เล่ห์พรางรัก
ตอนที่ ๑๘ ม่านหมอก
เมื่อเหตุการณ์ร้ายๆในชีวิตได้ผ่านพ้นไป เปียวก็ได้ไปทำบุญให้บิดามารดาของตนเองตามที่เคยบอกอลันเอาไว้ และอุทิศส่วน
กุศลผลบุญเผื่อแผ่ไปยังนายนภัทรด้วย คุณตากับคุณยายที่รู้ว่าเปียวจะไปทำบุญจึงได้ถือโอกาสที่ดีนี้ยกกันไปทั้งบ้าน รวมทั้ง
คุณแม่อัญชันก็ด้วย
ครอบครัวของเปียวที่ประกอบไปด้วยนายพรต นางวลัย และพี่ชายกับน้องชายของเปียวก็ไปด้วยกันทั้งหมด หลังจากผ่าน
ปัญหามาหลายอย่างนางวลัยก็ดูจะสงบเสงี่ยมกว่าเดิม เปียวไม่ค่อยได้คุยกับนางสักเท่าไหร่ ยิ่งพอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วมันก็
เหมือนยิ่งมีเส้นกั้นระหว่างกันมากขึ้น พิชญที่เพิ่งรู้เรื่องที่เปียวไม่ใช่ลูกของพ่อกับแม่ก็อดสงสารเปียวไม่ได้ ถึงอย่างไรก็โตมา
ด้วยกัน ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบเปียวเท่าไหร่ เหตุเพราะมีปัจจัยส่วนใหญ่มาจากผู้เป็นมารดาที่ไม่ชอบเปียว ทำให้พิชญรู้สึกตาม
ไปด้วย
บรรยากาศที่ดูร่มรื่นเย็นใจภายในวัดวาทำให้จิตใจที่ร้อนรุ่มของผู้คนที่ได้มาเย็นขึ้นตาม ความสงบที่ไม่ค่อยจะได้พบเจอมาก
นักในชีวิตประจำวันทำให้ผ่อนคลายลงมาก มีเวลานึกคิดทบทวนในสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตหลายหลาก
หลังจากที่ทุกคนทำบุญกรวดน้ำกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว นายพรตได้พาเปียวมาที่โกศของพ่อกับแม่เปียว อลันเดินตามออกมา
ด้วย เปียวเคยมาที่นี่แล้วแต่เป็นในฐานะหลานชาย ไม่ใช่ลูก เมื่อเดินมาส่งเปียวแล้วนายพรตก็เดินกลับไปรวมกับครอบครัว
ปล่อยให้เปียวมีเวลาส่วนตัวอยู่กับพ่อแม่ เมื่อนายพรตออกไปแล้วอลันก็ก้าวเข้ามายืนข้างกายเปียว เด็กหนุ่มยืนนิ่งอยู่อย่าง
นั้น อลันเองก็ไม่ได้ขยับไปไหนเช่นกัน
ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างเชื่องช้าแล้วเปียวจึงค่อยๆนั่งลงด้านหน้าโกศของพ่อกับแม่ พนมมือกราบท่านทั้งสอง เมื่อเงยหน้า
ขึ้นมามองรูปของท่านที่หน้าโกศนั้นภายในใจของเด็กหนุ่มก็เหมือนถูกถ่วงด้วยลูกตุ้มแสนหนัก อลันนั่งลงข้างๆ มองเสี้ยว
หน้าด้านข้างของเด็กหนุ่มที่ดูแสนเศร้า อยากจะปลอบประโลมให้หายคลายจากความเศร้านั้นเหลือเกิน
“พ่อครับ แม่ครับ นี่เป็นครั้งแรกที่เปียวได้เรียกพ่อกับแม่แบบนี้ เปียวไม่เคยรู้เลยว่าคนที่เปียวคิดว่าเป็นลุงกับป้าตลอดมานั้น
คือพ่อแม่ของเปียว เปียวขอบคุณที่ทำให้เปียวเกิดมาและมีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ เปียวไม่ได้มีโอกาสทดแทนคุณ หากชาติหน้ามี
