ตอนที่ 2วินเสียงเพลงดังเข้าหูเมื่อผมเปิดประตูผับที่เป็นสถานที่ที่ผมตามมาเจอเพื่อนสนิท เป็นที่ๆคุ้นเคยนักท่องราตรีบางคนในนี้ยังเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาสำหรับผมแล้วด้วยซ้ำ แต่ใจผมเองนี่สิที่แปลกไป ‘แค่เซ็งและเริ่มเบื่อหน่าย’
“เฮ้ย ไอ้วิน ทางนี้ๆ”
ชายหนุ่มเสื้อเชิ้ตสีดำปลดกระดุมสองเม็ดบนสวมกางเกงยีนส์สีดำโบกมือให้ผมพร้อมตะโกนแข่งกับเสียงเพลงและผู้คนในผับแห่งนี้ โต๊ะอยู่ด้านในเยื้องไปด้านข้างเกือบชิดเวทีที่มีนักร้องและวงดนตรีกำลังเล่นอยู่ ผมที่สอดส่ายสายตาหาเพื่อนสนิทอยู่แล้วจึงเห็นได้ชัดเจนเพราะว่าโต๊ะนี้มันเด่นพอสมควร จึงไม่ได้ยากอะไรที่จะเจอบรรดาเพื่อนสนิทที่นัดไว้ ผมเดินฝ่าผู้คนไปจนถึงที่หมายได้ในที่สุด อีกเหตุผลที่ทำให้โต๊ะนี้สะดุดตาก็เพราะเพื่อนแต่ละคนของผมนั้นหน้าตาพวกมันไม่ธรรมดาสามารถดึงดูดสายตาผู้คนรอบข้างได้เสมอ ประกอบไปด้วยสี่ชายหนุ่มและหนึ่งหญิงสาว ไอ้คนที่ตะโกนเรียกผมแต่แรกนั้นคือ ‘ไอ้ธี หรือ นายธีรนัย’ ผู้มีใบหน้าอินเทรนด์ขาวตี๋ ตัดผมสไลด์จัดทรงชี้โด่เด่ทั้งหัว ส่วนนิสัยมันก็ร่าเริงและขี้โวยวายเป็นที่หนึ่ง รักเพื่อนเป็นที่สุดออกแนวเพื่อนไม่ต้องข้าจัดการเอง โดยเฉพาะเรื่องชกต่อยกับคนอื่นไอ้นี่มันไปก่อนเจ้าของเรื่องซะอีก แต่ถ้าไม่มีมันกลุ่มของผมก็คงจะเหงาไปไม่น้อยทีเดียว
“เออ ไงมึง” ไอ้ตี๋ธีทักขึ้นทันทีที่ผมมาถึงโต๊ะ
“อืม” ผมก็แค่ตอบรับสั้นๆพยักหน้านิดหน่อยทักทายไอ้ธีมันไป ก่อนหันไปมองคนอื่นๆรอบโต๊ะ
ชายหนุ่มใส่แว่นไร้กรอบหน้านิ่งคนที่นั่งติดกันกับไอ้ธีด้านซ้ายมือนั้นกำลังจิบเหล้าในแก้วตัวเองพร้อมปรายตามาทางผม มันคนนี้คือ ‘ปรัช หรือ คุณปรัชญา’ ไม่ต้องสงสัยที่ผมแอบเรียกเพื่อนคนนี้โดยมีคุณนำหน้า เพราะทั้งบุคลิกท่าทางและการแต่งตัวนั้นเนี้ยบกว่าเพื่อนคนไหนในกลุ่ม วันนี้ไอ้ปรัชใส่เสื้อเชิ้ตดำเหมือนไอ้ธีแต่ไม่ได้ปลดกระดุมและสวมกางเกงผ้าเนื้อดีสีดำเข้ารูปแต่ไม่ถึงกับฟิตแนบเนื้อมากนัก ผมผ่านการเซ็ทมาอย่างดีออกแนวเรียบร้อย และสวมรองเท้าหนังขัดมันวาววับ เพื่อนผมคนนี้เปรียบเสมือนกุนซือของกลุ่มปัญหาหลายๆอย่างของเพื่อนๆ ก็ได้มันคนนี้นี่แหละครับช่วยชี้ทางสว่างให้ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องส่วนตัว แต่ก็อย่าหลงเชื่อในสิ่งที่เห็นมากนักเพราะหญิงสาวหลายคนหลงกลเข้าหาเพราะคิดว่ามันนิ่งเหมือนจะง่ายและดูไม่เรื่องมากไม่เจ้าชู้ที่สุดในกลุ่มแล้ว แต่ตัวจริงมันน่ะเจ้าชู้ไม่เป็นรองใครในกลุ่มหรอกครับ หลอกสาวที่หลงผิดเข้าหามันให้รักให้หลงแล้วตีจากมานักต่อนักแล้ว
