Dormitory Boys - สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”Chapter 36 - พิสูจน์ปิ่นหยกเย็นชาเกินไปหรือเพราะคำอ้อนวอนของเขาไร้ความหมาย..?เขาวิ่งออกมาโดยพลการ ทิ้งงานเอาไว้ไม่ได้บอกกล่าว...เพื่อพบกับความจริงว่าตัวเองอาจไม่ได้มีความสำคัญกับอีกฝ่ายอย่างที่คิดมาเนิ่นนาน
เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นที่ขมับแล้วไหลลงมาเกาะอยู่ตรงปลายคางทั้งจากแสงแดดซึ่งส่องลงบนศีรษะและความเหน็ดเหนื่อยจากระยะทางที่วิ่งมาตั้งไกล เขาระบายลมหายใจอ่อนล้า ที่ร้านยังมีอะไรต้องทำอีกมาก ควรกลับเสียที แต่ขากลับไม่มีเรี่ยวแรงจนต้องทรุดลงมานั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ปล่อยผู้คนที่เดินสวนไปมาเหลียวมองด้วยสายตาแปลก ๆ
เสียงฝีเท้าจังหวะประหลาดเหมือนเจ้าของขาวิ่งได้ไม่สะดวกนักดังแว่วขึ้นกลางความจอแจวุ่นวายของผู้คนซึ่งทำมาค้าขายอยู่แถวนี้ ทว่าไม่มีสิ่งใดนำพาให้เขาคิดเงยหน้าขึ้นมองอีกตั้งแต่รถยุโรปสีดำคันนั้นหายลับจากสายตา
“...ปิ่นหยก”
จุกในอกเสียจนพูดอะไรมากไปกว่านั้นไม่ออก ถ้ารักใครสักคนแล้วจะต้องเจ็บปวดขนาดนี้...
“ไอ้ลูกเจี๊ยบ!”“!!!?”เขาสะดุ้ง รูม่านตาขยาย...ลมหายใจถี่กระชั้นแต่ไม่เท่าจังหวะหัวใจโครมคราม เงยหน้าขึ้นมองหาต้นเสียงเป็นปฏิกิริยาตอบรับซึ่งแทบไม่ได้ผ่านสมอง คนที่เรียกเขาอย่างนั้นมีเพียงคนเดียวในโลก
แม้ระยะห่างยังมากเกินกว่าจะเห็นหน้าได้ชัด แต่เขาไม่มีทางจำร่างโปร่งของคนที่เพิ่งจากไปโดยไม่มีแม้คำร่ำลาซึ่งกำลังวิ่งกะเผลกมาทางนี้ผิดไปแน่นอน
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นขยี้ตาแรง ๆ แล้วเพ่งมองอีกครั้ง อยากให้แน่ใจว่าไม่ได้เพ้อเจ้อหรือเสียใจจนเห็นภาพหลอนไปเอง กระเป๋าเสื้อผ้าสีน้ำเงินหม่นใบโตซึ่งแกว่งอยู่บนไหล่ไหลลงหมิ่นเหม่ใกล้ร่วงเต็มทีเมื่อเจ้าของกระเป๋าเคลื่อนตัวเข้าใกล้ ถึงระยะที่มองเห็นใบหน้าชัดเจนจึงได้รู้ว่าพวงแก้มอีกฝ่ายมีแต่คราบน้ำตาเต็มไปหมด
เขาทั้งอยากฉีกยิ้มและร้องไห้ออกมาในเวลาเดียวกัน “ปิ่นหยกครับ”
ขาขยับวิ่งเข้าหา เอื้อมมือไปหมายจะคว้าตัวเอาไว้แล้วดึงมากอดแน่น ๆ เสียให้แหลกคามือ จะไม่ปล่อยหนีไปไหนได้อีกแล้ว...
