดพลาดในเรื่องเดิม ๆ ซ้ำอีก
“รอนานไหมคะ” น้องฐาในชุดจัมพ์สูทสีครีมดูสมวัยกำลังนั่งเล่นโทรศัพท์ โต๊ะที่ผมโทรจองไว้ยังไม่มีจานอาหารอะไรยกเว้นแก้วน้ำดื่ม
“ไม่นานค่ะ ฐาเองก็เพิ่งมาเหมือนกัน”
“ขอโทษที่ให้รอนะคะ พี่ไม่คิดว่ารถจะติดมากขนาดนี้”
“ไม่เป็นไรหรอกคะ ฐาเข้าใจว่าที่ไหนก็แย่งชิงตำแหน่งการคมนาคมดีเยี่ยมอันดับหนึ่งจากกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรไปไม่ได้” ผมหัวเราะ “ร้านนี้สวยดีนะคะ พี่ซันรู้จักได้ยังไงหรือว่าเคยพาใครมา”
รอยยิ้มจริงใจกับนัยน์ตาใสซื่อทำให้ผมไม่อาจโกหก ผมเคยพาเปมทัตมาคือเรื่องจริง มาบ่อยเสียจนบริกรจำได้ว่าพวกเราสั่งอะไรในทุกมื้อที่มาเยือน แต่ผมเลือกที่จะบิดเบือนไม่ตอบตามตรง
“พี่ไม่ได้มานานแล้วค่ะ เจ้าแซนก็ไม่ค่อยถูกโรคกับอาหารรสจัด พี่ก็เลยหาโอกาสมาไม่ได้สักที”
“เหรอคะ ถ้าคราวหน้าอยากมาอีกชวนฐาได้นะคะ ฐาทานได้หมด แต่ว่าวันนี้พี่ซันต้องช่วยฐาสั่งอาหารแล้วล่ะค่ะ ฐาเลือกไม่ถูกมีแต่เมนูน่าทานทั้งนั้นเลย” ผมยกมือเรียกพนักงานที่เดินผ่านมาพอดี
“อ้าวคุณซันสวัสดีครับ” ผมรับไหว้ด้วยใจระส่ำ “วันนี้รับเป็นปลาหิมะอบขมิ้นกับปู่นิ่มทอดกระเทียมเหมือนเดิมไหมครับ” ไม่กล้าเงยหน้าจากเมนู เพราะไม่คิดว่าดวงจะสมพงษ์กับบริกรที่เคยรับรายการอาหารจากเปมทัต สายตาน้องฐาที่มองมาก็เรียบนิ่งเกินกว่าจะเสแสร้ง
“น้องฐาแพ้อาหารอะไรหรือเปล่าคะ จำพวกกุ้ง ถั่ว หรือกลูเตน”
“ไม่ค่ะฐาไม่แพ้ เลือกที่พี่ซันชอบเลยค่ะ ฐาทานได้หมดจริง ๆ” ยิ่งได้ยินอย่างนี้ผมยิ่งละอายแก่ใจ
การพาใครก็ตามมาทับรอยเปมทัตเป็นเรื่องไม่เหมาะสมผมทราบดี แต่ตอนที่โทรนัดแนะกับน้องฐาเรื่องร้านอาหารผมไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้ ผมที่พยายามจะหลีกหนีจากการมีตัวตนของเปมทัตกลับยิ่งถล่ำลึกในเส้นทางที่เขาวางไว้ เราอยู่ด้วยกันนานเกินไป มองทางไหนก็มีแต่รอยเท้าของเขาเหยียบย่ำไว้เต็มไปหมดในความทรงจำ
สุดท้ายแล้วผมเลือกเมนูอาหารที่ไม่เคยทานกับเปมเลยสักครั้งอย่างเมี่ยงแซลมอนทอดและควินัวอบหม้อดินพร้อมไวน์ขาว แม้จะไม่รู้มาก่อนว่ารสชาติเป็นอย่างไรแต่ก็ดีใจที่น้องฐาละเลียดทานโดยไม่ติเตียน
คนคุยเก่งทำลายความเงียบด้วยเรื่องราวสารพัด อีกไม่นานก็จะถึงงานรับปริญญาของน้องฐา แม้ว่าจะเรียนคณะเศรษฐศาสตร์เหมือนเท็ตและแซน แต่ความฝันของว่าที่บัณฑิตคือการเป็นคุณครู เป้าหมายถัดไปคือมหาบัณฑิตครุศาสตร์ในมหาวิทยาลัยที่วาดหวังไว้