จริงขอให้เราได้เกิดมาร่วมภพชาติเดียวกัน ให้เปียวได้แทนคุณพ่อกับแม่นะครับ”
เด็กหนุ่มเอ่ยบอกกับสายลมที่แสนว่างเปล่าด้วยเสียงที่แผ่วเครือ ความร้าวรอนมันกัดกินใจเขาจนยากจะระงับยับยั้งมันได้
หยาดน้ำตาแห่งความเศร้าหมองคลอคลองจะหล่นร่วง เปียวปาดมันออกแต่มันกลับไหลลงมาไม่ขาดสาย อลันเบือนสายตา
จากใบหน้าของเด็กหนุ่ม มองโกศด้านหน้าของตนเองด้วยสายตาแน่วแน่ พนมมือขึ้นระดับอกก่อนเอ่ยคำ
“คุณพ่อคุณแม่ของเปียว ไม่ต้องเป็นห่วงเปียวนะครับ ผมสัญญาจะดูแลเปียวให้ดี ให้สมกับที่เปียวเป็นที่รักของท่านทั้งสอง
ขอท่านจงวางใจ”
เปียวหันมามองคนพูด แค่เพียงคำพูดไม่กี่คำของอลันกลับทำให้หัวใจที่หนาวเหน็บของเขาอุ่นขึ้นมาได้อย่างประหลาด
ดวงตาสีอ่อนหันกลับมาที่เด็กหนุ่มอีกครั้ง รอยยิ้มบางแตะแต้มริมฝีปากหยักอย่างให้กำลังใจกัน เปียวจึงส่งยิ้มตอบกลับไป
พร้อมกับน้ำตาที่แห้งเหือดไปเมื่อไหร่ไม่รู้ การที่มีคนตัวโตคนนี้อยู่เคียงข้าง มันทำให้ชีวิตของเขาแปรเปลี่ยนไปมากจริงๆ
ทั้งคู่เดินกลับมาสมทบกับทุกคนที่หน้าโบสถ์ ก่อนพากันไปที่รถเพื่อตรงกลับบ้าน เปียวกลับรถคันเดียวกับอลัน ขณะที่คุณแม่
อัญชันกับคุณตาและคุณยายกลับรถตู้ เพราะสมาชิกเยอะมีแม่บ้านอีกสองคนติดสอยมาคอยดูแลคุณตาคุณยายด้วย เปียวส่ง
คุณตากับคุณยายของอลันขึ้นรถแล้วก็หันมาไหว้ลานายพรตกับนางวลัย ก่อนไปขึ้นรถอีกคันกลับบ้านของอลัน
บ้าน ที่ยินดีต้อนรับเขาเสมอ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นคนในครอบครัว ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับที่บ้านหลังนั้นแม้แต่น้อย แต่มัน
กลับอบอุ่นยิ่งกว่าบ้านที่เขาเคยคิดว่ามันเป็นของเขาเสียอีก
“ขอบคุณนะอลัน”
เปียวเอ่ยบอกคนที่นั่งข้างกายเมื่อรถเคลื่อนตัวออกมายังถนนใหญ่แล้ว เขานั่งคิดอยู่นานว่าควรจะพูดบอกกับอลันอย่างไรดี
มันถึงจะดีพอ ณ ตอนนี้คงไม่มีคำไหนดีไปกว่าคำว่าขอบคุณอีกแล้ว
“ผมยังไม่ทันได้ทำอะไรให้คุณเลยนะ” อลันมองเด็กหนุ่มยิ้มๆ วันนี้ช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนดี เพราะเปียวยิ้มให้เขาบ่อยกว่าทุกวัน
“คุณทำสิ ทำทุกอย่าง ขอบคุณมากนะ ผมไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไงดีเลย”
เปียวเอ่ยแย้งคำพูดของอลัน ก่อนบอกด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจ อลันจับมือที่วางนิ่งอยู่บนเบาะรถมากุม ก่อนมองตา
เจ้าของมือสื่อความนัย
“ไม่เป็นไร แค่รักผมมากๆก็พอ”
เปียวอมยิ้มกับคำหวานที่อีกคนเอ่ยบอก อลันมองรอยยิ้มที่เด็กน้อยของเขามีให้แล้วยิ้มตาม แค่รอยยิ้มหวานๆที่ให้มา เพียง
