***เพิ่มโพลล์แล้วค่าาา ด้านบนเลย ***จบเรื่องนี้แล้ว อยากอ่านคู่ไหนต่อดี
ยังไม่ต้องรีบนะคะ เผื่ออ่านแล้วเปลี่ยนใจเพราะแม่ไก่ลูกเจี๊ยบยังอีกยาวไกลนัก =^=
//ทำไมเราตั้งคำถามให้มันขึ้นในโพลล์ไม่ได้ไม่รู้ค่ะ Orz
===========================
Dormitory Boys – สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”Chapter 35 – แยกจาก::Pinyok’s POV::ผมผ่อนลมหายใจเชื่องช้าเป็นจังหวะสม่ำเสมอ บอกตัวเองว่านี่เป็นเวลาที่ควรหลับ
อาทิตย์นอนนิ่งอยู่ข้างผม ไม่รู้มันหลับไปแล้วจริง ๆ หรือกำลังทำแบบเดียวกันด้วยการไม่ขยับร่างกาย...สบตากับความมืด....พร่ำบอกตัวเองอย่างเงียบเชียบและไร้ผลให้ข่มตาลงเสียที
“...อาทิตย์”
ผมกระซิบ บอกไม่ถูกว่ากำลังคาดหวังให้อีกฝ่ายได้ยินอยู่หรือเปล่า บางทีหากไม่ได้ยินอาจจะดีกว่า ทว่าปากผมขยับไปก่อนแล้ว
“...หลับยัง...”
ไร้สรรพเสียงใดตอบกลับมา แต่ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นก็รู้สึกได้ถึงมืออุ่น ๆ ที่เอื้อมมากุมมือผมไว้ใต้ผ้าห่ม
ทำไมมือมันถึงอุ่นได้ตลอดเวลาอย่างนี้ก็ไม่รู้“ไม่หลับไม่นอนวะ”
“นั่นสิ ทำไมไม่นอน”
ผมไม่รู้มันถามผมหรือว่าถามตัวเอง แต่นั่นไม่สำคัญเท่าตอนที่มันตะแคงตัวเข้าหา ส่งแขนยาว ๆ นั่นโอบรอบไหล่ผมแล้วดึงเข้าไปใกล้ ปล่อยผมสู้กับทิฐิซึ่งทำให้ยากจะยอมรับว่าส่วนลึกในใจร่ำร้องอยากให้เวลาหยุดอยู่แค่นี้ตลอดไป
“หลับนะครับ”
ที่จริงแล้วควรเถียง ควรตะโกนด่าอย่างทุกครั้ง แต่ที่แสดงออกไปกลับเป็นตรงกันข้าม
ผมหลับตาลง...เอียงใบหน้าตอบรับตอนที่เรียวปากอิ่มแตะลงนุ่มนวลบนเปลือกตา
“รักมาก ....ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”ถ้อยคำเดิมเอ่ยย้ำเสียงแหบพร่า ได้ยินแล้วการบังคับให้ใจเต้นใจจังหวะปกติก็หลายเป็นเรื่องยากลำบากเต็มที
หากมันรู้อย่างที่ผมเพิ่งรู้ ผมสงสัยว่ามันจะยังพูดคำนี้ได้อีกหรือเปล่า...................................................................................
....................................................
.
.
.
.
“คุณพูดอย่างกับว่าผมเป็นลูกชายคุณ”
“ถ้าฉันบอกว่ากำลังสงสัยอย่างนั้นล่ะ?”
ผมจ้องหน้าเขานิ่ง นี่คงเป็นมุกตลกรสนิยมแย่สักอย่าง
“....ล้อเล่นอะไรแบบนี้ครับ”
“ฉันกับกิ่งพลอย...เคยเป็นคนรักกัน”นานทีเดียวกว่าจะรู้ตัวว่ากำลังกลั้นหายใจอยู่ “...คนชื่อกิ่งพลอยไม่ได้มีคนเดียวในโลกเสียหน่อย”
ผมแย้ง น่าแปลกที่เสียงสั่นจนขัดหูตัวเอง “ผู้หญิงที่คุณรู้จักอาจเป็นกิ่งพลอยคนละคนแล้วบังเอิญชื่อเหมือนกับแม่ผมก็ได้”
“กิ่งพลอยคนที่มีแฝดน้องอีกคนชื่อกิ่งเพชร ผมสีน้ำตาล ตาสีน้ำตาลเข้ม..”
อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ จ้องหน้าผมตาไม่กระพริบ “หน้าตาเธอเหมือนเขาอย่างกับแกะ ชื่อของเธอเขาก็เคยบอกฉันว่าถ้ามีลูกจะให้ชื่อปิ่นหยก แบบนี้ควรเรียกว่าเป็นคนละคนกันไหม?”
ผมจุกขึ้นมาที่คอ แม้แต่กลืนน้ำลายยังรู้สึกช่างยากลำบาก“แต่แม่พลอยแต่งงานกับพ่อผม...”
คุณอานนท์พยักหน้า แววตาเจ็บปวดปรากฏขึ้นเพียงแวบเดียวก่อนมันจะกลับมาเป็นปกติ
“เรื่องนั้นฉันรู้ เพราะเจอเขาครั้งสุดท้ายตอนที่เขาบอกว่าจะแต่งงาน”
“งั้นคุณก็ไม่ควรต้องสงสัยว่าผมเป็นลูกคุณหรือเปล่า”
“เป็นอย่างนั้นไงถึงได้สงสัย ...เพราะตอนที่เจอกันวันนั้น...”
ผมเบิกตากว้าง หายใจติดขัด สมองตีความไปเลยเถิด “กำลังจะพูดอะไรกันแน่ครับ!?”
“.....”
เขายกมือขึ้นกุมหน้าผาก เห็นเส้นเลือดบนขมับเต้นตุบ ๆ ดูแตกต่างไปจากผู้ใหญ่หน้ามึนที่เคยพบกันครั้งก่อน “...เธอจะโกรธหรือเกลียดฉันก็ได้ แต่อยากให้ฟังก่อน”
ผมขยับถอยหลังไปชิดกำแพง ทำทีเหมือนแค่หาที่พิงระหว่างรอฟังขณะนึกก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ ขาบ้านี่จะสั่นทำไมนักหนา ผมนึกถึงท่าทีแปลกประหลาดของไอ้ลูกเจี๊ยบตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากพบกับพ่อตัวเอง สาเหตุจะใช่เรื่องเดียวกันนี้หรือเปล่า แล้วหมอนั่นรู้อะไรแค่ไหนแล้ว
“คืนนั้นฉันกับเขาเจอกันตอนนัดรวมเพื่อนเก่า มีอาหาร มีเหล้า....”
เขาเงียบไป มันตลกร้ายเพราะเป็นความเงียบที่บีบคั้นหัวใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“แล้ว...?”
“พวกเราดื่มกินเมามายจนดึกดื่น จนงานเลิกทุกคนแยกย้าย ....เหลือแค่ฉันกับเขา”
...ไม่เอาน่า“เธอเกิดเดือนกุมภา.... ช่วงเวลามันใกล้เคียงกันจนฉันนึกสงสัย”
“คุณรู้ได้ยังไง”
“หาวันเกิดเด็กนักเรียนมัธยมคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องยาก”
นั่นทำให้ผมเย็นวาบไปตลอดแนวสันหลังเขามีข้อมูลเรื่องผมมากกว่าที่คิด
“..อาทิตย์บอกว่ามีพี่สาว แล้วผมก็อายุพอกับมัน”
ผมหรี่ตา นับไล่ตามช่วงเวลาอยู่ในหัว “ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่าจริงก็แสดงว่าคุณนอกใจภรรยาตัวเอง เพราะตอนนั้นคุณต้องมีลูกสาวอยู่ก่อนแล้ว”
เขาชะงักไปครู่หนึ่งจึงแค่นยิ้มออกมา ริ้วรอยบนใบหน้าดูจะชัดเจนขึ้นเมื่อเจ้าตัวแสดงสีหน้าคร่ำเครียด
“ฉันถึงยังไม่ได้เล่าให้อาทิตย์ฟังเรื่องนั้น”
“.....”
