Dormitory Boys - สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”Chapter 34 – ความมืด::Artid’s POV::...ผมยุ่ง ตาดุสีน้ำตาลเข้ม ตัวผอมบาง ผิวขาวเหลือง…
รูปลักษณ์ภายนอกปิ่นหยกไม่เหมือนผมสักนิด เรื่องจะเป็นพี่น้องกันเป็นไปไม่ได้หรอก
นั่นคือสิ่งที่ผมพยายามบอกตัวเองให้เชื่อผ่านไปเป็นสัปดาห์ ครุ่นคิดมาตั้งนานถึงเรื่องราวที่คุยกับคุณพ่อเมื่อวันนั้นก็ยังไม่กระจ่างอย่างใจอยากให้เป็น จับต้นชนปลายเอาเองได้เพียงว่าคุณพ่อเคยรู้จักกับแม่พลอยของปิ่นหยกจริง ๆ ตั้งแต่เมื่อครั้งออกมาใช้ชีวิตอยู่นอกบ้าน รู้จักกันแบบไหนยังไม่แน่ใจนักแต่ท่าทางของอีกฝ่ายยามพูดถึงเธอชวนให้คิดว่าทั้งสองคนคือเพื่อนสนิทเป็นอย่างน้อย และผมไม่กล้าคิดไปไกลว่าอย่างมากคืออะไร
“!!!!”ความเย็นวาบกะทันหันที่แผ่นหลังทำให้ผมสะดุ้ง ลุกขึ้นยืนพรวดพราดพร้อมสะบัดเสื้อนักเรียนจนชายเสื้อหลุดจากกางเกงให้น้ำแข็งสี่ห้าก้อนร่วงออกมาจากในเสื้อ หันไปเห็นตัวต้นเหตุกำลังทำหน้าพออกพอใจผลงานพร้อมหลักฐานเป็นแก้วน้ำในมือคาหนังคาเขาหลังจากเพิ่งเอาน้ำแข็งยัดลงคอเสื้อผมมาหมาด ๆ
ปิ่นหยกยักคิ้วหลิ่วตาแล้วเอ่ยด้วยท่าทียียวน
“เปลี่ยนชุดไปทำงานเร็ว ๆ เรียกก็มัวแต่เหม่อ”
“เหม่อเรื่องนายนั่นแหละ”
เขาพ่นลมหายใจออกจมูกเดาว่าเพื่อกลบเกลื่อนอาการเขิน ก้มลงดูดน้ำกระเจี๊ยบที่เพิ่งรีดไถคิมมาก่อนกลับจากโรงเรียนจนเกลี้ยงแก้วพลางจ้องผมไม่วางตา “อย่าให้รู้ว่าคิดอะไรพิเรนทร์”
เห็นอย่างนั้นแล้วก็อดใจยั่วสักหน่อยไม่ไหวเลย
“ถ้าคิดจริงแล้วจะทำอะไรเหรอครับ”
“ก็จะ......... จะ........”
ตลกดีที่เห็นเขาอ้ำอึ้งนึกคำพูดไม่ออกเหมือนลิ้นอันตรธานไปจากปากกะทันหัน นั่นสิ...เขาจะอะไรผมก็อยากรู้เหมือนกัน ไม่ว่าทำยังไงผมก็ไม่สะดุ้งสะเทือนหรอก
ยืนรออยู่ตั้งนานเห็นยังเงียบสุดท้ายเลยช่วยต่อให้ด้วยความหวังดี
“จะสมยอม?”
“ฝันไปเหอะ!!”
ทีอย่างนี้ล่ะตอบไวเชียว ...ฝันไปเถอะงั้นเหรอ?
ก็ใครว่าตอนนี้ผมตื่นอยู่กันล่ะ หากไม่นับเรื่องที่กำลังคิดวนเวียนไปมาไม่จบไม่สิ้นในหัวอยู่นี่ก็ถือว่าฝันหวานทีเดียว
ผมก้มมองคนตรงหน้าที่หันไปเอาหลอดเขี่ย ๆ น้ำแข็งในแก้วเล่นด้วยใบหน้าสีเดียวกับน้ำกระเจี๊ยบที่เจ้าตัวเพิ่งซัดเรียบแล้วก็ระบายยิ้มออกมาได้ ตัดสินใจโยนเรื่องวุ่นวายที่หวังว่าคงแค่คิดไปเองทิ้งไปก่อน ไม่อยากทำตัวตีตนไปก่อนไข้ คุณพ่อเองก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมาแน่ชัด ที่สำคัญเขาเองก็ยังอยู่กับผมตรงนี้ ....ด้วยท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเอาเสียเลย
...บางอย่างไม่รู้ก็อาจจะดีกว่า...
