ซีรีย์หวานอมขม : ภาค ยอดสะเดา กับ ข้าวโพดต้มต้นที่ 10 ...ข้างบ้าน
ตามความเข้าใจของนายปลายฟ้า
ลูกคนกรุงเทพ 100 เปอร์เซ็นต์
มันน่าจะหมายถึงบ้านที่ปลูกอยู่ติดกัน
แต่สำหรับคนบนดอยแล้ว
ไอ้ข้างบ้านที่ว่า...
มันไม่ใช่อย่างที่คิดเลยสักนิด
บ้านไม้กึ่งปูนชั้นเดียววางตัวอยู่หน้าถนนดินสายเล็ก
ส่วนด้านหลังเป็นทุ่งกว้างสลับกับต้นไม้น้อยใหญ่พอให้ร่มรื้น
คือบริเวณที่น้องแก้มหยุดเดินพลางชี้นิ้วไปยังอีกทาง
“ถึงแล้วค่ะ นี่บ้านของหนูส่วนหลังนู้นของน้อง”
ปลายฟ้ามองตามมือเล็ก
ก่อนพบบ้านหลังน้อยปลูกอยู่บนเนินดินตรงหัวโค้ง
ซึ่งมีลักษณะคล้ายกันกับหลังแรกแต่อยู่ห่างไปอีกเกือบห้าสิบเมตร
...ห้าสิบเมตร
มันไม่น่าจะใช้คำเรียกว่า ‘ข้างกัน’
แต่ก็อย่างว่ามีพื้นที่บนดอยมากขนาดนี้
จะให้มาปลูกติด ๆ กันเหมือนคนในเมืองได้ยังไง
ปลายฟ้าที่มีบ้านอาศัยอยู่ในคอนโดสูงกลางกรุง
เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกอิจฉาบ้านที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติขึ้นมานิด ๆ
ถึงอย่างไรห้าสิบเมตรจากตรงนี้ก็ไม่ใช่ระยะทางที่ไกลมาก
เขาจึงหันไปส่งน้องแก้มเข้าบ้านพร้อมเอ่ยลา
“ขอบใจนะ อ่ะ...พี่ให้ขนมเป็นรางวัลด้วย
เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันใหม่นะครับน้องแก้ม บาย ๆ”
พูดจบพลางล้วงขนมสองสามชิ้นจากถุงผ้าที่ไอ้เกมส์ฝากมาให้
ยื่นส่งให้เด็กหญิงซึ่งยิ้มจนตาหยียกมือไหว้ขอบคุณ
ก่อนโบกมือลาให้พวกเขาเดินกลับไปตามทาง
....ตอนนี้จากสี่ก็เหลือกันเพียงสามคน
บรรยากาศที่เงียบอยู่แล้วกลับยิ่งเงียบงันเข้าไปอีก
ปลายฟ้ารู้สึกอึดอัดแปลก ๆ
ปกติถึงแม้เขาจะเป็นคนพูดน้อย
แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่พูดเลย
อยู่ในกลุ่มเขาก็เฮฮากันไปตามประสา
แต่กับไอ้คนที่ไม่สนิทแถมเอาแต่ดีหน้านิ่งแบบนี้
ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะทำตัวยังไง
โอกาสที่จะเทคแคร์บัดดี้อยู่ตรงหน้าแล้วแท้ ๆ
ถ้าอยู่ ๆ โพล่งออกไปว่าทำงานเหนื่อยมั้ย
หรือบอกให้นอนหลับฝันดีเหมือนที่ดิวเคยบอกเขาบ้าง
มันคงดูตลกไปหน่อย ขนาดแค่คิดยังรู้สึกขนลุกพิกล
โอยย...ทำไมแค่จะดูแลบัดดี้มันถึงยุ่งยากอย่างนี้วะ!
...มัวแต่หงุดหงิดกับความคิดสับสนของตัวเอง
รู้ตัวอีกดันเดินมาถึงหน้าบ้านบนเนินซะแล้ว
คมสันหันมองเหมือนจะให้เขาเป็นคนเรียก
เพราะตัวเองอุ้มน้องซึ่งยังคงหลับอยู่ไว้กับตัว
เขาพยักหน้ารับเข้าใจ
เดินไปใกล้รั้วบ้านหลังเล็กก่อนจะส่งเสียงทัก
“สวัสดีครับ พวกเราพาน้องกานดามาส่งครับ”
คำตอบที่ได้รับกลับมีเพียงความเงียบ
ปลายฟ้าขมวดคิ้วงง สงสัยคงจะเสียงเบาไป
“ขอโทษนะครับ มีใครอยู่บ้านบ้างมั้ยคร้าบ!!”
เขาเร่งเสียงให้ดังกว่าเดิม
มั่นใจว่าคราวนี้ยังไงก็ต้องได้ยินบ้าง
แต่หลังบานประตูใหญ่กลับยังคงเงียบเฉียบ
แถมสังเกตดี ๆ มันคล้องกุญแจบ้านไว้ด้วยนี่หว่า...
