-1-
“พวกมึงอ่ะ น่าสงสาร หน้าพวกมึงก็แย่ มองสาวเขาก็ไม่เหลียวแล กุคิดขึ้นมาแล้วก็สงสาร” เสียงรุ่นพี่ร่างใหญ่ผิวคล้ำผมหยิกฟูสวมแว่นตาดำกลมแบบจอห์น เลนนอน พูดขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีท่ามกลางเฟรชชี่เข้าระเบียบนั่งนิ่งบรรยากาศกดดันขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำว่าสงสารมาจากคนพูด จากประโยคเมื่อครู่บวกประสบการณ์การซ่อมที่ผ่านมาเกือบเดือนทุกคนรู้ว่า จะต้องมีคนรับกรรมไปทำอะไรน่าอายอะไรสักอย่างแน่นอน
“นิชคุณมึงมานี่” นิชคุณรีบลุกขึ้นออกมาจากแถวเดินไปหารุ่นพี่ นิชคุณคนนี้ไม่ใช่นิชคุณนักร้องไทยผู้โด่งดังทั่วเอเชีย มันเป็นแค่ฉายาที่รุ่นพี่ใช้เรียกระหว่างการซ่อมเท่านั้น พี่ซ่อมยกแขนมากอดคอน้องชะตาถึงคราวซวยเอาไว้ ดวงตากลมชั้นเดียวกระพริบปริบๆ แววตาสะท้อนความปลงในโชคของวันนี้
“นิชคุณ มึงสงสารเพื่อนมึงไหม” เสียงรุ่นพี่จากด้านหลังตะโกนถาม
“สงสารครับ!” คำตอบเสียงดังฟังชัดเหมือนอยู่ในกองฝึกทหาร ถ้าลองตอบว่าไม่สงสาร เขาคงได้ทำอะไรที่มันน่าสงสารกว่านี้
“มึงอยากให้เพื่อนรู้ใช่ไหมว่าความงามคืออะไร” รุ่นพี่คนเดิมที่ไม่เห็นว่าอยู่ตรงไหนตะโกนขึ้นมาอีก
“อยากครับ!”
“ดีมากนิชคุณ มึงไปขอเบอร์ดาวคณะโน้นมาให้กูหน่อย เห็นไหม ที่เขากำลังวิ่งขึ้นตึกไปน่ะ กุให้เวลามึงครึ่งชั่วโมงนิชคุณ เพื่อนๆรอมึงด้วยความหวังว่ามึงจะนำพาความงามมาให้เพื่อนๆรู้จักนะนิชคุณ ใช้ความหล่อของมึงเข้าไปขอแบบแมนๆ ให้รู้ว่ารุ่นพวกมึงก็มีของดีๆ” คราวนี้คนพูดคือรุ่นพี่ที่กอดคอนิชคุณที่น่าสงสารอยู่ นิชคุณรีบวิ่งออกไปจากห้องซ่อมโดยมีรุ่นพี่ที่ยืนรออยู่ตรงประตูเตรียมพร้อมวิ่งตามไปส่งถึงที่ มันเป็นเกมส์ในการรับน้องที่แต่ละวันสลับเปลี่ยนหมุนเวียนสรรหาคิดกันมาแกล้งเฟรชชี่ เวลาครึ่งชั่วโมงในการขึ้นไปบนตึกคณะอื่น ฝ่าพี่ว๊ากของคณะนั้นที่ระเบียบโหด พร้อมขอเบอร์ดาวคณะ
นิชคุณเหงื่อตก ถ้าไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะต้องให้เพื่อนวิ่งชมความงามรอบมหาลัยทดแทนความงามที่เขาหามาไม่ได้กี่รอบต่อกี่รอบ มองฟ้าวันนี้เหมือนรอท่าจะกระหน่ำเทฝนลงมามะรอมมะร่อ วิ่งกลางฝนไม่สนุกสักนิด
“มึงขึ้นตึกไปคนเดียวนะนิชคุณ กูปวดขี้”
“เอ้าพี่ แล้วผมจะขึ้นไปยังไง”
“มึงก็คิดซิ นี่ซ่อมนะไอ้สัส ง่ายแล้วจะให้มาทำไหม” แล้วก็ชิ่ง... ไปขี้
