Heartbreaker : 13
“คุณเนติพัทธ์ อัครกุล โปรดทราบ ขอความกรุณามาพบญาติที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ชั้น4ด้วยค่ะ คุณเนติพัทธ์ อัครกุล กรุณามาพบญาติที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ชั้น4ด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ”
เสียงประกาศประชาสัมพันธ์ดังก้อง ผมขมวดคิ้ว
เมื่อกี้นี่…เสียงประกาศตามหาผม
ผมเดินออกจากวงสนทนาของกลุ่มเพื่อนที่กำลังพูดคุยกันอย่างออกรส
“มีอะไรเหรอต้าร์”
พีทเดินเข้ามาถาม ผมยิ้นเจื่อน รู้สึกใจคอไม่ดี พวกเขาคงลืมชื่อจริงผมหรือไม่ก็คงไม่ได้ใส่ใจกับเสียงประชาสัมพันธ์เมื่อครู่
“เรามีธุระต้องรีบไป ขอตัวก่อนนะ ไว้เจอกัน”
ผมบอกพีท หันไปยิ้มโบกมือลาเพื่อนๆ รีบเดินหาจุดประชาสัมพันธ์ตามเสียงประกาศ ผมลงมายังไม่ถึง10นาทีเลย ทำไมเขาถึงได้ให้ประชาสัมพันธ์ประกาศตามผมเร็วขนาดนี้ ผมเดินหาเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ แต่ก็ต้องหยุดชะงักอยู่กับที่เมื่อสายตามองไปเห็นด้านหลังของผู้ชายร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวผับแขนถึงข้อศอก ขายาวภายใต้กางเกงยีนสีเนวี่บลูกำลังวิ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรีบเร่ง ผมส่ายหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อเมื่อเห็นในมือเขาถือกรวยไอศกรีมที่ด้านบนนั้นม็อคค่าอัลมอนด์กับไวท์ช็อกโกแลตที่ผมสั่งละลายไหลลงเปื้อนมือเขา
เขายังถือมันอยู่ ทั้งๆที่กำลังวิ่ง…
ผมอยากตะโกนเรียกเขา แต่ปากกลับไม่ขยับ อยากวิ่งไปให้ทันเขา แต่ขากลับก้าวไม่ออก ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป แต่ภาพที่ผมเห็นตรงหน้า มันทำให้ผมสับสน
ผมได้แต่ยืนนิ่งมองเขาวิ่งไปไกลจนลับสายตา จนเสียงประชาสัมพันธ์ประกาศตามตัวผมดังขึ้นอีกรอบ ผมก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ภาพที่ร่างสูงวิ่งเมื่อครู่ยังติดตาผมอยู่ ทำให้ผมหวนคิดถึงคำพูดของเฟียซ ที่บอกเล่าเรื่องราวตอนที่พวกเขาอาละวาดที่มหา’ลัย
หวังว่าเขาคงไม่บ้าอาละวาดในห้างหรอกนะ แล้วถ้าเกิดเขาอาละวาดขึ้นมาจริงๆล่ะ?
ผมส่ายหน้าแรง เดินเร็วไปตามทางที่เขาวิ่งหายไปก่อนหน้า ภาวนาให้เขายังมีสติ ไม่ทำอะไรวู่วามไปซะก่อน
ผมเดินหาเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์อย่างร้อนใจ
“ประกาศอีก! บอกให้ประกาศไง!! ไม่ได้ยินเหรอวะ!!!”
เสียงตะโกนดังมาจากทางขวามือ ผมรีบเดินไปทางนั้นทันที เขาอาละวาดจริงๆด้วย บ้าชะมัด ทำไมเขาไม่ระงับสติอารมณ์บ้าง
“ประกาศเดี๋ยวนี้! กูบอกให้ประกาศ!!!”
ผมหยุดอยู่มุมเสาห่างจากจุดประชาสัมพันธ์พอสมควร เห็นร่างสูงยืนเท้าแขนข้างนึงกับเคาน์เตอร์มองหน้าพนักงานหญิงอย่างเอาเรื่อง มืออีกข้างของเขายังถือกรวยไอศกรีมอยู่ มีหลายคนหยุดยืนมองเขา แต่เหมือนว่าเขาจะไม่สนใจ ผมสงสารพนักงาน สีหน้าเธอซีดเผือด อาการของเธอบอกชัดถึงความตื่นกลัวจากร่างสูงที่ทำท่าคุกคามเธออยู่ รปภ.อยู่ไหน ทำไมไม่มาห้ามเขา ปล่อยให้เขาอาละวาดโวยวายใส่พนักงานอยู่ได้ยังไง
“เอาไมค์มา! กูจะพูดเอง!!”