เท่านี้ก็ทำให้คนพูดชื่นใจเป็นที่สุดแล้ว
++++++++++++
ทางด้านวิคเตอร์ เฟอร์ริงตัน ที่คอยเฝ้าดูบุตรชายคนเล็กอยู่ห่างๆนั้นก็ยังไม่ได้ลงมือทำการใดลงไป และทั้งที่คิดว่าการมา
เมืองไทยในครั้งนี้เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ก็ยังมีนาตาเซียติดสอยห้อยตามมาด้วย วิคเตอร์ไม่ได้อยากให้เธอมา แต่สุดท้ายแล้วก็
แพ้มารยาหญิงจนได้
เรื่องของเด็กหนุ่มที่ชื่อปฏิญญา พฤทธาการมันทำให้เขาต้องมาที่นี่ หลังจากที่ได้ฟังอเล็กซานเดอร์ บุตรชายคนโตของ
ตนเองบอกกล่าวเล่าความเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่อลันเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับเด็กปฏิญญานั่นแล้วก็พอทำให้วิคเตอร์รู้ว่าอลันคงมี
ใจให้เด็กคนนี้อยู่มาก หากจะทำอะไรลงไปคงต้องนึกถึงผลลัพท์ที่จะตามมาให้มากเช่นกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ เขา
อยากพบเด็กปฏิญญาที่ได้ยินเพียงแต่ชื่อคนนี้นักหนาแล้ว
“มิลเลอร์” วิคเตอร์เอ่ยเรียกพ่อบ้านเก่าแก่ที่อยู่รับใช้ด้วยความภักดีต่อกันมาอย่างยาวนาน มิลเลอร์ คาร์ล
“ครับ”
มิลเลอร์ก้าวเข้ามาหาผู้เป็นนายจ้างที่นั่งเอนกายสบายๆอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้านพักหลังใหญ่ สถานที่พักชั่วคราวใน
เมืองไทย
“บอกอัลเบิร์ตให้ไปเชิญตัวปฏิญญา พฤทธาการมาที่นี่สักหน่อยสิ” วิคเตอร์เอ่ยบอกกับพ่อบ้านมิลเลอร์ราวกับว่าสิ่งที่พูดนั้น
คือเรื่องธรรมดาและแสนง่ายดายกระนั้น
อัลเบิร์ต คือหลานชายของมิลเลอร์ ที่ได้รับการอุปถัมภ์จากตะกูลเฟอร์ริงตัน ซึ่งคนอุปถัมภ์ก็คือวิคเตอร์เอง เด็กหนุ่มจาก
หมู่บ้านเล็กๆในเคมบริดจ์ เดินทางเข้ามาในเมืองหลวงตามการชี้ชวนของผู้เป็นลุงอย่างมิลเลอร์ และเมื่อศึกษาเล่าเรียนจน
จบอัลเบิร์ตก็ได้เข้ารับการฝึกให้เป็นบอดี้การ์ดชั้นเยี่ยม
วิคเตอร์คิ้วขมวดเมื่อคำสั่งของตนเองได้รับความเงียบตอบกลับมา ชายชรามองพ่อบ้านมิลเลอร์อย่างต้องการคำตอบ
“ทำไม?” วิคเตอร์เอ่ยถาม
“คุณอเล็กซ์ไม่ให้ใช้คนของเธอครับ”
พ่อบ้านมิลเลอร์ตอบคำถามด้วยท่าทีที่นอบน้อมไม่เปลี่ยน วิคเตอร์สบถเบาๆ ไม่ชอบใจกับคำตอบที่ได้รับสักเท่าไหร่
“นี่ก็อีกคน จะหวงบอดี้การ์ดตัวเองไว้ทำไมนักหนาไม่รู้ พ่อจะใช้บ้างนี่ไม่ได้เลย มีลูกแต่ละคนไม่เคยได้ดั่งใจเลยจริงๆ”
วิคเตอร์บ่นบุตรชายคนโตแล้วลามไปถึงบุตรชายคนเล็กด้วยอีกคน ช่างทำอะไรขัดใจเขาเสียจริง
“ใช้เจฟก็ได้นี่ครับ” พ่อบ้านมิลเลอร์เสนอ
“เจฟมันก็คนของอเล็กซ์ไม่ใช่หรือไงกัน?”
