สวัสดีครับ คนแต่งขอพลิกลิ้นเพราะจบไม่ลงจริงๆ เลยต้องขอเพิ่มอีกตอน
นับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ลงมือเขียนจริงก็ไม่รู้ว่าจะยืดยาวได้ขนาดนี้ งอกมาอีกตอนคงไม่เป็นไรเนอะ
สำหรับตอนที่ 39 ข่าวดีก็คือแต่นแต๊นนน... ถูกหามส่งโรงพยาบาลซะที 555555
ตอนนี้มีเนื้อหาอะไรเกิดขึ้นมากมาย และเป็นตอนที่ตัวหนังสือแน่นมาก ลองอ่านดูนะครับ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 39เราทั้งสองคนจะรอดร่างกายเหลวช้ำเหมือนกับผลไม้สุกที่ร่วงจากต้นกระทบพื้น หลังจากการร่วมรักอย่างเผ็ดร้อนนับครั้งไม่ถ้วนราวกับจะไม่มีพรุ่งนี้ ทั้งทิมและผมก็เหมือนกับคนที่เจียนจะขาดใจตาย ทิมบอกรักเป็นสิบหนจนร้อนวาบไปหมดทั้งตัว ความเจ็บปวดถูกกลืนหายไปกับร่างกายที่แทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน หลังจากนั้น ก็เหมือนกับคนหมดแรงที่ใกล้สิ้นลมหายใจ ใครจะรู้บ้างว่านาทีข้างหน้าจะเป็นแบบไหน จะมีวันพรุ่งนี้อีกหรือเปล่า ผมกับทิม...เรามีแค่วันนี้ แค่ตอนนี้เรายิ้มให้กัน หัวเราะให้กัน มีความสุขเล็กๆ น้อยๆ ไปกับเรื่องงี่เง่าชวนหัว สำหรับผมมันก็เพียงพอแล้ว
แต่วันเวลามันช่างยาวนานเหลือเกินสองวัน สามวัน อาจจะสองสัปดาห์ หรืออาจจะแค่สองชั่วโมงหลังจากนั้น เราพูดกันน้อยลงและใช้เพียงสายตาสื่อความรู้สึกและถ้อยคำมากมายถึงกัน ทิมโน้มตัวมาหอมที่ขมับของผมหลายครั้ง ยิ้มให้แล้วบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่าอดทนอีกนิด ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี ผมไม่ได้เป็นคนช่างฝันอีกต่อไปแล้วแต่ผมเชื่อมั่นในคำพูดนั้น มีอะไรบางอย่างที่มากกว่าตาคมที่ไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใด บางทีอาจจะเป็นหัวใจที่ไม่เคยยอมแพ้ของทิมที่ทำให้เขาเชื่อแบบนั้น
ความหิวมันช่างน่ากลัว น้ำประปาที่ดื่มเข้าไปหลายลิตรดูจะไม่ช่วยให้ฤทธิ์ของน้ำย่อยในกระเพาะเจือจางไปสักเท่าไร คะน้าปวดแสบไปทั้งลำไส้ ทรมานกับความรู้สึกโหยหาอาหารอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หากแต่เมื่อมองดูชายหนุ่มที่นอนอยู่ข้างกายแล้ว ความเจ็บปวดของเขาที่มีดูจะเพียงน้อยนิดจนไม่อาจเทียบได้
มือซ้ายของทิมยังคงบีบแน่นที่ฝ่ามือของคะน้า และเขาเองก็จะไม่ปล่อยมือที่อบอุ่นนี้เช่นกัน คะน้าออกแรงที่ฝ่ามือขวาของตัวเอง ส่งต่อความรู้สึกของการมีชีวิตอยู่ต่อให้กับคนข้างๆ กาย ทิมเจ็บปวดจากพิษไข้และบาดแผลที่ระบม ผิวกายรอบๆ เป็นดวงสีม่วงและเปล่งปูด ใต้ผ้าพันแผลสีขาวที่มีหยดเลือดแห้งกรังเริ่มเป็นหนองช้ำ ข้อมือขวาของทิมบวมจนน่ากลัว เนื้อนิ่มพวกนั้นขยายตัวจนกดแล้วไม่มีความรู้สึกใดๆ อีก