“สงสัยคงไม่มีใครอยู่
ยังไงลองกลับไปถามน้องคนนั้นใหม่ดีมั้ย?”
ท่านประธานค่ายคงสังเกตเห็นเหมือนกันเลยถามออกมาแบบนั้น
แต่ความจริงไม่ต้องถามก็ได้มั้ง เพราะพี่แกเล่นเดินนำไปแล้ว
...เป็นแบบนี้ทุกที
รีบตัดสินใจเอาเองเสร็จสรรพ
แล้วมันจะถามขึ้นมาทำไมซากอะไรวะ
แม่งเซ็งเว้ย!!
ทั้งสองจึงเดินกลับมาตามทางเงียบ ๆ
แต่เป็นครั้งที่เงียบกว่าเดิม
เพราะพ่วงมาด้วยอารมณ์กึ่ง ๆ ไม่พอใจของนายปลายฟ้า
กระทั่งถึงหน้าบ้านของเด็กหญิงแก้ม
พวกเขาเดินเลยเข้ามาในรั้วก่อนหนุ่มเภสัชจะเป็นฝ่ายเอ่ยคำเรียก
“ขอโทษนะครับ ขอรบกวนหน่อยครับ”
หญิงชราวัยเกือบหกสิบนุ่งผ้าถุงท่าทางใจดีเดินออกมาจากในบ้าน
สงสัยคงเป็นคุณยายของน้องแก้มซึ่งถามแขกผู้มาเยือนอย่างแปลกใจ
“อ้าว...มีอะไรกันเหรอจ๊ะพ่อหนุ่ม”
“สวัสดีครับคุณยาย”
“ไหว้พระเถอะจ๊ะ
เอ๊ะ...ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลยนี่
เป็นลูกเป็นหลานบ้านใครกันล่ะ”
“พวกผมเป็นนักศึกษามาออกค่ายที่โรงเรียนน่ะครับ
แล้วที่มานี้ก็ว่าจะมาขอรบกวนถามคุณยาย
เออ...คุณยายพอจะทราบมั้ยครับว่าเจ้าของบ้านข้าง ๆ เขาไปไหน
พอดีผมจะพาน้องกานดามาส่ง แต่ไม่มีใครอยู่เลย”
“อ้อ พ่อสะอาดน่ะเหรอ
แกลงไปขายข้าวโพดในเมืองตั้งแต่สาย ๆ แล้ว
กว่าจะกลับขึ้นมาก็คงตะวันตกดินโน้นแหละ”
ความจริงที่ได้ยินทำให้คนฟังถึงกับนิ่งอึ้ง
...ดะ...เดี๋ยวก่อนตะวันตกดิน
มันตั้งอีกเกือบชั่วโมงไม่ใช่เหรอ
แล้วจะทำยังไงกันล่ะที่นี่
จะไปยืนรออยู่หน้าบ้านน้องคงได้เมื่อยตายพอดี
หรือจะให้น้องกลับไปรอที่ค่ายเดี๋ยวก็เสียเวลา
เผลอ ๆ ไปพักได้ครึ่งชั่วโมงก็ต้องเดินกลับมาส่งใหม่
อีกอย่างถ้าพ่อแม่น้องกลับมาไม่เห็นลูกจะแย่
เอาไงดีวะ...
“งั้นถ้าผมรบกวนฝากน้องไว้กับคุณยาย
จนกว่าพ่อแม่เขาจะกลับมาได้มั้ยครับ”
เป็นเสียงของคนที่มาด้วยกันเอ่ยเสนอขึ้นมาแทน
ขัดจังความคิดอันสับสนของนายปลายฟ้า
มิหนำซ้ำคู่สนทนายังตอบกลับมาง่าย ๆ
“ได้สิ น้อยมันเอามาฝากไว้ประจำ”
“ขอบคุณมากครับ”
ดวงตากลมมองร่างสูงแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าอย่างเรียบร้อยรวดเร็วจนแทบตามไม่ทัน
พลางเดินนำเข้าบ้านไป โดยมีเขาเดินตามอย่างมึน ๆ
คุณยายหยิบเสื่อกับหมอนมาวางปูลงบนพื้นเตรียมที่ให้น้องนอน
เขาเห็นมือแกร่งค่อย ๆ ประคองร่างที่อยู่บนไหล่ซึ่งหลับสนิทให้เอนหลังลง
ทว่ายังไม่ทันที่หัวจะถึงหมอน ดวงตากลมกลับหรี่ปรือขึ้นมา
เด็กหญิงกานดากระพริบตางง ๆ
มองคนที่กำลังอุ้มตนด้วยความไม่คุ้นเคย
แล้วทำท่าจะเบะปากร้องไห้
แต่พอเหลือบไปเห็นปลายฟ้าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
เด็กน้อยกลับสะบัดตัวแล้ววิ่งลงมาโผกอดซุกหน้าลงเหมือนคนกำลังกลัว
โดยไม่ยอมปล่อยมือออกจากเสื้อยืดของเขา
...เออ น้องครับพี่เข้าใจว่ากลัวไอ้หน้าโหด
แต่มากอดพี่ไว้แบบนี้แล้วพี่จะกลับค่ายยังไงกันล่ะครับ!
