“น้าตือ” หญิงสาวคนที่เปิดประตูบ้านเดินเข้ามาเมื่อช่วงสาย ร้องทักข้ามคนหลายคนไปหาน้าชายทันทีที่เข้ามาในบ้าน ทำให้ทุกคนพากันหันไปมองหน้าแนช
น้าชายยังไม่ทันตอบ หญิงสาวก็มองต่อไปที่คนที่กำลังล้างของในครัว
แนชยกเหล้าขึ้นจิบอึกใหญ่
“น้ามากินเหล้าบ้านนี้หรือ”
“เออ มึงมากับเพื่อนไม่ใช่หรือไง แล้วมาทำไมบ้านนี้” ตือทำเสียงเป็นงานเป็นการ เชิงบอกกับแนชว่า กูทำหน้าที่ของกูแล้วนะโว้ย
ก้านเก็บล้างเครื่องครัวเสร็จ ก็เดินมาแตะไหล่แนช
“พรุ่งนี้เช้าจะกินไข่เจียวอีกหรือเปล่า”
“ไว้เย็นดีกว่า” แนชหันไปบอก
“เช้ากินอะไร”
“ข้าวผัดแหนมได้มั้ย”
“ได้ครับเจ้านาย ผมไปเก็บครัวใหญ่ก่อน คนงานจะได้กลับไปพัก”
“พี่ก้านจะไปไหนหรือคะ กิ๊บไปด้วย” หญิงสาวตรงเข้ามาหายืนใกล้ก้านทันที ต่อให้ตือร้องเตือนก็ไม่หยุด
“มึงควรกลับไปอยู่กับเพื่อนมึง”
ก้านเพิ่มน้ำหนักมือที่ไหล่บางของแนช
ส่วนกิ๊บยักไหล่ให้น้าชาย แล้วหันมาหาแนช “น้าเสือน้อยชอบไข่เจียวหรือคะ กิ๊บทำไข่เจียวเก่งนะคะ”
แนชกระตุกยิ้มมุมปากหันไปมองตือ ดวงตากลมหรี่ลง กับรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้วางใจ
เพื่อนๆ รอบวงที่ตามมากินเหล้ากันตามปกติ ต่อให้เป็นคนที่ไม่รู้เรื่องกิ๊บมาก่อน มาถึงตอนนี้ก็รู้แล้ว และหันไปมองหน้ากัน
ท่าทีแปลกๆ จนกิ๊บสงสัย
“ทำไมคะ ถึงกิ๊บจะคนกรุงเทพฯ แต่แค่ไข่เจียวง่ายจะตาย”
ก้านหันมาหากิ๊บ “ดึกแล้วกิ๊บกลับไปห้องพักจะดีกว่านะครับ ตรงนี้มีแต่......”
กิ๊บไม่รอให้ก้านพูดจบก็สวนขึ้นมาทันที “ดึกที่ไหนคะ เพิ่ง 3 ทุ่มเอง”
ตือรู้ตัวรีบลุกขึ้น ดึงหลานออกไปข้างนอก
“ห่ากิ๊บ มึงทำให้น้าอย่างกูอายจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ไม่รู้จะบอกกับแม่มึงยังไงแล้ว”
“น้าตือ” กิ๊บยังคงไม่ยอมหยุด ทั้งยังเถียงน้าชายจนได้ยินเสียงดังเข้ามาถึงในบ้าน “หนูก็แค่อยากคุยกับพี่ก้านเท่านั้นเอง”
ตือกับหลานออกไป แต่คนในบ้านกลับจ้องมองแนชเป็นตาเดียวกัน
“ไม่เหวี่ยงว่ะ” กิมแซว
หนุ่มตัวเล็กถอนหายใจแรงๆ ยกเหล้าขึ้นดื่ม ขณะที่มือใหญ่จับที่ศีรษะโยกเบาๆ “เดี๋ยวมา”
“อือ”