อดทนอีกนิดนะทิม ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี นายก็เชื่อแบบนั้นไม่ใช่หรือทิมนิ่งขึ้น หลับนานขึ้น และขยับเขยื้อนน้อยลง ร่างกายที่หอบนั้นร้อนเป็นไฟ แต่กระนั้นก็ไม่มีสักครั้งที่คนๆ นี้จะแสดงความอ่อนแอออกมา ในเวลาที่มีสติ ทิมไม่เคยบ่นไม่เคยร้อง หากแต่บ่อยครั้งที่หลับใหล อาการเพ้อด้วยพิษไข้และบาดแผลนั้นไม่สามารถแอบซ่อนได้เช่นเวลาปกติ หลายครั้งที่ทิมบิดร้าวไปมาแล้วครางเหมือนฝันร้าย หากแต่พอตื่นขึ้น เจ้าตัวก็เพียงแต่ส่งยิ้มมาให้เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คะน้าพบว่าดวงตาสีเข้มนั้นจะเปล่งแสงแห่งชีวิตเฉพาะยามที่หันมาสบตากับเขาเท่านั้น นอกจากนั้นจุดกลมๆ สีดำในตาทั้งคู่จะมีเพียงแต่ความมืดมัวที่เคว้งคว้าง ผมโน้มตัวไปจูบที่ริมฝีปากที่แห้งผากนั้น และทิมก็ตอบรับด้วยความรู้สึกที่นุ่มนวล
“ถ้านายตาย รู้ใช่ไหมว่าพี่จะฆ่าตัวตายตาม”
ทิมแค่ยกมุมปากขึ้นแล้วยิ้มแทนคำตอบ ...แค่นั้นจริงๆ ชายหนุ่มไม่ได้พูดจาใดๆ ออกมา คะน้ามองเห็นเม็ดเหงื่อเล็กๆ ที่ผุดขึ้นตามไรผม ผิวกายที่ร้อนดั่งไฟเผาแต่เจ้าของร่างกลับกำลังสั่นด้วยความหนาว คะน้าเช็ดตัวให้กับทิมจนสีหน้าที่ไร้สีนั้นดูแช่มชื่นขึ้น ไม่ช้าทิมก็หลับไปอีกครั้ง ความพยายามที่จะเข้มแข็งของทิมนั้นสร้างความเจ็บปวดขึ้นในใจของเขาเหลือเกิน คะน้าไม่ได้ทักท้วงอะไร เก็บและกดความรู้สึกเหล่านั้นอยู่ในใจที่อ่อนแรง เขาในเวลานี้นั้นชาชินกับทุกความรู้สึกเจ็บปวดไปหมดแล้ว มีเพียงความหวังและแรงใจที่เหมือนแสงไฟลางๆ ที่ใกล้ริบหรี่
คะน้าผ่อนลมหายใจที่หนักอึ้ง ความเจ็บจนชาไหลไปในกระแสเลือดจนซึมไปทั่วทั้งร่างคล้ายกับเมล็ดความมืดที่กลืนกินแสงสว่างไปช้าๆ เขาอยากจะหลับ หลับให้ลืมความหิวและความเจ็บปวดเหล่านี้ไปให้หมด แต่อะไรๆ มันไม่ง่ายแบบนั้น นานแค่ไหนแล้วที่ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ จากกลางวันเป็นกลางคืน จากกลางคืนเป็นกลางวัน เวลาที่แสนสั้นนั้นช่างยาวนานจนเขาบอกไม่ถูก
หลายโมงยามแห่งความปวดร้าวที่ยาวนานเหมือนนิรันดร์ ในความง่วงงุนที่ครอบงำ คะน้าได้ยินเสียงตะโกนโวยวายไปทั่ว เสียงฝีเท้าคนมากมายจากที่ไหนสักแห่ง เสียงทุบประตูปึงปัง และเสียงตีโลหะด้วยของแข็งอะไรสักอย่าง เขาอยากลืมตาขึ้นมอง อยากตะโกนร้องเรียก แต่เปลือกตากลับหนักอึ้งจนไม่อาจฝืน ทั้งลำคอก็ดูจะไม่มีเสียง คะน้าออกแรงบีบมือของทิมแน่น