นิชคุณถึงคราวซวยของจริง รุ่นพี่ที่ว่าหายไปท่าทางบอกว่าข้าศึกจะตีกรุงแตกอยู่เดี๋ยวแล้ว ทิ้งเขาไว้ที่ใต้ตึกคณะเงียบๆ เขาไม่มีทางเลือกใดนอกจากจะใช้ความหน้าด้านอันเป็นจุดขายเดินเข้าไปสวัสดียามที่เฝ้าทางขึ้นตึก
“จะไปไหน” ยามตึกนี้ใครๆก็รู้ว่าถ้าไม่ใช่คนในคณะถ้าไม่มีกิจธุระก็ห้ามขึ้น
“รุ่นพี่ให้ขึ้นมาหาดาวคณะครับ” ยามพยักหน้าให้ขึ้นง่ายเกินคาด ไม่น่าเชื่อ นิชคุณซอยเท้าถี่ขึ้นบันไดตึก ได้ยินเสียงว๊ากดังลั่นออกมาจากห้องที่แง้มประตูไว้ พี่สต๊าฟที่ยืนคุมอยู่หน้าก้องสูบบุหรี่กันควันขโมงหันความสนใจมาที่คนแปลกหน้าในเครื่องแบบเรียบร้อย หัวเกรียนที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเรียนอยู่ปีไหนคณะไหน
“มาทำอะไร” เสียงถามเหมือนไม่ค่อยใส่ใจออกมาจากปากของผู้ชายตัวผอมแห้งไว้เครา ดูท่าทางแล้วเหมือนคนส่งน้ำแข็งมากกว่านักศึกษาวิชาเกี่ยวกับการออกแบบ
“รุ่นพี่ให้มาขอเบอร์ดาวคณะพี่ครับ”
“เหยดดดด” เสียงอุทานด้วยความประหลาดใจดังขึ้นพร้อมกัน จากนั้นก็หัวเราะร่วน นิชคุณเริ่มอยากกัดลิ้นตาย หน้าร้อนวูบวาบเพราะทั้งอายและความกดดันไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี
“ผมขอเข้าไปได้ไหมครับ” นิชคุณตัดสินใจถามเบาๆ แต่พอส้นประโยคเสียงว๊ากดังสนั่นก็ดังออกมาจากห้อง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าข้างในกำลังโดนซ่อมหนักแบบห้ามมีอะไรไปขัดจังหวะซีนอารมณ์
เห็นทีวันนี้จะได้วิ่งตามหาความงามรอบมหาลัยเป็นแน่แท้... ถ้าไม่มีดาว
“เห้ยๆ ไม่ต้องทำหน้าสิ้นหวัง กุให้มึงไปขอเบอร์ดาวได้ แต่ให้สาบานก่อนว่าพอได้เบอร์มึงจะไม่โทรไปจีบน้องดาวของพวกกุ” นิชคุณยิ้มร้า พยักหน้ารับคำ
“ครับพี่ สาบาน”
ฟ้าผ่าเปรี้ยงกลั้วผสมเสียงหัวเราะของรุ่นพี่เฝ้าประตูห้องซ่อมสามคนสร้างบรรยากาศสุดบรรยายให้เฟรชชี่ชะตาซวย สายตาทุกคนมองไปทางระเบียงทางเดิน ผมหันมองตาม ปรากฏรุ่นพี่อีกคนกำลังเดินจุดบุหรี่มาทางนี้ หน้าเบื่อโลก ผมยุ่ง กางเกงยีนส์ทำรอยขาดสีซีด ที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด เสื้อยืดตัวหลวมสีกรมท่ามีลายดาวสีขาวเล็กๆทั่วทั้งตัวเสื้อ ถ้าจะให้ตอบตรงๆพี่เสื้อลายดาวไม่สวยพอทีจะเป็นดาวคณะ แต่พี่ลายดาวเท่มาก
นิชคุณรู้แล้วว่าเบอร์ที่ได้ไม่ใช่เบอร์ดาวคณะ แต่เป็นเบอร์พี่เสื้อลายดาวแน่ๆ รุ่นพี่ที่นี่ไม่รู้กินอะไรกันมา มันมันแบบนี้ทุกคณะเลยหรือไงวะ...