ปลายฟ้าถอนใจ แล้วจึงย่อตัวลงไปลูบหัวเด็กน้อย
พยายามพูดโน้มน้าวใช้เหตุผลคุยเพื่อเข้าใจ
“น้องกานดาครับ ปล่อยพี่ก่อนนะ
อยู่กับคุณยายรอจนกว่าคุณพ่อคุณแม่จะมา
เดี๋ยวพวกพี่ต้องกลับไปค่ายแล้ว”
แต่เด็กอายุแค่ห้าขวบคงไม่อาจทำความเข้าใจในเหตุผลแบบนี้
ซ้ำยังทำท่าจะร้องไห้หนักกว่าเก่าเมื่อปลายฟ้าพยายามจะดึงมือเล็กออก
ทว่ายิ่งดึงกลับยิ่งเกาะเหนียวแน่นเหมือนเป็นลูกลิง
จนคุณยายที่มองอยู่นานอดไม่ได้ที่จะพูดทัก
“สงสัยเด็กมันคงจะติดใจ หายากนะ...
ปกติเจ้าคนนี้เจอใครแปลกหน้าหน่อยก็ร้องไห้งอแงแล้ว
ถ้างั้นไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว
พวกพ่อหนุ่มฝากดูด้วยเลยแล้วกัน
เดี๋ยวยายต้องไปทำข้าวเย็นก่อน
วันนี้ได้ผักมาเยอะ ว่าจะมาต้มจิ้มน้ำพริกเสียหน่อย
เออแหนะ... พอดีเลย...
กินด้วยกันมั้ยล่ะ น้ำพริกยายอร่อยนะ”
จากคุยเรื่องนู้น อยู่ ๆ กลับเปลี่ยนเข้าอีกเรื่องหน้าตาเฉย
จนปลายฟ้าตั้งรับไม่ทัน ได้แต่พูดตะกุกตะกักตอบ
“เออ...แต่ว่าพวกผม...”
“โอยยย...เชื่อสิ อร่อยจริง ๆ
นี่อย่าหาว่ายายคุยเลยนะ
ตำไปงานบุญทีไรไม่เคยเหลือกลับมา
แหม...มันหมดเกลี้ยงหม้อทุกครั้ง
พวกพ่อหนุ่มเล่นกับน้องรอไปก่อน
พักเดียวแหละเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว
แก้มเอยย... แก้ม... มาช่วยยายทำกับข้าวหน่อย”
จะปฏิเสธก็ไม่ทันแล้ว
เพราะคุณยายเดินตรงเข้าครัวด้านหลังบ้าน
โดยมีน้องแก้มตามไปเป็นลูกมือติด ๆ
ทิ้งปลายฟ้าให้ยืนลำดับเหตุการณ์ในหัวอย่างงง ๆ
เฮ้ย...ไหงกลายเป็นเงี้ย
แค่มาส่งน้องแต่กลับได้มานั่งกินข้าวบ้านคนอื่นซะงั้น
มันอะไรกันวะเนี่ย!!
อ้าว...แล้วไอ้ประธานนี่ก็อีกคน
ทีอย่างนี้มึงดันเงียบทำไมวะ
ไม่ช่วยห้ามกันบ้างล่ะเว้ยย!!
ปลายฟ้าเขม่นมองคนที่เริ่มทำตัวตามสบาย
เอนนั่งลงกับพื้นทำตามคำสั่งเจ้าของบ้าน
แบบไม่คิดว่าตัวเองต้องมีหน้าที่กลับไปคุมค่ายเลยสักนิด
ทว่าขณะที่กำลังคิดอย่างหงุดหงิดเขากลับรับรู้ถึงแรงสะกิด
จากเด็กหญิงกานดาซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนพูดคำสั้น ๆ ให้ได้ยินเพียงหนึ่งคำ
“หิว”
คนฟังชะงักกึกมองดวงตากลมโตใสแจ๋วที่จ้องกลับมาเหมือนรอคอย
จนเขาต้องรีบปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทัน
“หิวเหรอ เดี๋ยวแป๊บนะ”
...หน้าที่เลี้ยงเด็ก ก็ยังคงเป็็นเช่นนั้นอยู่วันยังค่ำ
เขาเร่งคว้านหาของที่อยู่ในถุงผ้า
เสบียงจากไอ้เกมส์ที่ฝากมาใช้ประโยชน์ได้ก็ตอนนี้
เออ...แล้วมีของอะไรให้อยู่ท้องบ้างวะ
มีแต่พวกขนมกรอบ ๆ
เดี๋ยวเผลอ ๆ น้องต้องกินข้าวแล้วอิ่มก่อนพอดี
หรือจะให้น้องดื่มนมไปก่อน
นี่ไง...มีนมกล่องเล็ก ๆสองกล่องพอดี
รสจืด กับ นมเปรี้ยว
อ้าว...แล้วจะให้ดื่มอะไรอ่ะ
รสจืดน้องเขาจะกินมั้ย
มันไม่ค่อยอร่อยนะ
ขนาดเขายังไม่ชอบเลย
หรือจะให้ดื่มนมเปรี้ยวดี
แล้วเด็กอายุแค่นี้ดื่มนมเปรี้ยวเป็นอะไรมั้ย
ดื่มตอนท้องว่าง ๆ มันจะอืดรึเปล่า
ถ้างั้น...