“เป็นข้อยกเว้นน่ะครับ”
“หือ?”
วิคเตอร์เลิกคิ้วสูง ไม่เข้าใจว่าจะมีข้อยกเว้นนี้ไปเพื่ออะไร ใช้อัลเบิร์ตไม่ได้ แต่ใช้เจฟฟรี่ที่เป็นบอดี้การ์ดอีกคนของอเล็กซาน
เดอร์ได้
“เออๆ ช่างเถอะ ยุ่งยากนักเดี๋ยวฉันจะไปเอง”
วิคเตอร์เอ่ยตัดบทลดความยุ่งยากน่าปวดกบาล ชายชราลุกออกไปจากห้องนั่งเล่นเพื่อขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องด้านบน นาตาเซีย
เหมือนนกรู้มาได้จังหวะเหมาะ หญิงสาวเลยขอเกาะตามไปด้วยอีกคน วิคเตอร์ชักจะรำคาญที่มีคนตามหน้าตามหลังเสียแล้ว
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อตนเองก็ยังละเรื่องพวกนี้ไม่พ้น มิลเลอร์ส่ายหน้ากับความวุ่นวายนั้น นี่ละนะ หาเรื่องยุ่งยากใส่ตัวตอน
แก่แท้ๆ
++++++++++++
บรรยากาศมืดสลัวภายในห้องนอนห้องหนึ่งไม่ได้ทำให้กามกิจที่กำลังดำเนินไปอย่างร้อนเร่านั้นสะดุดลงแต่อย่างใด บนเตียง
นอนหลังใหญ่สองร่างกำลังกอดเกี่ยวทาบทับจนแทบเป็นเนื้อเดียว ชายหนุ่มที่ถูกทาบทับอยู่ด้านล่างไหล่แนบลู่กับที่นอน
ใบหน้าซุกซบหมอนนุ่มเพื่อสะกดกั้นเสียงครางเครือ ชายหนุ่มอีกคนที่ทาบทับกายของเขาอยู่โถมกายเข้าใส่หนักหน่วงรุนแรง
ริมฝีปากหนากดจูบหัวไหล่ ลากปลายลิ้นไล้เลียไปตามแนวสันหลัง กระแทกกายเข้าออกไม่หยุดพัก
มือหนาของร่างสูงใหญ่ด้านบนนั้นกอบกุมรูดรั้งกึ่งกลางกายร้อนผ่าวของคนใต้ร่างเร็วตามจังหวะกระทั้นกายของตนเอง ส่ง
เสียงครางครึ้มในลำคอด้วยความพึงใจในรสกามา กัดกรามกรอดเมื่อใกล้ถึงที่สุด ความเสียดเสียวแล่นปราดไปทั้งร่างเมื่อการ
กระแทกกระทั้นกายครั้งสุดท้ายมาถึง ปลดปล่อยสายธารอุ่นร้อนพุ่งทะยานทุกหยาดหยด ก่อนทรุดกายลงทับคนใต้ร่าง หอบ
หายใจหนักหน่วง รั้งใบหน้าอีกคนให้หันมาหา กดจูบริมฝีปากที่หอบหนักนั้น คลอเคลียอยู่สักพักค่อยถอดถอนกายแล้วลุก
ลงจากเตียงไป
ร่างกายหนุ่มที่รองรับอารมณ์ดิบที่เพิ่งผ่านพ้นยังคงนอนคว่ำหน้านิ่ง ซุกใบหน้ากับหมอน มือกำขยำผ้าปูที่นอนเกร็งแน่น แม้
เมื่อครู่ที่ผ่านมานั้นมันจะสุขสมสักแค่ไหน แต่ใจของเขามันกลับรวดร้าวเกินทน เมื่อมันมีเพียงความใคร่ แต่ไร้ซึ่งความรัก
เวลาผ่านไปสักครู่หนึ่ง ผู้ที่ลุกจากเตียงไปเข้าห้องน้ำนั้นก็กลับออกมา อเล็กซานเดอร์สวมเพียงเสื้อคลุมเนื้อนุ่มปกปิด
ร่างกาย ไม่แม้แต่จะสนใจผูกปมผ้าแต่อย่างใด ชายหนุ่มก้าวขึ้นไปนั่งบนเตียงนอน เอนกายในท่าสบาย บนร่างกายขาวซีด
