ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชมกรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0 ทุกคน ทุกสิ่้งในเรื่องนี้เป็นเรื่องสมมุติทั้งสิ้น
Snatch
ตอนที่ 1
มันคืองานวัด ไม่ว่าแนชจะมองจากมุมไหนมันก็คืองานวัด ทั้งแสงสีเสียง ม้าหมุน ชิงช้าสวรรค์ บิงโก ไปจนถึงปาเป้าและยิงปืน โดยเฉพาะไอ้เวทีสูงๆ นั่นยังไงมันก็งานวัด ต่อให้ป้ายประกาศที่ด้านหน้าโรงเรียนบอกว่า มันคืองานโรงเรียนรวมทุกรุ่นเพื่อหารายได้สร้างอาคารเรียนหลังใหม่ ...แต่นี่มันงานวัดชัดๆ
สาเหตุเดียวที่ทำให้แนชมางาน ก็เพราะนี่คือโอกาสที่จะได้รวมกลุ่มเพื่อนที่เคยเรียนร่วมห้องร่วมก๊วน
“สัดเหอะ เสียงดังจนต้องตะโกนคุยกันหยั่งงี้ กูออกไปคอยที่ร้านเตี๋ยวเรือข้างนอกดีกว่า” แนชพูดขณะที่เหวี่ยงขาลงจากรถมอเตอร์ไซค์ของกิม หนุ่มตี๋ตัวหนาลูกชายร้านข้าวสารในตลาด ส่วนเพื่อนอีกหลายคนหันมาหัวเราะ
“เท้าแตะพื้นก็จะกลับ กลัวเจอโจทก์เก่าหรือไง”
“กูมีด้วยหรือไง โจทก์น่ะ กูเด็กเรียบร้อย”
เพื่อนฝูงหัวเราะกันครืน ถึงแนชมันจะปากจัดขี้โวยวาย แต่มันก็จัดอยู่ในกลุ่มเด็กเรียบร้อยของห้องอย่างที่ว่าจริงๆ ไม่เคยส่งการบ้านช้า ไม่เคยเกี่ยงทำรายงาน ไม่เคยมีเรื่องให้ต้องเดินเข้าห้องฝ่ายปกครอง ไม่เคยยกมืออาสาเวลามีกิจกรรม แต่ถ้าเรียกให้ทำก็ไม่เคยมีข้อแม้
แล้วก็มีผลการเรียนในระดับ 5 คนแรกของห้อง
จบจากโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด แนชย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ กลับมาบ้านตอนปิดเทอม เรียนจบก็ทำงานอยู่กรุงเทพฯ กลับมาหาพ่อกับแม่เกือบทุกเดือน
ส่วนกิมหนุ่มตี๋ตัวหนาเรียนจบมัธยม ก็ต่อวิทยาลัยเอกชนในจังหวัด แล้วก็ทำงานอยู่ที่ร้านข้าวสารในตลาดต่อไป พอล็อกรถเสร็จก้าวลงมายืนใกล้กัน ถึงได้รู้ว่าหนุ่มตี๋ตัวสูงกว่าแนชมากกว่าคืบ
ตือเจ้าของร้านหมูกระทะบอกขณะที่เดินนำเข้าไปในโรงเรียน “ร้านกูปิดตี 2 พวกมึงจะไปกี่โมงก็ไปเถอะ”
“กูไปกี่โมงก็ไปเถอะ” เพื่อนคนหนึ่งทำเสียงเลียนแบบตือ “ไม่ใช่ว่ากูไปถึงพวกมึงเมากลับบ้านกันหมดแล้ว”
“เมาห้ามขับนะโว้ย มึงเมานอนที่บ้านกูสิ” ตือบอก “หยั่งก๊ะ ไม่เคยนอน”
บ้านตือก็อยู่หลังร้าน ไม่ได้ไกลที่ไหน
โวยวายต่อปากต่อคำเหมือนกำลังทะเลาะกันมากกว่าคุยกันอีกไม่กี่ประโยค แต่ละคนก็แยกย้าย
เสียเงินซื้อบัตรตั้งแต่หน้าประตู แล้วก็เสียเงินเล่นเกมสารพัด