“ไง” เสียงนิ่งเรียบถูกส่งออกมาจากปากไอ้ปรัชเป็นการทักทาย
ผมตอบรับมันเป็นการพยักหน้าให้แทน แต่ก็ไม่เป็นที่ติดใจอะไรกันเพราะเป็นพฤติกรรมปกติของพวกเราครับ จะต้องมีพิธีอะไรให้มากความกัน ส่วนคนที่นั่งถัดจากไอ้ปรัชเป็นชายหนุ่มตัวใหญ่พอๆกับผม มันนั่งพิงพนักมือหนึ่งถือแก้วเครื่องดื่มซึ่งแขนอีกข้างก็วางพาดบ่าไอ้ปรัชไว้ ชื่อของเพื่อนคนนี้ของผมคือ ‘ไอ้ฟิน หรือ นายชินกรณ์’ เป็นคนที่มีเครื่องหน้าคมเข้มไม่ต่างจากผมมากนัก แต่จะมีผิวสีแทนกว่ามากเพราะมันเป็นคนใต้ผิวเลยเข้มกว่าใคร ไอ้ฟินมันมีร่างกายที่หนากว่าผมนิดหน่อย ส่วนนิสัยก็เงียบๆแต่ฉลาดมากเหมือนเสือซ่อนเล็บซุ่มหลบตัวเตรียมตะปบเหยื่อ มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายมากมายที่ถูกใจในความแมนเข้มของมันครับ ดังนั้นเรื่องเจ้าชู้ไม่ต้องพูดถึงระดับตัวพ่อเลยล่ะมันคนนี้น่ะ แต่ส่วนใหญ่จะมีคนเข้ามาหามันเองโดยที่เจ้าตัวไม่ต้องออกแรงอะไร มันไม่มีการเอาใจ ไม่เคยง้อใคร งอนเองได้ก็ต้องหายเองได้ ถ้าไม่ถูกใจก็ไปซะและไม่เคยเอ่ยปากบอกเลิกใครก่อนเหมือนกัน เพราะมันถือคติว่าไม่เคยออกปากขอคบนั่นเอง ไอ้ฟินหันมาพยักหน้าทักทายผมและยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นชักชวน
“มาได้นะมึง” เสียงเข้มดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มมุมปากแบบที่สาวๆและหนุ่มน้อยในสต็อกของมันชอบนักหนา
“อืม เลื่อนประชุมไปเลยว่าง” ผมตอบมันไปก่อนจะรับแก้วเครื่องดื่มมาจากไอ้ธีที่ยื่นมาให้จนแทบจะทิ่มเข้าตา
“อ้าว ไอ้วิน มึงไม่ได้ไปหาเด็กมึงเหรอวะถึงมานี่ได้” เสียงเรียบนิ่งของผู้หญิงหนึ่งเดียวดังขึ้นจนผมต้องหันไปมองคนพูด
ประโยคสุดท้ายนี้เอ่ยมาจากหญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มนามว่า ‘มน หรือ หญิงมนทิชา’ ประโยคที่พูดไม่มีคำลงท้ายเหมือนหญิงสาวคนอื่น ถ้อยคำก็ออกจะดูหาเรื่องส่วนเสียงที่ใช้ก็ไม่ได้อ่อนหวานเอาซะเลย ซึ่งเพื่อนผมคนนี้มีใบหน้ารูปไข่ คิ้วโกงเข้ม ตาคมขนตางอนยาว จมูกไม่โด่งมากนักปลายงอนเชิดขึ้นนิดๆซึ่งบ่งบอกถึงความรั้นและมั่นใจในตัวเองสูงมาก ปากแดงระเรื่อตามธรรมชาติตอนนี้ออกวาวนิดๆหลังดื่มมาซักพักแล้ว ดูโดยรวมแล้วจัดได้ว่ามนเป็นสาวหน้าหวานได้เลยครับ เพียงแต่แววตาที่ไม่ได้หวานตามไปด้วยเลย ออกจะติดดุและเอาแต่ใจไม่ยอมใคร ซึ่งมนอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนถึงศอกแบะปกเสื้อออกนิดหน่อย ชายเสื้อถูกสอดในกางเกงผ้าเนื้อดีสีดำเข้ารูป มนคงยังไม่ได้กลับไปเปลี่ยนชุดเพราะน่าจะเป็นชุดทำงานที่ถอดสูทตัวนอกออกก่อนแล้วจึงมาเจอเพื่อนๆเลย
