ทะลึ่ง : กามที่ 3
ผมไม่ได้เจอตรัสมาสามวันแล้วตั้งแต่กลับมาจากคอนโด พยายามทำเป็นลืมว่าถูกมันฉกจูบแบบหน้าด้าน ๆ ไปเมื่อหลายวันก่อน ไม่ค่อยอยากจะระลึกถึงเท่าไหร่หรอกนะแต่เอาเป็นว่าคืนนั้นที่มันลุกพรวดพราดออกจากห้องไปก็เพื่ออาศัยนอนที่โซฟา ตื่นเช้ามาก็เห็นมันยืนจิบกาแฟสบายใจอยู่ที่ระเบียงแล้ว วันเสาร์ทั้งวันผมก็ตั้งหน้าตั้งตาปั่นรายงาน ส่วนไหนไม่เข้าใจก็ให้มันทำ เสร็จสรรพได้รูปเล่มพร้อมส่งก็ตอนพลบค่ำพอดี ยืนยันคำเดียวว่าให้มันไปส่งกลับหอแม้เจ้าของรถเขาไม่ค่อยเต็มใจไปส่งก็ตาม เผอิญว่าผมไม่ชอบใช้ชีวิตบนความเสี่ยง คืนแรกเสียปาก คืนที่สองจะเสียตัวไหม อันนี้ไม่อยากคาดเดา
“เฮ้ยเท็ต”
ผมได้ยินเสียงเรียกคุ้นหูจากทางด้านหลังระหว่างเดินผ่านตึกศิลปกรรมเพื่อมุ่งหน้าไปยังหอสมุด หันไปก็เห็นตี๋สอง (ฉายาไอ้แซน ซันคือตี๋หนึ่ง) กำลังเดินตัวปลิวเข้ามาหาอย่างกับมีอะไรรีบร้อนนัก
“มีอะไรวะแซน นี่มึงไม่มีเรียนเหรอ”
“กำลังจะไป สายแล้วด้วยเนี่ย กูฝากมึงเอาหนังสือของไอ้ตรัสไปคืนหน่อยได้ไหม กูยืมมันมาเป็นอาทิตย์แล้ว เกรงใจมัน เดี๋ยวมึงก็ต้องขึ้นไปเรียนคลาสเดียวกับมันอยู่แล้วใช่ไหม” ใช่มั้ง สองสามวันที่แล้วผมก็ต้องเรียนคลาสเดียวกับมันเหมือนกัน แต่ไม่ยักกะเห็นว่าคุณชายท่านจะโผล่หน้าโผล่หนวดมาเลยสักวิชา
“ไม่รู้สิ กูไม่เจอมันมาหลายวันแล้ว”
“อ้าว แล้วไหนซันบอกว่าอยู่กับไอ้ตรัสตลอด อ๋อ กูรู้แล้ว สงสัยจะย้ายเซคฯ บางวิชาไปเรียนพร้อมซัน แล้วมันไม่ได้บอกมึงหรือ”
“เปล่า ไม่เห็นบอก” ส่ายหน้าแล้วยืนเอ๋อสับสนชีวิตอยู่สักพักก่อนจะโดนฝ่ามือพิฆาตจากไอ้แซนเป็นขวัญหัว
“สงสัยงานมันจะยุ่ง ไม่มีอะไรหรอก ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ เดี๋ยวตอนเย็นกูไปหามึงที่ห้องแล้วกัน ห้ามกินข้าวก่อนนะกูจะพาไปร้านใหม่ เด็ดมาก” ผมตอบรับสั้น ๆ ก่อนจะแยกกับมันแค่นั้น
ห้าโมงกว่าแล้วที่ไอ้แซนไปถึงห้องผม อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยและกำลังปั่นรายงานเล่มสุดท้ายของเทอมอย่างขะมักเขม้น วิชานี้ไม่ยากเท่าหัวข้อรายงานที่ตรัสช่วยทำ ยังพอถูไถใช้สติปัญญาอันเรืองรองของผมไปได้
“เหลืออีกเยอะไหมวะ ทำให้เสร็จก่อนก็ได้” พอเห็นว่ามันเข้ามาในห้องแล้วผมก็ทำท่าจะลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่มันดึงแขนผมไว้ก่อน ขยับเข้ามานั่งข้างกันก่อนจะมองหนังสือที่ผมกำลังวิเคราะห์เนื้อหา
“เออ ใกล้เสร็จแล้ว กูปล้ำกับมันมาสามวัน ไม่เสร็จให้มันรู้ไป”
“เท็ต กูขอถามหน่อย มึงกับตรัสมีอะไรกันหรือเปล่าวะ” เพิ่งเข้าใจอาการสำลักน้ำลายก็ตอนนี้เอง จู่ ๆ ไอ้แซนมันก็ถามอะไรพิลึก พอจะเข้าใจว่าไอ้ตี๋ต้องการจะสื่ออะไรแต่คำศัพท์ที่ใช้มันทำให้ผมคิดไปไกลกว่าความหมายจำเพาะ
“ถามทำไม”