เพื่อนในกลุ่มหันมาหาแนช “เขาคิดว่ามึงชื่อเสือน้อย”
“อือ ก้านบอกว่าเขาได้ยินพนักงานที่ร้านเรียกกูอย่างนั้น”
“เพราะได้ยินเพื่อนๆ เรียกมึงแบบนี้ก็เลยเรียกตาม แต่จะว่าไปก็ดีเหมือนกันนะ ปล่อยให้เข้าใจผิดดีกว่าต้องมาตอบคำถาม แล้วยิ่งเป็นคนไม่สนใจสายตาคนอื่นแบบนี้ด้วยแล้วยิ่งพูดยาก”
แนชพยักหน้ายอมรับความเห็นของเพื่อน “กูไม่เคยคิดเลยนะ ว่าการที่เราคบกับใครสักคน มันจะต้องคิดต้องมองอะไรรอบตัวมากขนาดนี้”
“พูดเหมือนไม่มีความสุข” เพื่อนอีกคนทัก
พอคำตอบของแนชเป็นความเงียบ กิมก็เปลี่ยนมาใช้น้ำเสียงจริงจัง
“มึงต้องปรับตัวอะไรเวลาอยู่กับมันหรือเปล่า”
แนชส่ายหน้า
“พ่อแม่มึงคัดค้านเรื่องมันหรือเปล่า”
แนชส่ายหน้าอีกครั้ง
“มันไปวุ่นวายที่ทำงานมึงมั้ย”
คำตอบยังคงเป็นการส่ายหน้า เพื่อนทั้ง 3 คนก็เลยพากันร้องเฮ้ย
“แล้วมึงไม่มีความสุขตรงไหน”
“ไม่รู้เหมือนกัน อาจเป็นเพราะมันเดินเข้ามาในเวลาที่กูไม่พร้อม ไม่รู้สิ อาจไม่ใช่ก็ได้ กูเองก็งงๆ ตัวเองเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับกู”
กิมขยับจะพูดอีก แต่เพื่อนอีกคนสะกิดไว้ “กูว่าคนที่มึงควรคุยให้มากคือไอ้ก้าน ไม่ใช่พวกกู มึงเข้าใจมั้ย เวลาของไอ้ก้านกับมึงน่ะมันเดินไปด้วยกันตลอด แต่เวลาของมึงกับก้านน่ะ มันหายไปหลายปี ก้านเข้าใจมึง แต่มึงไม่เข้าใจก้าน”
แนชหันมามองเพื่อนทั้ง 3 คน “มันคุยอะไรกับพวกมึงบ้างเนี่ย ห่า กูกลับมาบ้านแต่ละครั้งไม่เคยพูดไม่เคยบอกกันเลย มึงเพื่อนกูหรือเพื่อนมันกันแน่เนี่ย”
“ก้านมันก็ไม่ได้เร่งรัดให้กูช่วยอะไรเป็นพิเศษนี่ มันแค่ถามถึงมึงทุกครั้งที่เจอกัน จนผิดปกติ กูก็แหย่มันเล่น แต่มันกลับยิ้มรับ แล้วกูเองก็คิดเหมือนคนอื่น มึงไม่ได้มีท่าทีว่าจะสนใจใคร ไม่เคยพูดถึงหญิงคนไหน ไม่เคยเห็นมึงโทรหาใคร เรื่องของคน 2 คนถ้ามันจะเริ่มมันก็ควรเริ่มด้วยความพร้อมใจของทั้งคู่” กิมบอก “อย่างกูกับนงเยาว์ก็เห็นกันมาตั้งนาน ม้าก็บอกว่าแม่สื่อจะนัดให้ดูตัว แต่กูก็ผัดมาเรื่อยจู่ๆ คนเคยเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ให้มาแต่งงานกันมันแปลกๆ ว่ะ แต่พอมาวันหนึ่งบังเอิญไปเจอกันที่ห้างในเมือง กูก็ชวนเขากินข้าวเลย”