อ้าวเฮ้ย...!!
ปลายฟ้าอุทานในใจ
เมื่ออยู่ ๆ กลับมีมือปริศนาดึงกล่องนมเปรี้ยวไปจากมือ
พร้อมกับแกะหลอดจิ้มเจาะรูพร้อมยื่นให้น้องที่มองมาด้วยความลังเล
แต่คงเพราะความหิวเด็กหญิงกานดาจึงรับไปดูดกินอย่างไม่มีปัญหา
ทว่าคนที่มีปัญหากลับเป็นคนที่ชักช้า
ซึ่งโดนร่างสูงขมวดคิ้วถามเชิงบ่นขึ้นเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจ
“หยิบมาแล้วทำไมไม่ให้น้องไปล่ะ”
...อีกแล้ว
ทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้
ต้องโดนแย้งไปทำอยู่เรื่อย
ทั้ง ๆ ที่ยังเขาไม่ต้องการสักนิด
ปลายฟ้าก้มหน้ามองพื้น
พยายามข่มความไม่พอใจของตัวเองเอาไว้
ก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบ
“...ก็กำลังตัดสินใจอยู่”
“หืม ตัดสินใจอะไร
ไม่ใช้เวลานานเกินไปหน่อยเหรอ
แบบนี้จะทันคนอื่นเข้ามั้ย”
คำถามที่ตามมาติด ๆ ไม่ได้ช่วยให้เบาลง
ซ้ำยังเหมือนเป็นตัวจี้กระตุ้นอารมณ์โมโหให้พุ่งสูง
“ทันไม่ทันก็เรื่องของเรา
นายไม่ต้องเข้ามายุ่งหรอก”
น้ำเสียงและคำพูดแฝงความไม่พอใจจนรู้สึกได้
คมสันชะงักคล้ายจับทิศทางของอีกฝ่ายถูก
ก่อนถอนใจ บอกเจตนาของตัวเองสั้น ๆ
“เราแค่หวังดีอยากจะช่วย”
...คำพูดเพียงคำเดียว
....ไร้ประโยชน์ใด ๆ หากต่างความหมายอย่างสิ้นเชิงในคนละมุมมอง
ปลายฟ้าเงยหน้าขึ้นมาทันควัน
ดวงตากลมไม่ได้หลบไปทางอื่นแต่จ้องไปยังใบหน้าคมโดยตรง
พร้อม ๆ กับที่ความในใจพรั่งพรูทะลักทลายจากความอดทนที่สิ้นสุดลง
“แล้วนายคิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำให้คนอื่นเขาต้องการเหรอ
ถ้าเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือจากนาย
แต่นายดันทำไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ถามเขา
แบบนี้มันไม่เรียกว่าหวังดีหรอก แต่เรียกว่าสะ...!!”
ประโยคถูกหยุดไว้แค่นั้นก่อนเจ้าตัวจะเผลอพลั้งปากพูด
ด้วยรู้ดีว่าขืนบอกไปคงได้โดยเชือดคอแน่
หากแต่คมสันกลับถามขึ้นซ้ำ
“เรียกว่าอะไร”
“ช่างมันเถอะ”
ปลายฟ้าตัดบทสั้น ๆ
หันไปนั่งเล่นกับน้องกานดาแทน
เหมือนตั้งใจปิดประเด็น
ทว่าคู่สนทนากลับไม่ยอมแพ้
คว้าไหล่ของอีกฝ่ายอย่างแรงให้หันมาเผชิญหน้า
“บอกมา... ปลายฟ้า
ถ้าไม่เรียกว่าหวังดีแล้วมันเรียกว่าอะไร...”
น้ำเสียงเรียบเริ่มเปลี่ยนเป็นคาดคั้น
พร้อมกับมือที่บีบไหล่แน่น
จนคนที่อยากจะอยู่เฉยต้องเป็นฝ่ายร้องโวยวายดังลั่น
“โอยย!! ปล่อยดิ เจ็บนะโว้ยยย!!”
แม้พยายามดิ้นให้หลุดอย่างไรก็ไม่เป็นผล
น้องกานดาที่มองเหตุการณ์วุ่นวายตรงหน้า
หยุดดื่มนมแล้วเริ่มเบะปากร้องไห้ด้วยความตกใจกับเสียงดัง
ทว่ามือแกร่งกลับยังคงไม่ปล่อย
ดวงตาคมยังจ้องดุเหมือนรอคอย
จนเขาเป็นฝ่ายทนไม่ไหว
ต้องพูดโพล่งคำตอบขึ้นมาอย่างหมดความอดทน
“เออ ๆ บอกก็ได้
เขาเรียกว่า ‘เสือก!!’ ไง
...พอใจรึยัง!!”