“ไม่รู้สิ เมื่อกี้กูโทรชวนมันไปกินข้าวด้วยกันมันบอกไม่ว่าง ยุ่งทำงานห่าเหวอะไรไม่รู้ ปกติถ้ากูชวนไปไหนแล้วมีมึงไปด้วยมันไม่เคยปฏิเสธ ก็เลยสงสัยว่าพวกมึงทะเลาะกันอยู่หรือเปล่า” มันเล่าพึมพำเว้นช่วงหนักเบาแปลก ๆ
“เปล่า ไม่ได้ทะเลาะ ไม่มีอะไรหรอก มึงคิดมาก” ผมผลักหัวมันก่อนจะก้มหน้าก้มตาพิมพ์สรุปจบรายงานต่อไปแต่ก็ไม่วายถูกมันซักไซ้ต่อ โชคดีที่ผมไม่เผลอเปลี่ยนสีหน้าแต่หันมาค้อนใส่มันซะก่อน
“ที่ไปนอนคอนโดมัน ไม่มีอะไรใช่ไหม”
“มึงจะให้มีอะไร กูไม่จับมันปล้ำหรอกตัวใหญ่ออกปานนั้น ไม่สเปคกู”
“ที่ถามก็เพราะเป็นห่วง ไม่อยากเห็นเพื่อนทะเลาะกัน”
“เอ๊ ก็บอกไม่มีอะไรไง ให้กูโทรคุยกับมันโชว์มึงพิสูจน์ไปเลยไหม”
“เอาสิ”
“เฮ้ยกูพูดเล่น มึงจริงจังมากไปเปล่าเนี่ย”
“แต่กูจะให้มึงทำจริง เอาไป” จู่ ๆ มันก็ยัดโทรศัพท์ที่กดโทรออกแล้วใส่มือผม ทำท่าจะกดวางมันก็ชี้หน้าหาเรื่อง
“จะให้กูคุยอะไร”
“ชวนมันไปกินข้าวด้วยกัน”
“นี่มึงความจำเสื่อมใช่ไหม เพิ่งเล่าไปหยก ๆ ว่ามันไม่ว่างแล้วจะให้กูชวนมันทำบ้าอะไร”
(( ว่าไง )) แล้วตรัสมันก็รับสายด้วยประการฉะนี้ โชคดีที่ไม่ทันได้ยินประโยคสุดท้ายที่ผมพูดกับไอ้แซน มันกรอกเสียงแหบพร่ามาตามสายเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนยังไงชอบกล
“ตะ...ตรัส ไปข้าวกัน ไอ้แซนชวน” ตั้งตัวไม่ทันก็เลยแอบติดอ่างไปนิดหน่อย เห็นไอ้ตี๋สองมันลอบถอนหายใจแบบเอือมระอา อ่านปากได้ว่า ‘มึงจะบอกว่ากูชวนทำไม’
(( ทานแล้ว ขอบใจ ))
“แล้วไงวะ กินแล้วทำไมจะไปไม่ได้” ชักขัดใจเหมือนกันที่มันทำตัวประหลาด ต่อให้มันยัดอาหารคาวหวานดินเนอร์ซัพเพอร์อะไรก็ตามแต่ ถึงอย่างนั้นมันก็ยังหอบซิกซ์แพคที่นูนขึ้นมานิดหน่อยไปกับพวกผมอยู่ดี
(( เหลืองานอีกหลายเล่ม เอาไว้วันหลังได้ไหม )) ฟังดูก็รู้ว่ามันโกหก อย่างมันน่ะเหรอจะดองงาน อาจารย์สั่งวันนี้ พรุ่งนี้มันก็ทำแล้ว ไอ้คนที่ขี้เกียจสุด ๆ อย่างผมยังเหลือแค่งานเดียวที่กองอยู่ตรงหน้า มึงตอแหลผิดคนแล้วไอ้สลัด
“ตามใจมึง” ผมกระแทกเสียงแล้วชิงวางสาย ก่อนเจ้าของโทรศัพท์จะรีบรับคืนไปคงเพราะกลัวเวอร์ทูรุ่นใหม่จะลงไปนอนแอ้งแม้งบนพื้นห้องแทนพื้นโต๊ะ
“มันว่าไง”
“มันไม่ไป มันก็พูดเหมือนอย่างที่บอกมึงแล้วจะให้กูโทรไปเสียอารมณ์ทำไม”
“เผื่อมันจะเปลี่ยนใจนี่หว่า แต่ร้านที่กูจะพาไปอร่อยจริง มึงรีบทำ เดี๋ยวกูหลับรอ” พูดเสร็จก็ปีนขึ้นเตียงไปงีบแบบไร้น้ำใจ ถามกูบ้างก็ได้ว่าให้ช่วยอะไรหรือเปล่า
ร้านที่ไอ้แซนแนะนำว่าเด็ดคือร้านอาหารญี่ปุ่นเล็ก ๆ หน้าคอนโดมัน เป็นร้านเพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่กี่อาทิตย์แต่มีลูกค้าขาประจำแล้ว แสดงว่าของเขาดีไม่หยอกซึ่งอันนี้ไม่ลองก็ไม่รู้ เห็นเจ้ามือเดินกลับมาพร้อมรอยยิ้มกว้างหลังจากหายไปโทรศัพท์หน้าร้านเพราะข้างในมีแต่เสียงจอแจ