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้น ...มือของเราจะไม่ปล่อยกันและกันสติดูเหมือนจะลางเลือนและห่างไกลออกไป โสตประสาทที่พอแยกแยะเสียงนั้นได้เริ่มได้ยินเพียงเสียงอู้อี้และมึนงง ทุกอย่างในตอนนี้ดูเหมือนจะไร้ความหมาย ราวกับดาวมากมายร่วงหล่นจากฟ้าจนกลายเป็นเพียงผ้าใบสีกาฬ สิ่งที่เห็นในตอนนี้มีเพียงอวกาศที่ว่างเปล่า คะน้ารู้สึกไม่ชอบใจสิ่งเหล่านี้เท่าไหร่ พวกมันเข้ามารบกวนความสงบเงียบของเขา เขาแค่อยากพักผ่อน อยากล้มตัวนอนบนหมอนนุ่มๆ ...ข้างๆ กับคนที่อยู่ใกล้ๆ ตรงนี้จนนิจนรันดร์
เสียงลมหายใจของตัวเองปลุกคะน้าให้ตื่นขึ้นอีกครั้งด้วยความมึนงง ในสัมผัสรับรู้ที่เลือนลาง มีเสียงเครื่องช่วยหายใจ เสียงอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ และเสียงพูดคุยของคนมากมายแว่วขึ้นในหู คะน้าค่อยๆ ลืมตาขึ้นจากอาการสลบไสล รู้สึกมึนและหนักที่หัวเหมือนถูกของแข็งฟาด หลังจากสลัดหัวไล่ความมึนออกไปได้ในที่สุด เขาก็เริ่มกวาดตามองรอบๆ ตัว ...ทุกสิ่งเปลี่ยนไป คะน้ารีบมองที่มือของตัวเองก่อนจะพบแต่ความว่างเปล่า เขาแทบจะดีดตัวขึ้นนั่ง หากแต่ความระบมและอุปกรณ์ทางการแพทย์มากมายที่เชื่อมต่อเกือบทั้งตัวนั้นทำเอาเขาขยับไปไหนไม่พ้น
ความมืดหม่น กลิ่นซากไม้ที่ไหม้และกลิ่นอับชื้นถูกทดแทนด้วยกลิ่นยา เขาจำบรรยากาศที่เงียบเชียบของที่นี่ได้ มันคือโรงพยาบาล และทันทีที่ความรับรู้กลับคืนมาจนครบ ชีพจรของคะน้าก็เต้นรัวด้วยความลิงโลด ...เขารอดตาย รอดอย่างปาฏิหารย์
...ทิมล่ะ? ทิมจะเป็นอย่างไรบ้าง?คะน้ารีบเอื้อมมือไปกดปุ่มเล็กๆ ที่หัวเตียงด้วยหัวใจที่ระรัว มือของเขายังสั่นๆ เหมือนไม่เชื่อว่ามันจะเป็นความจริง สักพักก็ได้ยินเสียงรองเท้ากระทบกับพื้นแข็งด้วยจังหวะกระชั้นที่ใกล้เข้ามา และไม่ถึงเสี้ยวนาทีประตูบานนั้นก็เปิดออก ตุลในชุดสีขาววิ่งเข้ามาพร้อมกับพยาบาลอีกสองสามคน หมอหนุ่มรีบเดินมาหาเขาที่เตียงแล้วเอ่ยทัก
“คะน้า! ดีใจที่คุณฟื้นนะครับ คุณได้ยินไหมครับ” เปลือกตาของเขาถูกดันเปิดขึ้นแล้วส่องด้วยไฟฉาย คะน้ากระพริบตาสองสามครั้งเพื่อหลบแสงจ้าแล้วส่งยิ้มบอกว่าไม่เป็นไรให้กับตุลที่ดูพะว้าพะวง
“ตุลเห็นทิมไหม? เขาเป็นยังไงบ้างครับ”
ชายหนุ่มสวมแว่นที่ยืนอยู่ชะงักงันไปจนไม่ว่าใครก็ต้องสังเกตเห็น ท่าทางนั้นทำเอาคะน้าสะกิดใจจนสะอึกไปไม่น้อย ความกังวลทำให้เขาลืมไปถึงความรู้สึกของคนฟัง แต่หากไม่ไถ่ถาม ในใจตอนนี้ก็ว้าวุ่นเกินกว่าจะทำอะไรได้
“อาการหนักครับ แต่ก็พ้นระยะอันตรายแล้ว” ตุลผ่อนสีหน้าสีถอดสีนั้นให้กลายเป็นปกติได้ในระยะเวลาอันสั้น หมอหนุ่มระบายรอยยิ้มน้อยๆ ออกมาให้กับเขา “เขาอยู่ห้องข้างๆ นี่เอง ผมเดาว่าคุณเย็บแผลให้เขาหรือเปล่าครับ”
“ครับ มันจะเป็นอะไรไหมครับ” คะน้าพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแหย ตุลไหวหน้าเล็กน้อย