น้องวกกลับมาถามเรื่องส่วนตัวผมบ้าง แต่ก็เล่าอะไรให้ฟังมากไม่ได้เพราะผมยังไม่อยากบอกใครเรื่องโยกย้ายกลับมาอยู่เมืองไทย นัยหนึ่งคือติดเกรงใจคุณปราโมทย์ นอกจากพ่อแม่แล้วผมอยากให้ท่านทูตได้รับทราบถึงสาเหตุในการตัดสินใจเป็นคนแรก สาเหตุ...ที่ผมขอใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวของตัวเองเสียที
“แหวนคู่รักที่กูเห็นตำตาอยู่นี่มันอะไรวะ”
ผมหรี่ตามองทองคำขาวฝังเพชรแทนใจที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของทายาทเกียรติพัชรเมธีและรามานุสรณ์จิวเวลรี่เมื่อไอ้แซนเอ่ยทัก แก้วกาแฟที่ถืออยู่ก็พาลจะหลุดจากมือเท็ดดี้แบร์เอาดื้อ ๆ อีกทั้งใบหน้าก็เปลี่ยนสีดูมีพิรุธ แต่ไอ้ตรัสกลับไม่ทุกข์ร้อน ยกเอสเพรสโซ่ขึ้นจิบแอบมีลอบยิ้มอยู่หลังถ้วยแค่เสี้ยววินาทีเป็นขวัญตา
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่บอกกู” ถึงคราวที่ผมต้องเปลืองน้ำลาย ตอนมีปัญหาฟ้าจะถล่มดินจะทลายไอ้ตรัสก็มีแค่ผมที่คอยรับฟัง ส่วนเท็ตมีไอ้แซนเป็นศิราณีจำเป็น แต่ทำไมช่วงเวลาดี ๆ ถึงไม่เคยแบ่งปัน เลือกที่จะเก็บงำเอาไว้แค่สองคน แต่ปฏิกิริยาของหมีทำให้ผมโกรธไม่ลง ทั้งหลุกหลิกหลบตา หยอดยิ้มกับขอบโต๊ะ แล้วยังจ้องมองช้อนกาแฟอย่างกับมีอะไรน่าสนใจหนักหนา ยิ่งไปกว่านั้นยังนั่งกุมมือแล้วหมุนแหวนเล่นให้คนไร้คู่อย่างผมรู้สึกเหมือนโดนตีแสกหน้า
“สองอาทิตย์ก่อน” หลังจากอ้ำอึ้งกันสักพักใหญ่ไอ้ตรัสก็เค้นเสียงตอบมา อีกทั้งยังปากกล้าเอ่ยชื่อเปมทัตทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร “วันหยุดทำไมอ้นไม่กลับมาด้วยกัน”
“นายธาวินอยู่ด้วยทั้งคน ป่านนี้คงขับรถเล่นกันเพลินจนข้ามเขตแดนถึงโปแลนด์แล้ว”
“ธาวินนี่ใคร” ผมลืมตัว ตรัสมันห้ามไม่ให้เพื่อนทุกคนเอาเรื่องทุกข์ร้อนไปใส่หัวคนรักของมัน แต่ครั้งนี้สุดวิสัย ถือว่ากูพลั้งปากไปก็แล้วกัน
“แฟนเก่าอ้น ตั้งแต่ม.ปลาย” แซนเลือกที่จะตอบแทนกัน
“อ้นเคยคบกับผู้ชายด้วยเหรอ แล้วมึงไปรู้เรื่องอ้นได้ยังไง”
“ไม่รู้สิแปลก พี่ธาวินอะไรนี่ตอนอยู่โรงเรียนเก่าดังจะตายห่า งานกีฬาสีแต่ละทีมีแต่คนไปตามเชียร์ ข้างสนามก็แฟนคลับพี่แกทั้งนั้น”
“แล้วไหงแฟนเก่าอ้นตั้งแต่ม.ปลายไปโผล่ตั้งไกลถึงเยอรมัน”