“กูโทรตามไอ้ซันแล้ว อีกเดี๋ยวมันคงตามลงมา อ้นด้วย”
“ขาดแค่ไอ้ตรัสคนเดียว หึ เล่นตัวเหลือเกิน นาน ๆ จะได้อยู่พร้อมหน้ากันสักที” ผมบ่นปอดแปดอย่างขัดใจ ปลายเทอมอย่างนี้อย่าหวังว่านักศึกษาห้าคนต่างคณะต่างช่วงเวลาเรียนจะมานั่งประจ๋อประแจ๋กันอย่างปกติได้ ไม่มีทาง
“มันคงงานยุ่งจริงนั่นแหละ มึงอย่าคิดมากเลย” มันพูดปลอบประกอบกับบริกรเดินมารับออเดอร์พอดี มันหันเมนูมาให้แต่ผมตอบมันไปว่า ‘แล้วแต่มึง’
ขณะที่กำลังนั่งมองสาวสวยในชุดนักศึกษาต่างสถาบันโต๊ะข้างเคียง ที่เจ้าหล่อนสวมกระโปรงสั้นกันม๊ากมาก เสื้อก็รัดติ้วจนมองทรวดทรงทะลุปรุโปร่งไปถึงไหนต่อไหนอยู่นั้น ผมก็สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างจากทางด้านหลัง
“เท็ดดี้แบร์ เอาทิชชูเช็ดน้ำลายหน่อยไหม” สะดุ้งหันไปมองก็เห็นอ้นเดินมานั่งลงข้าง ๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะร่วน
“อ้นเริ่มปากร้ายแล้วนะ ซันเสี้ยมมาใช่ไหม อย่าไปจำ ห้ามทำนิสัยเหมือนมัน”
“อ้าวไอ้เท็ต มาปรักปรำฉันได้ไง เห็น ๆ กันอยู่ว่าน้ำลายไหล”
“บ้าแล้ว” ผมหลงกลยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดมุมปาก กว่าจะรู้ตัวก็ได้ยินคนทั้งโต๊ะหัวเราะครืนใหญ่ นั่งคุยสัพเพเหระกันไม่นานอาหารที่ไอ้แซนสั่งก็มาเสิร์ฟเต็มโต๊ะ ผมไม่รอให้ใครเชิญก็รีบคว้าแชลมอนโรลทั้งจานมาวางไว้ตรงหน้า
“อันนี้ของกู”
“เออ กูสั่งมาให้มึง ตะกละนักก็กินให้หมด ไม่หมดกูคิดตังค์”
“มึงจะบ้า กินหมดนี่กูได้กลายเป็นชูชกพอดี อ้นช่วยเท็ตด้วยนะครับ” หันไปกะพริบตาปริบ ๆ ออดอ้อนชนิดที่คิดว่าน่ารักสุดชีวิต ก่อนอ้นจะตอบรับด้วยการนั่งอมยิ้ม
“เสียดายแทนไอ้ตรัสจริง ๆ ที่มันไม่ยอมมา”
“เออ กูเห็นด้วย” ซันพูดก่อนแซนจะช่วยเสริม ไอ้ลูกคู่แฝดสองเมื่อกี้มันอะไรกัน เสียดงเสียดายทำไม ร้านอาหารญี่ปุ่นแบบนี้ที่ไหนก็มีเกลื่อนกลาด ถึงแซลมอนโรลที่ผมกำลังหยิบเข้าปากอยู่นี่จะอร่อยจนน้ำตาเล็ดก็เหอะ
“มึงจะใส่วาซาบิทำไมเยอะแยะ สมน้ำหน้า” ปากว่าแต่ไอ้แซนมันก็ยื่นแก้วน้ำอัดลมมาให้ผมอยู่ดี
“อร่อยดีว่ะ อ้นเอาหน่อยไหม อ้ามมม” ใส่จริตสุดฤทธิ์ครับเพราะกลัวกินไม่หมด เดี๋ยวไอ้แซนมันชาร์ตเงินผมเต็มราคาก็ซวยสิ อ้นพร้อมพยักหน้ายืนยันว่าอร่อยจริงก่อนจะชี้ไปทางซันคล้ายว่าจะให้ผมหันไปป้อนทางนั้นด้วย ท่านซันหรี่ตาเขม่นมองต้นเหตุก่อนอ้าปากรับแซลมอนโรลจากผมแต่โดยดี หลังจากนั้นผมก็หันขวับไปหาไอ้แซน มันส่ายหน้ายิกจนแฝดมันขำพรืด
“โซบะเย็นพูนจาน ยังไม่รู้จะกินหมดหรือเปล่า อย่ามายุ่งกับกู”
“ร้อนตัว กูยังไม่ได้บอกเลยว่าจะให้มึง” ลอยหน้าลอยตาหยิบเข้าปากจนไอ้คนฟังมันหมั่นไส้ก็เลยส่งนิ้วมาจิ้มหน้าผากจนหงายหลัง