“หมายถึงแผลใช่ไหมครับ อันที่จริงก็เอาเรื่องเหมือนกันครับ มีการติดเชื้อแล้วก็ระบมมาก ตัวด้ายเริ่มกลืนกับเนื้อไปเหมือนกัน เราต้องผ่าแผลแล้วเย็บใหม่อีกครั้งพร้อมกับให้ยาควบคู่ไป” คะน้ามีสีหน้าวิตกอย่างเห็นได้ชัด “...อย่าทำหน้าเหมือนรู้สึกผิดแบบนั้นสิครับ เพราะถ้าคุณไม่ช่วยไว้ เขาอาจเสียชีวิตก่อนที่จะถึงมือหมอก็ได้ ว่าไปแล้วเขาสู้มากนะครับ แผลสองแห่งเย็บสดโดยไม่มียาชาเนี่ย ถือว่าหนักเอาเรื่องเลยทีเดียว”
“ผมจะเยี่ยมเขาได้ไหมครับ ตุล?”
“พักผ่อนก่อนเถอะครับ ร่างกายคุณอ่อนเพลียมาก คุณสลบไปสองวันเต็มๆ เลยนะ เขาเองก็ยังไม่ฟื้นเลยครับ แต่จากอาการคิดว่าวันพรุ่งนี้น่าจะดีขึ้นแล้วล่ะครับ”
“เอ่อ... พี่ผักกาดล่ะครับ”
“เดี๋ยวผมจะแจ้งให้ครับ จริงๆ ผักกาดเพิ่งกลับไปเมื่อหัวค่ำเอง เดี๋ยวผมขอให้ยาเพิ่มอีกนิดหน่อยนะครับ คุณเองก็พักผ่อนมากๆ นะครับ ไม่ต้องกังวลอะไร ทุกอย่างเรียบร้อยดี” ตุลยิ้มให้แล้วเดินจากไปพร้อมกับพยาบาลคนหนึ่ง
สาวๆ ในชุดสีขาวที่ยังอยู่ในห้องส่งรอยยิ้มทักทายให้กับคะน้าแล้วไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบเล็กน้อยตามมารยาทแล้วปลอบขวัญเขาเสียยกใหญ่ สักพักก็มีพยาบาลอีกคนเดินมาปักขวดยาเข้ากับขวดน้ำเกลือ ไม่นานเปลือกตาของคะน้าก็หนังอึ้งอีกครั้งก่อนที่เขาจะดิ่งสูห้วงแห่งการพักผ่อน
วันรุ่งขึ้น คะน้าถูกส่งไปตรวจคลื่นแม่เหล็กและแสกนสมองตลอดจนตรวจวัดปฏิกิริยาทางการรับรู้ของประสาทส่วนต่างๆ ในร่างกาย ผลตรวจเป็นที่น่าพึงพอใจ แต่คะน้ายังขยับตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตาม แขนและขาก็ยังขยับไม่ไหวตามใจคิด ศีรษะของเขาก็เช่นกัน ร่างกายเหมือนถูกตึงอยู่ในรังไหมจนคล้ายคนที่เป็นอัมพาต เขาจึงต้องทานอาหารอ่อนจากการป้อนของเหล่าพยาบาล ซึ่งบางครั้งก็เป็นผักกาด และในบางคราวก็เป็นตุล
ครั้งแรกที่ได้เห็นหน้าพี่สาว ความหวาดกลัวก็สั่นสะท้านไปถึงสันหลัง คะน้ายังจำกำปั้นนั้นของผักกาดได้ รวมทั้งน้ำตาที่เขาไม่อยากเห็นนั้นด้วย แต่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนั้นเหลือเชื่อกว่าที่เขาคาดคิดเสมอ หญิงสาวเพียงยกมือเล็กๆ ของเธอแล้วลูบลงบนหัวของเขาเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้ม
“อะไรร้ายๆ ก็ให้มันผ่านไปเถอะนะ น้องพี่”คะน้าร้องไห้ออกมาโดยไม่รู้ตัวในอ้อมกอดเล็กๆ ที่แข็งแรงของพี่สาว หลังจากนั้น หญิงสาวก็นั่งลงและแกะผลไม้นิ่มๆ แล้วป้อนให้กับเขาโดยไม่ต่อว่าหรือไถ่ถามอะไรให้เขาลำบากใจสักคำ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสองสามนายเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ อันที่จริง ทุกอย่างค่อนข้างชัดเจนตั้งแต่หลักฐานที่กล้องวงจรปิดแล้ว ดูเหมือนว่าการสอบถามจะเป็นเพียงแค่การยืนยันหลักฐานต่างๆ ให้กับทีมสืบสวนสอบสวนเท่านั้น