...ชัดเจน
รู้ทั้งรู้ว่าคำที่พูดไปคือคำด่าเต็ม ๆ
ทว่านาทีนี้จะโดนอัดก็ไม่สนแล้ว
ปลายฟ้าสะบัดตัวให้หลุดจากการเกาะกุมที่คล้ายจะอ่อนแรงลง
ก่อนหันไปปลอบเด็กหญิงตัวน้อยที่ยังคงขวัญหนีจากการทะเลาะกันที่เพิ่งเกิดขึ้น
“โอ๋ ๆ ไม่ร้องนะครับ
ตกใจเหรอ พี่เสียงดังใช่มั้ย
นี่ไง... มีลูกอมด้วยนะ
หยุดร้องก่อนแล้วเดี๋ยวพี่จะให้กินลูกอมนะคนเก่ง”
เขาพยายามเอาขนมขึ้นมาล่อซึ่งก็ได้ผล
เพราะน้องกานดาเริ่มหยุดสะอื้นเช็ดน้ำตาปอย ๆ
แล้วหันมาให้ความสนใจกับลูกอมหลายสีที่อยู่ในมือของเขาแทน
ปลายฟ้าปล่อยให้เด็กหญิงตัวน้อยเลือกขนมอยู่แบบนั้น
ก่อนจะได้ยินเสียงพึมพำเบา ๆ เอ่ยขึ้นถามกลางเงียบ ๆ
“....ขอโทษ”
ดวงตากลมหันมองคนพูด
ซึ่งอีกฝ่ายคล้ายจะมองอยู่ก่อนแล้ว
พร้อมกับเอ่ยประโยคต่อที่เหลือ
“ไม่รู้ว่าที่เข้าไปช่วยจะทำให้รำคาญ”
ปลายฟ้านิ่งไปอึดใจ
รู้ตัวเหมือนกันว่าเป็นคนทำให้เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นมันเลวร้ายมากแค่ไหน
เขาจึงเป็นพูดออกไปเช่นเดียวกันบ้าง
“เราต่างหากที่ขอโทษที่เมื่อกี๊พูดแรงไป
มันไม่ใช่ความผิดของนายหรอก”
...ความเงียบโรยตัวลงมาอีกครั้ง
แม้จะยอมให้อภัยกันทว่าบรรยากาศยังไม่คลายความอึดอัด
ก็คนเพิ่งจะทะเลาะให้เข้าหน้ากันติดคงจะยาก
ปลายฟ้าเริ่มลำบากใจกับสถานการณ์ที่แย่ลง
หันไปให้ความสนใจน้องกานดาเหมือนเดิม
หากแต่ใครบางคนกลับเริ่มต้นเป็นฝ่ายพูดมาลอย ๆ
“รู้มั้ยว่าเราเป็นพี่ชายคนโต
พ่อแม่เรามีลูกห้าคน ที่เหลือเป็นผู้หญิงหมด
มีแฝดคู่หนึ่ง ส่วนน้องคนสุดท้องเพิ่งจะเข้าประถม”
บทสนทนาที่ได้ยินทำให้คนอึดอัดต้องนิ่งฟัง
เหลือบมองร่างสูงที่นั่งเหยียดขาสบาย ๆ
ดวงตาคมทอดมองไปนอกบ้านซึ่งฟ้าเริ่มอ่อนแสงลง
“ตอนเราอยู่ม.ต้น บริษัทพ่อเราล้มพอดี
แม่ต้องออกไปทำงานหาเงินเพิ่มอีกแรง
เลยปล่อยให้เราช่วยเลี้ยงน้อง ๆ อยู่กับบ้าน
ตอนแรกมันก็ยากอยู่หรอก เราทำอะไรไม่ค่อยถูก
แต่พอเราต้องหัดดูแลใครสักคนอย่างจริงจัง
มันเลยทำให้เรารู้สึกโตขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น”
เราภูมิใจกับตัวเองที่เป็นแบบนั้น ดีใจที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น
ไม่รู้สิ....มันอาจไม่เกี่ยวกันก็ได้
แต่พอเห็นใครเดือดร้อน
เราเลยอยากจะเข้าไปช่วยเขาเท่าที่เราพอทำได้
...ก็แค่นั้น”
...เรื่องเล่ามากมายที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน
ปลายฟ้ากลับนั่งนิ่งตั้งใจฟังพิจารณาทุกคำพูด
...รู้สึกดีที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น
ก็เลยชอบช่วยคนอื่นงั้นเหรอ
ถึงจะเป็นตรรกะแปลก ๆ ไปสักหน่อย
แต่มันคงเป็นเหตุผลหนึ่ง
ที่ทำให้ไอ้หน้าโหดเป็นคนแบบนี้
...และมันอาจเป็นเหตุผลที่ไม่ต่างอะไรไปจากเขา
“เห็นรอยแผลเป็นนี่ป่ะ...”