“กวนตีนแบบนี้ มึงได้อยู่เป็นโสดไปตลอดชาติแน่ไอ้เท็ต”
“โสดอะไร นี่ไง กูมีอ้นอยู่ทั้งคน” ฉวยโอกาสออเซาะคนข้างตัวไปอีกรอบ เอาสิ แฝดน้องปากดีแฝดพี่รับเคราะห์ แฟร์ ๆ
“อ้นรำคาญไหม บอกแซนได้ เดี๋ยวถีบให้” ผมชูนิ้วกลางให้มันเป็นคำตอบ ก่อนจะหันไปหยิบตะเกียบมาคีบโซบะเย็นจากจานมันมากินซะเลย
“ว่าแต่กู อย่างกับมึงมีแฟน”
“ไม่มี”
“นั่นน่ะ แล้วมึงจะแขวะกูทำไม”
“กูกำลังพูดถึงหลักความน่าจะเป็นว่ามึงน่ะสมควรมี บ้ากามขนาดนี้มึงต้องตั้งหน้าตั้งตาจีบใครสักคนไปแล้ว แต่ไม่ยักกะเห็นว่ามึงจะจีบใครติด มีแต่แซวเล่นหรือไม่ก็หลีแบบขอไปทีไม่เป็นกิจจะลักษณะ ส่วนกูไม่มีเพราะกูไม่อยากมี เพราะถ้ามีแล้วมันจะเรื่องใหญ่ ไม่เชื่อถามซัน” แอบเตะหน้าแข้งคนพูดมากใต้โต๊ะไปหนึ่งทีถ้วนข้อหาว่าผมบ้ากาม อย่างกูไม่ได้เรียกบ้ากามโว้ย แต่เขาเรียกผู้มีศิลปะในการส่องหญิง
“จริงเหรอซัน”
“จริง เรื่องใหญ่มาก ถึงขนาดบ้านแตก”
“ขนาดนั้นเลย ทำไมอะ แม่กับป๊าเขาอยากให้มึงเป็นตุ๊ดเหรอวะแซน” แล้วผมก็โดนนิ้วไอ้ตี๋จิ้มที่หน้าผากเป็นรอบที่สอง
“เปล่า กูมีคู่หมั้น”
“หา!” ผมแหกปากลั่นก่อนจะได้มืออ้นมาอุดไว้
“อ้นก็รู้เหรอ” อ้นพยักหน้า บ้าฉิบ อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปีมีแค่ผมคนเดียวที่ไม่รู้เรื่อง
“ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังแต่ไม่รู้จะเล่าให้ฟังทำไม เพราะกูก็ไม่ได้พิศวาสยายนั่นสักเท่าไหร่เลย ถ้าสวยหยาดฟ้ามาดินป่านนี้คงป่าวประกาศลั่นโลกไปแล้ว”
“ไม่สวยเหรอวะ อยากเห็น”
“สวย แต่ไม่สเปคกูว่ะ กูไม่นิยมคุณหนูวีนแตก อะไรนิดอะไรหน่อยก็พี่แซน เอาแต่ใจที่หนึ่งแล้วยังเลือกมากอีก อยู่ด้วยกันตามลำพังกูแทบอยากจะลาโลก ผิดกับตอนอยู่ต่อหน้าแม่ลิบลับ ไม่รู้จะตีบทแตกไปถึงไหน” ไอ้แซนปากจัดผมรู้ดี แต่ไม่คิดว่ามันจะพูดถึงว่าที่ภรรยาในอนาคตได้เจ็บแสบแบบหน้าตาเฉย จนผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าใครมีกรรมหนักกว่ากัน ระหว่างคุณหนูวีนแตกคนนั้นกับคุณหนูแซนดี้คนนี้
“แสดงว่ามึงถูกคลุมถุงชนใช่ไหม ยอมได้ไงวะ”
“แล้วกูจะเอาปัญญาที่ไหนไปปฏิเสธ เขาจับกูหมั้นตั้งแต่สองขวบ”
“หือ นี่กูกำลังฟังเรื่องย่อบทละครช่องไหนอยู่ใช่ไหม ชีวิตมึงนี่มันละครชัด ๆ” หลังจากนั้นผมก็ได้ฟังไอ้แซนเผาคู่หมั้นตัวเองอย่างเมามัน มารู้ทีหลังว่าเจ้าหล่อนชื่อคุณหนูรพี ในใจผมก็ผุดคำถามประหลาดมาเป็นระยะ ๆ แต่ไม่ค่อยอยากเอ่ยปากเพราะกลัวพวกมันจะเข้าใจผิด คิดไปไกล หรืออะไรก็ตามแต่ที่เข้าข่ายเรื่องพิลึก
“แล้วคู่หมั้นซันล่ะ” ผมลองเชิงถามดู
“ไม่มี ไม่เคยหมั้น”
“แล้วไหงแม่ของคุณรพีอะไรนี่ถึงเลือกแซน”
“เคยถามแม่เหมือนกัน เห็นบอกว่าเป็นเรื่องของโหราศาสตร์ ไสยศาสตร์อะไรเนี่ยแหละ”