“ไอ้เวร!!! แม่งเอ๊ยยยยยย!!!”ปิ่นหยกสบถออกมาดังลั่นด้วยถ้อยคำที่หาความโรแมนติกไม่มีเหมือนวิ่งกลับมาเพื่อด่าเขาโดยเฉพาะ ก่อนจะพุ่งตัวแทงศอกเข้าเน้น ๆ เต็มท้องซึ่งต่อให้มีซิคซ์แพคยังไงก็ถึงกับจุกจนลงไปกองพับเพียบเรียบร้อยกับพื้นอีกรอบ ตามด้วยเสียงปล่อยโฮอย่างไม่อายสายตาประชาชีของคนที่เพิ่งประเคนศอกใส่เขาแบบไม่คิดถนอมอายุการใช้งานพร้อมกับย่อตัวตามลงมารัวทุบพลั่ก ๆ บนไหล่เขาตุ้บตั้บ ความคิดเพ้อฝันเรื่องอยากกอดรัดให้แหลกคามือเหมือนตอนคู่รักพบกันในภาพยนตร์เป็นอันจบไป
ฝ่ายที่จะแหลกคามือคิดดูอีกทีแล้วคงเป็นเขานี่เอง .........................................................................
......................................
.
.
.
.
“ไหวหรือเปล่าครับ”
อาทิตย์เหลือบมองข้อเท้าซ้ายของคนข้างกายซึ่งเริ่มบวมขึ้นมาน้อย ๆ ปิ่นหยกเดินกะโผลกกะเผลก เปลือกตาสองข้างทั้งช้ำทั้งแดงอย่างน่าสงสาร สูดน้ำมูกฟืดฟาดมาตลอดทางแต่ยังทำตัวแมนผิดที่ผิดเวลาด้วยการกระชากกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ซึ่งเขาพยายามแย่งมาช่วยถือเอากลับไปแบกไว้เอง
“ไหวเว้ย ถือเองได้”
“งั้นนายถือกระเป๋า แล้วฉันอุ้มนายอีกทีดีไหม”
“เลว! เอากระเป๋าไปหิ้วเลย!”
อาทิตย์หัวเราะน้อย ๆ หลุดพึมพำออกมาน้ำเสียงอ่อนโยน “น่ารัก”
ก่อนจะอุ้มกระเป๋าที่ถูกโยนใส่ไว้ในมือแล้วเหวี่ยงขึ้นคล้องบนไหล่ มือข้างที่ยังว่างยกขึ้นปาดน้ำตาออกจากแก้มอีกฝ่ายทะนุถนอม
“ดื่มเหล้ามาหรือเปล่า ร้องไห้ไม่หยุดเลย”
ปิ่นหยกขมวดคิ้วแน่น ยกมือขยี้ตาจนแทบควักลูกตาตัวเองติดออกมาด้วย เขาว่าเขาหยุดร้องตั้งนานแล้วแต่ไอ้น้ำใส ๆ ที่คอยจะหยดแหมะลงมาตลอดเวลานี่คืออะไร ปกติเขาไม่ใช่พวกขี้แยงี่เง่าอย่างนี้เลยสักนิด ทว่าตั้งแต่อยู่ด้วยกันเขาร้องไห้ชนิดน่าอับอายขายขี้หน้าเพราะมันมากี่ครั้งกี่หนแล้ว หมดกันความแมนอันแสนภาคภูมิใจ ไอ้ลูกเจี๊ยบเฮงซวย ...โทษมันคนเดียวเลย ยังมีหน้ามาถามอีกว่าดื่มเหล้ามาหรือเปล่า
“จะไปกินตอนไหนล่ะเบื๊อกนี่!”
“งั้นร้องไห้เพราะฉัน?”
“รู้ตัวก็ดี!!”ฉิบหายแล้วเผลอหลุดปากแล้วจึงรู้ตัวว่าขุดหลุมพร้อมกระโจนลงไปฝังกลบตัวเองเรียบร้อยเมื่อเห็นนัยน์ตาดำขลับเบิกกว้าง ก่อนสีหน้ายิ้มกริ่มจนอยากดึงให้ปากฉีกชนิดที่ความหล่อก็ไม่ช่วยลดโทษจะปรากฏขึ้นในวินาทีต่อมา
“แล้วที่ฉันรักปิ่นหยก...รู้ตัวบ้างหรือยัง”
ว้อยยย ไอ้หน้าด้าน!!! มันควรสงสารกล้ามเนื้อหัวใจเขาบ้างที่ต้องทำงานหนักขนาดนี้ไม่เว้นแต่ละวัน
“รักมาก ๆ นะครับ แต่ไม่ที่สุด”
“.....”