ปลายฟ้าพูดขึ้นมาบ้างพลางเปิดผมที่ปรกหน้า
ดวงตาคมพยายามมองหารอยเล็ก ๆ ที่ปรากฏบนหน้าผากด้านขวา
แม้รอยจะจางลงกลืนไปสีผิวขาวของเจ้าตัว
แต่ก็ยังเห็นได้อยู่ว่ารอยนั้นกรีดยาวขวางเกือบนิ้วหนึ่ง
แค่มองก็พอจะเดาได้ว่าแผลที่เกิดคงร้ายแรงไม่น้อย
และจริงดังคาดเมื่อคนถามเฉลยคำพูดออกมาให้ได้ตะลึง
“มันเป็นแผลตอนเราโดนรถชน
แล้วหัวไปโขกกับพื้นแรงจนเราน็อค”
ปลายฟ้าลดมือลง
ปล่อยให้ผมปรกหน้าผากปิดรอยแผลเหมือนเดิม
ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องถึงสาเหตุ
“ตอนนั้นเพิ่งขึ้นม.4 เปิดเทอมได้สองวัน
มีรถกระบะหักรถมอเตอร์ไซต์
แล้วเบียดมาชนเราที่จะข้ามถนนไปโรงเรียนพอดี
หัวเรากระแทกกับพื้นถนนแรงมาก
นอนสลบไปสองอาทิตย์ได้มั้ง
ช่วงนั้นเราจำอะไรไม่ได้หรอก
แต่ที่จำได้คือตอนตื่นมาเห็นแม่ร้องไห้อยู่ข้างเตียง
แม่บอกว่ากลัวเราจะไม่ฟื้นอีก
เราเป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่น้อง
เขาเลยกลัวจะเสียเราไป
ตั้งแต่นั้นเราเลยคิดว่าเราจะไม่ทำให้แม่ร้องไห้อีก
เวลาจะทำอะไรเราต้องคิดให้ดีก่อน ไม่อยากให้แม่กังวล
อีกอย่างคนมันเคยเฉียดตายมาแล้ว ก็เลยอยากใช้ทุกวินาทีให้คุ้ม
ครั้งนั้นเราโชคดีที่สมองไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรมาก
แต่ไม่รู้ว่าต่อไปเราโชคดีแบบนั้นอีกรึเปล่า
เวลาจะทำอะไรเราเลยต้องเลือกทำในสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุด
ต่อไปจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง
เออ....ไม่รู้เหมือนกันนะ
มันอาจจะไม่เกี่ยวกับนิสัยทำอะไรชักช้าของเราเหมือนอย่างนายก็ได้
แต่แค่อยากเล่าให้ฟังบ้างเฉย ๆ”
ปลายฟ้าพูดตะกุกตะกักลูบต้นคอแก้เก้อ
หน้าเนียนเริ่มร้อนขึ้นมาดื้อ ๆ
เพิ่งจะมารู้ตัวว่าเผลอคุยซะยาวเลย
...ความจริงมันเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อนแม้แต่กับเพื่อนในกลุ่ม
ทุกคนคิดว่าเขาชักช้าเพราะเป็นนิสัยเดิม
แม้ว่าตัวเขาเองชอบทำอะไรให้ถี่ถ้วนอยู่แล้ว
แต่เหตุการณ์ที่มันเกิดเหมือนกับจะยิ่งทำให้อาการเขาหนักขึ้น
จนกระทั้งมันกลายเป็นสิ่งที่ยากจะแก้
คล้ายเป็นปมในใจ ที่เขาไม่อาจลืม
“งั้นสรุปว่าที่ชอบทำอะไรช้า
เพราะมัวเลือกอยู่เหรอ”
คมสันถามย้ำเหมือนต้องการความแน่ใจ
ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับ
“ก็เออสิ... พอนายตัดหน้ามาช่วยเลือกแทน
มันเลยเหมือนนาย...เออ....คือ...”
“เสือก”
“เฮ้ย! พูดเองนะ”
อยู่ ๆ อีกคนก็ต่อประโยคแทน
จนปลายฟ้าต้องรีบแก้ตัวเหมือนกลัวว่าจะโดนโกรธ
แต่ร่างสูงกลับหัวเราะออกมาอย่างไม่ติดใจเอาความแถมยังแกล้งแหย่กลับ
“รู้แล้ว เห็นไม่กล้าพูดเลยช่วยพูดให้”
คำแซวทำให้ปลายฟ้าเบ้หน้า
ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มบาง ๆ
น่าแปลก...
ที่เหมือนบรรยากาศอึดอัดเมื่อครู่จะคลี่คลายลง
มันคงจริงดังว่า...