“โหราศาสตร์เถอะ ไสยศาสตร์กูว่าไม่ใช่แล้ว แม่ของรพีเขาคงไม่เล่นของใส่เด็กสองขวบ” ผมหยอก ทั้งโต๊ะก็ขำกันอีกรอบ และผมอาศัยจังหวะนี้เองถามแทรกขึ้นมา
“แล้วไอ้ตรัสล่ะ หมั้นหรือยัง”
“ถามทำไม” ซันถามกลับพร้อมรอยยิ้มมีนัย
“ไม่ทำไม แค่ถามดู เห็นพวกผู้ดีเขาชอบมีอะไรมาให้แปลกใจเรื่อย อย่างเรื่องไอ้แซนมีคู่หมั้นก็เพิ่งรู้เมื่อกี้ ช็อกดีเหมือนกัน”
“โถ น้อยใจไปได้เท็ดดี้แบร์ พี่แซนขอโทษ ทีหน้าทีหลังมีอะไรจะเล่าให้ฟังเป็นคนแรกเลย” มันแกว่งมือไปมาพร้อมกับร้อง ‘แต่ช้าแต่’ เดี๋ยวพ่องับนิ้วให้ร้องไห้แทนซะเลย
“ไม่มีหรอก ตรัสมันเซลฟ์เซ็นเตอร์ ใครจะมาบังคับมันได้” ซันเขาว่ามาแบบนั้นผมก็พยักหน้ารับรู้ ก่อนจะมาขัดหูขัดตาก็ตอนที่อ้นพูดแทรกพร้อมรอยยิ้มบาง
“สบายใจได้แล้วนะ”
“สบายใจอะไร”
“ก็สบายใจที่...นอกจากแซน ก็ไม่มีใครมีความลับกับเท็ตแล้วไง”
“ก็แล้วไป พูดอะไรกำกวม ไม่น่ารักเลย”
“โอ๊ย ยังไงก็น่ารัก ไม่เชื่อถามซัน” แล้วแซนดี้เพื่อนรักก็ตอกกลับจนไม่มีใครกล้าพูดอะไรต่ออีกเลย รู้สึกว่าคราวนี้ ต่อให้ผมเซ้าซี้ถามซันก็คงไม่ยอมตอบหรอก ผมกับไอ้แซนก็เลยได้แต่นั่งกลั้นขำจนท้องแข็ง
คุยเพลินกินเพลินจนล่วงเวลาไปหลายชั่วโมง อาหารพร่องทุกจานอรรถรสในการพูดคุยก็เริ่มจืด สาเหตุหลักมาจากการที่ซันสั่งงดแอลกอฮอล์เพราะเป็นช่วงใกล้สอบ ก็เลยนึกเรื่องไร้สาระมาเพ้อเจ้อไม่ออก พอทั้งโต๊ะเริ่มเงียบใครบางคนก็เริ่มฉุกคิดถึงเรื่องอื่นขึ้นมาได้ ไอ้แซนสบถทันทีที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา
“บ้าฉิบ วันนี้วันพุธกูลืมไปเลย ซันมึงไม่เตือนกูบ้าง”
“พาลนี่หว่า เห็นไม่พูดอะไรก็นึกว่าไม่ไปแล้ว”
“อะไร ไปไหนกัน” ผมถามแทรก
“สนามบิน ต้องไปรับเพื่อนแม่ว่ะ แลนดิ้งเที่ยงคืนแต่นี่ห้าทุ่มครึ่งแล้ว ถ้าไปไม่ทันกูโดนแม่สวดยับแน่” มันบ่นปอดแปดทำหน้าเซื่อง ผมก็เลยเสนอไปว่าคืนนี้ไม่ต้องไปส่งผมกลับหอ ค้างที่ห้องมันซะจะได้ไม่เสียเวลา
“พรุ่งนี้กูไม่มีเรียนเช้าเหมือนมึงว่ะ กลับดึกแล้วเดี๋ยวต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าไปส่งมึงที่มหา’ลัยอีก”
“ซันกับอ้นด้วยเหรอ”
“พรุ่งนี้อ้นไม่มีเรียน ไอ้ซันมีช่วงบ่ายเหมือนกู”
“เอ้า ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปส่งกูดิ นั่งพูดมากอยู่ได้” ผมโวยวายผุดลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันไปบอกลาอีกสองคนที่นั่งฟังผมเถียงกับไอ้แซนเงียบ ๆ
ไม่น่าหลงไว้ใจหน้าเซื่อง ๆ ของไอ้แซนเลยให้ตาย แทนที่มันจะพาผมกลับหอในแต่มันดันแวะส่งผมที่คอนโดสูงลิ่วเลียบทางด่วนด้วยข้ออ้างที่ว่าดึกป่านนี้หอในคงปิดแล้ว ถ้าเจอยามโหดหน่อยก็ห้ามนักศึกษาเข้าออก เพราะฉะนั้นมันจะลดความเสี่ยงในการโดนแม่ด่าเพราะไปรับแขกบ้านแขกเมืองไม่ทันด้วยการปล่อยผมลอยแพที่คอนโดไอ้ตรัส!
