ไม่ได้เขียนถึงตอนแห่ขันหมากนะคะ แต่ใครใคร่จิ้นตัวเองอยู่ในขบวนไปกับนายบิลด้วย ก็ตามสบายเลยค่ะ ส่วนคนเขียนขอจองตำแหน่งคนกั้นประตูเงินประตูทองนะคะ ใครจะมากั้นเป็นเพื่อนก็เชิญค่ะ
..
..
เชิญอ่านต่อในตอนสุดท้ายและบทสรุปของเรื่องนี้ได้เลยค่ะ ^^/8
งานแต่งงานที่จัดขึ้นในไทย สุดาเชิญเฉพาะเครือญาติ และเพื่อนที่สนิทกันเท่านั้น ซึ่งจริง ๆ แล้วเธอไม่ได้อับอายเรื่องที่ลูกชายแต่งงานกับผู้ชายด้วยกัน แต่ไม่อยากให้คนนอกมาซุบซิบนินทาในงานแต่งของลูกชาย อีกอย่างเธอมั่นใจว่า ถ้าเป็นบรรดาญาติมิตรที่สนิทกันดีแล้ว พวกเขาก็ย่อมยินดีกับลูกชายของเธอจริง ๆ
...และมันก็เป็นดังเช่นที่สุดาคิดไว้ พอพวกเขาได้เห็นหน้าเจ้าบ่าวและได้ทราบว่าครอบครัวของอีกฝ่ายมีฐานะมั่นคงเพียงใด ญาติพี่น้องบางคนถึงกับออกปากว่า ถ้าสายใยเป็นผู้หญิงก็คงยิ่งเหมาะสมกันมากยิ่งขึ้น
“เฮ้อ...เหนื่อยชะมัด...ถ้ารู้ว่าแต่งงานแล้วเหนื่อยแบบนี้ ไม่แต่งเสียก็ดีหรอก”
สายใยพึมพำกับตัวเองหลังจากที่เข้าห้องหอมาพร้อมกับวิลเลียม ส่วนสมาชิกทั้งสองครอบครัว ก็ยังคงดื่มฉลองกันข้างนอกและพูดคุยแลกเปลี่ยนชีวิตความเป็นอยู่กันอย่างถูกคอและเป็นกันเอง
“โธ่! พี่ครับ... แต่งน่ะดีแล้ว ใคร ๆ เขาจะได้รู้ว่าพี่เป็นของผมอย่างถูกต้องตามประเพณียังไงล่ะครับ”
วิลเลียมบอกออดอ้อน แล้วกอดคนที่สวมสูทขาวข้าง ๆ อย่างเอาใจ ทำให้สายใยหน้าแดงระเรื่อด้วยความอาย แต่ก็แกล้งทำเป็นแสร้งดุอีกฝ่ายแก้เขิน
“เหนื่อยมาทั้งวัน น้ำท่าก็ยังไม่อาบ ยังจะมานัวเนียกอดอยู่ได้ ไม่เหนียวตัวหรือไง”
“แหม...ก็เป็นบ้างล่ะครับ แต่ช่วยไม่ได้นี่นา ก็ใครใช้ให้พี่น่ารักเองล่ะ ....พี่แต่งชุดไทยในตอนเช้าก็น่ารัก พอเปลี่ยนมาใส่สูทขาวก็ยิ่งน่ารัก...”
วิลเลียมพร่ำชมจนคนถูกชมยิ่งหน้าแดงหนัก และกลายมาเป็นหน้าแดงก่ำในประโยคท้ายสุด
“แต่ผมว่านะ...พี่เอส ตอนที่ไม่ใส่อะไรเลยน่ะ น่ารักที่สุดแล้วล่ะ”
“ลามกจริง ๆ นะนายน่ะ... ใครสั่งใครสอนให้ลามกแบบนี้กันนะ”
สายใยอุบอิบบ่น ทั้งที่ตอนนี้หน้าตาแดงก่ำไปหมด จนคนมองต้องกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ และเริ่มที่จะหักห้ามอารมณ์ตัวเองเอาไว้ไม่ไหว
“ผมจะลามกก็กับแค่คนที่ผมรักคนเดียวนี่ล่ะครับ ...”