“พอเถอะครับ”
ผมส่งเสียงไปก่อนตัว เดินเข้าไปหาเขา ร่างสูงหันมามองผม นัยน์ตาสีเฮเซลดุดันแข็งกร้าว ผมรู้ว่าเขาโกรธที่ผมหายไป แต่เขาก็ไม่สมควรมาใส่อารมณ์กับพนักงานที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย
“ขอโทษนะครับ”
ผมหันไปบอกพนักงาน เธอพยักหน้ารับ ท่าทางยังหวาดกลัวอยู่ ผมหันไปมองร่างสูง เขาเดินมาหาผมด้วยใบหน้านิ่งขรึม หยุดยืนตรงหน้า ยื่นไอศกรีมที่ละลายเลอะมือเขาให้ ผมเงยมองสบตาเขา
“มันละลายแล้ว เอาทิ้งเถอะฮะ”
พอผมพูดจบเขาก็ทิ้งไอศกรีมในมือลงพื้นทันที ผมสะดุ้งกับการกระทำของเขา ยังไม่ทันได้ตั้งตัว มือหนาข้างที่เปื้อนไอศกรีมก็คว้าแขนผมดึงให้เดินตามเขาไป ท่ามกลางสายตาของหลายคนที่จับจ้องมองมา ผมพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้ตื่นกลัวเขา แม้ว่าเขาจะยังเงียบอยู่ แต่ผมรู้ ในใจเขาคงโกรธผมมาก แรงบีบที่แขนทำให้ผมนิ่วหน้า รับรู้ถึงภาวะอารมณ์ของเขา ผมเม้มปากแน่น เขาพาผมขึ้นบันไดเลื่อนมาชั้นโรงหนัง
“ผมไม่อยากดูแล้ว”
ผมบอกเมื่อเขาพาผมเดินตรงไปที่ทางเข้าโรงหนังซึ่งมีพนักงานยืนรอตรวจตั๋วหนังอยู่ เขาหยุดเดิน หันมามองผม ลวงเอาตั๋วหนังในกระเป๋าเสื้อออกมา นัยน์ตาคมแข็งกร้าววาวโรจขึ้นเรื่อยๆ ผมมองเขานิ่ง มือหนาขย่ำตั๋วหนังแล้วปล่อยมือ ทิ้งให้ก้อนกลมๆตกอยู่ที่ปลายเท้า ผมหายใจแรงเงยหน้ามองเขา แล้วก็ต้องเบือนหนีเพราะไม่อยากมองสบนัยน์ตาดุคมของเขา ก็ในเมื่อเขากำลังโมโหแบบนี้ แล้วจะให้ผมมีอารมณ์ไปนั่งดูหนังได้ยังไง
“กลับเถอะครับ”
เขากระชากจนตัวผมปลิวไปตามแรง พาผมเดินมาที่ลิฟต์ มีคนยืนรออยู่ด้วย พอลิฟต์มา ประตูเลื่อนเปิด เขาก็ดึงให้ผมก้าวตาม ผมก้มมองแขนตัวเอง คราบไอศกรีมจากมือเขาเลอะเปื้อนแขนผม รู้สึกถึงความเหนียวเหนอะ ลิฟต์ลงมาถึงชั้นที่เขาจอดรถไว้ พอประตูเปิดเขาก็ดึงผมเดินออกไป มาถึงรถ เขาเปิดประตูดันผมเข้าไป ผมสะดุ้งกับเสียงปิดประตูดังตามมา หันไปมองเมื่อเขาเข้ามานั่งในรถ สตาร์ทเครื่อง กำลังจะเรียก แต่เขาก็ถอยรถกระชากเร็วจนผมต้องเกาะเบาะไว้แน่น ผมรีบคว้าสายเข็มขัดนิรภัยมาคาดตัว รถพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วจนผมมองตามแทบไม่ทัน ผมหันไปมองเขา อยากบอกให้เขาขับช้าๆ แต่ราวกับเขาอ่านใจผมออก และต้องการประชดผม เพราะเขาเร่งความเร็วขึ้นแซงรถคันข้างหน้า ผมเลิกล้มความตั้งใจที่จะบอกเขา หันกลับมายึดเบาะไว้ หลับตาแน่นภาวนาให้เขาขับรถถึงที่พักอย่างปลอดภัย
เอี๊ยด!!!