“มันเป็นแบบของๆ มึงยังไงก็เป็นของมึงแบบนั้นหรือเปล่า” เพื่อนคนหนึ่งถาม
“ตอนก่อนหน้านั้นไม่คิด แต่พอไปกินข้าวบ้านเขาบ่อยๆ ถึงเพิ่งจะคิดว่ะ” กิมหันไปบอก
หัวข้อเรื่องที่คุยเปลี่ยนไป จนตือกลับเข้ามาก็ร่วมวงเล่าเรื่องของกิมกับนงเยาว์ อย่างสนุกสนาน 4 ทุ่มกว่าก้านกลับเข้ามา เพียงแค่ดวงตากลมที่หันไปมองนาฬิกาก้านก็รีบบอก
“เก็บครัวเสร็จก็ไปที่ป้อมยาม แล้วก็กลับมา”
เพื่อนๆ พากันส่งเสียงโห่ พร้อมไปกับการเตือนกันว่าอย่าเสียงดัง คุยเล่นกันต่อจนถึง 5 ทุ่มตือก็ขานเวลากลับบ้าน
“เฮ้ย เพิ่ง 5 ทุ่ม”
“กูต้องกลับไปช่วยเมียทำงาน” ตือบอก
เพื่อนคนอื่นก็พากันรู้งาน ลุกไปเข้าห้องน้ำ
“วันนี้กินเหล้าเลิกเร็วเป็นสถิติใหม่” หนุ่มตัวเล็กประชดต่อ กิมเลยบอก
“กูกลัวไอ้ก้านไม่ให้มากินกับมึงอีกไง เลยต้องสร้างภาพที่ดีเข้าไว้”
“โห พวกมึงยังมีภาพอะไรที่ดีอีกหรือไง” แนชประชดไม่เลิก ขณะที่เดินไปส่งเพื่อนขึ้นรถ ตือคนเมาน้อยที่สุดในกลุ่มเป็นคนขับ เสร็จแล้วก็กลับเข้าบ้านไปอาบน้ำเข้านอน
“วันนี้เหมือนกินเหล้าไม่อร่อย”
ก้านทักขณะที่ล้มตัวลงนอน
“เพราะพวกมันไม่อยากให้มึงกับกูผิดใจกันน่ะ ไม่งั้นมันคงลากกูออกไปกินร้านไอ้ตือแล้วกลับเช้าเหมือนทุกที”
ทุกคนรู้ว่าวันที่ที่นี่มีแขก ก้านจะไม่ยอมออกไปข้างนอก เพราะจะทำให้เหลือเพียงยามที่ประตูหน้าเพียงคนเดียว แล้วถ้าพาแนชออกไป อาจทำให้ก้านยิ่งเป็นกังวล แนชก็อาจระแวงเพราะกิ๊บยังอยู่ที่นี่
สู้ให้อยู่ที่นี่ เห็นทุกอย่างได้ยินทุกอย่างด้วยตัวเองให้ชัดเจนดีกว่าที่จะมาสอบถามกันในภายหลัง
“แล้วแนชล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง”
“ว่าที่จริง ตอนที่เขาเดินเข้ามากูก็อึดอัดนะ เลยกินเหล้าดีกว่า แต่เพราะมึงยังยืนอยู่ข้างกูเหมือนเดิม ใจมันก็คิดว่าเออ ไม่มีอะไร ยิ่งตอนที่ไอ้ตือพาเขาออกไป ยิ่งแทบไม่ได้สนใจอะไรแล้ว”
ตรงข้ามกับเพื่อนๆ ที่กลับพากันเป็นห่วงพยายามชวนคุยให้แนชเข้าใจก้านและงานที่ก้านทำ
รอยยิ้มกว้างของคนตัวโต พาแนชยิ้มตาม