เรี่ยวแรงคล้ายจะระเหยหายในอากาศพร้อมกับเอาเสียงของผมไปด้วย ชาทั่วทั้งปลายมือปลายเท้า มีแต่เสียงกล้ามเนื้อหัวใจซึ่งบีบเค้นเป็นจังหวะหนักหน่วงจนทำให้ปวดปร่าทุกครั้งที่เลือดสูบฉีดซึ่งดังกว่าอะไรอย่างอื่น
“ดูเป็นพ่อที่แย่มากใช่ไหม”
“...แย่มาก....ครับ”
ผมกล้ำกลืนก้อนสะอื้นหายไปในคอ หลับตาลงช้า ๆ ได้แต่หวังว่าลืมตาขึ้นมาอีกครั้งอาจพบว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่ความฝัน
ภาพชายหนุ่มตรงหน้าพร่าเลือนลงฉับพลัน เสียงทุ้มของเขาฟังดูห่างไกลออกไปและสะท้อนก้องแปลกหู โลกม้วนหมุนเป็นวงแล้วพุ่งเข้าโอบรัดรอบตัวจนหายใจไม่ออก บทสนทนาซึ่งเป็นเสียงของผมเองและคุณอานนท์ดังซ้อนกันฟังดูสับสนปนเปท่ามกลางความบิดเบี้ยวของทุกสรรพสิ่ง
“เธอต้องลำบากมาตลอดเลยสินะ”
“ผมชินแล้ว”
“มาอยู่ด้วยกันที่บ้าน เป็นคนในครอบครัว.....ดีไหม”
“ไปอยู่ในฐานะอะไรครับ ยังไม่มีอะไรยืนยันได้เลยนอกจากลมปากคุณ”
“ในฐานะลูกของเพื่อนสนิทก็ได้..เธอเป็นลูกของเขา ถือว่าฉันแค่อยากช่วย”
“.....”
“ร้านนั้นให้เท่าไหร่ ...ฉันจ้างเธอสิบเท่า”ผมลืมตาขึ้น..... เพื่อพบกับความมืดและเพดานว่างเปล่า
ใช่....ผมฝัน
ฝันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเมื่อคืนก่อน.
.
.
.
ผมจำได้ เขาพูดถึงเรื่องอยากตรวจดีเอ็นเอ แต่อะไรหลังจากนั้นสมองผมแทบไม่ประมวลผลแล้ว
และผมควรต้องดีใจสิผมชอบเงิน ชอบของฟรี วัน ๆ พร่ำเพ้อถึงแต่เทพเจ้าแห่งเงินตราและความร่ำรวยที่ไม่รู้มีอยู่จริงหรือเปล่า และคุณอานนท์ก็รวยมาก ไปอยู่ด้วย..หรือหากสมมติว่าเป็นลูกขึ้นมาจริง ๆ คงสบายไปทั้งชาติรวมถึงแม่เพชรและจี้หยกจะได้ไม่ต้องเหนื่อยอีกต่อไป
เป็นเรื่องดีออกจะตายอาทิตย์ขยับตัวเล็กน้อยโดยที่มือยังโอบอยู่แถวเอวของผม แต่ลมหายใจสม่ำเสมอบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงยังอยู่ในห้วงนิทรา ผมเอียงหน้าไปมอง พยายามเคลื่อนไหวน้อยให้สุดเพื่อไม่ทำให้มันตื่น สายตาซึ่งเริ่มชินกับความมืดจับจ้องบนใบหน้าที่ผมแสนอิจฉา นอกจากมีตาหูจมูกปากเหมือนกันแล้วเค้าโครงอะไรก็ไม่เห็นมีส่วนคล้ายสักอย่าง
ผมยกมือขึ้น กดปลายนิ้วหัวแม่มือแผ่วเบาบนคิ้วซึ่งคล้ายจะขมวดมุ่นน้อย ๆ อยู่กลางหน้าผากคนตรงหน้า นึกสงสัยว่ากำลังฝันอะไรอยู่หรือเปล่าถึงได้ทำหน้าอย่างนั้น หัวใจเต้นแรงจนแทบกระเด็นออกมาอยู่นอกอก แค่เพียงพิศมองใบหน้ายามหลับใหลของอีกฝ่ายบอกชัดเจนว่าความรู้สึกผมถลำลึกมาไกลกว่าตัวเองคิดไปมากแม้ไม่อยากยอมรับความจริงนั้นเลย
ขณะที่อีกเสียงหนึ่งก็แย้งขึ้นมาในหัว...