ภายใต้เสื้อคลุมที่ปกปิดเพียงหมิ่นเหม่นั้นยังคงมีร่องรอยแดงช้ำจากการร่วมรักแสนร้อนแรงเมื่อครู่นี้ปรากฏให้เห็น อเล็กซาน
เดอร์มองคนที่กำลังสวมใส่เสื้อผ้าเงียบๆนั้นไม่วางตา มองสะโพกสอบที่ขยับไหวจากการก้าวเดินไปเก็บเสื้อผ้าที่เกลื่อนพื้น
นั้นอย่างมีความหมายแฝง กึ่งกลางร่างกายมีปฏิกิริยาตอบรับความนึกคิดของเจ้าตัวขึ้นมาอีกครั้ง
“แอลนี่ก็แปลกนะ ไม่รู้นึกยังไงถึงได้เอาใจไปผูกกับคนที่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้ตนเองสักอย่างแบบนั้น แถมยังจะนำภาระ
มาให้อีกต่างหาก”
อเล็กซานเดอร์เปรยเรื่องของอลันที่เป็นหัวข้อที่เขาต้องรายงานผู้เป็นบิดาอยู่ตลอดในระยะนี้ขึ้นมาเหมือนจะชวนคุย แต่อีกคน
ที่อยู่ภายในห้องนี้กลับไม่ได้ปริปากโต้ตอบกลับมา ยังคงเก็บเสื้อผ้าที่เหลือไปใส่ตะกร้าผ้าเอาไว้รอซัก แล้วกวาดสายตามอง
ความเรียบร้อยรอบๆห้องอีกที
“หรือนายว่าไงอัล?”
อเล็กซานเดอร์เอ่ยถามคนที่ไม่มีทีท่าจะหันมาสนใจตนเองสักนิด อัล หรือ อัลเบิร์ต บอดี้การ์ดแสนใกล้ชิดของเขา
“ผมไม่มีความเห็นครับ” อัลเบิร์ตตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยไม่ใคร่จะนึกใส่ใจกับคำถามเท่าใดนัก
“นายไม่คิดว่าแอลโง่บ้างหรือ ยอมเสี่ยงเพื่อเด็กผู้ชายคนเดียวที่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้ตัวเองเลย”
“ไม่ครับ”
อัลเบิร์ตตอบกลับมาเพียงสั้นๆ เมื่อจัดการความเรียบร้อยของตนเองเสร็จก็ค้อมศีรษะขอตัว ก่อนหมุนตัวจะเดินออกจากห้องไป
“อัล!”
อเล็กซานเดอร์เรียกชื่อบอดี้การ์ดหนุ่มเสียงเข้ม อัลเบิร์ตหยุดนิ่งก่อนหลับตาลงถอนหายใจด้วยความอึดอัด อเล็กซานเดอร์
มองคนของตนเองด้วยสายตาโกรธกรุ่น กล้าดีอย่างไรถึงหันหลังให้และทำเป็นไม่ใส่ใจเขาแบบนี้
อัลเบิร์ตหันกลับมาช้าๆก่อนเดินเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่บนเตียง หยุดยืนข้างเตียงนอนแล้วโน้มตัวลงไปกดจูบริมฝีปากหนาของ
คนบนเตียงอย่างที่เคยทำเพื่อเป็นการบอกลา เมื่อจะผละออกมาอเล็กซานเดอร์กลับรั้งต้นคอเอาไว้แล้วแทรกลิ้นเข้าไปกวาด
ไล้ในโพรงปาก ใจกลางร่างกายเริ่มแสดงความต้องการมากขึ้นอีก อเล็กซานเดอร์กดจูบจนพอใจแล้วถึงปล่อย ก่อนกระซิบสั่ง
“ทำให้มันสงบสิ”
ดวงตาสีน้ำทะเลจับจ้องอัลเบิร์ตนิ่ง บอดี้การ์ดหนุ่มเบนสายตามองลงต่ำ ก่อนขยับนั่งลงข้างเตียง เลื่อนมือเปิดชายเสื้อคลุม