เสียงเล็ก ๆ น่ารังเกียจซึ่งคงเป็นของปีศาจที่มองไม่เห็นกระซิบอยู่ข้างหูผม “นี่..ปิ่นหยก”
เขาคงเริ่มหวาดระแวงคำนี้ของผมแล้วถึงได้ทำหน้าเหมือนเจอผีอย่างที่เห็น กระนั้นก็ยังอุตส่าห์ตอบกลับมาเหมือนอย่างทุกที
“อะไร”
“....จูบฉันหน่อย”
ขอบคุณฟันหน้าซี่นั้นที่ทำให้ผมไม่ถูกปิ่นหยกตะบันหน้าหงายไปเสียก่อน “บ้าไปแล้วเรอะ!?”“นะ?”
“ฟันแกยัง..” เขาอุบอิบบ่ายเบี่ยง
“งั้นไม่ต้องสอดลิ้นก็ได้”
“ทะลึ่ง! ใครบอกว่าจะใช้ลิ้นกันวะ!”
สีหน้าเขาตอนนี้น้ำกระเจี๊ยบยังต้องยอม“โอเค จูบเฉย ๆ ไม่ใช้ลิ้น...ตามนั้นครับ”
ผมสรุปแบบเอื้อประโยชน์ให้ตัวเองเสร็จสรรพก็ยืนมองเขาทำท่าฮึดฮัดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงรู้สึกจักจี้ที่ข้างแก้มเหมือนมีใครเอาปลายขนนกมาตวัดเบา ๆ ใส่ผิวหน้า
ความน่ารักให้เกินร้อย แต่คะแนนความถูกต้องถือว่าติดลบ เอาปากเฉี่ยวอย่างนั้นผมขอไม่นับว่าเป็นจูบ
“ไม่เอาที่แก้มสิครับ”
“อย่าเรื่องมากได้ไหมล่ะ!”
เยี่ยม หน้าตาหูเหอแดงเขาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว อยากถ่ายวิดีโอเก็บไว้ดูเล่นชะมัด
“นายไม่ทำฉันทำเองนะ”
เขาอ้าปากเตรียมเถียง เชื่อขนมกินได้เลยว่าต้องคิดจะอ้างเรื่องฟันอีกแน่นอนจึงชิงเกทับไปก่อน
“ฟันไม่โยกแล้วด้วย”
ปิ่นหยกเหมือนจะแผ่คลื่นรังสีความร้อนเข้มข้นออกมาจากร่างกาย คิ้วเรียวขมวดมุ่น ริมฝีปากเม้มแน่นจนซีดขาว ก่อนจะถอนหายใจพรืดแล้วกระซิบแผ่วเบา
“....หลับตาดิ”
“........”
ผมยักยิ้มพร้อมกับทำตามอย่างว่าง่าย พลันทั้งโลกก็มืดมิดลงใต้เปลือกตา ทว่าแทนที่จะได้รับสัมผัสอะไรบนริมฝีปาก หูกลับได้ยินเสียงเปิดและปิดประตูดังติดต่อกันในเวลาไม่กี่วินาที ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าเขาหายตัวไปจากตรงหน้าผมเรียบร้อย เสียงฝีเท้าตึงตังอยู่หน้าห้องบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงรีบร้อนผลุนผลันออกไปจึงได้รู้ตัวว่าถูกโกงเข้าแล้ว
ผมชะเง้อมองนอกประตู เห็นหลังเขาไว ๆ ที่สุดทางเดินตรงระเบียงก่อนเจ้าตัวจะเผ่นแผล็วหายลับไปจากหัวบันได
“ปิ่นหยก”
“บ้าเปล่า!? ปัญญาอ่อน!”
เขาตะโกนกลับมา แม้เสียดายแทบแย่แต่ยังอดยิ้มไม่ได้ ผมอาจบ้าไปแล้วจริง ๆ ที่รู้สึกดีเวลาถูกเขาก่นด่า วันไหนไม่ได้ยินคงนอนไม่หลับกระสับกระส่ายพิลึก แต่ที่โดนโกงครั้งนี้ก็นับเป็นอีกเรื่อง รับรองว่าจะขึ้นบัญชีไว้เอาคืนวันหลังให้คุ้มแน่นอน
.....................................................................