เดี๋ยวนะ นั่นฟังดูประหลาดบอกไม่ถูก
ด้วยความสัตย์จริง...ใช่ว่าเขาหวังจะได้ยินคำเลี่ยน ๆ อย่าง
'รักที่สุด' อะไรอย่างนี้แม้แต่น้อย แค่รู้สึกว่ามันฟังดูขัดหูพิลึกเท่านั้น แต่ปากเจ้ากรรมก็สักแต่ถามออกไปไม่ทันยั้งคิด
“ทำไมไม่ที่สุด”
ไม่มีหูรูด! น่าตบปากตัวเองนักเชียว“เพราะพรุ่งนี้ฉันจะรักนายมากกว่าเดิม”
ไม่น่าถามเลย... เหลือหลุมไหนเขายังไม่ได้โดดลงไปอีก จะตามไปฝังกลบตัวเองให้หมด
"...และวันถัดไปก็จะรักมาก ๆ ขึ้นอีก"
อาทิตย์ว่าพลางขยับเข้ามาเบียดทั้งที่ทางเดินตั้งกว้าง เหลียวมองรอบกายเห็นไม่มีใครจึงช้อนแขนไว้ข้างหลังแล้วโอบอีกฝ่ายดึงเข้าหาตัว ก้มลงขโมยจูบลงบนแก้มเปียกชื้นก่อนกลับมาทำตัวแนบเนียนเป็นปกติเหมือนไม่ได้เพิ่งแสดงอาการใจกล้าหน้ามึนลวนลามคนอื่นนอกสถานที่
”...รักแบบนี้เลยหาที่สุดไม่เจอสักที....เพราะฉะนั้นอย่าหนีไปไหนอีกนะครับ”
อยากระเบิดบู้มกลายเป็นโกโก้ครันช์ มันเอาสมองส่วนไหนคิดเรื่องน้ำเน่าพรรค์นี้ออกมาได้ ชาติก่อนเขาคงไปติดหนี้หรือสร้างเวรสร้างกรรมกับมันไว้และนี่อาจเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการจองเวรซึ่งโอกาสรอดติดลบ ถึงไม่พูดขนาดนั้นเขาก็รู้ตัวดีว่าคงไปไหนไม่พ้นแล้ว...แต่จะให้รับง่าย ๆ ก็เจ็บใจตัวเองเป็นบ้า
”..ต้องดูพฤติกรรมก่อน”
เขาบ่นงึมงำ มัวแต่ก้มหน้าจึงไม่ได้ระมัดระวังขณะที่ถูกดึงตัวปลิวไปพิงเสาไฟฟ้าข้างทาง เงยขึ้นมาอีกทีก็พบเพียงแต่ใบหน้าคมของอีกฝ่ายครอบครองการมองเห็นแทบทั้งหมด
“…ดูไปนาน ๆ เลยนะ อย่าได้ละสายตา”
ที่เด่นชัดสุดคงเป็นตาโศกคู่เดิมซึ่งส่องประกายวิบวับเมื่อเจ้าตัวยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม มือไม้ซึ่งแม้จะเหลือข้างเดียวเพราะอีกข้างถือกระเป๋าเอาไว้เริ่มอยู่ไม่สุข มีส่งมาเกาะแกะป้วนเปี้ยนแถวที่ชอบ ๆ ตรงเอวเขาพร้อมกับเสียงกรุ้มกริ่มระยะประชิดจนขนลุกซู่
“เพราะถ้าไม่อยู่เฝ้าให้ดี ไม่รับประกันว่าจะรอจนสมยอมไหวนะครับ”อยากโวยวายเต็มแก่ แต่กลับมีเพียงเสียงครางผะแผ่ว
ปิ่นหยกขมวดคิ้วเมื่อปลายลิ้นตัวเองสัมผัสเข้ากับความเย็นของเหล็กซึ่งยึดฟันหน้าอีกฝ่ายเอาไว้ ตระหนักได้ว่าหลุมที่เขาจะกระโจนหัวทิ่มลงไปยังมีอีกเยอะทีเดียว
.......................................................................
.................................
.
.
.
.