เสียงยางรถบดเบียดกับพื้นคอนกรีตก่อนที่ตัวรถจะหยุดนิ่ง ผมลืมตาขึ้น ปลดเข็มขัดนิรภัยออก ถอนหายใจโล่งที่กลับมาถึงคอนโดอย่างปลอดภัย แต่ผมโล่งใจได้ไม่นาน เพราะร่างสูงที่ลงจากรถไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้กระชากประตูเปิด ดึงแขนผมออกจากรถ
“พี่ควิน ผมเจ็บ”
ผมบอกเสียงเบาเพราะเขาบีบแขนตรงรอยเดิม แต่เขาไม่สนใจ เดินตรงไปที่ลิฟต์ เขากดลิฟต์ในขณะที่ผมพยายามจับมือเขาออก พอลิฟต์มาเขาก็ดึงผมเข้าไป
“ปล่อยเถอะฮะ ผมเจ็บ”
ผมบอกเขาอีก แต่เขาก็ยังนิ่งเงียบ ไม่แม้แต่จะหันมามองผม
“พี่ครับ โอ้ย!”
ผมร้องเสียงหลงเพราะเขาหันขวับกลับมาผลักจนผมเซถอยหลังชนกับผนัง เขาปล่อยมือออกจากแขน ตะปมลงบนไหล่ บีบแรง ผมนิ่วหน้ามองเขานิ่ง
ทำไมพวกเขาถึงชอบใช้แต่กำลัง?
“ปล่อยผม”
ผมบอกเสียงเรียบ พยายามข่มกลั้นอารมณ์ เขาแสยะยิ้ม บีบไหล่ผมแรงขึ้นพอดีกับที่ลิฟต์หยุดเมื่อมาถึงชั้นที่พัก เขาผละมือออกไป จับแขนผมดึงให้เดินออกจากลิฟต์ตามเขาไป
“ฟังผมอธิบายก่อน”
ผมบอก พยายามขืนตัวไว้ไม่ยอมให้เขาดึงเขาไปในห้อง แต่แรงของเขามีเยอะกว่าผม เพียงแค่เขาออกแรงดึง ตัวผมก็ถลาไปชนเขา ผมเงยหน้า มองสบสายตาคม เพียงแค่เห็นแววตาคมกล้าของเขา ผมก็รู้แล้วว่าเขาไม่ยอมฟังคำอธิบายของผมแน่นอน
“ปล่อยผมนะ”
ผมบอกพลางดิ้นรน ผมไม่ได้ทำอะไรผิด เขาไม่สิทธิ์มาพิพากษาผม ที่ผ่านมาผมยอมพวกเขามามาก เป็นฝ่ายยอมมาตลอด แต่วันนี้ผมไม่ยอม
“ปล่อย!”
ผมสั่งเสียงแข็ง สะบัดตัวแรง ใช้มือข้างที่เป็นอิสระผลักดันเขาออกเต็มแรงเท่าที่กำลังจะมี ร่างสูงเซถอยหลัง ผมอาศัยจังหวะนี้สะบัดแขนจนหลุดจากการจับกุม เบี่ยงตัววิ่งหนีเขา ตรงไปที่ห้อง ผมยื่นมือไปจับลูกบิดเปิดประตูรีบก้าวเข้าไปในห้อง ดันประตูปิดยังไม่สนิท แรงผลักจากด้านนอกก็ดันเข้ามาจนผมล้มไปกองกับพื้น ผมยันตัวลุกขึ้นพอดีกับที่ร่างสูงก้าวเข้ามา
ปัง!