สามวันต่อมา คะน้าเริ่มมีแรงพอจะทานข้าวได้เอง เขาทานได้เยอะมากจนตัวเองยังตกใจ แต่ถึงเรี่ยวแรงจะกลับคืนมาแล้ว ก็ยังไม่มากพอที่จะออกไปเยี่ยมทิมได้ ห่างกันแค่เพียงกำแพงกั้นไม่กี่เมตร แต่เขาไม่รู้ว่าทิมจะเป็นอย่างไรบ้าง จะฟื้นตัวขึ้นมาได้แล้วหรือยัง หรือร่างกายยังอ่อนแออยู่
ถึงแม้ว่าจะผ่านเรื่องเลวร้ายมาได้ แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะจบลงง่ายๆ แม้ตอนนั้นที่ถูกขังอยู่ในห้องแคบๆ เขาจะสวดภาวนานับครั้งไม่ถ้วนให้หลุดพ้นไปจากที่นี่ หากแต่อีกใจก็ยังนึกหวั่นหวาดถึงสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น
ความเป็นจริง ความถูกต้อง และการตัดสินใจความเป็นจริงที่ว่าทิมเป็นลูกของคนที่วางแผนทำลายตลาดแห่งนี้ ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ลูกที่ดูเหมือนจะอยู่นอกสายตาก็ถาม แต่คะน้าก็รู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้ทิมรู้สึกลำบากใจไม่น้อย แล้วความถูกต้องล่ะ เขาจะทำอย่างไรต่อไปดี เอาเรื่องให้ถึงที่สุดตามตัวบทกฎหมาย นี่คือสิ่งที่ยากต่อคะน้าจะตัดสินใจ เจ็บปวด โกรธแค้น ชิงชังก็ใช่ แต่อีกใจก็นึกเป็นห่วงทิมอยู่มากเช่นกัน
คะน้าคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ ในใจ เขาให้น้ำหนักกับความถูกต้องเป็นอันดับแรก หากแต่เขากลับไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปให้รู้สึกบอบช้ำน้อยที่สุด ช้าหรือเร็วก็ต้องถึงเวลาที่เขาจำต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่ว่าคุณธาดา นักธุรกิจที่เป็นที่น่าจับตาในวงการอสังหาริมทรัพย์ระดับเอเชีย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือพ่อทางสายเลือดของทิมนั้นเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด
...แล้วทิมกับคุณแม่จะเป็นอย่างไร“คิดอะไรอยู่น่ะเรา” เสียงผักกาดถามขึ้นพร้อมใบหน้าที่ตีเครื่องหมายคำถาม
“เจ้รู้เรื่องทุกอย่างมาโดยตลอดเลยใช่ไหม” คะน้าหันไปถามผู้เป็นพี่สาว ผักกาดวางมีดที่ปอกผลไม้ลงบนจาน ผ่อนลมหายใจแล้วนั่งนิ่ง
“ก็ไม่เชิง ขึ้นอยู่กับที่ว่าหมายถึงเรื่องไหน”
“เรื่อง... ทิมน่ะครับ”
“ถ้าหมายถึงที่ทำตัวแบบนั้น ก็สงสัยมาตั้งแต่ในห้องประชุมแล้ว เพียงแค่ไม่รู้ว่าทำแบบนั้นไปทำไม มันไม่สมเหตุสมผลเลย แต่ถึงตอนนี้ น้องของเจ้คงรู้ทุกอย่างดีกว่าใครไม่ใช่หรือว่าเจ้าตัวทำแบบนั้นไปทำไม” คะน้ากดใบหน้าของตัวเองลงหลบสายตาของผู้เป็นพี่สาว ไม่รู้ว่านั่นหมายถึงเครื่องหมายที่บ่งชี้ถึงความรักที่ทิมมอบให้ในทีหรือเปล่า