“พี่ปิ่น!!!!” อุ่นใจทักได้น่ารักเสมอ
“อ้าว ปิ่น?” พี่เอมยังดูสุขุมเหมือนเคย
”ไอ้งกปิ่น!?” พี่แววก็ปากตรงกับใจอย่างทุกที
”กลับมาทำไมเนี่ย”
แล้วหมีกริชมาไงวะ!?
”...อ่า....คือเปลี่ยนใจแล้ว”
“ไหงตาแดงขนาดนี้” แวววันตั้งข้อสังเกตไม่มีไว้หน้า คนอื่นก็คงเห็นแต่ไม่ได้พูดออกมาให้แทงใจจึ้ก ๆ อย่างเธอ
“ร้องไห้ขี้มูกโป่งมาเลย?”
พี่แววโคตรโหด...ไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น จะมาทำอ้างเป็นนางเอกละครหลังข่าวว่าฝุ่นเข้าตาก็ดูปัญญาอ่อนสิ้นดี เลยตัดสินใจไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธข้อกล่าวหาแล้วหันไปฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกจ้างผู้ซื่อสัตย์ของร้านเค้กทานตะวันอีกครั้ง
“รับพนักงานอีกสักคนได้ไหมครับพี่เอม”
เอมจิตเลิกคิ้ว วางท่าทำเป็นไม่เข้าใจที่พูดให้ปิ่นหยกใจเสียเล่น
“..ผมเคยมีประสบการณ์การทำงานร้านเค้กมาก่อนแล้วสองปีกว่า อึด ถึก บึก ทน” ปิ่นหยกแจกแจง เจี๋ยมเจี้ยมเรียบร้อยราวกับนักศึกษาสัมภาษณ์งาน “เจ้านายคนเก่าใจดีและหล่อมาก...น้องชายเจ้านายก็น่ารักแถมชอบมีขนมมาแบ่ง..”
อุ่นใจแทบจะกระโดดขี่หลังเขา ส่วนพี่ใหญ่ยืนหัวเราะชอบใจ เอานิ้วดีดหน้าผากอดีตลูกจ้างซึ่งกำลังจะกลับมาเป็นลูกจ้างปัจจุบันอีกครั้งทั้งที่ยังไม่ทันพ้นวัน
“โอเค เริ่มงานวันนี้ได้เลยครับน้อง”
อาทิตย์แอบกำมือพร้อมกับพึมพำ “เยส” มองปิ่นหยกซึ่งถลาไปหาชุดพนักงานมาเปลี่ยนแล้วก็คลี่ยิ้มออกมาหน้าบานแฉ่ง
เขาไม่รู้สาเหตุแน่ชัดของความวุ่นวายเหล่านี้ ไม่รู้ว่าคุณพ่อต้องการอะไรจากพวกเขา แต่ตอนนี้ปิ่นหยกอยู่ที่นี่ ...เรื่องอื่นค่อยเอาไว้ว่ากันทีหลังคงไม่สายในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะมั่นคงและซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
กว่าปิ่นหยกจะทำใจเช็ดหน้าเช็ดตารอจมูกหายแดงก็กินเวลาไม่น้อย เขากลับมาทำงานได้ไม่ทันจะเท่าไรเป็นต้องมีเรื่องให้อยากโวยวายว่าชีวิตมันจะอะไรเยอะแยะขึ้นมาอีกแล้ว
“ปิ่นหยก มีโทรศัพท์”
“หา!?”
เจ้าของชื่อหันไปมองงง ๆ เมื่อกี้ได้ยินถูกแล้วใช่ไหม ...มีโทรศัพท์ โทรเข้าที่ร้าน.... ถึงเขาเนี่ยนะ ร้อยวันพันปีไม่เห็นมีใครโทรมานอกจากแม่เพชร ซึ่งก็เคยแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น
“ผมเหรอ?”
เอมจิตพยักหน้า วางหูโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะแล้วยิ้มให้ก่อนจะกลับไปทำงานต่อ ปล่อยเขาเดินไปยกมันขึ้นมาสีหน้างงชีวิตแล้วกรอกเสียงลงไปตามสาย
“สวัสดีครับ ปิ่นหยกพูดครับ”
“ปิ่นหยก”
เสียงคุ้นไปนะ“ฉันเอง”
“...ใครครับ”
“เพิ่งแยกกันไม่นาน ลืมแล้วหรือ”
เขาใจหายวาบ ก่อนที่มันจะเริ่มเต้นรัวอย่างกับกลอง คน ๆ นี้จะอะไรกับเขานักหนา
“คุณอานนท์!?”..............................................................................