ผมสะดุ้งกับเสียงปิดประตูดังด้วยฝีมือเขา มองใบหน้าเรียบเฉยแต่แฝงความเย็นชา ก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณป้องกันตัว รังสีคุกคามจากเขาแผ่ออกมาจนผมเก็บอาการหวาดกลัวเอาไหวไม่อยู่ รีบถอยจนขาชนกับขอบเตียง
“หยุด แล้วฟังที่ผมพูด”
ผมบอกเขา พยายามปรับโทนเสียงให้เรียบนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ ระยะห่างแค่หนึ่งช่วงตัว ไม่ใช่ระยะปลอดภัยสำหรับผม ถ้าเขาจะกระโจนเข้าใส่ผมตอนนี้ ผมคงไม่มีทางหนีเขาพ้น
“ตอนที่นั่งรอ มีเพื่อนสมัยมอต้นเข้ามาทัก เขาชวนผมลงไปทักทายเพื่อนข้างล่าง ผมเลยลงไป คิดว่าลงไปทักทายแป็ปเดียวก็จะรีบขึ้นมา แต่…”
“หุบปาก”
เสียงเรียบเอ่ยแทรกขึ้น นัยน์ตาสีเฮเซลมองผมอย่างเย็นชา
“ผมพูดความจริง ไม่ได้โกหก ผมไม่ได้…”
“กูบอกให้มึงหุบปาก!”
เขาตะวาดพลางสาวเท้าก้าวเข้ามาใกล้
“พี่ฟังผมบ้างสิ ผมพูดเรื่องจริง ทำไม…”
“กูไม่ฟัง!”
เขาตะคอก ผลักผมที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวล้มลงไปนอนบนเตียง ผมรีบขยับหนี แต่เขาก็ตามติดมาคร่อมผมไว้ มือหนาจับข้อมือผมกดแนบกับที่นอน ผมมองตาเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมถึงไม่ยอมฟัง ที่ผมพูดเป็นเรื่องจริง ไม่ได้โกหก ผมก็แค่ลงไปทักทายเพื่อน ก็เท่านั้นเอง”
ผมบอก พยายามรวบรวมกำลังดิ้นให้หลุด แต่เขาก็โถมแรงจนผมแทบกระดิกตัวไม่ได้
“ผมพูดความจริงแล้ว พี่ก็ไม่ยอมฟัง เอาแต่ใช้กำลัง”
ผมมองจ้องสายตาคมอย่างหมดแรง เจ็บทั้งแขนทั้งข้อมือไปหมด
“กูเตือนมึงแล้ว แต่มึงก็ยังทำ มึงหนีกู!”
“ผมไม่ได้หนี ถ้าผมหนีไปจริง ผมจะกลับมาหาพี่ทำไม!”
ผมตะโกนใส่หน้าเขา พูดมาได้ยังไงว่าผมหนี ถ้าผมคิดจะหนีเขาไปจริงๆ ผมจะวิ่งตามเขาไปทำไม
“มึงคิด กูรู้ว่ามึงคิด”
เขาพูดชิดใบหน้าผม สายตาคมจ้องผมนิ่งคล้ายจะสะกดให้ผมยอมจำนน
ไม่…ผมไม่ยอม ผมไม่ได้ทำอะไรผิด!
“ปล่อยผม ปล่อยเดี๋ยวนี้”
ผมเค้นเสียงบอก กำมือแน่น เขาเหยียดยิ้มรวบข้อมือผมขึ้นเหนือศีรษะ บดเบียดกายแกร่งจนตัวผมแทบจมหายไปกับฝูกนุ่ม
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิด พี่ไม่สิทธิ์มาทำกับผมแบบนี้”
“ทำไมกูจะไม่มีสิทธิ์ ในเมื่อกูเป็นผัวมึง!”