ถามว่าใครเป็นคนต้นคิดเรื่องนั่งประชุมสภากาแฟบ่ายวันนี้ คงต้องโบ้ยไปให้น้องชายฝาแฝดตัวดี เพราะตั้งแต่กลับจากเชียงใหม่ก็ร่ำ ๆ อยากออกไปเที่ยวไม่เว้นวัน แต่ด้วยสภาพร่างกายของผมยังปรับเวลาไม่ค่อยได้ ก็เลยไม่อยากออกไปไหนไกลให้ฉุนเฉียว
“ไม่เป็นไรแน่หรือวะซัน มึงกำลังปล่อยปลาย่างไว้กับแมว”
“ตัวของเขา ใจของเขา กูจะทำอะไรได้” ผมตอบคำถามไอ้แซนตอนที่เท็ตลุกไปเข้าห้องน้ำ “อ้นของมึงพูดเต็มปากเต็มคำว่าจะให้โอกาสหมอนั่น พูดต่อหน้ากูทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่ากูเกลียดมันแค่ไหน กูไม่เข้าใจเปมเลย เท็ตที่ว่าเข้าใจยากแล้ว แต่นี่เหมือนกูคบกับใครมาก็ไม่รู้ตั้งแปดปี” ผมผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ให้ก้อนหนัก ๆ ในอกมันเบาบางลงบ้าง “กูว่ากูจะถอยแล้ว กูไม่ไหว ทู่ซี้เดินหน้าต่อไปก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมา”
“ถอย ความหมายไหน” ตรัสถามเสียงเย็น
“เอาไว้กูจัดการทุกอย่างลงตัวแล้วกูจะโทรบอกพวกมึงคนแรก”
“ใครคนแรก กูหรือตรัส มาเป่ายิ้งฉุบ” ผมได้แต่ชักสีหน้าใส่ไอ้คนชอบกวนน้ำให้ขุ่น ก่อนมันจะยกมือขึ้นมาบีบไหล่ผมเบา ๆ แล้วหันไปเช็คราคาหุ้นในแฟบเล็ตของมันอีกหน
กว่าจะตัดสินใจหิ้วของฝากถุงใหญ่ไปบ้านพิรัตน์ไพศาลได้ก็เกือบใช้เวลาวันหยุดจนหมด เพราะมั่นใจว่าไม่มีของชิ้นไหนใกล้หมดอายุจึงไม่รีบร้อน ขับรถไปจอดที่เดิมอย่างที่เคยมาทุกที คนสวนหรือแม่ครัวก็จวนจะมองว่าผมเป็นสมาชิกของบ้านนี้ คิดในแง่ดีมันก็แค่อดีตเท่านั้น เพราะต่อไปผมคงไม่มีธุระอะไรให้มาที่นี่บ่อย ๆ อีกแล้ว
บางครั้งผมก็สงสัยว่าคุณประภัสสรรู้สึกโดดเดี่ยวบ้างไหมที่ต้องห่างจากคู่ชีวิตไกลถึงคนละขอบฟ้า ครอบครัวตัวป.ดูสดใสทุกครั้งที่พร้อมหน้า และกว่าคุณปราโมทย์กับเปมทัตจะหักใจให้เดินทางกลับไปทำงานอีกครั้งก็รั้งรอพอดู
“อ้าวซัน ทำไมมาเอาป่านนี้ลูก” ผมน้อมไหว้คุณแม่ของเปมทัตตั้งแต่ก้าวลงจากรถ ก่อนจะหอบหิ้วของฝากส่งให้แม่บ้าน ไม่ลืมทักทายถามสารทุกข์รายคน
“ผมขอโทษที่มารบกวนตอนนี้ครับ เพิ่งมีเวลาว่างนำของฝากจากอ้นมาให้คุณแม่” รู้สึกผิดจนแสดงออกทางสีหน้า ผมรู้ตัวดีแต่จะให้ทำอย่างไร ในเมื่อบ้านหลังนี้มีแต่รูปเขาเต็มไปหมดตั้งแต่อนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย ไม่ใคร่ขอยืนชมเป็นรอบที่ร้อย ยิ่งมาดึกเท่าไหร่ก็ยิ่งได้กลับเร็วเท่านั้น