“ทุกอย่างมันเป็นเพราะท่าทีของมึงน่ะแหละ ถึงมึงจะไม่ได้พูด แต่มันก็...ทำให้กูไม่ติดใจอะไร”
“แย่จริง” ก้านพูดยิ้มๆ
“อะไรแย่” แนชกลับมาไม่ค่อยเข้าใจ ไม่โมโหอาละวาดแล้วทำไมยังแย่
“มีแต่ผมที่ขี้หึงหรือเนี่ย”
แนชทุบที่ต้นแขนหนาๆ “จะหึงอะไร บ้าหรือเปล่า”
ก้านพลิกตัวขึ้นคร่อม ก้มลงกดจูบที่ริมฝีปาก “หึงมาก ขนาดพี่กิมพี่ตือเรียกแนชว่าเสือน้อยยังไม่ชอบเลย”
“เฮ้ยยยยยย” แนชลากเสียงยาว
“จริงนะ ที่หายออกไปนั่งมองรถผ่านหน้าโฮมสเตย์อยู่ตั้งนานก็เพราะหงุดหงิดที่แนชนั่งหัวเราะอยู่กับเพื่อนๆ อยากให้มองแต่ผมคนเดียว หัวเราะกับผมคนเดียว”
“เหอ” แนชทำเสียงแปลกๆ “ที่พวกมันมาเพราะกลัวกูหึงจนหน้ามืด แต่ทำไมมันกลายเป็นมึงล่ะ”
ก้านก้มลงจูบดูดปาก มือใหญ่ลูบไล้เอวบางไล่ขึ้นมาหาหน้าอกบาง แนชส่งเสียงท้วงเบาๆ ในคอ
“หึงเพราะแบบนี้ไง” ก้านบอกแล้วก้มลงจูบย้ำ บีบบี้ยอดอกจนแข็งเป็นไต แล้วก้มลงเลียรอบ
“ก้าน คุยก่อนไม่ได้หรือไง เขาบอกว่าต้องคุยกันเยอะๆ จะได้ไม่ผิดใจกัน”
ก้านยกตัวขึ้นจูบแก้ม แต่มือยังคงฟอนเฟ้นที่อกบาง “คุยอะไร”
“ก็....มึงหึงอะไร กูจะได้ทำตัวถูกไง”
“ก็แค่ขอให้น่ารักอย่างนี้กับผมคนเดียวได้มั้ย”
แนชทำเลิกคิ้วสูงขึ้นข้างเดียว หน้าตาพิกล “โลกนี้มีแต่มึงคนเดียวแหละที่ว่ากูน่ารัก ขนาดพ่อกับแม่กูยังว่ากูมันไอ้ตัวปวดหัวเลย”
ก้านยิ้มกว้างก้มลงจูบปากฟัดแก้มแรง จนแนชโวยวาย
“ห่าก้านเจ็บนะ”
“งั้นทำที่อื่น”
ก้านขยับตัวดึงเสื้อนอนของแนชออก ตามมาด้วยกางเกงนอนตัวยาว
แม้จะมีเพียงแสงจากแสงจันทร์ภายนอก แต่ยังเห็นผิวขาวซีดแปรเปลี่ยนสีชมพูตามความร้อนรุ่มจากภายใน ดวงตาหรี่ปรือ อกบางผวาตามมือที่สัมผัส ลิ้นที่ปรนเปรอให้รู้สึกถึงหยดน้ำรสปร่าจากแก่นกายสีอ่อน
“ก้าน ....พอ...”
ก้านดูดรูดแก่นกายจนคนออกคำสั่ง ยกสะโพกตามแรง
ริมฝีปากหนาจูบเลื่อนขึ้นมาจูบไซ้ที่คอขาว
“ก้าน...ก้าน...” แนชรู้สึกเหมือนรถที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูงแต่กลับถูกเหยียบเบรกกะทันหัน
“ครับ”
“กู...”
ก้านขบที่ไหล่บางเบาๆ
“ก้าน...”
“ครับ”
“กู...”
ก้านขบซ้ำอีกครั้ง จนแนชนิ่วหน้า “อื้อ..เจ็บ...”