วิลเลียมเอ่ยเสียงแหบพร่าพร้อมกับเริ่มลูบไล้ตามผิวกายของร่างในอ้อมกอดอย่างเสน่หา
“บิล...เดี๋ยวสิ...อย่าเพิ่ง...”
สายใยห้ามเสียงสั่น เพราะเขาเองก็เริ่มรู้สึกถึงความต้องการที่ถูกปลุกขึ้นมาบ้างแล้ว
“พี่ไม่อยากทำกับผมหรือครับ...”
วิลเลียมออดอ้อนพร้อมใช้สายตามองอย่างน่าสงสาร จนสายใยชะงัก แล้วจึงบอกกลับไปด้วยใบหน้าแดงก่ำและท่าทางเอียงอาย
“ไม่ใช่ไม่อยาก ...แต่อาบน้ำให้เสร็จเรียบร้อยก่อนสิ...”
วิลเลียมเบิกตากว้าง แล้วยิ้มอย่างยินดี ก่อนจะลงมือปลดเปลื้องเสื้อผ้าทั้งของอีกฝ่ายและของตัวเอง อย่างรวดเร็ว จนสายใยไม่ทันได้ตั้งตัว
“เดี๋ยว! บิล! พี่ถอดเองได้ ..แล้วทำไมบิลต้องถอดด้วยล่ะ!”
สายใยโวยวาย เมื่อตนถูกผลักล้มไปบนเตียงและถูกดึงกางเกงชั้นในซึ่งเป็นผ้าชิ้นสุดท้ายที่เหลือติดร่างออกมา ส่วนคนถอดก็รีบถอดเสื้อผ้าของตัวเองจนหมดและเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าเช่นเดียวกัน
“ก็พี่บอกว่าให้อาบน้ำเสร็จก่อนไม่ใช่หรือครับ ...ถ้าอาบทีละคนมันก็ช้าน่ะสิ”
วิลเลียมบอกแล้วยกยิ้มน้อย ๆ ติดเจ้าเล่ห์ ทำให้คนที่กำลังตกตะลึง กลายเป็นหน้าแดงหนัก แล้วโวยวายตามมาเมื่อถูกอีกฝ่ายรวบร่างดึงตัวเข้าไปห้องอาบน้ำด้วยกัน
“ไม่ต้องบิล! พี่อาบเองได้! อ๊ะ! เด็กบ้า อย่าจับตรงนั้นสิ…อ๊ะ...ไม่นะ....บิล...”
เสียงโวยวายค่อย ๆ กลายเป็นเสียงครางแผ่วเบา และกว่าทั้งคู่จะอาบน้ำให้กันจนเสร็จเรียบร้อย สายใยก็แทบจะหลับลงทันทีที่ร่างของตนถูกพามานอนบนเตียง
“อื้อ...บิล...พี่เหนื่อย...”
สายใยบอกตามตรง เพราะเห็นว่าวิลเลียมยังคงพร้อมที่จะเริ่มเกมรักระหว่างพวกเขาได้อีกเรื่อย ๆ
“เหนื่อยก็หลับไปสิครับพี่...”
“ตะ...แต่...บิลยัง...”
สายใยกระดากปากไม่กล้าพูดต่อเมื่อเหลือบเห็นส่วนล่างที่ยังคงแข็งขึงของอีกฝ่าย
“ไม่ต้องห่วงผมหรอก....พี่เหนื่อยพี่ก็พักเถอะครับ ...เดี๋ยวผมจัดการตัวเองได้อยู่แล้ว”
วิลเลียมบอกพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ทำให้สายใยหน้าแดงวาบ เพราะพอจะเข้าใจถึงความนัยที่สื่อมากับคำพูดนั้น
“ให้พี่ช่วย...ได้ไหม”
น้ำเสียงอุบอิบแผ่วเบาที่ดังราวกระซิบ ทำให้วิลเลียมนิ่งอึ้ง ก่อนจะแย้มยิ้มออกมาอย่างยินดี เมื่อสายใยเอ่ยย้ำตามมาอีกครั้ง
“ขอบคุณครับพี่....ผมรักพี่ที่สุดเลย...”