ว่าคงยังไม่ไกลเกินจะถอยหลังกลับตอนนี้แค่เรื่องความสัมพันธ์เกินกว่าเพื่อนกับผู้ชายด้วยกันก็แย่มากแล้ว หากผลออกมาว่าเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดครึ่งหนึ่งในตัวโดยยังมีความรู้สึกเหล่านี้ต่อมันอยู่ผมคงทนไม่ได้
“...ปิ่นหยก”เสียงเรียกชื่อตัวเองทำผมนอนนิ่งตัวแข็งทื่อด้วยคิดว่าเผลอทำให้มันตื่น แทบไม่กล้าหายใจจนรู้แน่ว่าเป็นเพียงอาการละเมอของคนที่ยังหลับตาพริ้มอยู่ต่อหน้า เป็นเรื่องชวนให้แปลกใจเหลือเกิน...เหตุใดแค่คำละเมอของคนที่กำลังหลับถึงทำให้การตัดใจถอยหลังกลับของผมยากเย็นขึ้นได้ขนาดนี้
“...ไอ้ลูกเจี๊ยบ....”
ผมพึมพำใต้ปลายจมูก ไม่หวังให้มันได้ยิน
แผ่นอกกระเพื่อมเป็นจังหวะเนิบช้า แพขนตาสีดำยาวปิดสนิท ริมฝีปากอิ่มนั้นเผยอน้อย ๆ และแรงดึงดูดบางอย่างพร่ำเพรียกให้ผมขยับใบหน้าตัวเองเข้าไปใกล้ ....ใกล้เสียจนปลายจมูกสัมผัสกันแผ่วเบา
ผมกลั้นลมหายใจ รับรู้ถึงความร้อนระอุที่คลอเคลียบนริมฝีปาก
ด้วยระยะห่างนี้ หากขยับเข้าหาอีกเพียงนิดเดียว..
"........"
ก่อนความร้อนผ่าวในตาจะก่อตัวเป็นหยดน้ำ ผมหลับตาลงเพื่อกักมันไว้ในนั้น ไม่ให้ไหลออกมาประจานความอ่อนแอซึ่งผมเกลียดนักหนา
อย่าทำแบบนี้ ไอ้ปิ่น...ไอ้งี่เง่าผมถอยออกมาโดยที่ริมฝีปากยังไม่ได้สัมผัสกัน ก้มลงซบหน้ากับไหล่กว้าง เม้มริมฝีปากข่มความรู้สึกอัดอั้นจนอยากส่งเสียงสะอื้นออกมาให้ดังลั่นห้อง
งานที่เขาบอกว่าแค่งานบ้านธรรมดา... ได้เงินเดือนสิบเท่า หากเป็นเมื่อก่อนผมคงกระโจนใส่ไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง แม่เพชรควรได้หยุดพักสบาย ๆ จี้หยกควรได้เรียนในโรงเรียนที่ดีมีคุณภาพ และผมจะได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยแบบไม่ต้องกระเบียดกระเสียร แต่ทำไมแค่เพิ่มปัจจัยเรื่องความรู้สึกและสายเลือดซึ่งยังคลุมเครือจึงทำให้อะไรยากกว่าที่ควรเป็นได้ถึงเพียงนี้
“แกแม่งเลว...”
จะมาทำให้รักทำไม…………………………………………………..
……………………………….
.
.
.
.