ริมฝีปากหนาดูดย้ำที่รอยกัด แนชผ่อนลมหายใจยาว เลื่อนมือสัมผัสกล้ามเนื้อแผ่นหลัง
“แนชอยากให้ก้านทำอะไร”
“แนช...” เพียงคำแรกที่เรียกชื่อตัวเอง แนชก็กลับหัวเราะคิก “ไม่คุ้นว่ะ”
“ก่อนหน้านี้ยังเรียกได้” ก้านกัดที่คางเบาๆ จนแนชต้องเบี่ยงหน้าหนี
“ก็..มันแปลกๆ”
ครั้งแรกที่เรียกชื่อตัวเองแบบนี้คือตอนที่ก้านทำความสะอาดให้ ความต้องการออดอ้อนร้องขอทำให้เปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเอง
หลังจากนั้นกลับไปเรียกแบบเดิม ก้านก็ไม่ได้ท้วงอะไร แต่ตอนนี้ดูเหมือนก้านจะชอบให้เรียกชื่อตัวเองมากกว่า
ริมฝีปากหนาประกบจูบแน่น ขณะที่เลื่อนมือช้อนใต้สะโพกแล้วสอดนิ้ว แนชสะบัดหน้าหนี กอดไหล่กว้างไว้แน่น
“เจ็บ....”
นิ้วใหญ่สอดลึก แนชแทบกลั้นหายใจเมื่อจุดอ่อนไหวถูกสัมผัส
“ก้าน...ก้าน...แนช...ขอ...”
“จากนี้เรียกชื่อตัวเองดีมั้ย จะได้คุ้น”
นิ้วใหญ่ถอนออกแล้วสอดลึกกดย้ำ เสียงหอบหายใจของคนตัวเล็กยิ่งแรง แก่นกายมีหยดน้ำทั้งที่ไม่ได้ถูกสัมผัส
“อื้อ....ก้าน..”
“ดีมั้ย”
แนชฮึดฮัดเพราะถูกขัดใจ จะผลักไหล่หนาออก แต่ก้านกลับยกตัวหนี แยกขาเรียวออก....
สอดนิ้วมืออาบครีมที่ช่องทางด้านหลัง พร้อมกับการเร่งมือรูดรั้งให้ แนชผวาร้องห้าม ยื้อข้อมือแกร่ง “ไม่เอา แบบนี้ไม่เอา ไม่...”
ก้านละมือจากช่องทางด้านหลัง แต่ยังคงรูดให้ต่อ แนชเกร็งสุดตัวแล้วฉีดน้ำสีขาวหอบแรง
“ไม่เอา แบบนี้”
“ไม่ชอบหรือ”
“อือ...”
“งั้น...”
แนชช้อนตามอง “ยักษ์บ้าเอาแต่ใจ”
“ใครเอาแต่ใจ” ก้านลูบต้นขาเรียว พร้อมไปกับรูดให้ตัวเอง “หือ ใครเอาแต่ใจ”
“ก้าน...ชอบเอาแต่ใจ”
คิ้วหนายกขึ้นสูงยิ้มขำ ที่แนชยังคงพยายามเลี่ยงการเรียกชื่อตัวเอง เข้าใจได้ว่าเพราะแนชเป็นพี่ แต่มาจนถึงวันนี้ ตอนนี้
....ไม่อยากให้เป็นพี่อีกต่อไปแล้ว....