“เมื่อไหร่ตอนไหนแม่ก็ยินดีต้อนรับ คนแก่เหงาจะแย่ คนในบ้านหนีไปทำงานไกล ๆ กันหมด นี่ก็ไม่รู้ติดธุระอะไรถึงกลับไม่ได้ทั้งลูกทั้งพ่อ เราก็อีกคน คุณพ่อคุณแม่ไม่บ่นบ้างหรือวันหยุดก็น้อยงานก็หนัก”
“มีบ้างครับ แต่ท่านจำยอมอย่างเสียไม่ได้มากกว่า” ท่านหัวเราะก่อนจะพาผมไปนั่งที่เก้าอี้สีโอ๊กตัวโปรด
“หิวอะไรไหม ทานอะไรมาหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับ แต่ถ้าคุณแม่ยังไม่ทาน ผมทานเป็นเพื่อนได้ครับ”
“อายุป่านนี้แล้วทานมื้อเย็นช้าไปก็ไม่ไหว” คุณแม่ของเปมทัตชอบถ่อมตัวว่าอายุมากอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่จริงเลย ท่านยังสะสวยผิวพรรณดีอย่างคนรักสุขภาพ ผมก็ได้แต่ยิ้มรับ “ว่าแต่เจ้าอ้นฝากอะไรมาเยอะแยะ ทุกทีไม่เคยซื้อฝากมากขนาดนี้”
“เขาคงกลัวคุณแม่จะน้อยใจที่วันหยุดไม่ได้กลับมาหา ก็เลยส่งของกำนัลมาอ้อนหรือเปล่าครับ” ผมไม่ได้ตั้งใจจะเปิดดู แต่เห็นลาง ๆ จากภายนอกว่ามีทั้งกระเป๋ารองเท้าแว่นตารวมไปถึงเครื่องสำอาง โชคยังเข้าข้างที่ไม่โดนกรมศุลกากรสุ่มตรวจ
“หรือไม่ก็แค่หาเรื่องใช้เงินฟุ่มเฟือย นิสัยไม่เคยเปลี่ยนเลยจริง ๆ”
“แต่ก็ดีใจไม่ใช่หรือครับ ที่ลูกชายคิดถึงคุณแม่ขนาดนี้”
“โทรมาทุกวันอยู่แล้ว ข้าวของพวกนี้ไม่มีความจำเป็นสักนิดเดียว เดี๋ยวคืนนี้โทรมาต้องโดนแม่เอ็ดสักหน่อย” แย่ล่ะสิ ผมไม่เคยรู้เลยว่าเปมทัตโทรหาคุณแม่ของเขาทุกวัน ป่านนี้ไม่สงสัยแล้วหรือว่าผมเอาของเขาไปเก็บไว้ไหน ทำไมเพิ่งเอามาให้วันนี้
หลังจากพูดคุยกันอีกสักพักผมก็ขอตัวกลับเพราะไม่อยากรบกวนเวลาจนดึกดื่น คุณแม่เสียอีกที่เป็นฝ่ายรั้งไว้ ผมเองก็อยากจะอยู่คุยเล่นกับท่านเหมือนแต่ก่อน ต่างก็ตรงที่ตอนนี้ไม่มีทายาทคอยนั่งฟังด้วยรอยยิ้ม
คุณโฉมฉายวางมือที่ไหล่ตอนที่ผมกำลังรวบรวมความกล้าและวาทะศิลป์จัดพิมพ์จดหมายลาออก ผมเหลือบมองแม่ครู่หนึ่งก่อนจะเอียงคอซบหลังมือที่หอมกว่าใคร
“พรุ่งนี้เราต้องไปสำนักงานที่ดินก่อนกลับนะ”
“ไม่เห็นต้องรีบขนาดนี้เลยครับแม่”
“ไม่รีบไม่ได้หรอก แม่กลัวเราเปลี่ยนใจ แม่รู้นะว่าซันไม่ใช่คนโลเล ความคิดความอ่านเด็ดขาด แต่เราไม่รู้หรอกว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่ห่วงแสนห่วงขนาดไหน แค่โทรหาแค่ได้ยินเสียงมันจะไปพออะไร สู้เห็นหน้ากันก็ไม่ได้ อย่างเจ้าแซนอยู่สุราษฎร์ฯ ก็จริง แต่ก็ยังใกล้กว่าเราเป็นไหน ๆ”