คนเราพอหยุดทะเลาะเลิกใช้อารมณ์
แล้วต่างฝ่ายต่างหันมารับฟังเหตุผลตรง ๆ
มันอาจจะช่วยทำให้เราเข้าใจเรื่องทุกอย่างกันมากขึ้น
...ยังไม่ทันที่บทสนทนาจะดำเนินต่อ
เสียงยายจากด้านหลังบ้านก็เรียกให้ไปกินน้ำพริกเสียก่อน
วงข้าวเล็ก ๆ จึงเริ่มต้นขึ้นอย่างง่าย ๆ มีไข่เจียว แกงจืด ผักต้ม
และที่เด็ดสุดคือน้ำพริกมะขามฝีมือคุณยายที่เพิ่งไปเก็บมาสด ๆ จากต้น
โดยมีเรื่องเล่าจากคุณยายแกล้มไประหว่างมื้อ
ปลายฟ้าจึงได้รู้ว่าน้องแก้มอยู่กับยายสองคน
ส่วนพ่อแม่ไปทำงานในกรุงเทพส่งเงินมาให้ใช้ทุกเดือน
โชคดีที่น้องแก้มเรียนเก่งจึงได้ทุนเรียน
ความเป็นอยู่เลยไม่ขัดสนมากเท่าไร
...ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกเกรงใจ
แต่พอน้ำพริกเข้าปากดันลืมหมด
กินกันเสียจนเกลี้ยง
แม้จะไม่อิ่มท้องเต็มที่เพราะเดี๋ยวต้องกลับไปจัดการที่ค่ายต่ออีก
ทว่าแค่นี้ก็พอแล้วที่จะทำให้แม่ครัวใหญ่ปลื้มยิ้มจนหน้าบาน
...ความสุขระหว่างเจ้าของบ้านกับผู้มาเยือน
คือการแบ่งปันน้ำใจเล็ก ๆ น้อยๆ ให้กันและกันแบบนี้นี่เอง
พอจบมื้ออาหาร ดวงตะวันใกล้ตกดิน
ทุกคนจึงได้ยินเสียงรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่แล่นมาจอดหน้าบ้าน
ซึ่งคนขับไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพ่อแม่ของเด็กหญิงกานดา
ที่คล้ายกับจะรู้อยู่แล้วว่าน้องอยู่ที่นี่ดังที่คุณยายเคยบอกไว้ว่า
คุณแม่ของน้องวานมาฝากยายเลี้ยงบ่อย ๆ
แต่ครั้งนี้มีนักศึกษาค่ายสองคนมาช่วยเลี้ยงด้วย
“ขอบคุณนะจ๊ะ ลำบากแย่เลย น้องไม่ดื้อใช่มั้ย”
หญิงสาววัยยี่สิบปลาย ๆ ดวงตาคู่สวยไม่ผิดไปจากน้องกานดา
เอ่ยขอบคุณพลางอุ้มน้องที่หลับไปอีกรอบจากมือปลายฟ้า
“ไม่เลยครับ พวกผมเล่นกับน้องสนุกมาก
ยังไงวันอาทิตย์นี้ถ้าพอมีเวลา
เรียนเชิญมาร่วมงานเปิดห้องสมุดใหม่ที่โรงเรียนด้วยนะครับ”
เขาถือโอกาสโฆษณางานค่ายไปด้วยในตัว
โดยมีคมสันพูดถึงรายละเอียดของค่ายอีกนิดหน่อยสมตำแหน่งประธาน
พอทั้งคู่รับปากว่าจะไป พวกเขาจึงเอ่ยขอตัวรีบเดินกลับก่อนฟ้าจะมืด
....ภารกิจในการส่งน้องจึงเป็นอันจบสิ้น
ปลายฟ้าถอนหายใจอย่างโล่งอก
เดินกลับมาตามถนนเดินดินเล็ก ๆ สายเก่า
ท้องฟ้าทอแสงสีส้มจาง ๆ ขณะพระอาทิตย์กำลังใกล้ตกดิน
ย้อมทุ่งกว้างและต้นไม้น้อยใหญ่ให้เป็นสีทองสวย
เขาสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็ม ๆ ปอด
บรรยากาศมันดีจนนึกอยากจะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นความประทับใจ
....ที่สำคัญคือมันไม่ได้อึดอัดเหมือนตอนขามา
....ทั้ง ๆ ที่คนเดินข้าง ๆ ก็เป็นคนคนเดียวกัน
“ปลาย”
“หืม”
“วันหลังถ้าอยากให้ช่วยก็บอกมานะ
เดี๋ยวแยกไม่ถูก กลัวหาว่าไปเสือกอีก”
คำพูดที่ได้ยินทำให้เจ้าของชื่อต้องหันมอง
บรรยากาศกำลังดี ๆ มันชอบทำให้เสียฤกษ์อีกแล้ว
แต่คราวนี้เขาไม่ได้โกรธเท่าเดิม
ความรู้สึกมันคล้ายกับจะแซวเล่นมากกว่า
“โห ได้ทีพูดใหญ่เลยนะ
นี่ตั้งใจประชดใช่มั้ย”
ทว่าอีกฝ่ายกลับถือเป็นจริงเป็นจัง
รีบส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนหยุดเดินลงกลางคัน
“ไม่ใช่ เราพูดจริง ๆ
แล้วตกลงที่เราเดินมาส่งน้องด้วย
เรากำลังเสือกอยู่รึเปล่า”
น้ำเสียงที่บ่งบอกว่าต้องการคำตอบ
ทำให้ปลายฟ้าต้องหยุดเดินลงบ้าง
เขาคิดทบทวนข้อความที่ได้ยิน
...ยอมรับว่าตอนแรกหงุดหงิดรำคาญ
ไม่เข้าใจว่ามันจะเดินตามมาส่งน้องกับเขาทำไม
ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไปเองคนเดียวได้
แต่พอมาเดินคุยกันแบบนี้
ได้รู้เรื่องบางอย่างที่ไม่เคยมองในอีกมุม
...มันกลับเปลี่ยนความคิดเขาไป
...ไม่หรอก
มันไม่ได้เสือก
แต่ว่า...