“แนช เรียกชื่อแบบนี้ตลอดไปได้มั้ย”
ส่วนปลายจดจ่ออยู่ที่ช่องทางด้านหลังแต่ยังไม่สอดเข้าหา ก้านก้มลงจูบริมฝีปากบาง
“ก้านรักแนช”
“อื้อ แนชก็รักก้านเหมือนกัน”
เล็บบางกรีดลงที่แผ่นหลังกว้าง เสียงหอบหายใจแรงเมื่อสะโพกแกร่งขยับสอดลึก
“เจ็บหรือ”
“อื้อ..” แนชพยักหน้า ไม่ใช่ครั้งแรกแต่คงเพราะช่วงเวลาที่ห่างกันนาน ทำให้รู้สึกเหมือนจะได้แผล
พอเห็นน้ำตาซึมจากหางตาสวย ก้านก็หยุดสะโพกลูบที่ต้นขา
“ก้าน...มาเถอะ”
ก้านกดสะโพกช้าๆ เข้าหาแนชก็ยิ่งกดเล็บแล้วผวากอดไว้ “ห่า ทั้งเจ็บทั้งเสียว”
ก้านพลิกหน้าเล็มที่ใบหู เรื่อยลงมาหาต้นคอ แต่ไม่ขยับสะโพก
“ก้าน...ไม่ไหว...”
ริมฝีปากหนากดจูบปาก ดูดแรงแล้วยกตัวขึ้น เปิดขาเรียวออกกว้าง ดวงตาสีเข้มกวาดตามองไปทั่วร่างกายผอมบาง รู้สึกเหมือนความร้อนกำลังทำให้เลือดในกายแห้งเหือด แต่กลับสาวสะโพกช้าๆ
ดวงตาที่มองมาเหมือนกำลังกลืนกินเข้าไปทั้งตัวทำให้แนชได้แต่หลับตา ไม่กล้ามองกลับไป
ต้องมีสักครั้งละน่า ที่จะตื่นนอนก่อนเจ้าของบ้าน ลงมามีข้าวต้มอยู่ในถ้วย ก็อุ่นไมโครเวฟแล้วนั่งกินไปคิดไปว่าอาจต้องไปหาแม่คนเดียว ก้านก็กลับเข้ามาพอดี พร้อมกับรอยยิ้มกว้าง
“กินข้าวแล้วหรือ”
“อือ ...ไปเองก็ได้ไม่ต้องไปส่งหรอก”
ก้านบีบจมูกดื้อรั้นเบาๆ “แวะไปที่ร้านก่อน แม่ผมจะฝากของไปให้แม่แนชด้วย”
“แล้ว...เราควรมีของไปฝากแม่ก้านด้วยหรือเปล่า”
....โอย ทำไมมันเขินได้ขนาดนี้วะเนี่ย อย่างกับเป็นสาวน้อยวัยใส....
“ไว้พรุ่งนี้ดีมั้ย เพราะวันนี้ผมแวะไปเอาของแล้วก็รีบไปหาแม่แนช ต้องกลับมาที่นี่ก่อนเที่ยง”
“อ่า....จริงสินะ” แนชบอกแล้วมองเลยไปทางด้านหลัง “ไม่คิดว่าควรจะอยู่ช่วยเก็บห้องหรือไง”
“เก็บห้องน่ะเรื่องง่าย” ก้านบอกขำๆ เก็บถ้วยชามไปล้าง แล้วเดินตามออกมาที่รถ
ตอนที่แวะที่ร้านอุปกรณ์ก่อสร้างใช้เวลาไม่นานอย่างที่ก้านว่าจริงๆ เพราะแม่ยืนรออยู่ที่หน้าร้าน พอก้านจอดรถ แม่ก็รีบส่งของให้ บอกว่าฝากสวัสดีดาบเผดิมกับอาจารย์สายหยุดด้วย
แนชได้แค่ยกมือสวัสดีก้านก็ออกรถ
พอมาถึงบ้านก้านลงจากรถมาสวัสดีพ่อกับแม่ เอาของที่แม่ฝากมาให้อาจารย์สายหยุด แล้วก็กลับไป
“รีบๆๆๆๆ” แนชยืนเท้าเอวประชดตามหลังรถคันใหญ่ที่แล่นออกไป
“ก็วันนี้มันวันอาทิตย์” แม่พูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