เสียงตะคอกมาพร้อมกับแรงกระชากเสื้อ ผมสะดุ้ง ตกใจกับการกระทำรุนแรงของเขา ผมส่ายหน้า หายใจหอบ มองเขาดึงทึ้งเสื้อผมจนขาดหวิ่นติดมือเขาไป เขาโยนเศษผ้าทิ้ง แสยะยิ้มให้ผมอย่างจะเยาะเย้ยที่ผมไม่สามารถต่อต้านเขาได้
“ความจริงผมควรจะหนีไป หนีไปให้ไกล”
ผมพูดเสียงเรียบ สบตาเขาด้วยอาการสงบนิ่ง ไม่ดิ้นรนขัดขืน เขานิ่งไป แต่เพียงแวบเดียวมือหนาก็จัดการถอดเข็มขัดตัวเองออกมา ผมรู้ว่าเขาจะเอามันมาทำอะไร
“ถ้าพี่เชื่อใจผมสักนิด เราคงอยู่กันอย่างมีความสุขมากกว่านี้”
แรงรัดที่ข้อมือด้วยเข็มขัดหนังคลายออก ผมจ้องตาเขา ส่งผ่านความรู้สึกให้เขารับรู้
“ผมพยายามลืมเรื่องในอดีต พยายามใช้ชีวิตในแต่ล่ะวันให้มีความสุข ทุกครั้งที่ผมคิดว่าตัวเองทำดีที่สุดแล้ว แต่มันก็ไม่เคยดีพอในสายตาของพวกพี่ ทั้งๆที่ผมพูดความจริง พวกพี่ก็ไม่เคยคิดจะรับฟัง ต้องให้ผมทำยังไงเหรอฮะ เราถึงจะอยู่กันอย่างสงบ”
ผมพูดในสิ่งที่ผมคิด มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผมจะลืมเหตุการณ์เลวร้ายที่พวกเขาทำไว้กับผม แต่ผมพยายามไม่คิด ไม่นึกถึงมัน ผมพยายามบอกให้ตัวเองลืม และผมต้องทำได้ในสักวัน แต่ความพยายามของผมก็พังครืนลงทุกครั้งที่พวกเขาระบายอารมณ์ลงที่ผม พวกเขากระตุ้นให้ผมหวนคิดถึงเหตุการณ์เลวร้ายในวันนั้น ทั้งๆที่ผมพยายามลืมมัน ผมไม่อยากใช้ชีวิตอยู่อย่างหวาดกลัวเหมือนเมื่อก่อน ไม่อยากระแวงทุกคนที่เข้ามาใกล้ ผมพยายามใช้ชีวิตอยู่กับพวกเขาให้ได้ ทำไมพวกเขาไม่เข้าใจผมบ้าง?
เสียงขบกรามแน่นบอกให้รู้ว่าเขากำลังข่มกลั้นอารมณ์ไว้ ผมไม่รู้ว่าเขารับฟังที่ผมพูดหรือเปล่า และถ้าเขาฟังแล้ว เขาจะเข้าใจไหม แต่ดูจากสายตาแข็งกร้าวและแรงบีบที่ข้อมือ ผมเดาว่าเขาคงไม่รับฟัง ผมถอนหายใจแรงมองตาเขานิ่ง
“ผมผิดที่ไม่ได้บอกพี่ ผมขอโทษ พี่โกรธ ผมเข้าใจ แต่ผมไม่อยากให้พี่เอาความโกรธมาลงที่ผม แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากนอนนิ่งๆอยู่แบบนี้ ผมแค่อยากบอกให้พี่รู้ ว่าผมไม่ได้มีเจตนาหนีพี่ไป ผมแค่ลงไปทักทายเพื่อนจริงๆ”
ผมบอกเสียงเรียบ หลับตาแน่น ถ้าเขาจะใช้กำลัง ผมก็ไม่มีแรงไปสู้เขาได้ แต่ผมจะจำไว้ ว่าเขาใจร้ายมากที่ไม่ยอมฟังผมอธิบายความจริง
“แค่บอกกู แต่มึงไม่ทำ”
เสียงเรียบนิ่งของเขาทำให้ผมลืมตาขึ้น แปลกใจที่เขาผละออกไปโดยง่าย ผมลุกขึ้นนั่งทบทวนคำพูดของเขา มองร่างสูงที่กำลังเดินตรงไปที่ประตู ผมรีบลงจากเตียง วิ่งไปโถมตัวกอดเขาไว้ ก่อนที่เขาจะเปิดประตูออกไป
“ผมขอโทษครับ ขอโทษที่ไม่ได้บอกพี่ก่อน ผมขอโทษ”