ออกช้าๆ ขัยบเข้าไปใกล้ส่วนที่ร้อนรุ่มรอการปลดปล่อยนั้นแล้วอ้าปากครอบลงไป อเล็กซานเดอร์สะดุ้งเล็กน้อย สีหน้าเหยเก
เพราะความซ่านเสียว มือหนากดศีรษะบอดี้การ์ดหนุ่มให้ขยับเร็วขึ้นอีก กัดกรามแน่นร่างกายเครียดเกร็งใกล้ปลดปล่อยเต็มที
อัลเบิร์ตย่นหัวคิ้วเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงอาการของผู้เป็นนาย แต่ก็ยังคงกระทำการที่ได้รับคำสั่งต่อไปจนเสร็จสิ้น ลาวาร้อนพ่น
พิษรุนแรงจนบอดี้การ์ดหนุ่มต้องเบือนหน้าออกห่าง เสียงครางทุ้มพร่าในลำคอแสดงถึงความสุขสมที่ได้รับอย่างล้นเหลือ
อัลเบิร์ตยืดตัวยืนขึ้นตรง ใช้หลังมือเช็ดมุมปาก ค้อมศีรษะให้ผู้เป็นนายอีกครั้งแล้วจะผละออกไป แต่คำสั่งจากคนบนเตียงก็
ยังคงดังมากระทบโสตอีกหน
“อย่าทำแบบนี้อีก”
อัลเบิร์ตรู้ว่ามันหมายถึงอะไร เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะทำตัวกระด้างกระเดื่อง แม้ไม่พอใจก็ไม่มีสิทธิ์โต้แย้งทั้งทางวาจาและการ
กระทำ แต่มันยากที่จะทำตามจริงๆ ชายหนุ่มเดินออกจากห้องไปเงียบๆ อเล็กซานเดอร์มองตามบอดี้การ์ดหนุ่มแล้วถอนใจ
เฮือกใหญ่ ไม่รู้ใครเป็นนาย ใครเป็นลูกน้องกันแล้ว
เมื่อปิดประตูลงอัลเบิร์ตยืนนิ่งอยู่หน้าประตูนั้น เม้มปากแน่นก่อนยกหลังมือขึ้นถูจนเจ็บ สกปรก ทั้งร่างกายและจิตใจของเขา
มันสกปรก ไม่ใช่เพราะอเล็กซานเดอร์ แต่เป็นเพราะเขาเองที่กำลังควบคุมหัวใจตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ เป็นบอดี้การ์ดที่บกพร่อง
ต่อหน้าที่ ไม่สมควรอยู่ใกล้ชิดผู้เป็นนายอีกต่อไป…
++++++++++++
ภายในห้องทำงานของพงศกร เปียวและพิชญเข้ามารอฟังข่าวจากผู้เป็นพี่ชายที่ได้ไปเข้าร่วมประชุมกับทางมหาวิทยาลัยผู้
ว่าจ้างงานกับทางบริษัท ถึงเรื่องที่วัสดุในการก่อสร้างถูกสับเปลี่ยนไม่ตรงตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้ ว่าทางมหาวิทยาลัยจะ
สรุปผลเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ออกมาอย่างไร จะให้โอกาสพฤทธาการได้แก้ไข หรือจะยกเลิกสัญญาที่มีร่วมกัน เปียวแทบนั่งไม่
ติดร้อนใจไปกับพี่ชายด้วย ขณะที่พิชญมองพี่ชายคนรองเดินวนไปเวียนมาแล้วก็ปวดหัวแทน
“นั่งลงได้ไหมเปียว เดินไปเดินมาอยู่นั่นล่ะ”
เปียวหันไปมองน้องชายคนเล็ก ก่อนเดินหน้ามุ่ยไปทิ้งตัวลงนั่งข้างๆกัน ไม่นานจากนั้นประตูห้องทำงานของพงศกรก็เปิด
ออกพร้อมกับเจ้าของห้องที่ก้าวเดินเข้ามา เปียวกับพิชญขยับลุกทันที
“เป็นยังไงบ้างครับพี่ชาย?”