“กูว่าไม่มีร้านขนมเมืองจีนที่มึงว่าแน่ๆ เลย” แนชเหลียวมองไปรอบๆ ขณะที่ตือตรงไปที่แผงขายลูกชิ้นทอด
ร้านขนมเมืองจีนที่ว่าหมายถึงแผงขายขนมเล็กๆ พวกบ๊วย ขนมปังกรอบ และถั่วสารพัดชนิด ที่มีอยู่ในตลาดที่กิมอยู่เหมือนกัน เพียงแต่บ๊วยหวานที่ร้านนั้น รสชาติไม่ถูกปากของแนช
“เดินดูไปเรื่อยๆ เหอะ คนเยอะสนุกดี” กิมทำเหมือนกำลังหลอกเด็ก
“มันสนุกตรงไหนวะ ขนาดจะคุยกันยังต้องตะโกนคุยกันแบบนี้น่ะ” แนชหน้าตึง
“น่านะ เดินวนๆ สักรอบ กินน้ำแข็งปั่น ขนมสายไหมเป็นเพื่อนกูก่อน ไม่ต้องไปที่หน้าเวทีนั่นก็ได้” กิมชี้ไปที่หน้าเวที
วงดนตรีลูกทุ่งของโรงเรียน แต่ที่หน้าเวทีคือ เหล่าศิษย์ปัจจุบันและศิษย์เก่าทั้งที่แยกย้ายไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยและที่แยกไปทำงานแล้วก็มี
ไม่รู้ว่ารุ่นไหนเป็นรุ่นไหน
แต่ดูไปดูมา น่าจะมีคนที่ไม่ได้เรียนที่โรงเรียนนี้อยู่ไม่น้อย
“ไปตรงนั้นก็เท่ากับเอาหัวไปรับไม้ใครสักคนน่ะสิ” แนชบ่นต่อ “มีงานทุกปี ตีกันทุกปีไม่รู้ว่าจะจัดทำห่าอะไร อยากได้เงินก็แค่เรียกประชุมผู้ปกครองก็จบแล้ว”
กิมทำหน้าตาแปลกใจหันมามองเพื่อนตัวเล็ก “มึงนี่ขี้บ่นอย่างกะผู้หญิง”
ได้น้ำแข็งใสราดน้ำแดงกับนมข้นหวานคนละถ้วยก็พากันเดินเที่ยว แนชก็บ่นอีก
“ทำอย่างกับเวลาอยู่ตลาดแล้วมึงไม่ได้กิน”
“กิน” กิมตอบอย่างอารมณ์ดี “แต่สถานที่มันไม่เหมือนกัน”
2 หนุ่มเพื่อนรักเดินดูงานไปเรื่อย จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ซุ้มปาลูกโป่ง
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของลูกค้าอาจเป็นการแต่งกายของสาวประจำซุ้มหลายคนที่แจกยิ้มหวานเรียกลูกค้า เพราะแต่งตัวล่อแหลมจนอะไรต่อมิอะไรใกล้จะล้นออกมา
กิมอาจสะดุดตาที่แสงสีเสียง แต่ที่สะดุดตาแนชคือสาวสวยจัดผมยาวสยาย ที่ส่งยิ้มหวานทักทาย ยิ่งมายืนอยู่ใกล้ ต่อให้มีโต๊ะขวางอยู่ ก็ยังรู้สาวสวยคนนี้ตัวสูงไล่เลี่ยกับกิม
และแม้จะแต่งหน้าจัด แต่สิ่งที่ปิดบังไม่ได้คือจมูกสวย กับฟันเรียงขาวสะอาด
หญิงสาวไม่ได้พูดอะไร แค่ยิ้มหวานขณะที่ส่งตะกร้าใส่ลูกดอก 5 ลูกให้ รอบแรกผ่านไปโดยที่กิมเสียเงินไปเปล่าๆ 50 บาท
แนชส่ายหน้า “กูว่ามึงขอซื้อเขาเลยดีกว่ามั้ย”
“เฮ้ย มันไม่เหมือนกัน” กิมเถียงยกมือเรียกให้สาวสวยส่งตะกร้าลูกดอกมาให้ใหม่
คราวนี้ได้แค่ยาสระผมขวดเล็กๆ มาขวดเดียว