ผมคุยกับพี่เอมแล้ว ..ในอีกไม่กี่วันถัดมาหลังจากพบคุณอานนท์ซึ่งมาหาอีกครั้งถึงที่โรงเรียน อาจารย์ประกาศเรียกเสียงตามสายมาเต็มปากเต็มคำว่าเป็นผู้ปกครอง
“สิบเท่าเชียวเหรอ งานบ้านธรรมดาเนี่ยนะ”
พี่ใหญ่ทำตาโตแต่ไม่ได้แตกตื่นเกินไปนัก คงพอเดาอะไรได้ราง ๆ เพราะผมเกริ่นไปแล้วว่าคุณอานนท์ฐานะดีแล้วยังเป็น
‘เพื่อนสนิท’ กับแม่พลอย เห็นว่าลูกของเพื่อนลำบากจึงอยากช่วย ไม่มีอะไรเกินกว่านั้น
“มีโอกาสรีบคว้าไว้ก็ดีแล้ว”
พี่เอมเอื้อมมือมาลูบหัวผม วางลงเบา ๆ ได้เพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นจับโยกจนหัวโคลงเคลง
“คนที่นี่คงคิดถึงปิ่นแย่”
“ผมก็กะจะไป ๆ กลับ ๆ คิดถึงกับข้าวฝีมือพี่เอม คิดถึงขนมฟรีของอุ่นใจด้วย ฮ่า ๆ ๆ”
“แล้วบอกอาทิตย์รึยัง”
เสียงหัวเราะผมแห้งลงจนเหือดหายไปในที่สุด
“....ก็ว่าจะบอก”
“แปลกนะ ไม่เอาลูกตัวเองกลับบ้านแต่ชวนลูกเพื่อนไปอยู่ด้วย”
ถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย
“ลูกเจี๊ยบนั่นมันคงสบายมาเยอะแล้วมั้ง ป๊ะป๋าเลยจับดัดนิสัย เห็นว่าลูก ๆ โดนอย่างนั้นกันทั้งบ้าน ว่าแต่งานที่ร้านจะเป็นไรไหมพี่เอม”
“ไม่หรอก ก็เหมือนมีอาทิตย์มาสลับตัวกับปิ่นไง”
ผมลอบถอนใจ อย่างน้อยก็ไม่สร้างความวุ่นวายให้ร้าน พี่เอมเป็นอีกหนึ่งคนที่มีบุญคุณกับผมมานาน หากทำให้ผู้มีพระคุณต้องลำบากคงไม่ใช่เรื่องดี
“ว่าแต่ต้องไปเมื่อไหร่เหรอ”
“.......ก็.....” ผมเหลือบตาขึ้นมองกล้า ๆ กลัว ๆ มันจะฉุกละหุกเกินไปไหม
“คุณอานนท์บอกว่าจะมารับพรุ่งนี้เช้า”
“อ้อ..”
พี่เอมเพียงแต่ส่งรอยยิ้มซึ่งผมอ่านไม่ออกกลับมา จากนั้นก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรอีก
.
.
.
ระหว่างอาทิตย์เข้าไปอาบน้ำ ผมลุกขึ้นมานั่งเก็บพวกหนังสือกับเสื้อผ้าบางส่วน คิดว่าคงไม่ขนไปหมด เขาบอกเอาแค่ของใช้จำเป็นมาก็พอเพราะที่นั่นมีพร้อมอยู่แล้ว สมบัติอะไรผมก็ใช่ว่าจะเยอะแยะมากมาย กระเป๋าเสื้อผ้าใหญ่ ๆ ใบเดียวก็มีเนื้อที่เพียงพอให้ยัดลงไปได้ทั้งหมด ส่วนหนังสือบางส่วนซึ่งไม่จำเป็นมากคิดว่าคงค่อยกลับมาเอาวันหลัง กวาดตามองรอบห้องก็พบว่าข้าวของไม่ได้ลดลงจากเดิมจนเป็นที่ผิดสังเกต
ได้ยินเสียงลูกบิดห้องน้ำขยับ ผมรีบดันกระเป๋าไปซุกไว้ใต้เตียงก่อนอีกฝ่ายจะเดินออกมาเห็น ไม่รู้ว่าทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ในเมื่อสุดท้ายแล้วผมก็ต้องบอกมันอยู่ดี
“นั่งทำอะไรกับพื้นน่ะ”
“เปล่า”
พอกำลังคิดว่าตัวเองน่าจะหาคำโกหกอื่นที่ดีกว่า
‘เปล่า’ เอาไว้ใช้กับมัน ก็นึกขึ้นได้ว่าคงไม่จำเป็นอีกแล้ว ผมกำลังจะเริ่มต้นใหม่ เป็นปิ่นหยกคนเดิมที่โคตรงก อะไรก็ตามถ้าได้เงินพอจะทำให้คนที่บ้านใช้ชีวิตสบายอย่างคนอื่นเขาบ้างและไม่เดือดร้อนใครก็จะไม่เกี่ยงทั้งนั้น
“ห้องนี้อยู่สองคนก็แคบเหมือนกัน แกว่างั้นไหม”
ร่างสูงซึ่งกำลังสวมเสื้อผ้าหันมามองแต่ไม่ตอบอะไรกลับมา ผมเลยพล่ามต่อไปเรื่อย
“ก็นะ.. เป็นห้องเดี่ยวแต่แรก เตียงตู้โต๊ะก็มีแค่ชุดเดียว”
“.......”