เปียวเอ่ยถามท่าทางลุ้นแสนลุ้นกับคำตอบ ขณะที่พิชญเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน พงศกรมองหน้าน้องชายทั้งสองคนแล้วส่ายหน้า
โอกาสมันไม่ได้มีมากขนาดนั้น ทางผู้ว่าจ้างไม่เห็นถึงความคุ้มค่าและความปลอดภัยที่จะได้รับจากพฤทธาการ แม้จะบอกว่า
มันเป็นการกลั่นแกล้งกันของคู่แข่ง แต่หากพฤทธาการไม่มีมาตรการป้องกันในเรื่องดังกล่าวแล้ว ทางผู้ว่าจ้างก็ไม่จำเป็น
จะต้องรอให้พฤทธาการปรับปรุง เพราะยังมีบริษัทอื่นอีกมากมายที่สามารถทำงานชิ้นนี้ได้ และทำได้ดีเสียด้วย ส่วนเงินมัดจำ
ที่ทางนั้นได้ให้ไว้แล้วไม่ได้เรียกคืน เพราะงานก็ดำเนินไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว
พงศกรเดินไปนั่งที่โซฟานุ่ม ปลดเน็คไทด์ลงมาเล็กน้อยไล่ความอึดอัด เปียวหน้าเศร้าลงไปถนัดตาเมื่อได้รับคำตอบ พิชญ
ถอนหายใจก่อนนั่งลงข้างพี่ชาย ทั้งสามคนเงียบกันไปสักพักเปียวจึงพูดขึ้นมา
“ไม่เป็นไรหรอก เรามาพยายามกันใหม่ก็ได้เนอะ”
เด็กหนุ่มพยายามจะสร้างกำลังใจให้ตนเองและพี่น้อง แต่อีกสองคนกลับยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นมาเลย
“พูดมันง่ายนะเปียว แต่เราจะหางานได้จากที่ไหนอีก รู้ไหมว่าเครดิตของบริษัทเรามันย่ำแย่จนไม่มีใครอยากร่วมงานด้วย
แล้ว!” พิชญกระแทกเสียง รู้สึกอึดอัดคับข้องใจไปหมด
“แต่ถ้าเราช่วยกัน คือ... พี่หมายถึงว่าเริ่มจากงานเล็กก่อนก็ได้ สร้างชื่อเสียงของบริษัทขึ้นมาใหม่” เปียวยังพยายามหาทางออก
“ปัญหามันไม่ได้อยู่แค่ตรงนั้นไงเข้าใจไหม เงินน่ะ เงิน ต้องให้พูดด้วยหรือไง”
พอพิชญตอกย้ำเรื่องเงินเปียวก็คอตก นั่นสินะ จะไปหาเงินมาจากไหนกัน หนี้สินก็พะรุงพะรังตามมาเป็นพรวนอยู่แบบนี้
“บริษัทนี้มันเป็นของครอบครัวเรามาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ พี่ไม่อยากให้มันต้องมาจบลงที่รุ่นของพี่แบบนี้เลย ลมหายใจของเรากำลัง
จะหมดลงแล้วเปียว”
พงศกรพูดกับน้องชายอย่างหมดอาลัย เปียวได้แต่เงียบ ไม่รู้จะช่วยอย่างไรดี
+++++++++++++
เมื่อกลับมาที่บ้านของอลัน เปียวก็เอาแต่นั่งหน้าหงอย คิดไม่ตกกับปัญหาที่เกิดขึ้น ถ้าเขามีความรู้ด้านบริหารงานก็ดีสิ แต่
เขาก็บริหารเงินได้นี่นา แต่เขายังไม่เคยเข้าไปทำงานในบริษัทเลย ประสบการณ์ด้านการทำงานก็ยังไม่มี แล้วจะมีใครเชื่อถือ
พอจะมอบงานให้เขาจัดการไหม ทำไมถึงต้องมีคำว่าแต่มาหยุดเขาเอาไว้ตลอดเวลาเลยนะ เปียวทอดถอนใจอย่างหนักอก
เรื่องนี้เขาไม่อยากให้อลันรู้แล้วต้องร้อนใจตามไปด้วย แต่ก็คงปิดอลันไม่ได้เพราะคิดอะไรมันก็ออกทางสีหน้าไปหมดแล้วนี่สิ
“มีอะไรปรึกษาผมได้นะ ผมไม่ได้มีดีแค่ไว้เดินควง” อลันเดินมานั่งข้างคนที่เอาแต่ทอดถอนใจ
“ผมไม่อยากกวนคุณน่ะ” เด็กหนุ่มว่าเสียงเบา
“กวนได้ทุกเรื่อง ไม่ต้องเกรงใจ”
“ต้องสิ คุณทำเหมือนทุกอย่างมันเป็นเรื่องง่าย” เปียวเอ่ยแย้งคิ้วขมวดปม
“แล้วมันยากตรงไหนกันล่ะครับ หืม?”