คุยไปคุยมา ถึงได้รู้ว่า ช่วงที่แนชไม่อยู่ก้านยังคงแวะมาหาพ่อกับแม่เป็นระยะ
บ่ายจัดแม่จดรายการของที่ต้องไปซื้อที่ตลาดมาส่งให้พ่อ แนชอาสาขี่รถมอเตอร์ไซค์คันเก่งของพ่อไปที่ตลาด ส่งพ่อที่แผงผักเจ้าประจำแล้วเลยไปหากิม ยืนคุยกันในร้านข้าวสารได้ครู่เดียกิมก็ชวนออกมาร้านกาแฟตรงหัวมุมตลาด ห่างจากร้านข้าวสารของกิมไม่ถึง 10 ห้องแล้วก็ยังมองเห็นพ่อเวลาที่ออกมาจากตลาด
ความคุ้นเคย และความเคยชินทำให้กิมดึงแนชไปนั่งที่โต๊ะเล็กด้านใน แต่ยังมีมุมที่ทำให้เห็นพ่อเวลาออกมาจากตลาดได้
กินกาแฟยังไม่ถึงครึ่งแก้ว ก็เห็นพ่อออกมาจากตลาด ในมือถือถุงผักที่แม่สั่งให้ซื้อ แต่คนที่เดินมาด้วยกันคือชัยชนะพ่อของก้าน
เห็นแค่นี้แนชก็ขยับหลบไปหลังเสา เหลือแต่กิมที่รีบหันไปคว้าหนังสือพิมพ์ขึ้นบัง
ดาบเผดิมพ่อของแนชจำกิมได้ เพราะนี่เป็นเพื่อนสนิทของลูกชาย หันมองไปรอบๆ ยังสงสัยอยู่ว่าแนชไปไหน ก็พอดีชัยชนะพ่อของก้านสั่งเครื่องดื่มแล้วนั่งลง
พ่อ 2 คนคุยกันตรงๆ ในเรื่องที่คาดเดาได้
“ผมมีก้านเป็นลูกชายคนเดียว อยากให้มันมีครอบครัวมีลูกหลานไว้สืบสกุล แต่มันก็ยืนยันมาตลอดว่ามัน...ไม่ได้ชอบแบบนั้น ใจก็ยังคิดว่าสักวันมันอาจเปลี่ยนใจ แล้วพอมันไปกรุงเทพฯ กลับมา บอกตามตรงถึงลูกจะเสียใจ แต่ผมก็ยังคิดว่ามันจะคิดได้ แล้วก็ยอมแต่งงานกับผู้หญิงที่ผมเลือกให้ ที่ไหนได้ มันกลับยิ่งไปกันใหญ่”
กิมกับแนชเงี่ยหูฟังเสียงดาบเผดิมพูดอะไรสักคำ แต่ดาบก็ยังนั่งฟังเจ้าของร้านอุปกรณ์ก่อสร้างพูดไปเรื่อย จนกระทั่งถึงประโยคที่เป็นเป้าหมายสำคัญของการสนทนาครั้งนี้
“บอกให้ลูกของดาบเลิกยุ่งกับลูกผมได้มั้ย อย่าเพิ่งกลับมาอย่าเพิ่งติดต่อกัน แรกๆ ก้านมันอาจดูไม่ดีนัก แต่เวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง”
“ผมก็มีลูกชายคนเดียว ตอนเรียนก็ออกจากบ้านไปอยู่หอเหมือนกัน เรียนจบมันก็ทำงานอยู่กรุงเทพฯ เป็นห่วงมันไม่ว่ามันจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม แต่สิ่งที่ผมกับอาจารย์สายหยุดเชื่อมาตลอดก็คือ ทุกคนมีหนทางของตัวเอง” ดาบตอบไปอีกทาง แต่ชัยชนะรู้ว่าหมายถึงเรื่องอะไร
“ของแบบนี้มันไม่ยั่งยืน”