“...ทีนี้ฉันกำลังคิดว่า....”
มือใหญ่ดึงชายเสื้อตัวเองลงลวก ๆ ไม่ทันได้จัดให้เรียบร้อยก็เดินตรงเข้ามาหาผม คุกเข่าลงตรงหน้าแล้วโถมตัวเข้าใส่ กักผมไว้ระหว่างวงแขนสองข้างขณะที่หลังผมจนมุมอยู่กับขอบเตียง
“ฉันไม่รู้คุณพ่อพูดอะไรกับนาย”
ใบหน้าเราห่างกันเพียงคืบ หยดน้ำจากเส้นผมที่ยังไม่ได้เช็ดร่วงลงเปียกเสื้อผ้าผมไปด้วย น้ำเสียงอ้อนวอนของมันทำให้ลมหายใจผมขาดห้วง
“...แต่ได้โปรดอย่าไป”
และผมก็เป็นแค่ไอ้โง่ที่ยังหวั่นไหวทุกครั้งกับนัยน์ตาดำสนิทซึ่งมองเห็นแต่เพียงความเจ็บปวดฉายอยู่คู่นั้น“.....อยู่กับผม....นะครับปิ่นหยก......”
ผมไม่กล้าตอบ กลัวว่าถ้าพูดอะไรออกไปจะห้ามใจไม่ให้ขัดกับความมุ่งมั่นเดิมของตัวเองแต่แรกไม่ได้จึงทำเพียงแค่กัดฟันเงียบ ๆ ขณะที่ปล่อยตัวเองจมอยู่ในอ้อมแขนซึ่งไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้กลับมาอยู่อย่างนี้อีกเมื่อไหร่
.
.
.
.
.
เช้าวันเสาร์ ผมเหลือบมองนาฬิกา ใกล้เวลาที่นัดกันไว้เข้าไปทุกที
ผมควรบอกลาทุกคนให้จริงจังกว่านี้ แต่ร้านเค้กทานตะวันในวันหยุดก็ยุ่งเหมือนกับที่ผ่านมา และผมบอกตัวเองว่าไม่ได้ไปไหนไกล ผมจะแวะกลับมาที่นี่บ่อย ๆ ไปที่โรงเรียนก็ยังได้เจอหน้าอุ่นใจ...แล้วก็อาทิตย์ นี่ไม่ใช่การจากลาน่าเศร้าอะไรเลยในเชิงรูปธรรม
หากแต่เป็นการจากลาที่น่าเศร้าในลักษณะอื่น ข้อนั้นผมรู้ดี ตัดสินใจไปครั้งนี้แล้วเท่ากับผมเลือกทางที่ทุกอย่างจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีก
ผมไม่ควรถลำลึกกับความรู้สึกซึ่งใกล้เคียง...หรืออาจจะใช่ความรัก..กับมันมากไปกว่านี้ ไม่ใช่ในตอนยังมีแต่เมฆหมอกบดบังความเป็นจริงเรื่องสายเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัว
ไม่ถึงสิบนาทีต่อมา ออดี้สีดำคันเดิมก็แล่นมาจอดหน้าร้าน
ผมลากกระเป๋าเสื้อผ้าที่แอบซุกไว้หลังเคาน์เตอร์ หันไปสบตากับพี่เอมซึ่งยิ้มกลับมาให้ พี่แววกับอุ่นใจเดินมากอดผมแน่นคนละทีก่อนจะถอยออกไป และอุ่นใจยืนทำตาแดง ๆ อยู่ข้างพี่ใหญ่ของร้าน
“....อาทิตย์ล่ะครับ”
“อยู่หลังร้าน ไปลาหน่อยดีไหม”
ผมชะเง้อตาม ลังเลว่าควรทำอย่างไรดี แต่แล้วก็ตัดสินใจหิ้วกระเป๋าขึ้นมาไว้ในมือแล้วถอยออกมา
“ไม่ต้องก็ได้ครับ เดี๋ยวที่โรงเรียนก็เจอกัน”