............................................
.
.
.
.
ขอลางานมาจนได้
“ตรงไปอีกนิดครับ บ้านหลังที่เป็นร้านขายข้าวแกง”
อานนท์พยักหน้า ชะลอความเร็วรถเมื่อเข้าสู่เขตตลาด ความคับข้องใจของเขาใกล้จะสิ้นสุดเสียที หากเป็นความผิดของเขาตั้งแต่ครั้งอดีตก็พร้อมจะรับผิดชอบทุกอย่าง
ความจริงเขาอยากพาปิ่นหยกไปตรวจดีเอ็นเอเสียตั้งแต่รู้ว่าเป็นลูกของกิ่งพลอยแล้ว ทว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แถมใช่ว่าอยู่ ๆ จะเที่ยวลากคนโน้นคนนี้ไปขอตรวจกันได้ง่าย ๆ เรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้เขาเองก็ลำบากใจ คิดจะยืดระยะเวลาออกสักพักให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่สุดท้ายเขาก็ร้อนรนจนเรียกร้องให้อีกฝ่ายมาทำงานด้วยที่บ้าน ไม่นึกว่าเจ้าตัวจะผูกพันขนาดนั้นกับที่ทำงานและหอพักเดิม...หรืออาจรวมถึงลูกชายเขาด้วยหากข้อสงสัยของเขาไม่คลาดเคลื่อนจากความจริงนัก ตอนขู่ว่าจะกระโดดลงจากรถนั่นทำเอาตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว
...เด็กคนนี้เหมือนเธอไม่มีผิด...อยากให้เวลาปิ่นหยกอีกสักระยะหนึ่งเหมือนกัน แต่ยิ่งช้าก็ยิ่งอึดอัดจนทนความสงสัยใคร่รู้ของตัวเองไม่ไหวจึงโทรศัพท์ไปหาด้วยเบอร์ของร้านซึ่งเขาหยิบนามบัตรติดมือมาเมื่อครั้งมาเยือนคราวแรก
“หลังนี้ใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
รถจอดเลียบทางเท้าห่างออกไปจากบ้านเล็กน้อย พวกเขาต้องใช้เอกสารบางอย่างก่อนจะไปตรวจ สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประชาชน สูติบัตร และที่สำคัญ เขาอยากพูดคุยอะไรสักหน่อยกับมารดาบุญธรรมของปิ่นหยกผู้เป็นน้องสาวฝาแฝดของกิ่งพลอย
ปิ่นหยกเดินนำเข้าไปในตัวบ้าน แต่ใจนึกไปถึงคนที่รออยู่ที่ร้านเค้ก...
เขาไม่ได้บอกอาทิตย์ว่าจะมากับคุณอานนท์ เล่าเพียงแต่มีธุระต้องกลับบ้านไปเอาเอกสารจำเป็นในการสมัครเรียนต่อ แน่นอนว่าเจ้าตัวรบเร้าอยากมาด้วยให้ได้ ทว่าครั้งนี้เขาใจแข็งพอ
“อาทิตย์”
“.....”
“อย่างี่เง่าดิ”
ท่านชายทำท่าเหมือนจะงอน แม้คำนั้นดูน่ารักไปหน่อยหากเทียบกับขนาดร่างกายแต่ก็ถือว่าความหมายใกล้เคียง
เขาพอเข้าใจความรู้สึกอีกฝ่าย อาทิตย์ไม่รู้เลยว่าพ่อของตัวเองก่อเรื่องอะไรไว้บ้าง ไม่รู้ว่าทำไมคุณอานนท์ถึงมาตามเขาต้อย ๆ แถมยังรบเร้าอยากให้ไปอยู่บ้านด้วย ในหัวคงเต็มไปด้วยความสงสัยกับเงื่อนงำซึ่งมีแต่ยิ่งทำให้สับสน และเขาก็ไม่ได้มีความกล้าพอจะบอกมันทุกเรื่องที่คุยกับคุณอานนท์ แม้ความขี้ขลาดที่ว่ารังแต่จะทำให้เรื่องราวยิ่งยืดเยื้อ
ต้องทำใจ...หรือไปต่อ?