“น้องดาวครับ มึงมานี่” น้องดาวชั่วคราวเดินมารวมกลุ่มกับเพื่อนแบบงงๆ สายตามองประเมินไอ้เฟรชชี่ต่างคณะอย่างสงสัยว่ามันมาทำอะไรที่นี่ บนตึกคณะนี้
“เหี้ยอะไรของมึง” ดาวคณะถามเพื่อนเสียงแหบ ไม่มีความหวานในน้ำเสียงแม้เพียงเล็กน้อย
“จะทำอะไรก็ทำ รายงานตัวด้วย” นิชคุณไม่มีทางเลือก มองหน้าพี่ลายดาวแบบหมดหวัง ไม่รู้ว่าพี่คนนี้อยู่ปีไหน ชื่ออะไร ตำแหน่งในการซ่อมอยู่ฝ่ายไหนสวัสดิการ พยาบาลหรือพี่ระเบียบ แล้วเกี่ยวข้องกับดาวคณะตัวจริงหรือไม่อย่างไร ไม่รู้เวลาผ่านมานานเท่าไหร่ เพราะห้ามใส่นาฬิการะหว่างซ่อม แต่เท่าที่คำนวณ รีบๆเอาไว้จะดีกว่า
“ผมนิชคุณครับ อยากจะขอเบอร์พี่ดาวได้ไหมครับ ให้พวกผมได้รู้จักกับความงามเถอะครับ” ฮาหัวเราะก๊ากหนุนหลังช่วยบั่นทอนกำลังใจ นิชคุณผู้โชคร้ายอยากจะเอาหน้ามุดดิน ขอเบอร์ดาวคณะว่าแย่ว่ายากว่าน่าอายแล้ว ตอนนี้เปลี่ยนจากดาวคณะมาเป็นขอเบอร์พี่ผู้ชายจากไหนก็ไม่รู้ หัวของเขาหดเล็กลงในความรู้สึก
“มึงเล่นอะไรเนี่ยฮะ สงสารมัน” เสียงแหบๆพูดกับเพื่อนด้วยความขบขัน
“มึงสงสารมันหน่อย ทางโน้นเค้าซ่อมหนัก ให้เขาได้รู้จักความงามหน่อยมึง” ได้เบอร์มาก็ใช่จะรอด แต่เขาไม่มีปัญญาจะต่อรองหรือหาเบอร์ดาวคณะไหนแล้ว
“เอามือถือมาจะได้กดให้” นิชคุณไม่มีอะไรติดตัวมา ระหว่างซ่อม ห้ามพกอุปกรณ์สื่อสารใดๆ
“ไม่มีครับพี่ จดได้ไหมครับ”
“มีปากกาเหรอ พี่ไม่มีนะ” นิชคุณยิ้มแห้งๆส่ายหน้า
“จำเอาครับ” คำตอบสิ้นหนทาง ความจำแสนสั้นที่บรรจุจะไปด้วยเลขสิบหลักที่ต้องหอบไปให้ถึงห้องซ่อม ฝ่าสายฝนที่เริ่มลงเม็ด พี่ลายดาวบอกเบอร์มือถือให้เฟรชชี่ต่างคณะดวงซวยท่องจำไปสองรอบ พอได้เบอร์นิชคุณก็ยกมือไหว้รุ่นพี่ปะหลกๆ ปากท่องขมุบขมิบเบอร์มือถือแสนสำคัญวิ่งลงจากตึก
ถึงห้องซ่อมของตัวเองนิชคุณรีบเดินเข้าไปหารุ่นพี่ที่รออยู่แล้ว เพื่อนทั้งคณะถอนหายใจเฮือกเมื่อถูกสั่งให้นั่งลงได้เมื่อเพื่อนเอาเบอร์มือถือมาให้จนได้ ไม่รู้ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
“นิชคุณ มึงไปขอเบอร์ดาวสำเร็จใช่ไหม”