.......................................
.
.
.
.
ใกล้เวลาปิดร้านผู้คนก็เริ่มบางตา เหลือผม อุ่นใจ และพี่แววคอยดูแลลูกค้าอยู่ด้านหน้า ส่วนปิ่นหยกตอนนี้น่าจะอยู่ในครัวกับพี่เอมเตรียมมื้อเย็น เห็นหายเข้าไปกันนานแล้วไม่รู้ป่านนี้จะเสร็จหรือยัง กว่าลูกค้ากลุ่มสุดท้ายซึ่งเป็นเด็กสาวมัธยมต้นจะพากันเดินออกจากร้านเวลาก็ล่วงเลยมาจนหกโมงยี่สิบนาที เลยเวลาปิดร้านตามปกติไปนิดหน่อย
“พี่แววเป็นผู้หญิงทำไมไม่เข้าครัวบ้าง” น้องเล็กเปรยขึ้นมา แกะช็อกโกแลตคิสออกจากห่อแล้วโยนเข้าปากระหว่างรอใครสักคนมาเรียกกินข้าวขณะที่ผมเดินไปพลิกป้ายแขวนประตูหน้าร้านว่าปิดแล้ว
“เดี๋ยวนี้งานครัวไม่ใช่หน้าที่ผู้หญิงอย่างเดียวแล้วคุณน้อง” พี่แววหันมายักไหล่
“แต่เพื่อน้องอุ่นที่รักเจ้ทำให้ได้นะ กล้ากินไหมล่ะ”
ว่าแล้วเธอก็หัวเราะร่วนกับหน้าปุเลี่ยน ๆ ของอุ่นใจ ซึ่งข้อนี้ผมเห็นด้วยกับเธอนะ และอุ่นใจก็คงรู้ดีว่าอาหารฝีมือพี่แววเป็นอย่างไรจึงได้แสดงสีหน้าอย่างนั้นออกมา หลังจากเคยเสี่ยงตายลองรสมือไปแล้วหนึ่งครั้งก็อยากแนะนำเธอว่าควรเปลี่ยนสเป็คจากหาแฟนหล่อล่ำมาเป็นผู้ชายทำอาหารเก่งน่าจะเหมาะกว่า
“เด็ก ๆ ปิดร้านแล้วมากินข้าวกัน”
พี่เอมเรียกจากด้านหลังซึ่งจัดแยกเป็นห้องครัว ห้องอาหาร และลานซักล้าง แต่ผมไม่ยักได้ยินเสียงปิ่นหยกสักคำ เดินตามหลังอุ่นใจกับพี่แววเข้าไปก็เห็นแต่พี่ใหญ่กำลังจัดโต๊ะอยู่คนเดียว
“ปิ่นหยกล่ะครับ?”
“จริงสิ” พี่เอมทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้ “บอกว่าจะไปทิ้งขยะ ออกไปได้พักใหญ่แล้วเนี่ย”
ผมเหลือบมองนอกหน้าต่าง สีสันผิดแผกจากตอนกลางวันเมื่อฟ้าข้างนอกเข้าสู่เวลาพลบค่ำปรากฏแก่สายตา แม้จะอยู่ในเขตชุมชนแต่ก็นึกเป็นห่วงคนที่หายไปขึ้นมาบอกไม่ถูก คงไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องอะไรไม่ดีหรอกใช่ไหม
“กินกันก่อนได้เลยครับ” ผมหันไปบอกคนอื่น ๆ แล้วถอดผ้ากันเปื้อนออกจากเอวก่อนจะรีบร้อนเดินออกไปทางประตูด้านหลัง “เดี๋ยวผมไปตามเขาก่อน”
.
.
.
.