“ผมตัดสินใจไปแล้ว ผมไม่ผิดคำพูดกับแม่หรอกครับ ผมรู้ว่าแม่ไม่อยากให้ผมไปตั้งแต่แรก ผมมันรั้นเอง แต่คราวนี้ผมมั่นใจว่าไม่ใช่เรื่องผิดพลาดแน่นอน”
“แม่ก็เชื่ออย่างนั้น แม่รู้ว่าซันชอบธรรมชาติมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว”
“แม่รู้หรือครับ”
“รู้สิ นี่แม่ทั้งคนนะ ไม่ใช่ตาสีตาสาที่ไหน ลูกรักชอบอะไรทำไมแม่จะไม่สังเกต” กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ เพราะไม่รู้ว่าแม่หมายความรวมถึงกรอบรูปที่มีแต่ภาพผมกับเปมทัตเต็มห้องนอนนี่ด้วยหรือเปล่า ผมจึงต้องจนใจเปลี่ยนเรื่องคุย
“ว่าแต่ทันแน่หรือครับ ผมต้องไปสนามบินก่อนสองทุ่ม”
“ทันสิ ทนายเตรียมเอกสารไว้หมดแล้ว รอลูกไปเซ็นเท่านั้นเอง” ผมสวมกอดเอวนุ่ม ๆ ก่อนจะได้รับจูบอุ่น ๆ ที่ไรผม “พรุ่งนี้ตอนเย็นแม่จะเข้าบริษัท ถ้าไปสนามบินตอนไหนโทรบอกแม่ก่อน แม่จะไปส่ง”
“ครับ ขอบคุณนะครับแม่ สำหรับทุกอย่าง”
แปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยที่ตลอดสี่วันที่ผ่านมาผมไม่กระวนกระวายใจหรือคิดถึงคนอีกฟากฟ้ามากเท่าที่ควรจะเป็น มีบ้างที่ใจเขวไป กังวลว่าเขากำลังทำอะไร กินอิ่มนอนหลับหรือไม่ แต่เมื่อภาพในหัวตัดไปที่นายธาวิน ความห่วงหาก็แปรเปลี่ยนเป็นความอิจฉา และคนที่กินข้าวไม่ลงก็คงเป็นผมเอง
ด้วยเหตุผลสนับสนุนหลายอย่างทำให้การที่โทรศัพท์ของผมดังขึ้นพร้อมชื่อเปมทัตแสดงอยู่มันจึงเหมือนกับอาการตาฝาดเพราะนอนไม่พอ
(( เดินทางกลับวันนี้หรือเปล่า ))
“อืม”
(( ถึงตอนไหน ให้ไปรับไหม ))
“ไม่เป็นไร โทรบอกคนขับรถของสถานทูตให้มารับแล้ว”
(( แต่ฉันอยากไปรับ ถึงสองทุ่มพรุ่งนี้ใช่ไหม ))
“มีอะไรหรือเปล่า ไม่ต้องมารับหรอก เอาไว้ถึงที่พักแล้วจะไปหาที่ห้อง”
(( อย่างนั้นก็ได้ ))
ผมควรจัดการกับความรู้สึกที่ประดังประเดเข้ามาอย่างไร ทั้งดีใจ เป็นห่วง และกังวล ดีใจที่อย่างน้อยเปมก็โทรหาทั้งที่ผมไม่เคยมีค่าอะไรในสายตาของเขาอยู่แล้ว เป็นห่วงเพราะน้ำเสียงที่ได้ยินเปรียบเสมือนมีดกรีดพร้อมน้ำกรดรดลงกลางใจ และกังวลที่ไม่รู้ว่าเขาจะคุ้มดีคุ้มร้ายโทรหาผมอีกไหม เมื่อรับรู้ว่าผมไม่ขอใช้ชีวิตใต้ร่มเงาของเขาอีกต่อไป
จิตสำนึกฝ่ายแซนตะโกนลั่นว่าให้เปลี่ยนเบอร์ แต่จิตสำนึกฝ่ายตรัสกลับบอกว่าเก็บไว้เถอะ อย่างไรก็เพื่อนกัน