“ไปมาแล้ว และก็มาหาพวกมึงนี่แหละ” ผมตอบมนแบบเลี่ยงๆยังไม่อยากเอ่ยถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา
“อ้าว เห็นเพื่อนเป็นตัวสำรองนะมึง ไงล่ะเด็กมึงมันไม่อยู่หรือออกไปกับชู้วะถึงไม่ได้มาด้วย”
‘ไอ้ธีมึงเป็นหมอดูรึไงวะถึงพูดเหมือนตาเห็น’ ผมได้ฟังถึงกับอึ้งเสยกแก้วเครื่องดื่มกระดกเข้าปากทีเดียวหมดแก้ว และเงียบไปพักหนึ่งก่อนตอบกลับเพื่อนปากดีพร้อมหัวเราะในคอไปด้วย
“ฮึๆๆๆ มึงมันแสนรู้ รู้ได้ไงวะ” พูดจบผมก็มองหน้าพวกเพื่อนๆยิ้มๆเหมือนเป็นเรื่องขำๆทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่
“อ้าว ไอ้เชี่ยวินมึงหลอกด่ากูนี่ แต่เดี๋ยวไอ้ที่ว่ากูฉลาดเนี่ยคือเด็กมึงไม่อยู่หรือออกไปกับชู้วะ” ไอ้ตี๋ขี้โมโหคงเพิ่งนึกได้ว่าโดนหลอกด่า ก่อนที่ไอ้ธีจะถามผมกลับเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้
เห็นมั้ยเพื่อนของผมคนนี้มันพลิกวิกฤตเป็นโอกาสของตัวเองได้เร็วขนาดไหนจากแสนรู้เป็นฉลาดได้ ทำเอาผมนึกขำแล้วตอบเพื่อนๆที่ตอนนี้หันมามองผมเป็นตาเดียวอยู่อย่างรอคอยคำตอบ
“อยู่กับชู้ว่ะ” ตอบพวกมันไปยิ้มๆพยายามไม่ให้พวกมันเครียดเพราะเจ้าของเรื่องแบบผมแค่เซ็งเท่านั้นเอง
ผมลอบสังเกตหน้าตาเพื่อนแต่ละคนพวกมันทำหน้าต่างกันออกไปมีทั้งอึ้ง ทั้งตกใจ ทั้งมองมาแบบจับผิด ทั้งอ้าปากหวอปากพะงาบๆพูดไม่ออก ผมก็ได้แต่นึกขำเพื่อนสนิทแค่เมียเพื่อนมีชู้จะตกใจอะไรนักหนา อืมใช่แค่มีชู้ไม่เห็นต้องตกใจเพราะตอนนี้ความรู้สึกของผมเองนั้นแทบจะไม่ได้รู้สึกอะไรต่อคนๆนั้นแล้วด้วยซ้ำ คงเพราะบรรยากาศที่คุ้นเคยกับคนที่คุ้นเคยนั่นเอง ทำให้สบายใจและผ่อนคลายมากขึ้น
“เรื่องจริงดิมึง หา” ไอ้ธีพูดออกมาได้ในที่สุดหลังหาคำพูดเจอ ตาตี่ๆของมันเบิกกว้างจ้องรอคำตอบจากผม
“เออดิ เรื่องแบบนี้เอามาพูดเล่นได้ไง เมียมีชู้นะมึงไม่ใช่เมียแอบโทรหากิ๊ก” ผมก็ตอบกลับมันกวนๆยักคิ้วให้มันหนึ่งทีด้วย
“กูยังไม่อะไร มึงก็ไม่ต้องคิดมากก็ได้ไอ้ตี๋” ผมเรียกไอ้ธีว่าไอ้ตี๋มันจึงเอื้อมมือมาตบหัวผมทันที ไอ้นี่มันมือเร็วครับเหมือนปากมันนั่นแหละ