“ไอ้บ้า มันหลับไปแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้ พากูกลับคอนโดมึงเลยไอ้แซน” ผมโวยลั่นโฟล์คสวาเกนของมัน
“ปกติมึงเคยเกรงใจมันด้วยหรือ ไหนบอกว่าไม่ได้ทะเลาะกันแล้วมึงจะกังวลอะไร เดินขึ้นไปทำหน้าสวย ๆ ใส่อินเตอร์คอม เดี๋ยวมันก็เปิดให้มึงเข้าไปเอง”
“ทำหน้าสวยห่าอะไร มันจะแดกหัวกูล่ะสิไม่ว่า มึงบอกเองว่ามันงานยุ่ง”
“โอ๊ย ป่านนี้แล้วมันไม่ยุ่งอะไรแล้ว มึงรีบขึ้นไปเถอะว่ะเสียเวลากู ถ้ากูไปไม่ทันมึงจะช่วยออกตัวรับผิดแทนกูไหม”
“เรื่องอะไร กูไม่ถูกโรคกับพ่อแม่ใครทั้งนั้น”
“แต่มึงควรเอาใจพ่อไอ้ตรัสว่ะ กูแนะนำ”
“มึงนี่เพ้อเจ้อ ก็ได้ กูจะลองขึ้นไป แต่ถ้ามันไม่อยู่หรือหลับไปแล้ว มึงต้องวนรถกลับมารับกู เข้าใจนะ” พูดจบก็ก้าวลงรถ ไม่ลืมที่จะหันไปชี้หน้าคาดโทษไอ้ตัวการหาเรื่องให้ผมปวดหัว แทนที่จะสบายใจสบายตัวหลังทำรายงานเสร็จ
ผมก้าวขาฉับขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นคุ้นเคย ก่อนจะสำนึกได้ว่าควรประหม่าสักหน่อยไหม ถ้ามันเก๊กหน้าขรึมใส่แล้วจะหยอกกลับไปยังไงดี สามสี่วันที่ผ่านมาทำไมจะไม่รู้ว่ามันหลบหน้าผมอยู่ ดีไม่ดีก็คิดว่าผมโกรธ เพราะเมื่อวันเสาร์ผมรีบร้อนจะกลับท่าเดียว ไม่ใช่ว่าจะตั้งป้อมรังเกียจอะไรหรอก...เพื่อนกัน ผมไม่ถือ
“เท็ต” มีเครื่องหมายคำถามอยู่ในน้ำเสียงของคนที่เปิดประตูต้อนรับ ผมยิ้มทะเล้น
“ไม่มีที่ซุกหัวนอนว่ะ ขอนอนด้วยดิ”
“มายังไง ใครมาส่ง” มันถามขณะปิดประตู ส่วนผมเดินมาหาวปากกว้างอยู่กลางห้องแล้ว เห็นคุณชายมันเดินลูบหน้าลูบตาเหมือนยังไม่ตื่นดี อีกทั้งตอนนี้มีไฟดวงเดียวที่เปิดอยู่คือโคมข้างโทรทัศน์ สงสัยจะมารบกวนคนกำลังนอนฝันหวานซะแล้ว
“ไอ้แซน มันพาไปกินข้าวแล้วก็พากูมาปล่อยเกาะที่คอนโดมึง”
“มึงไปนอนต่อก็ได้ เดี๋ยวกูนอนโซฟาเอง เสื้อผ้าก็ไม่ได้เอามาแต่กูอาบน้ำก่อนออกมาจากหอเรียบร้อยแล้ว”
“มีให้ยืม ไปอาบเถอะ อยู่ในร้านอาหารตั้งนานอย่านอนทั้งอย่างนี้เลย” เรื่องมากจริงวุ้ย ได้ยินมันบ่นเป็นคนแก่ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าขนหนูพร้อมเสื้อผ้ามาส่งให้ แต่ผมยังไม่ทันที่จะก้าวถึงห้องน้ำก็ได้ยินมันถามไล่หลังมาเบา ๆ
“ไม่หิวอะไรนะ”
“ไม่อะ อิ่มจนท้องจะแตกอยู่แล้ว”
ระหว่างที่อาบน้ำก็ฮัมเพลงเบา ๆ อย่างอารมณ์ดีเพราะไม่มีอะไรให้ต้องคิดมาก ตรัสมันดูปกติ ไม่พูดจาประหลาดหรือหลบหน้าหลบตา สบายใจแล้วก็เลยนึกพิเรนทร์ขึ้นมา...อยากสระผมว่ะ