ผมกลัว....กลัวว่าถ้าเห็นหน้ามันผมอาจไม่มีความกล้าพอจะก้าวขาออกจากที่นี่รอยยิ้มที่ผมมั่นใจว่าซักซ้อมมาเป็นชั่วโมงเพื่อไม่ให้ดูขัดตาวาดผ่านริมฝีปากเป็นการส่งท้าย ขาขยับออกเดิน ก้าวแรกจากที่ตรงนั้นลำบากเหมือนมีอะไรมายึดตรึงไว้ แต่พอออกมาได้เพียงนิดเดียวก็ตัดสินใจเร่งฝีเท้าจนเกือบกลายเป็นวิ่ง เพียงไม่กี่อึดใจก็มาหยุดอยู่หน้าประตูรถฝั่งที่นั่งโดยสารซึ่งถูกเปิดแง้มรอไว้อยู่แล้ว
ผมยกมือขึ้นสวัสดีคนในนั้น กอดกระเป๋าเสื้อผ้าตัวเองไว้แน่นแล้วเปิดประตูแทรกตัวเองเข้าไป ตัดสินใจว่าจะทิ้งความรู้สึกทุกอย่างไว้ที่นี่
"เป็นไงบ้าง"
"ก็ดีครับ"
รถเคลื่อนตัวออกช้า ๆ ผมมองกลับเข้าไปในร้านผ่านประตูกระจกที่มีโมบายอันเดิมซึ่งมักส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งเวลามีคนเปิดประตูแขวนอยู่
ผมอยากได้ยินเสียงนั้นอีก...แม้รู้ดีว่ามันช่างไร้สาระ
ภาพในร้านมองเห็นไม่ถนัดนักเพราะแสงสะท้อน จนเมื่อประตูถูกกระชากเปิดออกพร้อมกับร่างสูงของคนที่ผมจากมาโดยไม่ได้เอ่ยคำลาวิ่งออกมาหยุดอยู่หน้าร้าน
"..อาทิตย์"
อย่าทำหน้าแบบนั้น
...อย่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้....แม้จากในรถจะไม่ได้ยินเสียง
แต่อย่าขยับปากเหมือนกำลังตะโกนชื่อฉันอย่างนั้น
ผมขมวดคิ้ว จุกจนพูดไม่ออก ต่อสู้กับความรู้สึกเจ็บร้าวอยู่ที่ไหนสักแห่งเมื่อเห็นมันวิ่งตามออกมา
แต่เมื่อรถเคลื่อนตัวด้วยความเร็วมากขึ้น ระยะห่างก็ถูกยืดออกเสียจนร่างนั้นค่อยเล็กลงจนเป็นเพียงจุดสีดำซึ่งเลือนหายไปจากลานสายตาพร้อมกับดึงเอาอะไรบางอย่างออกไปจนผมรู้สึกราวกับตัวเองเป็นแค่ภาชนะกลวงโบ๋รูปร่างเหมือนมนุษย์...
ผมกอดกระเป๋าเสื้อผ้าตัวเองแน่น ก้มหน้าลงแนบลงไปบนนั้นพร้อมกับพยายามอย่างสิ้นหวังจะควบคุมไม่ให้ไหล่ตัวเองสั่นไหว ทำไมถึงเจ็บไปหมดอย่างนี้ก็ไม่รู้
"งานที่อยากให้ช่วยไม่หนักอะไรมาก"
"ครับ"
"เรื่องห้องฉันให้บัวช่วยจัดไว้ให้ เคยเล่าเรื่องบัวให้ฟังแล้วใช่ไหม"
"อาทิตย์ก็เคยเล่าให้ฟังครับ"
ผมใจหายวาบเมื่อเอ่ยชื่อนั้นออกมา"สนิทกับอาทิตย์เหรอ"
"....."
"เห็นว่าเป็นรูมเมทกัน"
ทำไมผมต้องรู้สึกเหมือนมีดมากรีดตรงไหนสักแห่งในอกเวลาได้ยินชื่อมันด้วย "แล้วตอนมาอาทิตย์ว่ายังไงบ้าง"
'ฉันไม่รู้คุณพ่อพูดอะไรกับนาย'"..ไม่ได้ว่าไงครับ"
'...แต่ได้โปรดอย่าไป'"..เพราะผมยังไม่ได้บอกมัน"
คุณอานนท์พูดอะไรสักอย่างซึ่งไม่ได้เข้าหูผมแม้แต่น้อย
'.....อยู่กับผม....นะครับ...'