“ครับ!” นิชคุณตอบเสียงดังฟังชัด รุ่นพี่แต่ละคนหัวเราะคิกคัก พี่แว่นจอห์นเลนนอนยกมือถือขึ้นมา
“มึงบอกเบอร์มาซิ” นิชคุณท่องเบอร์ให้รุ่นพี่สองรอบไม่มีผิดพลาดพร้อมถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก นี่คงไม่ใช่รุ่นพี่อยากจีบดาวคณะโน้นอยู่แล้วแล้วให้เขามาเล่นหาเบอร์ให้หรือเปล่า ชักเริ่มจะสงสัย แต่ความสงสัยเริ่มกลายเป็นความหวาดกลัวเมื่อพี่แว่นจอห์นเลนนอนดันกดโทรออกหน้าตาเฉย ยื่นโทรศัพท์ให้นิชคุณที่ยืนตัวแข็งทื่อ
“คุยกับดาวซิ” เสียงคำสั่งเหมือนฟาดลงกลางหัว ไม่มีดาวไหนทั้งนั้น ขั้นต่อไปพอเดาได้ว่าเดี๋ยวต้องให้ดาวพูดกับพี่ แล้วเสียงผู้ชายแหบๆเมื่อกี้ไม่ได้ใกล้เคียงกับเสียงผู้หญิงสักนิดเดียว เสียงสัญญาณดังยาว และนาน ผิดกับเสียงหัวใจของนิชคุณที่เต้นรัวแทบหลุดออกมาด้วยความผวาว่าจะแก้สถานการณ์ยังดี ฝนตกแล้ว ลงไปยิ่งอีก ตายแน่
ฮัลโหล… เสียงแหบๆรับโทรศัพท์
“ดาวคณะใช่ไหมครับ ผมนิชคุณเองครับ”
พี่มึงให้โทรมาเหรอ... เสียงนั้นกลั้วด้วยเสียงหัวเราะ
“มึงเปิดเสียงซิ ให้น้องดาวเขาทักทายเพื่อนๆมึงหน่อย เสียงแห่งความงามน่ะ มึงรู้จักไหม” คำสั่งที่สองตามมา เหมือนคำสั่งประหาร ไม่มีดาว... มีแต่ดับแล้วคราวนี้
“ดาวครับ ผมจะเปิดลำโพงนะครับ ดาวช่วยทักทายเพื่อนๆผมหน่อยนะครับ” นิชคุณสะกดกลั้นเสียงแสนมีพิรุธเอาไว้เต็มความสามารถ มือไปกดเปิดลำโพงโทรศัพท์ช้าๆ แบบกล้าๆกลัว ยากหายตัวไปจากตรงนี้เหลือเกิน
“ฮัลโหลน้องดาว สวัสดีเพื่อนๆหน่อยซิคะ” เสียงกรุ้มกริ่มของรุ่นพี่ตะโกนขึ้น เพื่อเรียกหาน้องดาวที่ไม่มีตั้งแต่แรก
สวัสดีค่ะ... เสียงผู้หญิงจริงๆ ถึงจะแหบไปหน่อยแต่นี่มันเป็นเสียงผู้หญิง นิชคุณแทบร้องไห้ เขาไม่รู้ว่าพี่ลายดาวช่วยเขาโดยการเอาไปให้ผู้หญิงคนอื่นพูดหรือดัดเสียงเองเพราะเสียงผู้หญิงในสายติดจะแหบนิดหน่อย
“น้องเป็นดาวคณะเปล่าครับ”
ค่ะ... เสียงผู้หญิงในโทรศัพท์ตอเหมือนกล้าๆกลัวๆ
“น้องดาวคิดว่านิชคุณของคณะพี่หล่อกว่าเดือนคณะน้องดาวไหมครับ” นิชคุณแอบด่ารุ่นพี่ในใจเบาๆ