“ตรัส ยาสระผมขวดไหน” ฤกษ์งามยามดีถือโอกาสนี้ทดลองยาสระผมกลิ่นที่ผมชอบนักหนา อยากรู้ว่าถ้ามันมาอยู่บนหัวผมแล้วจะสุขโคตร ๆ อย่างเวลาที่ได้กลิ่นจากตรัสหรือเปล่า แง้มประตูนิดหนึ่งแล้วตะโกนถามออกไป เห็นตรัสมันเดินมานั่งลงบนเตียงพอดี
“ขวดสีฟ้า” มันตอบ ผมหันไปมองก็เห็นมีขวดปั๊มสีฟ้าอมเขียวขวดใหญ่วางอยู่ก็ร้องอ๋อ
“ขอใช้หน่อยนะ” ไม่รอคำอนุญาตก็กดมาละเลงบนฝ่ามือ ความรู้สึกแรกคือเย็นและหอม กลิ่นนุ่ม ๆ หวาน ๆ คล้ายมะพร้าวหรือวนิลา ซึ่งมันน่ากินมากกว่าเอามาสระผมอย่างไรชอบกล
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วผมก็ปลงตกเรื่องรูปร่างตัวเองในบัดดล เสื้อผ้าของตรัสนั้นใช่ว่าตัวใหญ่โตมโหฬารอะไร แต่ผิดที่ผมมันแคระแกร็น เสื้อกางเกงที่สวมอยู่มันก็เลยดูหลวมโพรกไปถนัดตา เดินออกมาจากห้องน้ำผ่านเตียงนอนก็เห็นไอ้ตรัสนั่งอ่านหนังสือเล่มเล็กที่คล้ายว่าเป็นสมุดโน้ตอะไรสักอย่างโดยอาศัยแสงสว่างจากโคมไฟข้างหัวเตียง ยืนนิ่ง ๆ ให้มันสังเกตเห็นแล้วคุณชายเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองจริง ๆ มันหลุดขำเมื่อเห็นว่าขากางเกงผมลงไปกองอยู่ที่พื้นเยอะแค่ไหน...ใช่สิ กูมันเตี้ย
“มึงตัวใหญ่เกินไปว่ะตรัส” ผมค่อนขอดก่อนจะเดินสะบัดขากางเกงอย่างยากลำบากไปที่เตียงนอน
“พับขากางเกงขึ้นสิ” มันว่าอย่างนั้นตอนที่ผมก้าวขึ้นเตียงพอดี เห็นคุณชายเขาวางสมุดโน้ตลงใต้หมอนก่อนจะหันมาพับขากางเกงให้เบามือ ผมขืนขาอย่างเกรงใจแต่พอได้ยินไอ้หล่อมันหัวเราะเยาะไปด้วย ผมก็เลยไม่รู้จะเกรงมันไปทำไม
“ตรัส” เมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างผมก็คว้าแขนมันไว้ตอนที่พับขากางเกงเสร็จพอดี ผมยกมือขึ้นทาบหน้าผากแล้วรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่ไม่ต่างจากฝ่ามือมันเท่าไหร่
“ตัวร้อนจี๋เลย”
“อืม เป็นไข้ แต่ไม่เป็นไร ทานยาแล้ว” ปกติตรัสมันไม่ค่อยเป็นอะไรกับใครเขาง่าย ๆ แต่รู้สึกว่าช่วงนี้มันจะอ่อนแอผิดวิสัย แต่ตื้นลึกหนาบางอย่างไร มันหักโหมงานไหน ผมไม่อยากเซ้าซี้
“ทำไมไม่ไปหาหมอวะ ถ้าช็อกขึ้นมาจะทำยังไง”
“ไม่เป็นไรจริง ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็หายแล้ว” มันพูดเสียงอ่อนอย่างเอาใจ แต่ผมไม่เบาใจขึ้นเลย