ระยะทางจากร้านถึงจุดที่ปิ่นหยกมาทิ้งขยะประจำนั้นไม่ไกลนัก ผมสาวเท้ายาว ๆ ในตอนแรก แต่แล้วเพียงไม่กี่ก้าวก็เปลี่ยนเป็นกึ่งเดินกึ่งวิ่ง มองเห็นความมืดเริ่มโรยตัวจึงรู้สึกว่าขาช่างไม่ทันใจและเปลี่ยนเป็นออกวิ่งในที่สุด ทำไมช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ผมต้องกังวลไปเสียทุกเรื่องก็ไม่รู้
ถนนตรงหน้ามีตรอกมืด ๆ อยู่ข้างทาง คนเรากลัวความมืดเพราะไม่สามารถมองเห็นได้จึงจินตนาการไปต่าง ๆ นา ๆ นั่นอาจเป็นเหตุผลเดียวกับที่ทำให้ผมกลัวอยู่ตอนนี้ ทุกอย่างคลุมเครือ ผมมองไม่เห็นความจริง และความรู้สึกพวกนั้นกำลังทำให้ผมหวาดหวั่นไปกับความคิดฟุ้งซ่านซึ่งควบคุมไม่ได้ เอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาโยงกันให้วุ่นวาย ผมเกือบวิ่งเลยตรอกที่ว่านั้นไปแล้วหากสายตาไม่ไปสะดุดเข้ากับร่างโปร่งคุ้นตาของใครบางคนซึ่งยืนพิงกำแพงอยู่ใต้เงามืด
“ปิ่นหยก!”
เขาตกใจแทบกระโดด หันมาทางผมหน้าตาตื่น เมื่อเห็นว่าไม่ใช่ใครอื่นจึงตอบกลับมาเสียงเบาหวิว
“ไอ้ลูกเจี๊ยบ..”
ผมแทบถลาไปคว้าแขนเขาไว้ในมือ มันเย็นเฉียบจนน่าตกใจ ...เย็นพอกับเสียงของเขาที่เอ่ยขึ้นใต้แสงสลัวจนมองไม่เห็นใบหน้าชัด ๆ
“แกมาทำอะไร”
“ฉันต่างหากต้องถามว่านายมาทำอะไรตรงนี้”
ปิ่นหยกเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะส่งเสียงหัวเราะแห้งเหือดอย่างที่เขามักทำเวลาต้องการเบี่ยงเบนความสนใจจากเรื่องใด ๆ ซึ่งก่อให้เกิดบรรยากาศน่ากระอักกระอ่วนไปเรื่องอื่น
“มาทิ้งขยะไง ทำตกใจเป็นคนหายไปได้!”
“ทิ้งขยะไม่จำเป็นต้องเข้ามาซุกอยู่มืด ๆ ตรงนี้สักหน่อย”
ผมเถียง เป็นห่วงจนไม่รู้จะพูดออกมายังไงดี “พี่เอมบอกว่านายออกมาตั้งนานแล้ว”
“ก็...เซ็ง ๆ เลยแวะเรื่อยเปื่อย”
ผมก้มลงไปจ้องหน้าเขา ในความมืดอย่างนี้มองเห็นอะไรไม่ถนัด แต่ไม่พอจะทำให้ละเลยท่าทีผิดสังเกตของเขาได้ง่าย ๆ ปิ่นหยกไม่เคยโกหกได้แนบเนียนต่อหน้าผม
“แกหายเจ็บฟันยัง”
“หายแล้ว”
“หมอนัดถอดเหล็กเมื่อไหร่นะ”
“อาทิตย์หน้าครับ”
“ไม่โยกแล้วใช่ไหม”
“อือ”
“ยังอยากจูบอยู่หรือเปล่า”“.........”
“ฮ่า ๆ ๆ ล้อเล่นว่ะ อย่าคิดมาก กลับกันดีกว่--!!”
รู้ตัวอีกทีผมก็กดไหล่ทั้งสองข้างของเขาแล้วผลักถอยไปจนแผ่นหลังอีกฝ่ายทาบกับกำแพง โน้มตัวจ้องลึกเข้าไปในดวงตาไหวระริกตรงหน้า แสงริบหรี่จากพื้นที่ข้างเคียงยังพอส่องมาถึงบ้างทว่าผมกลับรู้สึกตรงนี้มืดเหลือเกิน
มืดจนทำให้ผมกลัว “...ปิ่นหยกเป็นอะไรไป”
เขาไม่ตอบ แต่เอื้อมมือมาคล้องรอบคอผมไว้ ชั่วขณะหนึ่งที่เห็นเขาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ...แต่ผมอาจแค่คิดไปเอง ในความเงียบงันซึ่งห้อมล้อมเราทั้งสอง ผมได้ยินประโยคคำสั่งเรียบง่ายที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากเขา
“จูบสิ”
นี่ไม่ปกติแล้ว“ปิ่นหยก?”