ก็น่ารักดีค่ะ แต่ขี้อายไปหน่อย... น้องดาวในสายตอบเรียกเสียงฮือฮาจากรุ่นพี่ที่นั่งฟัง นิชคุณคิดแล้วว่าต้องเป็นพี่ลายดาวดัดเสียงเป็นแน่แท้ เพราะแอบมีเสียงหัวเราะเบาๆเป็นซาวน์แทรคแทรกด้านหลัง ไม่รู้จะขอบคุณยังไงดีที่ช่วยให้เขารอดชีวิตไปได้อีกหนึ่งวัน
“โอเคครับน้องดาว พี่ไม่รบกวนแล้ว ขอบคุณมากครับ”
ค่ะ... น้องดาววางสายไป
“นิชคุณมึงรอด” นิชคุณฟังคำตัดสินแล้วรีบวิ่งเข้าไปนั่งในแถว รุ่นพี่ไม่คิดจะถามซักไซ้อะไรมาก ถึงจะเป็นดาวคณะหรือผู้หญิงคนอื่น แต่อย่างน้อยวันนี้นิชคุณก็ไปขอเบอร์ผู้หญิงมาให้แล้ว
“เดี๋ยวๆนิชคุณ ในฐานะที่มึงมีความกล้าหาญ กุมีรางวัลให้ ลุกขึ้นมาเอา” นิชคุณที่ไม่ทันได้นั่งก้นแตะพื้นลุกพรวดวิ่งออกมาข้างหน้าอีกรอบ ในใจบ่นโทษโชคชะตาในใจว่าทำไมวันนี้ถึงซวยนักหนา
“นิชคุณมึงอยากได้รางวัลไหม”
“อยากได้ครับ!”
“งั้นมึงเอาไป!” รุ่นพี่ถอดแว่นตาดำทรงกลมแบบจอห์นเลนนอนให้นิชคุณผู้ตกใจกับรางวัลที่ได้รับ แล้วหยิบแว่นอีกอันที่หน้าตาเหมือนกันเป๊ะมาใส่ใหม่อีกรอบ
“ขอบคุณครับ!”
“ไม่ต้องขอบคุณ ใส่เอาไว้ ใส่แล้วมึงจะเรียนเพ้นได้เอ อาจารย์รัก อาจารย์หลง เชื่อกุ” คุณสมบัติที่พ่วงมากับแว่นไม่น่าเชื่อ แต่นิชคุณชอบแว่นอันนี้มาก ถึงไม่สั่งให้ใส่เขาก็อยากจะใส่อยู่ดี
.................................................................................
เรื่องราวผ่านมาปีกว่า จากเฟรชชี่กลายเป็นพี่ จากพี่อยู่แล้วยิ่งเป็นพี่ที่แก่ขึ้น จากพี่เฉยๆกลายเป็นพี่ซุปเปอร์ไม่รู้ว่าไอ้นิชคุณจิตหลุดมันจะทำอะไรของมันอยู่ แต่น่าแปลกที่อยู่ๆก็นึกขึ้นมาได้ถึงเรื่องนี้ แม้แต่หน้ามันก็ยังจำไม่ได้แล้ว ไอ้เสื้อลายดาวตัวนั้นผมเลิกใส่ไปเลย โดนเพื่อนล้อตลอด ทั้งที่ผมมันคนใจดีช่วยเหลือเด็กต่างคณะให้มันไม่โดนหนักยอมดัดเสียงเป็นดาวคณะให้ทั้งๆที่วันนี้ตะโกนจนเสียงแหบแห้ง เรื่องเล็กๆน้อยไม่ได้ลำบากอะไรช่วยไม่ให้เฟรชชี่เหนื่อยเปล่าเป็นร้อยคนมันก็น่าทำ
โรงอาหารหนึ่งเดียวของมหาวิทยาลัยเล็กๆตอนสายคนเต็มแต่ไม่จอแจ ผมนั่งละเลียดอาหารรสชาติพอกินได้ให้รอดชีวิตไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบร้อน มืออีกข้างก็เล่นมือถือเช็คนั่นเช็คนี่