และภายในคืนนั้น หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างได้ปลดปล่อยจนสบายตัวแล้ว ทั้งสองก็นอนแนบชิดกอดก่ายกันไม่ห่าง จนกระทั่งยามเช้ามาเยือนในที่สุด…
งานแต่งงานในไทยนั้นแม้ว่าจะชวนให้สายใยประทับใจมากแล้วก็ตาม ทว่างานแต่งงานและงานเลี้ยงซึ่งจัดกันเองที่คฤหาสน์ของอัลเบิร์ตที่อังกฤษนั้น ก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตื้นตันและปลาบปลื้มใจเป็นที่สุด เมื่อครอบครัวของคนรัก ได้มอบของขวัญวันแต่งงานที่แสนจะเซอร์ไพรส์ให้ เป็นบ้านหลังเล็กที่สร้างไว้ในพื้นที่สวนหลังคฤหาสน์เพื่อมอบให้ทั้งคู่สำหรับอนาคต หากพวกเขาอยากจะกลับมาพักผ่อนที่อังกฤษแห่งนี้
“บ้านในฝันชัด ๆ ออยก็อยากได้แบบนี้สักหลังไว้สำหรับตอนพวกเราแก่เฒ่า จะได้อยู่กันสองคนตายาย คุณว่าดีไหมคะที่รัก”
สิรีบอกกับสามีของเธอพลางมองบ้านตรงหน้าอย่างชื่นชม เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ที่เพิ่งได้เห็นบ้างหลังนี้ แม้ว่าจะเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวที่มีพื้นที่เพียง 60 ตารางวา แต่ด้านในนั้นถูกตกแต่งดีไซน์ด้วยเครื่องเรือนอย่างดี มีมุมห้องทำงานซึ่งสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ในสวน เหมาะสำหรับนักเขียนอย่างสายใยยิ่งนัก
ส่วนห้องนอนก็ถูกตกแต่งอย่างราบเรียบแต่ติดหรู ตามรสนิยมของวิลเลียม เครื่องเรือนเป็นแบบสั่งทำให้เข้ากับตัวห้อง แถมเตียงนอนขนาดคิงไซส์ยังถูกใจวิลเลียมอย่างมาก โดยเฉพาะส่วนของห้องอาบน้ำภายในห้องนอน ที่กว้างขวางปลอดโปร่ง แถมยังมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่พอที่จะลงไปแช่กันสองคนสบาย ๆ ตั้งอยู่ติดกับบานกระจกใส สามารถเปิดมู่ลี่ไม้ไผ่ เพื่อชมวิวในสวนได้อีกต่างหาก
“ห้องนี้เจ๋งจริง ๆ เลยครับ ฝีมือพี่ออกแบบใช่ไหมโทนี่”
วิลเลียมหันไปถามพี่ชายคนที่สอง ซึ่งแอนโทนีก็ยักไหล่แล้วยิ้มน้อย ๆ ให้
“เฮ้! ไม่ใช่แค่โทนี่ที่ออกแบบให้นายนะบิล ฉันก็ช่วยออกแบบห้องครัวให้ด้วย ตามมาดูสิ”
พี่ชายคนที่สามรีบเอ่ยขัดขึ้น ทำให้ทุกคนที่มองอยู่หัวเราะเบา ๆ แล้วเดินตามอีกฝ่ายที่แสนกระตือรือร้นนำหน้าไปโชว์ผลงานของเขาบ้าง
“ว้าว...สวยจังเลยจ้ะ แหม…ถ้าป้าจะขอให้หนูไปช่วยออกแบบห้องครัวที่บ้านให้ จะได้ไหมจ๊ะเนี่ย”