“อนาถแท้ 100 นึงได้ของ 10 บาท” แนชแซว
“มาเล่นเองเลยสิ แล้วมึงจะรู้ว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด”
แนชหันไปมองแผงที่วางตุ๊กตารางวัล “กันดั้มตัวนั้นเท่าไหร่ครับ”
“เฮ้ยไม่ได้ๆ” กิมรีบท้วง “มึงต้องปาลูกดอกเอามาสิ”
แต่แนชยังคงหันไปถามสาวสวยประจำซุ้มที่พยักหน้า แล้วเดินไปเรียกหญิงสาววัย 30 เศษ ท่าทางน่าจะเป็นเจ้าของซุ้มตัวจริงให้มาหาแนช บอกราคาแล้วก็หยิบของมาให้
“ง่ายกว่า และชัวร์ว่าได้ของ” แนชบอกยืดๆ
กิมประชด “ภูมิมากนะมึง”
แนชหันไปส่งยิ้มให้กับพนักงานคนสวยอีกครั้ง แล้วหันมาชวนกิม “ไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือกับกูก่อนกลับเหอะ”
“อ้าว แล้วไม่ดูบ๊วยหวานหรือไง”
“บ๊วยหวานที่ไหนมี” แนชบอกขณะที่เหลียวมองไปรอบๆ
นั่นสิ นี่มันงานวัด มองก็รู้แล้วว่าหาซื้อของแบบนี้ไม่ได้
กำลังคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวชามที่ 2 ใส่ปาก ถุงบ๊วยหวานก็มาวางอยู่ข้างหน้า ทำให้ 2 หนุ่มตาค้างเงยหน้าขึ้นมองคนที่เอามาวางให้ พร้อมกับรอยยิ้ม แล้วก็ทำท่าว่าจะเดินหนีไปทันที
“เดี๋ยวครับเดี๋ยว” แนชคว้าข้อมือไว้ ขณะที่อีกมือหยิบกระเป๋าสตางค์
....เออ ข้อมือใหญ่กว่ากูอีกนะเนี่ย...
“ขอบคุณที่ซื้อให้ แต่ว่าเท่าไหร่ครับ”
สาวสวยส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มหวานอีกครั้ง
“งั้น....” แนชปล่อยมือเพื่อที่จะเปิดกระเป๋าหยิบเงิน แต่หญิงสาวก็ก้าวขาทันทีเหมือนกัน
กิมรีบบอก “เก็บตังค์มันเถอะ เงินเดือนมันเยอะ เดี๋ยวเงินบูด”
แนชรีบส่งเงินให้ 500 บาทแต่หญิงสาวไม่ยอมรับ
“เอาไปเถอะครับ คุณทำงานอยู่ แล้วต้องไปหาซื้อมาให้ผม”
เร็วเกินกว่าจะตั้งตัว หญิงสาวก้มลงจูบแก้มแล้วเดินหนีไปทันที
“อั้ยย่ะ” กิมร้องแซวเพี้ยนๆ ท่ามกลางรอยยิ้มของลูกค้าในร้านก๋วยเตี๋ยวคนอื่น
ส่วนแนชดูอึ้งๆ แต่หน้าแดงไปถึงหู นั่งลงกินก๋วยเตี๋ยวต่อ
พอกินเสร็จเดินกลับมาที่รถมอเตอร์ไซค์ของกิม ไอ้ตี๋ร้านข้าวสารก็ถาม กึ่งแซว
“อยู่มาตั้งนาน โดนหญิงจีบจนได้เหอะมึง”
แนชมองถุงบ๊วยในมือ
...ว่าที่จริงเขาก็สวยมาก ยิ้มหวาน ท่าทางเอาใจใส่ ขนาดได้ยินแว่วๆ ยังไปหาซื้อมาให้...
...ว่าแต่....
“มึงเห็นร้านขายบ๊วยในงานนี้หรือเปล่า”
“ไม่เห็น” กิมตอบ “กูเห็นมึงก็ต้องเห็นสิ”
...มองแล้วมองอีกจนตาจะหลุดยังไม่เห็นมี...