“กินยาแล้วแน่นะ” มันพยักหน้า บอกว่ามีกระปุกยาเป็นหลักฐานวางอยู่ที่โซฟาก็คงจะไม่โกหก ผมผลักไหล่ให้มันนอนลงบนเตียงก่อนจะจัดแจงดึงผ้าห่มมาคลุมตัวไว้แล้วส่งตัวเองลุกขึ้นไปในครัว ได้ยินเสียงมันถามไล่หลังมาก็ได้แต่สั่งให้มันนอนเฉย ๆ อยู่ตรงนั้น
ผมคว้าภาชนะใบเล็กเพื่อใส่น้ำอุ่นและผ้าผืนเล็กสำหรับเช็ดตัวมาหนึ่งผืน ก่อนเดินกลับเข้าห้องไปเห็นไอ้ป่วยมันนอนเท้าแขนรอคำตอบจากผมอยู่
“เช็ดตัวบ่อย ๆ ไข้จะได้ลดเร็ว ๆ” ผมว่า ก่อนจะเดินไปวางอ่างใบเล็กไว้ข้างหัวเตียง บิดน้ำหมาด ๆ เช็ดใบหน้า ลำคอ แขนขา และหน้าอกให้อย่างเบามือ ได้ยินคนป่วยพึมพำว่าขอบใจ ผมก็ส่ายหน้าแทนคำว่าไม่เป็นไร
“เบาแอร์หน่อยไหม หนาวหรือเปล่า”
“ไม่หรอก กำลังดี” มันโกหกผมรู้ เพราะผมเคยบอกมันว่าผมชอบนอนเปิดแอร์เย็นฉ่ำแล้วมุดอยู่ในผ้าห่มหนา ๆ
“แน่นะ อาการหนักกูไม่รับผิดชอบด้วย” ไอ้ป่วยหัวเราะชอบใจ
“กลัวติดไข้หรือเปล่า”
“ไร้สาระ ถ้ากลัวคงไม่มาเช็ดตัวให้หรอก” ตอบมันไปโดยที่มือยังเช็ดวนอยู่แถวลาดไหล่ยืนยันคำพูด
“พอแล้ว ขอบใจนะ นอนเถอะ” มันบอก ผมเองก็ไม่อยากขัดใจคนป่วย เดินเอาอ่างน้ำอุ่นไปวางไว้ในห้องน้ำ เช็ดไม้เช็ดมือก่อนจะเดินมาทิ้งตัวนอนลงข้างกัน รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ไอ้หล่อมันขยับหนีผมไปยังอีกฝั่งเตียง...
รู้ว่ามันไม่ได้รังเกียจแค่กลัวผมติดไข้ แต่ผมหมั่นไส้ ก็คนบอกแล้วว่าไม่กลัว ไม่กลัว จะอะไรนักหนา แกล้งขยับเข้าไปใกล้มันก็ขยับถอยไปอีก คราวนี้ผมขยับจนชิด ด้านหลังไอ้ป่วยก็ติดขอบเตียงแล้วด้วย ผมหยักยิ้มน้อย ๆ รอดูว่ามันจะทำยังไงต่อ
“เท็ต ชอบแกล้ง” มันกระซิบก่อนจะส่งมือมาบีบปลายจมูกจนต้องเบี่ยงหน้าหลบ
“ก็ตัวมึงอุ่นดี” ผมอ้าง ถือโอกาสส่งแขนไปโอบตัวมันไว้ รู้สึกได้ว่าไอ้หล่อเกร็งตัวไม่ขยับเขยื้อน มีแต่ผมที่สบจังหวะซุกหน้าเข้าหาหัวไหล่ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ นึกหมั่นเขี้ยวอยากขบฟันแรง ๆ แต่ก็ห้ามใจตัวเองไว้ทัน ก่อนจะสอดมือขึ้นสัมผัสเส้นผมนุ่มที่กรุ่นกลิ่นหอมจาง ๆ ไม่ต่างจากผมของตัวเองเท่าไหร่ แล้วหลังจากนั้นคุณชายก็ทำลายสุนทรียภาพในการนอนของผมด้วยการพลิกตัวหันหลังให้เสียอย่างนั้น ผมทำเสียงลอดฟันอย่างขัดใจ หวังจะชักมือที่ยังค้างอยู่ตรงเอวสอบกลับมา แต่ยังไม่ทันได้ออกแรงหมอนข้างชั่วคราวของผมก็รีบรั้งมือไว้
“หน้าใกล้กันเดี๋ยวติดไข้” ใจชื้นขึ้นมาเป็นกระบุงโกย ผมลอบยิ้มอยู่กับแผ่นหลังของมันเงียบ ๆ
เงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองที่ดังระรัวอยู่ในอก▩▩▩