'ปิ่นหยก...'และสุดท้ายผมก็ส่งเสียงสะอื้นออกมาอย่างน่าสมเพช“ปิ่นหยก?”
“...จอด”
“........”
“จอดรถให้ผมครับ”ความเร็วรถชะลอลง แต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะจอดเสียทีเดียว
“ผมบอกให้จอดเดี๋ยวนี้!!!!” ผมตะโกนลั่น เป็นวิธีพูดกับผู้ใหญ่อย่างไร้มารยาทที่สุดในรอบหลายปี แล้วยังทำเรื่องขาดความยั้งคิดด้วยการเปิดประตูทั้งที่รถยังวิ่งอยู่
“ไม่งั้นผมจะโดดลงไป!”
เพราะมันรถหักเลี้ยวลงข้างทางกะทันหัน ได้ยินเสียงแตรรถคันหลังกดไล่ ยังไม่ทันจอดสนิทผมก็กระโจนออกมาไม่ได้นึกห่วงว่าจะทำพาหนะยุโรปราคาแพงเป็นรอยขูดขีดหรือเปล่า วู่วามจนจังหวะลงถึงพื้นพลาดทำเอาข้อเท้าพลิกทรุดลงไปเข่ากระแทกกับพื้น หยดน้ำจากตาร่วงลงบนต้นขาตัวเองไม่ใช่เพราะเจ็บเข่าหรือข้อเท้า..
แต่เพราะมันคนเดียว!ผมเงยหน้าทั้งน้ำตาขึ้นมองคุณอานนท์ที่กำลังปลดเข็มขัดนิรภัยเพื่อจะเดินตามลงมาดู สีหน้าตกใจไม่น้อยกับกิริยาบ้าบิ่นของคนที่เขาคิดจะจ้าง ยกมือไหว้พร้อมคำขอโทษก่อนจะผลุนผลันยืนขึ้นสูดน้ำมูกพลางยกหลังมือเช็ดน้ำตา ทุเรศตัวเองฉิบหาย!
ผมหันหลังออกวิ่งกลับไปทางเดิมที่จากมาเพียงไม่กี่นาที ละเลยเสียงประท้วงจากข้อเท้าที่เพิ่งพลิกพร้อมกับตะโกนขึ้นจมูกโดยไม่หันกลับมามอง
“ผมไม่ไปแล้ว ต้องกลับไปดูแลลูกไก่ที่ร้าน!”'ดูแลลูกไก่' คุณอานนท์คงงงว่าไอ้เด็กบ้านี่พูดอะไรไม่รู้เรื่อง แต่ก็ช่างคุณอานนท์ปะไร
กระเป๋าใบใหญ่แกว่งไปมาบนไหล่ที่คล้องกับหูหิ้วไว้ ผมเจ็บข้อเท้า เจ็บเข่า เสียหน้า แล้วยังพลาดโอกาสดี ๆ ที่เทพเจ้าแห่งเงินตราอุตส่าห์หยิบยื่นให้เพราะมันคนเดียว
อาทิตย์....ไอ้เลว!To be continued….=====================================
คือมันก็ไม่ได้ดราม่าอะไรมาก(ไหมนะ?) แต่ตอนนี้เราเขียนไปนั่งน้ำตาซึมไปค่ะ ฮือออออ //อินไปนะ สงสัยเพราะเพลงที่เอามานั่งฟังประกอบด้วยล่ะ
แม่ไก่รักลูกเจี๊ยบมากจริง ๆ นะ ถึงจะทำซาดิสต์ใส่ประจำก็เถอะ เป็นพวกคิดมากซะด้วย TT^TT
เรื่องที่ปิ่นหยกคุยกับคุณพ่อพระเอกเปิดเผยออกมาบางส่วน ความจริงเป็นยังไงคงยังต้องบอกเหมือนเดิมว่าค่อย ๆ ไปด้วยกันนะคะ

รักคนอ่านค่ะ

ปล. โซนของแถม (นิดนึง...วาดไม่ทัน) reply ถัดไปค่ะ ^^
edit ปล. 2 - DNA เดี๋ยวได้ตรวจค่ะ ใจเย็นก่อน เพิ่งเจอกันเอง 555
***สารบัญคลิกที่นี่ค่ะ***