“ขอนั่งด้วยได้ไหมครับ” เสียงขออนุญาตมาจากฝั่งตรงข้าม คงไม่มีโต๊ะแล้ว ผมพยักหน้าโดยไม่ได้หันขึ้นไปมองหน้าคนถาม ตอบแชทเพื่อนสักพักก็กลับมาสนใจกินข้าวถึงมารู้ว่าคนที่ขอนั่งตรงข้ามเป็นเด็กคณะติดกัน ไม่ใส่เครื่องแบบนักศึกษา ไม่ต้องติดป้ายห้อยก็รู้ว่ามาจากคณะไหน ตี๋ผมยาว เสื้อเชิ้ตลายแปลกๆแบบพวกโบฮิเมียนที่ไม่รู้ไปหาซื้อกันมาจากไหน แว่นตาดำทรงกลมแบบจอห์นเลนนอนที่คาดเอาไว้บนหัว รวมกับกระดานวาดรูปที่หอบหิ้วมาบ่งบอกสังกัดคณะ ถึงจะเรียนอะไรที่จัดอยู่ในสาขาวิชาใกล้เคียงกันระหว่างสองคณะแต่บุคลิกที่สะท้อนออกมาแตกต่างพอสมควร ทายผิดยอมให้ถีบ
ผมกินข้าวเสร็จก็รีบลุกให้ที่มันว่างเผื่อคนอื่นเขาอยากจะนั่งบ้าง เก็บข้าวเก็บของปล่อยให้ไอ้ตี๋เซอร์มันนั่งใช้จิตวิญญาณศิลปินของมันพิเคราะห์จานข้าวเพียงลำพัง ผมขอตัวไปปลีกวิเวกทำสมาธิเตรียมรับการวิจารณ์งานโมเดลชิ้นล่าสุดดีกว่า หวังว่ามันจะเป็นวันจันทร์ที่ดีสำหรับผม ขอให้รอดตาย ขอให้ไม่ต้องทำใหม่
........................................................................................
เช้าวันอังคารแดดออกจ้าตั้งแต่เช้า อากาศร้อนจนเหงื่อตก ผมซื้อข้าวต้มมานั่งกินที่โรงอาหารแห่งเดียวของมหาลัยอีกเช่นเคย ไม่มีเพื่อนมานั่งกินด้วยเพาะส่วนใหญ่มันไม่มากินข้าวเช้ากัน มากันแต่ละทีก็คือเวลาเข้าเรียน เห็นจะมีแต่ผมที่มานั่งกินข้าวเช้าเป็นประจำอยู่คนเดียว กินไปสักพัก ก็มีคนมาขอนั่งร่วมโต๊ะ
“ขอนั่งด้วยได้ไหมครับ” ประโยมเดิม คนเดิม ไม่ได้จำหน้าได้ แต่จำได้เราะแว่นตาดำทรงจอห์นเลนนอนที่ที่คาดเอาไว้บนผมยาวของมันต่างหาก
“อือ” ผมอนุญาตตามมารยาท มองไปรอบๆที่นั่งเต็มอีกเช่นเคย ตี๋เลนนอนวางกระดาน วางจานข้าวกระเพราไข่ดาวที่ราดน้ำปลาพริกเต็มพิกัดเพื่อสร้างรสชาติให้กับกับข้าวของโรงอาหารแห่งนี้... คนที่เรียนที่นี่ ใครๆก็รู้ว่ามันจัดอยู่ในระดับกินได้เท่านั้น
ผมพึ่งเริ่มกิน มันก็พึ่งมา วันนี้เลยลุกก่อนมันจะกินข้าวเสร็จก่อนเล็กน้อย ตามคอนเซปเดิม รีบกินรีบลุกคนอื่นเขาจะได้มานั่งกินบ้าง
...