เคาน์เตอร์เข้ามุมซึ่งถูกออกแบบให้เข้ากับตัวบ้าน และเพียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์ทำอาหารแทบทุกอย่างให้เลือกสรร ทำให้สุดาถึงกับออกปากด้วยความชื่นชม จนคนออกแบบยิ้มหน้าบานแล้วหันไปบอกกับหญิงสาวทันที
“ได้อยู่แล้วครับ ไว้ผมได้วันหยุดเมื่อไหร่ ผมจะบินไปไทยหาคุณป้าเลยดีไหมครับ ...แล้วผมก็อยากกินแกงมัสมั่นฝีมือคุณป้าอีกครั้งด้วย”
อังเดรรีบอ้อนเป็นภาษาไทยตอบ ทำให้แอนโทนีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หมั่นไส้
“เห็นแก่กินจริงนะนาย”
“ก็ฝีมือป้าดาทำอร่อยนี่นา ...วันงานแต่งที่ไทย ฉันเห็นนะ นายนั่งเฝ้าถ้วยแกงไม่ยอมแบ่งให้ใครเหมือนกันไม่ใช่รึ!”
อังเดรแย้งพี่ชาย ทำให้แอนโทนีหันมาจ้องเขม่น ๆ เพราะความที่ทั้งคู่อายุใกล้เคียงกันจึงมักชอบมีปากเสียงกันบ่อย แต่เวลาเข้าขา ก็มักสนิทกันยิ่งกว่าใคร
“พอ ๆ มาทะเลาะกันเพราะเรื่องกินขายหน้าจะตาย ...ว่าแต่โต๊ะอาหารในห้องมันจะใหญ่ไปหน่อยไหมแอนดี้ ฉันว่ามันนั่งกันได้ทั้งครอบครัวเราเลยนะนั่น”
แดเนียลเอ่ยขัด แล้วทักตามด้วยความสงสัย อังเดรหันมาทางพี่ชาย แล้วยกยิ้มน้อย ๆ อย่างเจ้าเล่ห์
“ก็ใช่สิพี่ ผมตั้งใจแบบนั้นนั่นล่ะ ถ้าสองคนนี่กลับมาเมื่อไหร่ พวกเราก็จะมากินข้าวด้วยกันที่นี่ด้วย ...เอสเองก็คงทำอาหารเก่งเหมือนป้าดาใช่ไหมล่ะครับ”
อังเดรหันไปถามสายใยอย่างคาดหวัง ทำเอาสายใยสะดุ้ง แล้วฝืนยิ้มตอบกลับไป
“ถ้าเป็นอาหารจานไข่ ก็พอไหวครับ”
คนฟังที่แสนจะไม่ชอบกินไข่เงียบกริบ แล้วลอบถอนหายใจ ก่อนจะฝืนยิ้มน้อย ๆ กับน้องสะใภ้ของตน
“งั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวให้บิลทำให้กินแทนก็ได้”
“ครับ ๆ เดี๋ยวระหว่างอยู่เมืองไทย ผมจะไปฝึกวิชาทำอาหารกับป้าดามาแล้วกัน”
วิลเลียมตัดบท เพราะเห็นสีหน้าอาย ๆ ของคนรัก ทว่าคำพูดของน้องชายก็ทำให้บรรดาพี่ชายทั้งสามยินดีกันออกนอกหน้า
“เฮ้อ! ลูก ๆ พวกนี้นี่ จะอายุกี่ปีก็ยังเป็นเด็กไม่เปลี่ยน”
อัลเบิร์ตบ่นเบา ๆ แต่เกรียงไกรที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พอได้ยินก็ทำให้เขาหัวเราะในลำคอ แล้วจึงเปรยตอบ
“สำหรับพ่อแม่ ต่อให้ลูกจะอายุมากแค่ไหน พวกเขาก็ยังคงเป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ ให้เราห่วงอยู่ดีนั่นล่ะครับ”
อัลเบิร์ตหันมาทางบิดาของลูกสะใภ้ แล้วจึงพยักหน้าพร้อมยิ้มตอบ
“นั่นสิครับ ผมก็ว่าอย่างนั้น”
จากนั้นพวกเขาก็พากันกลับไปงานเลี้ยงในสวนกว้างหน้าบ้านกันต่อ และต่างแยกกันไปสนทนาตามประสาหนุ่มสาวและคนสูงวัย