เขาเขย่งบนปลายเท้า พ่นลมหายใจร้อนผ่าวคลอเคลียแถวปลายจมูกคล้ายจะทดสอบความอดทน และคงต้องบอกว่าผมไม่ได้มีความอดทนขนาดนั้น
ในตรอกมืดมิดที่ไม่มีสายตาใครอื่น ผมประคองท้ายทอยเขาไว้ในมือ อยากจะทะนุถนอมให้มากที่สุด ...ก่อนจะโน้มใบหน้าลงบดเบียดริมฝีปากเข้าหา ...สอดแทรกปลายลิ้นโรมรันแลกรสหวานทดแทนถ้อยคำรักที่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยออกไป...
.
.
.
.
“ปิ่นหยก”
ผมเหลือบคนข้างกายทั้งยังไม่ยอมปล่อยมือเย็น ๆ นั้น กุมไว้มั่นขณะที่ก้าวขาไปข้างหน้าเชื่องช้า อยากให้ระยะทางจากตรงนี้ไปถึงร้านยืดยาวต่อเนื่องไปไม่มีที่สิ้นสุด และระหว่างนี้ผมจะจับมือเขาไว้จนกว่ามันจะอุ่นเท่ากับมือผม
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่า”
เขาก้มหน้า สายตาจับจ้องตามการเคลื่อนไหวของเท้า ไม่เพียงเลี่ยงการสบตา ..แต่ปฏิเสธกระทั่งจะเงยหน้าขึ้นมาทางผมด้วยซ้ำ
“ไม่อยากให้โกหกเลยครับ”
ผมยกมือข้างที่เกี่ยวประสานนิ้วกันอยู่ขึ้นมาแล้วก้มลงประทับริมฝีปากลงไปบนหลังมือของเขาแผ่วเบา หากแค่คำพูดไม่เพียงพอ ผมก็อยากให้เขารับรู้ได้บ้างผ่านการกระทำ
“เป็นห่วง...มาก”
ปิ่นหยกไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลยจนเดินมาเกือบถึงหอพัก
เขาชะลอฝีเท้าลงตรงหน้าทางเข้าร้าน แล้วอยู่ ๆ ก็หยุดเดินอยู่แค่นั้น เงยหน้าขึ้นมองผมเพียงชั่วอึดใจแล้วก็หลุบตาลงต่ำ พึมพำอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมหายใจติดขัดขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ
“ที่ออกไปนานเพราะเจอพ่อแกข้างนอก”“คุณพ่อ?”
คงเป็นเพียงการขยับปาก...เพราะผมไม่ได้ยินเสียงตัวเองสักนิด
เขาพยักหน้าช้า ๆ แล้วพูดต่อ
“คุยกันพักใหญ่ เขาเล่าให้ฟังหลายเรื่อง....”
เพียงแค่นั้นแล้วก็นิ่งไป คิ้วที่ขมวดแทบเป็นปมอยู่บนหน้าผากเขาบอกผมว่าเจ้าตัวคงใช้ความพยายามเต็มที่จะเลือกเฟ้นหาคำพูดอะไรสักอย่างให้ผมเข้าใจง่ายกว่านี้
“เรื่องอะไร”
“...เรื่องแม่พลอย แล้วก็เรื่อง.....อื่น”
ผมยืนอยู่ท่ามกลางความมืด และไม่รู้ว่าจะมืดมิดไปอีกนานเท่าไหร่“เรื่องอื่นคือ?”
“..ก็เยอะอยู่... แล้วก็...”
เขาสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ จุดยิ้มฝืด ๆ คล้ายอยากให้บรรยากาศออกมาเริงร่าแล้วเรียกชื่อผมด้วยความพยายามซึ่งล้มเหลวพอกับรอยยิ้มนั้น
“อาทิตย์”
เป็นครั้งแรกที่รู้สึกไม่อยากขานรับเลย“...ครับ?”
“พ่อแกบอกอยากจ้างฉันไปทำงานที่บ้าน”To be continued…===========================
อาจมีความรู้สึกว่ายังไม่เคลียร์(เพราะยังไม่เคลียร์จริง) ค่อย ๆ ไปช้า ๆ ด้วยกันนะคะ

โปรดอย่าเพิ่งเกลียดคุณอานนท์
***สารบัญคลิกที่นี่ค่ะ***แล้วพบกันตอนหน้า
ขอบคุณงาม ๆ ที่เข้ามาอ่านค่าาา

ปล.อย่าลืมเลื่อนไปดูของแถมที่จิ๊กมาจากทวิตกับ fb ณ reply ถัดไป ^o^