วันพุธบรรลัย ยังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืน นั่งเขียนแบบตาแหก เขียนแล้วแก้แล้วแก้อีกจนกระดาษหมดต้องไปเคาะห้องเพื่อนขอซื้อกระดาษต่อจากมันอีกอากาศร้อนแต่ไม่มีแดด ไม่รู้ยังไงของมัน อัดบุหรี่มาแล้วสองตัว กะว่ากินข้าวเสร็จแล้วจะขออีกสักตัว มึน ตาลาย ขอสูบเกินพิกัดที่ตั้งใจเอาไว้อีกสักวันนึง ลงรถเมหน้ามหาลัยเดินเข้ามาก็มองนาฬิกา วันนี้คงหาที่นั่งในโรงอาหารยาก ไม่ขึ้นไปกินแล้วกัน
ผมเดินไปสั่งเบอร์เกอร์หมูกิน เจอเพื่อนร่วมห้องยืนสภาพจิตหลุด ในมือแต่ละคนถือซองงานขนาดเอสองอย่างหวงแหนราวกับเป็นกล่องดวงใจที่ทุ่มเทให้ทั้งชีวิต
“เสร็จไหมมึง” ผมถามไอ้ฉุย ฉุยไม่ใช่ชื่อเล่นที่พ่อแม่มันตั้ง จำไม่ได้แล้วว่าชื่อเล่นมันชื่ออะไรแต่ตอนปีหนึ่งพี่เรียกมันฉุยด้วยเหตุผลที่ที่จนตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร มันเลยกลายเป็นไอ้ฉุยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
“ไม่เสร็จก็ต้องเสร็จ ให้ตายยังไงก็ต้องเสร็จ” ถูกของมัน ไม่มีส่งคือศูนย์
“กูยังไม่ได้นอนแม่ง”
“เสือกคิดแบบอลังการ สมน้ำหน้ามึง” ความผิดกุซินะไอ้ฉุยที่กุทำงานมีคุณภาพ
......................................................................................
วันพฤหัสบดี ไอ้ผมก็เลยไม่สระผมมาซะเลย แต่อย่างว่าท้องฟ้ากลั่นแกล้ง หัวเปียกมาเลย ฝนห่าตกแต่เช้า แล้วใครจะไปรู้ว่ามันจะตก แดดจ้าอยู่ดีๆ มาจากไหนไม่รู้ตกลงมาบุญที่วันนี้ไม่มีงานมาส่ง เปียกแต่ตัว เดินเซ็งขึ้นโรงอาหาร คนเริ่มเยอะ เห็นโต๊ะว่างเป้าหมายเลยเอาข้างของไปวางจองไว้ก่อน เดินไปซื้อขาวหมูทอดมานั่งกิน แต่กินได้ไม่ถึงคำ ก็มีวัตถุเปียกน้ำเดินเข้ามามีเป้าหมายคือโต๊ะผม ไอ้ตี๋เลนนอนเจ้าเก่าเจ้าเดิม
“ขอนั่งด้วยได้ไหมครับ”
“เออๆ นั่งเลยๆ” หน้าตาอมทุกข์สุดขีด ถุงพลาสติกห่องานมาสองสามชั้น ข้างในพอเห็นได้ว่าเป็นเฟรมใหญ่วันนี้ตี๋เลนนอนใส่เสื้อยืดคอย้วย กางเกงขาก้วย เปียกทั้งตัว ไม่มีแว่นเลนนอนคาดผมเหมือนอย่างเคย
“ขอบคุณครับพี่” อ้าว มันรู้ได้ไงว่าผมเป็นพี่มัน หน้าตาบ่งบอกไม่ได้นะ
คราวนี้ผมมองไปรอบโรงอาหาร เห็นคนเริ่มลุกไปเรียน มีที่ว่างสองสามโต๊ะแม้คนจะดูเยอะ แล้วไอ้นี่ก็มาขอนั่งกับผม สามครั้งแล้ว ติดกันทุกวัน ยกเว้นเมื่อวานที่ผมไม่ได้ขึ้นมากินข้าวสงสัยนะว่ามันเป็นความบังเอิญหรือเรื่องจงใจ แต่ก็นั่นแหละ ผมเก็บความสงสัยเอาไว้รวบช้อนส้อมลุกขึ้นยืน มองศิลปินเปียกน้ำที่ก้มหน้าก้มตากินก๋วยเตี๋ยวพริกเยอะจนหน้าแดง ก่อนจะเดินเอาชามไปเก็บเตรียมขึ้นเรียน เดินไปไม่ถึงสามก้าว
ปั๊ก!