กว่าจะเดินทางถึงสำนักงานที่ดินต่างจังหวัดก็จวนเจียนเที่ยงอีกเหมือนเคย คุณทนายตระเตรียมเอกสารทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้วเหมือนอย่างที่คุณแม่บอก มีโอกาสได้พบอดีตเจ้าของฟาร์มที่เดินทางมาพร้อมภรรยาและคุณนายหน้า ผมจึงสอบถามถึงข้อมูลเกี่ยวเจ้าอาชาทั้งสองตัว
โอนิกซ์กับอาเกต
เขาว่าชื่อมันมาจากอัญมณี โอนิกซ์ตัวสีดำคือแร่ควอตซ์ชนิดหนึ่งกับอาเกตแปลว่าหินโมรา ผมไม่อยากถามความเป็นมาเพราะดูก็รู้ว่าเรียกตามสีขนอันเงางามของพวกมัน ได้ความรู้อีกมากเกี่ยวกับการเลี้ยงดู ทั้งอาหาร หยูกยา และการขี่ม้าเบื้องต้น เขายังฝากฝังให้ผมว่าจ้างคนงานชุดเดิมที่คุ้นเคยกับม้าให้ดูแลต่อไป จะได้ไม่เสียเวลากับการฝึกฝนพนักงานใหม่ อีกทั้งสุ่มเสี่ยงเพราะความไม่ชำนาญ เขายืนยันว่าทั้งสามคนทำงานได้ดีและขยันขันแข็งไม่เกี่ยงงอน รวมถึงเด็กเจ้าของบ้านต้นไม้หลังนั้นด้วย ผมรับปากและยินดีให้เจ้าของเก่าเขามาเยี่ยมเยียนม้าที่รักได้ทุกเวลาที่ต้องการ
“แม่จะให้ผมเข้าไปหาที่บริษัทหรือว่ารออยู่ที่บ้านครับ”
ผมสายตรงหาแม่ทันทีที่ตรวจสอบแล้วว่าไม่หลงลืมอะไร จะว่าไปการเดินทางคราวนี้ผมแทบไม่มีสัมภาระเลยด้วยซ้ำ หนึ่งกระเป๋ากับหนังสือเดินทาง โทรศัพท์ กระเป๋าเงิน และจดหมายฉบับหนึ่ง บ่งถึงว่าผมเตรียมใจไว้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วจริง ๆ
“เข้ามาหาแม่ที่บริษัทเลยก็ได้ ติดพันเอกสารของพ่อนิดหน่อย” ผมตอบรับก่อนจะขับรถออกไปหาท่านทันที
มีโอกาสโทรลาน้องฐาครู่หนึ่งเพราะไม่อยากโทรทางไกลให้น้องที่ยังเป็นนักศึกษาต้องเดือดร้อน แค่โทรหากันเกือบทุกวันก็เกรงใจจะแย่ ผมผิดที่ทุกครั้งเมื่ออยากโทรหา กว่าจะค้นเจอเบอร์ก็เสียเวลาไปกับอุปสรรคอย่างภาพพื้นหลังหน้าจอ ภาพผมกับเปมทัตในวันรับปริญญา
ว่ากันว่าตัดบัวอย่าเหลือใย ผมไม่ได้ไปหาเปมทัตที่ห้องตามสัญญาเมื่อเดินทางถึงเบอร์ลินตามเวลาพอดิบพอดี เช้าวันรุ่งขึ้นจดหมายที่ผมปราณีตเรียบเรียงอย่างจริงใจก็ถูกส่งให้คุณปราโมทย์ถึงโต๊ะประจำตำแหน่ง ท่านเรียกผมเข้าไปพบทันทีที่เปิดผลึก
“ตัดสินใจดีแล้วหรือ”
“ครับ ผมคิดมาสักพักแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะเหน็ดเหนื่อยอย่างที่ท่านถามผมก่อนหน้านี้ สาเหตุเป็นไปตามที่ผมชี้แจงในเนื้อจดหมายครับ”
“ผมเข้าใจดี ผมขอให้คุณมีความสุขกับฟาร์มในฝันนะศิรานุวัฒน์” ท่านกล่าวส่งท้ายก่อนจะลงลายมือชื่ออย่างชัดเจน
ลายเซ็นที่เปรียบดังปีกกล้าให้ผมโผบินออกจากกรงทองของเปมทัตเสียที▩▩▩