“แสดงว่าเขาต้องออกไปซื้อข้างนอกน่ะสิ” แนชสงสัย “แต่กลับมาเร็วมากเลย”
ประเด็นนี้กิมส่ายหน้า “ใช้มอ’ไซค์นี่ไง” แล้วหนุ่มตี๋ก็ตั้งข้อสังเกตต่อ “แต่ไม่ได้ไปแถวตลาดกูแน่ๆ เพราะที่นั่นไม่มีบ๊วยแบบที่มึงชอบแบบนี้”
แนชก้มมองถุงบ๊วยในมืออีกครั้ง
“เฮ้ย กูลืมกันดั้มไว้ที่ไหนวะเนี่ย”
“ร้านก๋วยเตี๋ยวหรือเปล่าวะ” กิมช่วยนึก
แนชพยักหน้าบอกเพื่อนให้รออยู่ที่รถ แล้วรีบวิ่งกลับเข้าไปในงาน
บอกกันตามตรงเลยว่า ทั้งที่รีบ แต่แนชก็ยังวิ่งผ่านไปที่ซุ้มปาลูกโป่ง ทำเป็นมองผ่านสาวสวยคนนั้น สบตากันเพียงแวบเดียวก็พาลหน้าแดง แนชวิ่งต่อไปถึงร้านก๋วยเตี๋ยว ถามหาตุ๊กตากันดั้ม
ไม่ได้ประหลาดใจสักเท่าไหร่ที่คนในร้านบอกว่าไม่เห็น มองซ้ายมองขวาแล้วเดินกลับมาทางเดิม ทั้งที่มาถึงตอนนี้แน่ใจแล้วว่า ลืมอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวนั่นแหละ
ท่ามกลางเสียงดังรอบตัว ยังมีเสียงร้องตะโกนบอกให้หลบที่ดังแทรกขึ้นมา
แนชหันไปมองยังไม่ทันรู้ว่าให้หลบใคร อะไร ยังไง มือแข็งแรงก็คว้าที่ต้นแขนลากไปซุกอยู่หลังแผงหนังสือเก่า
เสียงฝีเท้าหนักๆ กับเสียงร้องด่าผ่านไป ขณะที่แนชจ้องมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
“อ้าว...”
“หาอะไร” เสียงถามเบามาก ทั้งแหบจนแทบจับคำไม่ได้
“หาตุ๊กตาที่ซื้อจากร้านน่ะ ผมทำหาย”
สาวสวยตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างหน้ายิ้มขำ ไม่รู้ว่าขำที่ทำตุ๊กตาหาย หรือขำอะไร แต่กลับจับมือพาเดินกลับมาที่ซุ้มปาลูกโป่งอีกรอบ
พอมาถึงก็ชี้ไปที่แผงตุ๊กตาที่ยังมีเหลืออีกไม่ถึง 10 ตัว
แนชทำหน้าเบ้ กึ่งแหย
...มีแต่ตุ๊กตาเด็กผู้หญิง กระโปรงฟูฟ่องแบบนั้น ใครจะกล้าถือ...
สาวสวยยักไหล่ หยิบตะกร้าลูกดอกมาปาเอง เข้าเป้าแถวที่อยู่ไกลหมดทั้ง 5 ดอก ได้ตุ๊กตากระโปรงฟูตัวใหญ่ที่สุดของร้านมาส่งให้
“ไม่เอาได้มั้ย ไม่กล้าถือ”
แนชบอกตามตรง แต่ไอ้จะทำฟอร์มพระเอกส่งให้เด็กผู้หญิงที่ยืนยิ้มอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่แน่ใจ เพราะไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรที่ทำให้ได้ตุ๊กตากระโปรงฟูตัวนี้สักนิด
“เอาให้เด็กละกัน”
เปล่าไม่ได้ให้เอง ชี้บอกให้สาวสวยคนนั้นแหละเอาให้เด็ก
...เรื่องใช้คนอื่นทำให้น่ะ งานถนัด..