“ปากดีแบบนี้อาการคงไม่ได้แย่อะไรมั้ง ฮึๆๆ” ไอ้ฟินพูดขึ้นมาพร้อมหัวเราะในคอเบาๆ
ส่วนไอ้ธีที่พยายามจะถามอะไรอีกต้องหยุด เพราะโดนคุณปรัชของเพื่อนๆยกมือห้ามให้มันหยุดพูดหยุดถาม ไอ้ธีมันหน้ามุ่ยทันทีส่วนมนก็ยกมือเอื้อมตบไหล่มันเบาๆแทนการปลอบใจ
“พอ ไอ้ธีไม่ต้องถามแล้ว วันนี้พวกเรามากินเหล้าไม่ใช่มาตะโกนคุยกันอย่างนี้” เสียงนิ่งเรียบของคุณชายปรัชดังขึ้น
พอโดนคุณชายปรัชห้ามเข้าเพื่อนๆที่ทำท่าจะถามต่อก็หยุดกันได้เพราะต่างลืมตัวว่าตัวเองตะโกนคุยกันอยู่ ผมว่าแล้วว่าคนที่เข้าใจเพื่อนที่สุดคือไอ้ปรัชนี่แหละ มันคงอยากให้ผมได้สบายใจกว่านี้ก่อน เพราะเรื่องเพิ่งเกิดแผลยังสดมันคงคิดว่าผมคงต้องการเวลา แต่เชื่อเถอะหลังจากคืนนี้ไปจะเป็นเพื่อนคนนี้นี่แหละที่จะซักทุกรายละเอียดจากผมจนหมด แม้ไอ้ปรัชจะเป็นคนเงียบๆก็ตามแต่ถ้าเพื่อหาทางช่วยเพื่อนหรือแม้แต่การซ้ำเติมถ้าเราคิดจะทำอะไรโง่ๆลงไป มันนี่แหละที่จะเป็นคนจัดการพวกเราได้อย่างอยู่หมัดแต่เพียงผู้เดียว
“เอ้า ของมึง” เสียงใสจากมนดังขึ้น
หญิงมนยื่นแก้วเหล้าที่เติมมาใหม่มาให้ผมคนที่โดนหักหลังหมาดๆมา พร้อมชนแก้วของตัวเองกับแก้วของผมอย่างแรง ทำให้เพื่อนคนอื่นต่างยกแก้วแล้วมาชนกับแก้วผมตามทันที เหมือนพวกมันตั้งใจจะปลอบผมด้วยการกระทำและย้ำว่ายังมีพวกมันเป็นเพื่อนอยู่ ทำเอาผมซาบซึ้งที่มีเพื่อนสนิทแบบพวกมันอยู่ข้างกายเสมอ
“วินมึง ดื่มว่ะ”
“ชนมึง”
“ด้วยๆ แด่ความโชคดีของเพื่อนกูที่รู้ว่าเมียมีชู้ก่อนจะปล่อยให้เขายาวไปกว่านี้ ไอ้วิน ฮ่าๆ”
เพราะประโยคหยอกเย้าตามสไตล์กวนๆของไอ้ธีนี่แหละที่ทำให้เพื่อนๆต่างพากันหัวเราะออกมา จากที่คนอื่นเค้าเครียดกันอยู่ไอ้นี่มันกลับประชดตอกย้ำผมซะได้ครับ ‘กวนจริงๆ’
“ฮ่าๆๆๆ”
“ไอ้ธี มึงนี่นะจริงๆเลย”
หญิงเดียวในกลุ่มพูดหลังจากหัวเราะไปแล้วกับประโยคนั้นแต่กลับหันมาถลึงตาใส่ไอ้ตัวดีนี่แทน แต่ก็ทำให้ไอ้ธีมันหยุดแซวผมไปได้ อย่างที่บอกไว้ว่าถ้าไม่มีไอ้ตี๋ธีคนนี้กลุ่มผมคงเงียบและเครียดแน่ๆกับเหตุการณ์ที่เกิดกับผมคืนนี้ หลังจากนั้นก็แทบไม่มีบทสนทนาอะไรอีก เพราะแต่ละคนคงไม่อยากตะโกนคุยกันและที่สำคัญอยากให้เวลาผมที่น่าจะเศร้าได้ทำใจและทบทวนตัวเองท่ามกลางเสียงเพลงดังสนั่น ที่สลับสับเปลี่ยนจากนักร้องบนเวทีเป็นการเปิดแผ่นจากดีเจแทน แต่ไม่ได้ทำให้ความมันความสนุกของผู้คนในนี้ลดน้อยลง เพราะยิ่งดึกก็ยิ่งสนุกลุกขึ้นมาเต้นตามจังหวะเพลงกันมากขึ้น