อลันบีบจมูกเด็กน้อยของเขาที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเบาๆ เปียวปัดมือหนาออก สีหน้ายังไม่ดีขึ้นเลยสักนิด
“ถ้าเป็นเรื่องบริษัท ที่นั่นยังมีฮิโระอยู่นะ บอกพงศกรด้วยว่าอย่าลืม” อลันกระตุ้นเตือน
“เห็นไหม รบกวนคุณอีกแล้ว ผมพอจะทำอะไรเองได้บ้างไหมนะ…” ท้ายประโยคเด็กหนุ่มพึมพำกับตนเอง อยากทำอะไรให้
ได้มากกว่านี้ มันจะพอมีหนทางใดบ้าง
“ไปทดลองงานที่บริษัทผมก่อนเป็นไร” อลันเอ่ยชวน
“ได้ค่าจ้างไหม?”
“แหนะ มีถามค่าจ้างด้วย”
พอเสนอ ทางนั้นก็ถามกลับเสียเร็ว หนุ่มตัวโตหัวเราะขำ ไม่ค่อยจะงกเลยที่รัก
“ก็ถามดูเฉยๆหรอกน่า”
เปียวเอ่ยแก้ตัวอุบอิบ อลันมองคนงกล้อๆ ก่อนพูดบอกอย่างเป็นจริงเป็นจัง
“มีสิ อัตราค่าจ้างตามที่ทางบริษัทกำหนดเอาไว้ สนใจไหมล่ะ?”
“แบบนี้มันก็เหมือนอัฐยายซื้อขนมยายเลยน่ะสิ”
คนนี้ก็ยังไม่หมดข้อโต้แย้ง ก็ถ้าไปทำงานที่บริษัทของอลัน เงินที่ได้มาก็ต้องใช้คืนอลันอยู่ดี แบบนี้อลันก็เสียเงินไปโดยเปล่า
ประโยชน์น่ะสิ ก็มันต้องย้อนกลับมาอยู่ในมืออลันอีกอยู่ดี
“ไม่เป็นไร ยายเต็มใจให้ซื้อ” อลันเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มจริงใจ ไม่คิดมาก
“ขอบคุณนะ ขอบคุณจริงๆที่ทำเพื่อผมขนาดนี้”
ยิ่งอลันทำเพื่อเขามากเท่าไหร่ เปียวก็ยิ่งรู้สึกเต็มตื้นกับสิ่งที่อีกคนให้มาเท่านั้น มันมากมายเกินกว่าที่ใครคนหนึ่งจะให้ใครอีก
คนได้เสียอีก
“อยากได้คำอื่นบ้างจังน้า”
อลันเอ่ยเย้า เปียวเลิกคิ้วมอง ก่อนอมยิ้มตาพราว อลันขยับเข้าไปใกล้อีกนิด ก่อนเอ่ยอ้อน
“บอกหน่อยสิ”
เปียวหัวเราะแต่ยังไม่ยอมพูดคำที่อีกคนอยากได้ยิน อลันมองตาเด็กหนุ่มก่อนเอ่ยบอกเสียงนุ่ม
“ผมจะรอฟัง”
เปียวยิ้มบางก่อนขยับเข้าใกล้อลัน กอดคนตัวโตเอาไว้แนบแก้มไปกับแผ่นอกหนาอ้อนๆ อลันหัวเราะในลำคอเบาๆ รู้จักอ้อน
ด้วยนะ แค่นี้ก็ไปไหนไม่รอดอยู่แล้วลูกไก่น้อยเอ๋ย
++++++++++++
ต่อด้านล่างค่ะ 