“ขอบคุณนะ แต่ผมต้องกลับแล้ว ลืมไปเลยว่าเพื่อนรอไปร้านหมูจุ่ม”
แนชเก้อไม่เลิก เพราะการที่เหมือนกำลังพูดอยู่เดียว อีกคนน่ะ ได้แต่สิ่งยิ้มหวานให้
เดินกลับมาที่รถกิมกำลังยืนคุยอยู่กับเพื่อนอีกหลายคน ดูหน้าแล้วจำได้ว่าอยู่รุ่นเดียวกันแต่คนละห้อง
แค่นั้นก็พอที่จะคุยกันได้อย่างเมามัน จนกระทั่งแยกย้าย
ตอนที่ออกรถมาที่ร้านหมูจุ่ม กิมถึงได้ถาม “ตกลงไม่เจอจริงๆ ใช่มั้ย”
“เออ แต่กูว่าลืมไว้ที่ร้านก๋วยเตี๋ยว เพราะจำได้ว่า ตอนที่ลุกออกมาไม่ได้ถืออะไรออกมา”
“กูว่าแล้ว คนเยอะอย่างนี้พอเราลุกออกมา ไม่คนที่นั่งต่อจากเรา ก็เด็กในร้านนั่นแหละที่เก็บไว้เอง”
“กูรู้สึกว่าวันนี้กูดูโง่ๆ ว่ะ” แนชหันมาบ่นตัวเอง
กิมหัวเราะหึหึ “เออ บ่นคนอื่นไม่พอ บ่นตัวเองแล้วเพื่อนกู”
หนุ่มตี๋ตัวหนาจอดรถที่หน้าร้านหมูกระทะของตือแล้วเดินเข้าไปในร้านอย่างคุ้นเคย
“ช้าว่ะ” เพื่อนที่มาถึงก่อนตะโกนแซวมาจากโต๊ะพิเศษ
โต๊ะพิเศษของจริง เพราะแยกออกมาอยู่ที่ลานดินข้างนอกร้าน ใกล้ครัวและค่อนไปหน้าบ้านเจ้าของ แม้บรรยากาศโดยรอบจะไม่สวยงาม เหมือนในร้าน แต่ก็ดูเป็นสัดส่วนเฉพาะ
พอมาถึงกิมก็ลงนั่งที่โต๊ะทันที ส่วนแนชพยักหน้าทักเพื่อนๆ ด้วยความคุ้นเคยเหมือนกัน แต่กลับเดินผ่านเพื่อนขึ้นไปบนบ้าน ไหว้พ่อกับแม่ของตือ พอหันมามองด้านหลัง เห็นเพื่อนอีกหลายคนที่กลับมาจากกรุงเทพเหมือนกัน ตามขึ้นมาไหว้พ่อกับแม่ด้วย
พอกลับลงมาก็พากันโวยวายเสียงดัง
“ห่า ไม่มีเตือนกูเลยนะ ถ้าไอ้แนชไม่ขึ้นบ้านไปไหว้พ่อกับแม่ กูก็ลืมเลยนะเนี่ย”
“อ้าว ก็พวกกูเจอพ่อกับแม่แทบจะทุกวัน กูก็ลืมน่ะสิ” กิมและกลุ่มเพื่อนที่ยังอยู่ที่บ้านเกิดเถียงกลับ ขณะที่กิมดึงมือแนชให้นั่งลงข้างๆ แล้วชี้ไปที่แก้วเหล้า
“มึงกินไปกี่แก้วแล้ว” แนชถามก่อนที่จะยกแก้วของตัวเอง
“ยังไม่ถึงแก้วเลย” กิมเถียง “มึงขึ้นไปแป๊บเดียวจะให้กูกินกี่แก้ว”
“ไม่ถึงแก้วจริงๆ” เพื่อนอีกคนช่วยยืนยัน “กิมแม่งเมาน้ำลาย”
แนชพยักหน้า ขณะที่ตั้งใจว่า จะดื่มแค่แก้วเดียว เพราะจะได้ขับรถกลับไปส่งกิมที่บ้านได้
ตือดูลูกค้าในร้าน คุมลูกน้องทำงานอีกครู่เดียวก็ออกมารวมกลุ่มกับเพื่อนที่โต๊ะพิเศษ จนกระทั่งมีเสียงล้อรถคันใหญ่บดพื้นกรวดเสียงดัง ทำให้แนชหันไปมอง คนขับที่ลงมาจากรถคือสาวสวยผมยาวคนนั้นที่ตอนนี้สวมเสื้อคลุมทับเสื้อตัวรัดติ้ว
หญิงสาวหันมาส่งยิ้มทักทายไปทั่วโต๊ะ แต่กลับพยักหน้าเรียกตือเข้าไปคุยในร้าน
ตือก็ลุกขึ้นทันที
“ไม่คิดว่าเขาเรียกมึงหรือแนช” กิมหันมาถามคนที่นั่งข้างๆ
“สัด ไอ้ตือลุกไปแล้วจะเรียกกูเรื่องอะไร”
“อ้าว....” กิมถึงกับงงที่อยู่ๆ ก็โดนพาล เลยหันไปจิ้มคอหมูย่างใส่ปาก
ครู่เดียวหญิงสาวคนนั้นก็เดินออกมาพร้อมกับตือ ในมือถือถาดอาหารหลายอย่าง
ตือกลับเป็นคนที่เก็บจานเปล่า ส่วนหญิงสาวที่ตอนนี้กลายไปเป็นเด็กเสิร์ฟ วางกับแกล้มลงบนโต๊ะ ชงเหล้าใส่แก้วที่พร่อง เสร็จแล้วก็ถอยไปยืนอยู่ใกล้ๆ เป็นท่าทีที่รู้ได้เอง ว่า เธอเสิร์ฟให้โต๊ะนี้โต๊ะเดียว
...แต่ว่า....