“มันก็ไม่มีอะไรยั่งยืนสักอย่าง พระท่านว่าทุกอย่างเป็นเรื่องสมมุติ ถึงจะเรื่องลูกหลานสืบสกุลที่เถ้าแก่เป็นกังวล มันก็ไม่แน่หรอก ผัวเมียแต่งงานกันไม่มีลูกเยอะไป มีแล้วแทนที่มันจะดูพ่อแม่กลับเป็นพ่อแม่ดูมันจนกว่าใครจะตายก่อนกันก็มีไม่น้อย แต่งแล้วหย่ายิ่งมากกว่า เรื่องชื่อเรื่องนามสกุลใหม่ มันนึกอยากเปลี่ยนก็ไปขอให้พระเลือกให้” ดาบพูดเนิบๆ ตามนิสัย
“ดาบไม่ห่วงแทนลูกเลยหรือไง”
“ห่วง แต่ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะต่างจากเวลาที่มันกลับมาบ้านแล้วมันก็ไปที่โน่นที่นี่ แล้วมันก็กลับมานอนดูละครกับอาจารย์สายหยุดที่บ้านตรงไหน”
“อย่างนี้เราก็คุยกันไม่รู้เรื่อง”
“รู้” ดาบเผดิมพูดหนักๆ “เพียงแต่เราเห็นไม่เหมือนกัน ลูกคุณลูกผม ต่างก็เจอคนเยอะ แต่ก็มีแต่เขาเท่านั้น ที่รู้ว่าอยู่กับใครแล้วเขามีความสุข เขาเลือกเองได้”
ชัยชนะไม่ได้พูดอะไรอีก ลุกขึ้นไปจ่ายเงินค่ากาแฟแล้วออกไปจากร้านทันที
“กิม แนชล่ะ” ดาบหันมาเรียกคนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์
แนชลุกออกมาจากหลังเสาที่ใช้บังตัวอยู่ ริมฝีปากเม้มสนิท ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ
พ่อจับศีรษะเล็กๆ โยกเบาๆ “ไป กลับบ้านกันป่านนี้อาจารย์บ่นแล้วก็ไม่รู้”
แนชมองพ่อแล้วหันไปมองแผ่นหลังของคนที่เดินออกไปจากร้าน มือขาวซีดกำหมัดแน่น
“แนช พ่อหิวแล้วว่ะ กลับบ้านกันดีกว่า”
========จบตอนที่ 5======
ต้นแบบของกิ๊บในเรื่องนี้ไม่ใช่ผู้หญิงหรอกครับ ตอนเขียนรอบแรกเสร็จส่งไปให้ทีเขียน แล้วทีส่งกลับมา ก็เปลี่ยนชื่อเพิ่มเรื่องยาวมาก เห็นชื่อกิ๊บยังไม่เท่าไหร่ แต่พอกิ๊บเริ่มพูดประโยคแรกผมก็เหมือนโดนตบหัวทิ่ม แล้วพออ่านๆ ไปรู้สึกเสียวสันหลังวาบ พอเห็นตอนแนชเหวี่ยงเลยไม่ค่อยแปลกใจแล้ว
ส่วนที่ฝากให้จัดการตัวเล็กขาเหวี่ยงน่ะ คุณก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
ก่อนที่ป๋าจะเรตติ้งตก ขอชี้แจงว่า กิ๊บ(นามสมมุติ) มาเกาะแกะป๋าและล้ำเส้นมาถามผม ดังนั้นต้องไปจัดการที่พี่มัน ฐานไม่รู้จักสั่งสอนน้องมัน พอป๋ารู้ว่ามีคนล้ำเส้นมาหาผม ป๋าแค่หันมาถามด้วยสีหน้างงๆ ว่า ใครหรือ จำไม่ไ่ด้ท่าทางชีวิตนี้จะไม่รู้จักใครนอกจากคานธี แต่ช่างเหอะ ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ป๋า แต่อยู่ที่คนรอบตัวผมและป๋าต่างหาก
ตอนหน้าวันพฤหัสบดีจบแล้วนะครับ
ไจฟ์กับทีครับ