“ตอนที่ผมรู้เรื่องหนูเอสครั้งแรก เพราะผมเห็น บิลพยายามเขียนจดหมายไปหาใครบางคนที่อยู่เมืองไทย แต่คำลงท้ายที่ว่าจะไปรับหนูเอสมาเป็นเจ้าสาวนี่สิ ทำเอาผมในตอนนั้นนึกขำ ...แต่พอลองคุยกับเขา มันก็ทำให้ผมรู้ว่าเด็กนั่นเอาจริง ...เขาจริงจังจนผมเริ่มนึกกังวล ผมเลยพยายามเกลี้ยกล่อมเขา แต่เขาก็ไม่ฟัง ผมจึงนึกวิธีบางอย่างขึ้นมา จากนั้นจึงยื่นเงื่อนไขว่า ถ้าเขายอมไม่ติดต่อกับหนูเอสจนกระทั่งเรียนจบปริญญา ผมถึงจะยอมรับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ และยอมรับว่าบิลนั้นรักหนูเอสจริง ๆ ไม่ใช่แค่หลง ...ตอนนั้นผมยอมรับนะ ว่าผมก็แค่หลอกให้ลูกเลิกติดต่อกับหนูเอส เพื่อที่จะได้ลืมไปเอง ...แต่ผมก็ไม่คิดว่า เขากลับทำตามสัญญาที่ให้ไว้จนสำเร็จ ...เพราะอย่างนั้น ผมก็เลยคัดค้านเขาไม่ได้ ตอนที่เขาบอกว่าจะไปหาหนูเอส เพื่อทำตามสัญญาสมัยเด็ก”
อัลเบิร์ตเล่าถึงความหลังที่ผ่านมา ทำให้ครอบครัวของสายใยได้รับรู้ถึงความพยายามอดทนฝ่าฟันอุปสรรคของวิลเลียม และนึกชื่นชมในตัวของชายหนุ่มมากยิ่งขึ้น
“ตอนที่บิลมาขออัลไปพบหนูเอสที่เมืองไทย พวกแดนก็อยู่ด้วย ฉันจำได้เลยว่าวันนั้นพวกเขาทะเลาะกันใหญ่โตจนฉันตกใจ ...ไม่ใช่ว่าพวกพี่ชายของบิลจะรังเกียจหนูเอสหรอกนะคะ แต่พวกเขารักและเป็นห่วงน้องชายจนเกินไป ...พวกคุณก็น่าจะทราบดี เรื่องความรักของเพศเดียวกัน ใช่ว่ามันจะราบรื่นไปหมดทุกคู่...มีหลายคู่ที่ทนต่อกระแสกดดันของครอบครัว สังคม และคนรอบข้างไม่ไหว จนต้องเลิกรากันไปอย่างเจ็บปวดก็มี ...พวกพี่ชายของบิลจึงไม่อยากให้น้องต้องเป็นแบบนั้น”
ขวัญตาเสริมขึ้นมา แล้วถอนหายใจเบา ๆ แต่ทางสุดา และเกรียงไกร รวมไปถึงสิทธาและสิรีที่นั่งฟังอยู่ต่างพยักหน้ารับรู้ และเข้าใจในตัวพี่ชายของวิลเลียมดี เพราะพวกเขาเองแต่แรกก็คิดแทบไม่แตกต่างกันนัก แต่พอเห็นความรักและความจริงใจที่วิลเลียมมีให้กับสายใย มันจึงทำให้พวกเขายอมรับทั้งคู่ได้อย่างไม่ยากเท่าใด
“แต่สุดท้ายบิลก็ทำให้พวกเรายอมรับจนได้... สิบห้าปีมันไม่ใช่เวลาน้อย ๆ เลยใช่ไหมล่ะคะ ...การที่คนคนหนึ่งยังมั่นคงต่อคนเพียงคนเดียวมาตลอด ...เท่านั้นมันก็เป็นคำตอบถึงความจริงใจที่ลูกชายฉันมีต่อหนูเอสได้แล้ว ...แต่ตอนนั้นพวกเราก็ยังห่วงแค่ว่า ทางหนูเอสจะยอมรับบิลไหมเท่านั้น”