ขณะที่แก้วอื่นๆ รสชาติเข้มข้นในระดับสามล้อกรุงเทพฯ ยังหลบ
สำหรับแก้วของแนช หญิงสาวแค่เติมน้ำแข็งให้
คงเพราะแต่ละคนคือเพื่อนเก่าที่พอมาเจอกันก็มัวแต่คุยกันไม่หยุด มีแต่เจ้าของแก้วที่รู้ว่าเหล้าในแก้วยิ่งนานยิ่งจางลงไปเรื่อยๆ
เกือบเที่ยงคืนเหล้าแก้วนี้ก็กลายเป็นน้ำเปล่า
ตรงข้ามกับคนในโต๊ะที่มีสภาพเหมือนกำลังโดนมอมเหล้า
แนชลุกไปเข้าห้องน้ำ เดินออกมาเจอกับตือ ที่อยู่ในสภาพมึน ไม่ถึงกับเมา
“จะกลับหรือยัง”
“เออ จะเที่ยงคืนแล้ว”
“ทำไมมึงดูไม่ค่อยเมาเลยวะ คอแข็งขึ้นนี่หว่า” ตือแซว แต่แนชหัวเราะ แล้วส่งยิ้มเลยไปที่เด็กเสิร์ฟที่ยืนมองอยู่
เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ที่หญิงสาวคนนี้เดินเข้ามาในร้าน
การมองแบบไม่ยอมให้คลาดสายตาแบบนี้
ตอนที่เจอกันที่โรงเรียนมันทำให้รู้สึกดีอยู่หรอก
แต่พอมาถึงตอนนี้กลับทำให้รู้สึกเป็นกังวลมากกว่าคิดว่าควรจะฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายยื่นให้
“กูไม่ได้คอแข็งขึ้นหรอกน่า” แนชบอกขณะที่เดินกลับมาเรียกกิมที่โต๊ะ “เฮ้ย เที่ยงคืนแล้วจะกลับหรือยัง”
เพื่อนฝูงโห่รอบโต๊ะ ที่หนุ่มตัวเล็กชวนคู่หูกลับบ้าน
“มึงเป็นนางซินหรือไง กลับเที่ยงคืนน่ะ” กิมหันมาเถียง เลยโดนแนชปาดไปที
“กูชวนกลับเที่ยงคืนก่อนที่จะไม่ได้กลับน่ะสิสัด ดูแต่ละคนสิ”
ตือเข้ามาโอบไหล่ ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นเหล้าชัดเจน “ถ้าจะกลับกูจะให้คนไปส่ง ทิ้งพวกมันไว้นี่แหละ เดี๋ยวมันเมากูลากมันเข้าไปนอนในบ้านเอง เช้าค่อยกลับ”
“เดี๋ยวก็ได้” แนชบอกเพื่อน แต่สายตามองตามหญิงสาวคนนั้นที่เดินกลับไปที่รถ เปิดประตูแล้วหยิบตุ๊กตาออกมา
“อะไรวะ” ตือถามเมื่อมองตามสายตาของแนชไปที่รถคันใหญ่
“กูก็อยากรู้เหมือนกัน”
แนชผละจากเพื่อนเดินมาที่รถคันใหญ่ โดยที่ยังไม่ได้ลาใคร เพราะไม่คิดว่าจะกลับตอนนี้ แต่อาการอยากรู้มันกำเริบ จนเดินมาถึงรถ
แทนที่จะส่งตุ๊กตาให้ แต่กลับวางไว้ที่เบาะที่นั่งข้างคนขับ แล้วมือใหญ่ๆ ก็ดันหลังแนชให้ขึ้นรถ
คนขับเข้าประจำที่ในวินาทีถัดมา แล้วรถก็เคลื่อนออก
“เดี๋ยวนะ” แนชร้องบอก “ตุ๊กตานี่คุณเก็บไว้หรือ”
“เปล่า กลับไปเอาที่บ้านมาให้”
เสียงพูดแหบ และเบาก็จริง แต่คงเพราะไม่ได้เปิดเพลงทำให้มันชัดกว่าเดิม
แนชเลื่อนสายตาไปมองที่คอ และมือหนา
“เอ่อ...ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้รังเกียจ...คุณก็จริง เราคุยกัน เป็นเพื่อนกันได้ แต่ว่า.....”