หากมันชัดเจนตรงนี้ได้อาจเป็นเรื่องดีกว่า
ความคิดเรื่องพิสูจน์ดีเอ็นเอหลังจากวางหูโทรศัพท์ลงวันนั้นรบกวนสมาธิเขาจนแทบเรียนไม่รู้เรื่องทั้งสัปดาห์ จะเกิดอะไรขึ้นหากเป็นพ่อลูกกันจริง ๆ ปฏิเสธลำบากเหลือเกินว่าเรื่องที่เขาได้รับรู้ทำให้ความรังเกียจก่อตัวขึ้นลึก ๆ ในใจต่อคนที่อ้างว่าอาจเป็นพ่อของเขา คุณอานนท์ทำเรื่องแบบนั้นกับแม่พลอยได้อย่างไร
“ไม่ได้แค่ไปเอาเอกสารสมัครเรียนต่อหรอกใช่ไหม”
อาทิตย์สบตาเขานิ่ง นั่นทำให้เขาไม่สามารถโกหกจริงจังได้สักที
“...ใช่”
อีกฝ่ายเม้มปาก “เกี่ยวกับคุณพ่ออีกแล้วใช่หรือเปล่า”
เขาไม่อยากเห็นมันทำหน้าแบบนี้เลย
“........ใช่....”
เกี่ยวกับคุณอานนท์ เกี่ยวกับแม่พลอย เกี่ยวกับเขา...และเกี่ยวกับมันด้วย“ปิ่นหยก....” อีกฝ่ายกุมมือเขาไว้ ดึงขึ้นมาแนบกับแก้มตัวเอง “คิดจะทำอะไรกันแน่ครับ”
เขาขยับนิ้วมือ...สัมผัสแผ่วเบาที่ผิวละเอียดตรงโหนกแก้ม ระไปตามแพขนตาดำสนิทบนเปลือกตาซึ่งค่อยพริ้มปิดลงเมื่อปลายนิ้วเฉียดผ่าน ดวงหน้างดงามราวรูปสลักนั้นนิ่งงันเสียจนเขาอดหวั่นใจอยู่ลึก ๆ ไม่ได้
“....อาทิตย์”
มาไกลขนาดนี้แล้ว
“..ฉันกับแก...ถ้าเกิดว่า...”
อาทิตย์ก็ควรมีสิทธิจะรู้ไม่ใช่หรือ...?“ถ้าเกิดพวกเรา...”
...ปีศาจอะไรสักอย่างคงเอาลิ้นหรือไม่ก็กล่องเสียงเขาไปซ่อนอีกแล้วจึงไม่สามารถพูดอะไรได้ต่อ สุดท้ายเขาก็ปล่อยให้ประโยคนั้นลอยหายไปเหมือนไม่เคยเอ่ยมันออกมา
.
.
.
.
กิ่งเพชรสาละวนกับการตักกับข้าวใส่ถุงให้ลูกค้า หลังจากเงยหน้าขึ้นรับเงินจึงได้เห็นว่าใครบางคนซึ่งไม่คิดว่าจะเจอในเวลานี้กำลังเดินตรงเข้ามา
“ปิ่นหยก!? มาไงเนี่ยไอ้เปี๊ยก”
เด็กหนุ่มยกมือไหว้ ฟังเธอบ่นสามสี่ประโยคเรื่องมาไม่บอกไม่กล่าวก่อนกิ่งเพชรจะสังเกตว่าลูกชายของเธอไม่ได้มาคนเดียว
“แล้วคนนี้?”