ผมบอกแนบแผ่นหลังกว้าง กระชับแขนโอบรัดเอวเขาแน่นขึ้น
“ยกโทษให้ผมนะครับ อย่าโกรธผมเลยนะ นะครับ”
เขายืนนิ่ง ไม่พูดอะไร แต่สัมผัสจากมือหนาที่จับมือผมออกบอกชัดว่าเขาไม่ยอมรับคำขอโทษจากผม ผมยื้อจะกอดเขาต่อ แต่เขาก็บีบมือผมแน่นจนผมต้องยอมแพ้ถอยห่างออกมา เขาเปิดประตูเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมยืนหง่อยมองตามเขาไปจนลับสายตา ผมปิดประตูห้อง เดินคอตกกลับไปที่เตียง เศษผ้าที่อดีตเคยเป็นเสื้อเชิ้ตของผมตกอยู่ข้างเตียง เข็มขัดหนังของเขาก็ยังวางอยู่ที่หมอน ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ คลานลงจากเตียงเดินไปเปิดเลื่อนตู้เสื้อผ้า ถอดเสื้อยืดออกจากไม้แขวน เงาสะท้อนกระจกจากโต๊ะอีกฝั่งทำให้ผมเห็นร่องรอยครูดแดงบนตัวชัดเจน คงเป็นตอนที่เขากระชากเสื้อออกจากตัวผม ผมรีบใส่เสื้อ เดินไปหยิบเศษผ้าข้างเตียงใส่ถังขยะ เก็บม้วนเข็มขัดหนังของเขาไว้บนโต๊ะ
ผมต้องไปปรับความเข้าใจกับเขา ผมไม่อยากให้เขาโกรธแล้วพานไม่พูดคุยกับผมอีก ถ้าให้ผมอยู่กับพวกเขาด้วยบรรยากาศมึนตึงใส่กัน ผมต้องบ้าแน่ๆ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“พี่ควิน เปิดประตูให้ผมหน่อย”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“พี่ครับ ผมขอโทษ เปิดประตูให้ผมเข้าไปหน่อยได้ไหม”
จะโกรธไปถึงไหน ผมมายืนเคาะประตูห้องเขานานแล้วนะ ยังไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากคนในห้องเลย ผมหันหลังพิงประตูไว้ กอดอกขบคิดหาหนทางให้เขายอมเปิดประตู ไม่พูดไม่เป็นไร แต่ขอให้เปิดประตูก็พอ อย่างน้อยผมจะได้เข้าไปขอโทษเขา ถ้าผมอ้อนเขามากๆ เขาอาจจะใจอ่อนเหมือนตอนที่ผมอ้อนขอนอนค้างที่บ้านก็ได้
“ผมไม่กวนพี่แล้วก็ได้ ผมแค่จะมาขออนุญาตออกไปข้างนอก ถ้าพี่ไม่ตอบ งั้นผมไปนะครับ ถือว่าพี่รับรู้แล้ว”
ผมยิ้ม ขยับออกจากประตู ดูสิ ว่าใช้ไม้นี้แล้ว เขาจะยอมออกมาเปิดประตูรึเปล่า ผมนับเวลาในใจ ตาก็จ้องมองประตูไปด้วย มันต้องได้ผลสิ เขาจะปล่อยให้ผมออกไปข้างนอกคนเดียวงั้นเหรอ ไม่มีทาง!
เสียงลูกบิดขยับ ผมรีบหันหลังกลับทำทีเป็นว่ากำลังจะเดินกลับไปพอดีกับที่ประตูเปิดออก
“กูไม่อนุญาต ห้ามไปไหนทั้งนั้น”
เสียงแข็งเอ่ยขึ้น ผมหยุด หันกลับไปมองเขา
“ครับ”
ผมตอบเสียงเบา เดินเข้าไปหาเขา ยื่นมือออกไปจับชายเสื้อเขาไว้กระตุกเรียกความสนใจ
“หายโกรธผมแล้วเหรอฮะ”
เขาไม่ตอบ นัยน์ตาสีเฮเซลมองผมนิ่ง ผมยิ้มกว้าง ปล่อยมือจากชายเสื้อ จับมือเขามากุมไว้แทน