คิ้วสวยเลิกขึ้นสูง ขณะที่รอยยิ้มกว้างทำให้แนชต้องใจอ่อน
“ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกลักพาตัว”
รถคันใหญ่ตรงออกนอกเมือง จนแนชรีบชี้ “เลยแยกไปบ้านผมแล้ว ขอลงตรงนี้ก็ได้”
แต่คนขับส่ายหน้า “สแนชกำลังถูกลักพาตัวอยู่ไง”
เออ....น้องเต้ยคนนี้รู้จักกู รู้จักชื่อเต็มๆ ของกู แล้วกูรู้จักใครที่เป็นน้องเต้ยมั้ยวะ
นึกสิ นึกๆๆๆๆ มีไอ้ตุ่นห้อง 3 ที่ตอนเรียนมันเป็นน้องตู่ หรือตอนนี้มันพัฒนามาเป็นน้องเต้ย แต่ไอ้ตุ่นมันตัวสูงขนาดนี้เลยหรือวะ ดูจากโครงหน้าแล้วไม่น่าใช่
แล้วมีใครอีกวะ!!
รถออกมาจากตัวเมืองไม่มากนักก็ผ่านเข้าไปในย่านที่เป็นสวนผลไม้ จนถึงโฮมสเตย์
อาคารชั้นเดียวยกพื้นสูงติดถนนใหญ่ เป็นที่ตั้งของร้านค้าติดกับสำนักงานของโฮมสเตย์ ต้องเลี้ยวผ่านป้อมยามพบกับร้านอาหารที่ผนังด้านหนึ่งติดกับร้านค้ากับสำนักงาน
แต่ตอนนี้อาคารส่วนนี้ปิดทำการแล้ว เปิดเพียงไฟที่ระเบียงเชื่อมต่อทั้ง 3 ห้องนี้เท่านั้น
รถแล่นผ่านส่วนที่เป็นเรือนไม้หลังยาว แบ่งห้องพักแต่ละห้องเป็นสัดส่วนด้วยรั้วเตี้ย รถเลี้ยวไปตามถนนกรวดจอดที่หน้าบ้านพัก
ความเงียบที่ผิดปกติ ทำให้คนที่พามาสงสัย
“กลัวหรือ”
“เปล่า”
คนที่พามายิ้มกว้างเหมือนเดิมขณะที่บีบจมูกของแนชเบาๆ แล้วพาเข้าไปในบ้าน
...ทำไมกูถึงได้เป็นคนอยากรู้อะไรแล้วต้องรู้ให้ได้แบบนี้นะ...
...นอกจากพ่อกับแม่แล้วยังมีใครรู้ชื่อเต็มของกูอีกวะ....
คนที่พามาเหมือนรู้นิสัย เพราะพอเข้ามาก็ปล่อยมือ แล้วเดินขึ้นไปบนบ้าน ทิ้งแนชให้เดินดูนั่นมองนี่ เข้าห้องน้ำล้างหน้า แล้วออกมาเปิดโทรทัศน์
“อ้าวกู กินก๋วยเตี๋ยวลืมตุ๊กตา กินเหล้าลืมบ๊วย สมองเสื่อมอะไรของกูนักหนาวะเนี่ย”
แต่พอนึกไปนึกมา คิดว่าน่าจะผูกอยู่ที่หน้ารถมอเตอร์ไซค์ของกิม ไม่ได้เอาลงไปที่โต๊ะด้วย
“หายชัวร์”
(ยังมีต่ออีกครับ

)