หญิงสาวเปิดใจเล่าเรื่องฝั่งลูกชายของเธอให้ครอบครัวของสายใยฟัง เพราะเธออยากจะตอกย้ำให้ทุกคนมั่นใจในตัวของวิลเลียมให้มากยิ่งขึ้น ...เพราะถึงแม้จะผ่านพิธีการแต่งงานแล้ว แต่ชีวิตคู่นั้นมันไม่ง่ายอย่างที่ทุกคนเคยวาดหวัง อาจจะมีการกระทบกระทั่งผิดใจกันได้ แต่เธอเชื่อมั่นว่า ความจริงใจตลอด 15 ปีที่ลูกชายเธอมี จะทำให้อุปสรรคทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ดีในที่สุด
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับน้าขวัญ...เอสน่ะถ้าลองยอมรับใครสักคนแล้ว ต่อให้มีอะไรเกิดขึ้น เขาก็จะยังเชื่อมั่นและไว้ใจคนคนนั้นไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแน่ ....เพราะฉะนั้นผมมั่นใจว่า พวกเขาจะต้องผ่านอุปสรรคในชีวิตคู่ไปด้วยกัน และครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดไปอย่างแน่นอน”
สิทธาเอ่ยขึ้นอย่างพอที่จะคาดเดาความกังวลของอีกฝ่ายได้ คำพูดของชายหนุ่มทำให้ทั้งสองครอบครัวมีรอยยิ้มตอบรับ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นพูดคุยสนทนาถึงเรื่องราวในอนาคตหลังจากนั้น รวมไปถึงโครงการท่องเที่ยวพักผ่อนเยี่ยมเยียนครอบครัวของทั้งสอง สลับกันในแต่ละปีหลังจากนี้ในอนาคตอีกด้วย
อีกด้านหนึ่ง สายใยกำลังนั่งคุยกับพี่ชายทั้งสามของคนรัก พวกเขาสนิทสนมกันอย่างรวดเร็วจนวิลเลียมชักเริ่มไม่สบอารมณ์
“พอได้แล้ว...พวกพี่จะคุยอะไรกับพี่เอสนักหนา”
วิลเลียมรวบร่างของสายใยมากอดแน่น จนคนถูกกอดหน้าแดง ส่วนพี่ชายทั้งสามพอเห็นก็พากันโห่ใส่อย่างรู้สึกขำปนหมั่นไส้
“จะหึงอะไรกันบิล! พวกพี่ไม่แย่งแฟนนายหรอกน่า”
แดเนียลบอกกึ่งหัวเราะ ทำให้สายใยยิ่งรู้สึกเขินมากยิ่งขึ้น
“บิล... ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ”
สายใยดุใส่คนรักเบา ๆ จนอีกฝ่ายทำหน้ามุ่ย แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยร่างในอ้อมกอดอยู่ดี
“ถ้าไม่ปล่อย...คืนนี้พี่จะไปนอนอีกห้องนะ”
คำขู่ถัดมาทำเอาคนฟังชะงัก แล้วรีบปล่อยมืออย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แถมยังทำหน้าหงิกงอแล้วเมินไปทางอื่นอย่างน้อยใจอีกด้วย
“อ้าว ๆ งอนเสียแล้วน้องฉัน ...อย่าเสียเวลาง้อเด็กเลยครับเอส ไปสมทบกับพวกเราทางโน้นแทนดีกว่า”
อังเดรที่อายุพอ ๆ กับสายใย เอ่ยชวนชายหนุ่มให้ไปรวมกลุ่มกับทางบิดาของเขา แต่สายใยเริ่มลังเล และพอยิ่งเห็นวิลเลียมงอนมากขึ้นกว่าเดิม เขาก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วยิ้มตอบคนชวน
“ไว้เดี๋ยวผมตามไปนะครับ...”