“...นายช่วยเรา
นายทำให้เราสบายใจขึ้น”
...ขอบใจนะ”
ปลายฟ้าหันไปยิ้มกว้างให้แทนคำขอบคุณ
....ไม่รู้อะไรที่เปลี่ยนแปลงความรู้สึกเขา
แต่ตอนนี้เขาคิดว่าไอ้หน้าโหดมันไม่ได้โหดเหมือนเคย
และบางทีเขาอาจจะเป็นเพื่อนกับมันก็ได้
...พอนึกได้แบบนี้อยู่ ๆ ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา
ถ้าไม่ได้มาด้วยกันเขาคงจะไม่รู้ถึงเหตุผล
และอาจจะคติกับมันไปตลอด
อย่างที่เคยรู้สึกกับพวกวิศวะที่ไอ้เกมส์เคยเล่าให้ฟัง
เออ...พูดถึงไอ้เกมส์เหมือนลืมอะไรไปอย่าง
เฮ้ย!! ฉิบหาย!
ตังค์สองร้อยที่พนันไว้กับไอ้เกมส์
ตายห่ากี่โมงแล้วเนี่ย
จากสิบห้านาทีพ่อล่อไปสองชั่วโมงครึ่ง
โอยย....หมดสิ้นแล้วกู!!
ปลายฟ้ากุมขมับความสบายใจตอนแรกเริ่มหายวับไปกับตา
คนที่เสียพนันรีบเดินนำหน้าไปอย่างหมดอาลัย
โดยไม่รู้เลยว่าคนที่มองอยู่ข้างหลัง
ยังคงติดอยู่กับความทรงจำในสิ่งที่เพิ่งผ่านมา
คมสันมองเงาของอีกคนที่เดินทาบไปกับพื้นถนน
...ปลายฟ้ารู้มั้ยว่าทำให้เขาสบายใจเหมือนกัน
ตอนแรกยอมรับว่าตกใจที่โดนปลายฟ้าว่าเอาอย่างนั้น
แต่พอคิดดูดี ๆ มันอาจจะเป็นจริงก็ได้
ที่ผ่านมาปลายฟ้าอาจอึดอัดกับการกระทำของเขา
พอรู้ว่าหายโกรธแล้วเลยค่อยโล่งใจ
แถมที่สำคัญยังมายิ้มให้กันแบบนี้....
“ปลายช่วยอะไรเราหน่อยได้มั้ย”
เสียงเรียกทักทำให้คนเดินนำสะดุดลง
หันกลับมามองอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
...คนอย่างไอ้หน้าโหดเนี่ยนะ
ไหนบอกว่าชอบช่วยคนอื่นไง
แล้วมันจะให้เขาช่วยอะไรได้วะ
ปลายฟ้าขมวดคิ้วงงรอฟังคำขอจากปากคนจิตอาสาเป็นครั้งแรก
...และเป็นคำขอที่คนฟังถึงกับอึ้ง
“ปลายช่วยยิ้มบ่อย ๆ หน่อย
...ปลายยิ้มน่ารักดี
เราชอบ...
...ปลายช่วยยิ้มให้เราเห็นบ่อย ๆ ทีนะ”
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
TBC
แวะมาทักทาย 
ตอนนี้จัดมาให้แบบยาว ๆ กลัวไม่จุใจ
ในที่สุดมันก็มีพัฒนาการบ้างแล้วหลังจากโดนเชื้อเชื่องช้าจากพ่อเต่าปลายไป (ฮา) 
ไอ้บุคลิกแบบพี่คมมันไม่ค่อยหวานหรอก
แต่อย่าเผลอปล่อยให้พี่เขาได้จังหวะล่ะกัน
มีจุกกันบ้างล่ะ ไอ้ปลายฟ้าเอย
ต่อจากนี้ความสัมพันธ์ของสองคนจะเป็นยังไง
จะคืบหน้าเร่งสปีดไปได้ไกลแค่ไหน
ยังไงก็ต้องขอฝากช่วยลุ้้นติดตามให้กำลังใจพ่อเต่าน้อยกันต่อไป 
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนบ่อย อย่าลืมดูแลสุขภาพนะจ๊ะ
ขอบคุณค่า

แล้วเจอกันนะBitterSweet