เฟรมมันล้มลงมากระแทกหัวเข่าผมแบบพอดีเป๊ะ ไม่เจ็บหรอก แต่ตกใจ
ผมก้มหยิบเฟรมมันไปวางพิงไว้ตรงเก้าอี้ตรงข้ามมันที่ผมเคยนั่ง
“วางไว้ตรงนี้นะ”
“ขอบคุณครับพี่” ยกมือไหว้อีก... มารยาทงามว่ะ
………………………………………………………………………………………..
วันศุกร์ แต่ผมไม่สุข มีเรียนบ่ายวิชาเดียว อย่าเรียกเรียน เรียกว่ามาเอางานแล้วฟังบรรยายลักษณะงานมากกว่า มันมาอีกแล้วงาน ส่งสัปดาห์หน้า ไอ้งานเก่าๆที่ต้องส่งก่อนหน้านั้นยังทำไม่เสร็จเลย ผมนั่งดมควันบุหรี่จากเพื่อน วันนี้ไม่สูบเพราเดี๋ยวมันเกินโควตาวันละครึ่งมวน หรือสองวันหนึ่งมวน ผมกำลังพยายามงดสูบอยู่ อาจจะไม่งดแต่ขอสูบน้อยลงแล้วกัน เลิกบุหรี่เพื่อแม่ แม่ขอมา
“กุจะไปห้องสมุด ไปป่ะ” ผมพูดขึ้น
“หางานเหรอ” ฉุยถามกลับ
“เออ”
“เดี๋ยวกุตามไปให้หมดมวนก่อน” ผมพยักหน้ารับ คว้ากระเป๋าสะพายบ่า เดินตัดสวน ผ่านหอศิลป์ เข้าห้องสมุดเล็กๆของมหาลัย ตอนนี้มันเย็นมากแล้ว วันนี้มีเปิดงานที่หอศิลป์ พวกเด็กคณะใกล้เคียงมานั่งรอเปิดงานตามหน้าห้องสมุดเต็มไปหมด ผมเดินผ่านไปอย่างเคยชินแต่ที่ปลายสายตาก็เห็นอยู่ว่าหนึ่งในนั้นมีผู้ชายผมยาวมัดรวบเป็นหางม้า เสื้อเชิ้ตแขนสั้นแบบลุงชอบใส่ กับกางเกงขาม้าหลงยุค พร้อมใส่แว่นตาดำทรงกลมแบบเลนนอน นั่งดูดโอเลี้ยงถุงอยู่ที่ขั้นบันไดบนสุดติดกับประตูห้องสมุดรวมกลุ่มกับบรรดาพรรคพวกที่สไตล์การแต่งตัวหลงยุคพอๆกัน
ผมหันไปมอง
มันหันมายิ้มให้...
จะทำไงได้ ตามมารยาท ผมก็เลยยิ้มตอบ
“เพื่อนมึงเหรอนิชคุณ” ผมกำลังจะเปิดประตูเข้าห้องสมุด แต่ก็ได้ยินเสียงแว่วๆถามไอ้ตี๋เลนนอน
“เปล่าพี่”
...มันชื่อนิชคุณ ตรงไหนของมันที่เหมือนนิชคุณวะ คนไทยเหมือนกัน? ผมดำเหมือนกัน?
แต่ว่านะ จริงๆ นิชคุณนี้ใช่นิชคุณเดียวที่มันเคยมาขอเบอร์ผมให้สวมรอยเป็นดาวคณะหรือเปล่าวะ คล้ายๆอยู่ จำไดลางๆว่ามันตี๋ตาชั้นเดียว... หรือจะใช่
………………………………………โปรดติดตามตอนต่อไป……………………………………….
บรรยากาศอาจจะไม่คุ้นเคยสำหรับบางคน ส่วนบางคนคงคุ้นมาก
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านกัน
4-5-2012