“อย่าโกรธเลยนะฮะ ผมขอโทษ เวลาพวกพี่โกรธ ผมไม่สบายใจเลย ดีกันนะฮะ”
ผมแกว่งมือเขา ตาก็มองอ้อน เขายังคงสีหน้าเรียบเฉยเหมือนตอนที่เปิดประตูออกมา แววตาก็ยังคงนิ่ง ผมยู่ปากก้มหน้ามองพื้น แต่จู่ๆเขาก็หันกลับเดินเข้าห้องโดยที่ยังไม่ดึงมือออก ผมที่ยังจับมือเขาไว้แน่นก็เดินตามเขาไปด้วย
“ในเมื่อพี่ควินไม่ยอมตอบ งั้นผมคิดเข้าข้างตัวเองนะฮะ ว่าพี่ควินหายโกรธแล้ว”
ผมยิ้มบอกเมื่อเดินมาถึงกลางห้อง ปล่อยมือเขาออก เดินไปที่เตียงกว้าง ล้มตัวลงนอนคว่ำ
“ขออนุญาตนอนนะครับ ขอบคุณครับ”
ผมพูดเองเออเองเสร็จสรรพ กลิ้งไปคว้าหมอนมาหนุน นอนหลับตายิ้มกริ่ม ฝูกนุ่มข้างๆยวบลง ผมกลิ้งไปทิศทางนั้นก็สัมผัสถูกตัวเขา พอลืมตาก็เห็นใบหน้าหล่อเหล่าลอยเด่นอยู่ตรงหน้า ผมยิ้มกว้างยกมือผลักอกคนคร่อมร่างเต็มแรงจนเขาล้มหงายหลัง ตามไปจับแขนใหญ่กางออกแล้วนอนลงไป ใช้แขนเขาแทนหมอนรองศีรษะ
“นอนแล้วนะฮะ”
ผมบอก หลับตาลง สัมผัสกอดรัดกลับมา ผมผลิกตัวกอดตอบเขา ซุกหน้ากับอกกว้าง
“ขอบคุณที่เปิดประตูให้ผมเข้ามาในห้อง ขอบคุณที่ให้ผมนอนบนเตียง ขอบคุณที่ให้ผมหนุนแขน ขอบคุณที่กอดผมไว้ แล้วก็ขอบคุณที่พี่ควินหายโกรธผมแล้ว ขอบคุณครับ”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
สืบเนื่องจากตอนที่แล้ว หลายคนคงใจหายใจคว่ำเพราะเป็นห่วงสวัสดิภาพของต้าร์
ไม่ต้องห่วงนะคะ ต้าร์ฝากคนแต่งมาบอกคนอ่านว่า “ผมเอาอยู่ฮะ”
ที่ได้โปรยไว้ทิ้งท้ายตอนก่อนว่าถ้า Y เรื่องนี้จบไม่แฮปปี้คนอ่านจะว่ายังไง
จากที่ได้อ่านคอมเมนต์แล้ว ส่วนใหญ่ต้องการให้จบแบบแฮปปี้
คือ อยากจะบอกไว้ตอนนี้เลยว่า พล็อตที่คนแต่งวางไว้ไม่ได้ปรับเปลี่ยน
หรือพลิกบทเพื่อเอาใจคนอ่านนะคะ แม้ว่าทุกตอนจะแต่งสดก็ตาม
พล็อตมันวางไว้ตั้งแต่เริ่มคิดจะแต่ง Y เรื่องนี้แล้ว เดี๋ยวจะหาว่าหลอกให้อ่าน
ประกาศให้ทราบโดยทั่วกันเลยนะคะ ว่า Y เรื่องนี้จบไม่แฮปปี้ค่ะ
ดำเนินเรื่องไปตามพล็อต ตามความตั้งใจของคนแต่งตั้งแต่แรกเริ่ม
เพราะฉะนั้น ถ้านักอ่านท่านใดคิดว่าจะไม่ติดตามอ่านต่อ ก็แล้วแต่นะคะ
คนแต่งคงไปกักขังหน่วงเหนี่ยวหรือฉุดรั้งนักอ่านไว้ไม่ได้
แค่อยากบอกให้รู้แต่เนิ่นๆ เดี๋ยวจะหาว่าหลอกให้เข้ามาอ่าน
(นักอ่าน : ก็หลอกให้ตรูอ่านมาหลายตอนแล้วนี่
)
ถ้าใครสมัครใจอยากอ่านต่อก็ช่วยติดตามจนถึงตอนจบด้วยนะคะ
ถึงจะจบไม่แฮปปี้ แต่คนแต่งมีตอนพิเศษไว้ปลอบใจคะ (นักอ่าน : หลอกล่อตรูอีกแระ
)
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์และกำลังใจมากๆค่ะ เจอกันตอนหน้าจ้าาา