ซึ่งก็มีแค่กลุ่มผมห้าคนเท่านั้นที่นั่งอยู่ได้พร้อมจิบเครื่องดื่มในมือตนเองไป และโยกตัวตามจังหวะบ้างเมื่อได้เพลงถูกใจ ทำแค่นี้ก็มีแต่คนอยากเข้ามาทำความรู้จักกับพวกเราทั้งห้าคนแล้วครับ มีทั้งหญิงและชายที่สลับสับเปลี่ยนเข้ามาทักทายพยายามทำตัวตีสนิทหวังได้ใกล้ชิด แต่วันนี้พวกผมคงทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ผิดหวังไปตามๆกัน เพราะเพื่อนของผมทั้งสี่คนนั้นแค่ยิ้มทักทายและเก็บเบอร์โทรศัพท์ที่ถูกหยิบยื่นมาให้แล้วเท่านั้น ไม่ได้คิดจะสานสัมพันธ์ต่อในคืนนี้ ใช่แล้วครับพวกคุณฟังไม่ผิดหรอกที่คืนนี้มันต่างออกไปเพราะไอ้พวกเพื่อนผมมันคงเกรงใจอยากปลอบใจเพื่อนในแบบของตัวเองแบบนี้ที่นานๆครั้งพวกมันคิดจะทำกัน แต่ลับหลังเชื่อผมเถอะครับว่าไอ้เบอร์ที่พวกมันได้มานั้นต้องมีผู้โชคดีได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนผมแน่ๆครับ โดยเฉพาะไอ้ธีไอ้ตี๋จอมเจ้าชู้
คืนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่มีเพื่อนสนิทอยู่ด้วยแบบนี้ ถึงแม้ผมจะไม่ได้เครียดหรือเศร้าแล้วก็ตาม แถมความเซ็งก็ปลิวหายไปจนเกลี้ยง เพียงเพราะ ‘เพื่อนสนิท’ ทั้งสี่คนที่เรียกได้เต็มปากว่า ‘เพื่อนแท้’ และคืนนี้ทั้งคืนพวกเราทั้งห้าคนก็นั่งฟังเพลงกันในสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา พร้อมบรรยากาศอันคึกคักด้วยเสียงเพลง จิบเครื่องดื่มที่ชงบางๆไปตลอดคืนจนกระทั่งผับปิด และต่างแยกย้ายกลับบ้านของตัวเอง พวกมันทุกคนเดินเข้ามาตบบ่าผมจนคนสุดท้ายคือ ‘ไอ้ปรัช’ ที่มันตบบ่าผมแต่ยังไม่ปล่อยกลับบีบเบาๆ จนผมหันไปสบตามันก่อนที่มันจะพูดด้วยสีหน้านิ่งๆไม่แพ้เสียง
“พรุ่งนี้ กูต้องรู้เรื่องของมึงที่เกิดขึ้นในคืนนี้ทั้งหมด” พูดจบไอ้ปรัชก็เดินหันหลังไปขึ้นรถตัวเองทันที
ผมได้แต่ยืนมองตามหลังไอ้จอมบงการด้วยสีหน้ายิ้มๆ เพราะเข้าใจความเป็นห่วงของไอ้ปรัชที่มันมีให้ผมครับ และได้แต่ทำใจพร้อมเตรียมตัวตอบคำถามมันทุกเรื่องก็เท่านั้น
................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ ^O^
ดีใจจังคนอ่านคนคุ้นเคยมาต้อนรับกัสวินพร้อมหน้าเลย
ขออนุญาตไม่ตอบเม้นท์นะคะ ขอตอบรวมๆเนอะ
เรื่องนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงเนื้อหาค่ะ แต่จะเปลี่ยนในส่วน
ของบทบรรยาย และบทสนทนานิดหน่อยจ้า
+1 ให้ทุกเม้นท์เช่นเดิมค่ะ

ขอบคุณทุกการติดตามนะคะ^^