อานนท์เผลอเหม่อมองผู้หญิงตรงหน้า ใจนึกไปถึงอีกคนซึ่งเขาเคยรู้จัก
......พลอย....ไม่ใช่... เขาส่ายหน้าเบา ๆ แม้รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกันแต่กิ่งพลอยไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้ว
“เป็นพ่อเพื่อนน่ะครับ” ปิ่นหยกรีบแทรกแล้วอธิบายต่อ “พ่ออาทิตย์ แม่เพชรจำอาทิตย์ได้ไหม”
“อ้อ...” เธอเลิกคิ้ว ก็นึกอยู่ว่าหน้าตาชวนให้นึกถึงใครใคร พ่อกับลูกชายคล้ายกันมากทีเดียว
“สวัสดีค่ะ ฉันเป็นแม่ปิ่นหยก”
“กิ่งเพชร”
“ทำไมรู้จักชื่อฉัน?”
“เหมือนเราจะเคยเจอกันสองหรือสามครั้ง” อานนท์แจกแจง
“อีกอย่างคุณเหมือนพลอยขนาดนี้”
หญิงสาวมุ่นคิ้ว ส่งสายตาสงสัยไม่คิดปกปิด ...คน ๆ นี้รู้จักพลอยและบอกว่าเคยเจอเธอมาแล้ว..?
“....ขอโทษด้วยค่ะที่ฉันนึกไม่ออก คุณ...”
“อานนท์ครับ”
“.........อานนท์...?” กิ่งเพชรทวนคำ ชื่อนี้ทำให้ความทรงจำบางเรื่องผุดขึ้นมา จะใช่คนเดียวกันหรือ?
“....รู้จักกับพลอยหรือคะ?”
“ครับ ผมเป็น...”
เขาชะงัก ครุ่นคิดว่าควรเรียกตัวเองเป็นอะไรดี ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าปฏิกิริยาตอบสนองของคนตรงหน้าจะเป็นอย่างไรหากเขาพูดโดยไม่ไตร่ตรอง สุดท้ายจึงตัดสินใจเอ่ยกลาง ๆ ไว้ก่อน
“เป็นเพื่อนสมัยเรียนกับพลอย”
“อานนท์ วิจิตรนิรันดร์ใช่ไหม?”น่าแปลกที่เธอบอกว่าจำไม่ได้แต่กลับรู้ไปถึงนามสกุลของเขา ชายหนุ่มพยักหน้าตอบรับ กำลังจะอ้าปากบอกว่าใช่ทว่าเปล่งเสียงยังไม่ทันเป็นคำ..
พลั่ก!!!!! หมัดของเธอก็พุ่งเข้ามาเต็มดั้งจมูก ความแรงนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าหมัดของปิ่นหยกเลยหากเขาจะลองโดนปิ่นหยกต่อยเหมือนที่ลูกชายตัวเองโดนดูสักครั้ง
ร่างสูงเซลงไปกองอยู่บนพื้นโดยมีปิ่นหยกที่ร้อง “เฮ่ย!!” ออกมาลั่นร้านพร้อมทำหน้าตาตื่นถลาเข้าไปช่วยประคองขึ้นมาทุลักทุเล งุนงงกับการกระทำของผู้หญิงซึ่งนับถือเป็นมารดาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคนที่ยังเมาหมัดอยู่ไม่หาย
อานนท์ส่งเสียงครางออกมา รู้สึกได้ว่ามีของเหลวอุ่น ๆ ซึมออกจากจมูก สายตายังปรับโฟกัสได้ไม่ดีนักแต่หูซึ่งเริ่มกลับมาทำงานหลังจากอื้ออึงไปครู่ใหญ่ได้ยินเสียงของผู้หญิงตัวเล็กแต่หมัดหนักจนน่ากลัวเอ่ยขึ้นด้วยท่วงทำนองราบเรียบ
“ขอโทษด้วยค่ะ หมัดเมื่อกี้เป็นของพลอย”To be continued…=======================================
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปิ่นหยกหมัดหนักเหมือนใคร บ้านนี้สมควรเปิดค่ายมวยมากกว่าขายข้าวแกง (ฮา)
ไม่เครียดเนาะ อย่าเพิ่งกินหัวคนเขียน...อีกนิดค่ะ...อีกนิดนึง
รักคนอ่านไม่ที่สุดเพราะจะรักมากขึ้นอีก(ต๊ายเสี่ยว) งือออออ กอดฟัดพร้อมบวกเป็ด ขอบคุณงาม ๆ ค่ะ
***สารบัญคลิกที่นี่ค่ะ***