วิลเลียมชะงักกลั้นยิ้มไว้เต็มที่ รู้สึกดีใจที่สายใยเห็นเขาสำคัญกว่า ส่วนพี่ชายทั้งสามต่างสบตากัน แล้วยักไหล่ พลางอมยิ้มอย่างนึกเอ็นดู ก่อนจะขอตัวเดินไปรวมกลุ่มกับพวกของอัลเบิร์ต ทิ้งให้คู่รักปรับความเข้าใจกันตามลำพัง
“บิล...โกรธจริง ๆ หรือ...ไม่อยากเห็นหน้าพี่แล้วสินะ”
ท้ายประโยคน้ำเสียงฟังดูแผ่วลงจนคนฟังใจหาย เลิกแกล้งงอนพลางรีบหันขวับกลับมาอย่างตกใจ
“ไม่นะครับ! …พี่เอส...แกล้งกันหรือเนี่ย...”
วิลเลียมที่หันมาเห็นใบหน้ายิ้ม ๆ ของคนรักต้องมุ่ยหน้า รู้สึกเสียท่าที่ถูกหลอกเอาแบบนี้
“เอาคืนต่างหาก อยากชอบแกล้งพี่ก่อนนักนี่”
สายใยบอกขำ ๆ และเมื่อเห็นอีกฝ่ายเตรียมจะงอนซ้ำ เขาก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วชะโงกหน้าไปจูบแก้มของคนรักฟอดใหญ่
“พี่บอกแล้วไง ว่าพี่จะชดใช้เวลาสิบห้าปีของบิลเอง ...เพราะฉะนั้นบิลก็เลิกกังวลไร้สาระว่าพี่จะเปลี่ยนใจได้แล้ว ...คนที่พี่จะรักต่อจากนี้และตลอดไป มีแค่คนตรงหน้าพี่คนนี้คนเดียวเท่านั้นล่ะนะ”
วิลเลียมนิ่งอึ้ง เม้มปากแน่น ก่อนจะกอดรัดร่างโปร่งตรงหน้าอย่างรักใคร่ แค่คำพูดนี้ของสายใย มันก็ทำให้สิบห้าปีที่ผ่านมาของเขาคุ้มค่าและไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป
“ผมรักพี่นะพี่เอส... ไม่ว่าเมื่อก่อน วันนี้ และวันพรุ่งนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ผมก็จะรักพี่แค่คนเดียวเท่านั้น...ผมสัญญา”
วิลเลียมพึมพำพลางกอดสายใยแน่นอย่างไม่เกรงสายตาใคร ส่วนสายใยนั้นหน้าแดงระเรื่อด้วยความอาย แต่พอเหลือบไปมอง ก็เห็นคนอื่น ๆ ที่มองกลับมายิ้มน้อย ๆ ทว่าไม่มีใครโห่แซวหรือขัดจังหวะ แต่ต่างพากันพยักหน้า และเดินกลับเข้าไปคุยในบ้านกันต่อ ปล่อยให้ทั้งสองนั่งคุยกระหนุงกระหนิงตามประสาคนรักต่อจากนั้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้เวลาอาหารเย็น ทั้งคู่จึงกลับเข้าบ้านไปร่วมรับประทานอาหารกับครอบครัวของพวกเขา และพูดคุยสัพเพเหระกันอย่างมีความสุข ตลอดมื้อเย็นนั้น
........