“บอกตามตรงว่าแรกๆ เจ้รับไม่ได้หรอกนะที่เราจะเป็นแบบนี้ แต่พอยิ่งนานวัน ไม่รู้สิ ถึงจะไม่ได้เหมือนกับคนทั่วไปแต่มันก็ไม่ได้แย่แบบที่คิดไว้ในตอนแรกนะ” ผักกาดยิ้มน้อยๆ ให้กับน้องชายก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนไปจนดูจริงจัง
“แต่ถ้าหมายถึงการที่เจ้าตัวให้การกับตำรวจซึ่งเป็นประโยชน์ในการสืบคดี คงต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่ตัวพี่เองก็คาดไม่ถึง คำพูดของทิม ถึงแม้จะไม่ได้ฟันธงว่าใครอยู่เบื้องหลัง แต่พี่มั่นใจว่ามันทำให้คุณธาดาและธาดาพิพัฒน์ตกที่นั่งลำบากแน่นอน”
คะน้านั่งฟังทุกอย่างและทบทวนอยู่ในใจ เป็นอย่างที่ทิมเคยบอกไว้ว่าผักกาดเป็นคนช่างสังเกต และนั่นก็ไม่ได้ผิดไปจากความคิดของเจ้าตัวเลย ส่วนการที่เลือกจะให้การที่ยึดมั่นอยู่บนความเป็นจริงที่ไม่บิดเบือนด้วยเห็นแก่ความเป็นพ่อนั้น คะน้ายอมรับในน้ำใจของทิมเป็นอย่างมาก
“เจ้จะว่าอะไรไหม ถ้าผมอยากขายที่ดินให้กับธาดาพิพัฒน์”คำพูดของคะน้าทำให้ผักกาดถึงกับหันมามองด้วยความแปลกใจ คะน้าหันไปยิ้มบางๆ ให้กับพี่สาว สบตาแล้วหัวเราะเหมือนสมเพชตัวเอง “ใครๆ ก็บอกว่าผมเป็นคนโง่ ไม่ทันคน บางทีผมก็คิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้น แต่เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นทำให้ผมได้คิดทบทวนอะไรต่างๆ มากมาย มันอาจจะดูไม่เข้าท่า ไม่ได้เรื่องได้ราว แต่ผมคิดว่าผมเริ่มเข้าใจสิ่งที่เจ้บอกผมวันก่อน”
“สิ่งมีค่าที่สุดที่ป๊ากับแม่มอบเอาไว้ให้กับเราทั้งคู่ ไม่ใช่ที่ดินแพงๆ หรือตลาด ท่านทั้งสองมอบความรู้และหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักให้กับเราทั้งคู่ไว้ต่างหาก มันเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด มากกว่าตลาดที่ไฟเผาแล้วก็พัง ก็จริงอยู่ที่เงินมันมีค่า แต่ทุกวันนี้เราก็พอมีกินและมีความสุขดี ผมพอแล้ว ผมอยากจะรักษาสิ่งที่ป๋ากับแม่ทิ้งไว้ให้กับเรา อยากให้ท่านภูมิใจกับเราสองคน ...ผมคิดแบบนั้นจริงๆ” ผักกาดโอบร่างของน้องชายไว้ด้วยวงแขน มือเล็กๆ ลูบบนผมเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความภูมิใจ
“คิดทบทวนดีแล้วหรือ”
“ผมไม่ได้อยากขายเพราะถูกหรือแพง และไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งที่ทิมทำให้กับเรา ไม่เกี่ยวเลย แต่ผมอยากขายให้กับธาดาพิพัฒน์เพราะเชื่อว่าเขาจะทำให้พี่น้องชาวตลาดที่เรารักเหมือนครอบครัวได้มีอาชีพ ได้ทำมาค้าขายในสิ่งที่เขารักต่อไป คงไม่มีบริษัทไหนที่จะยอมให้ข้อเสนอแบบนี้กับเราอีกแล้ว”
“แม้ว่าพวกเขาอาจจะเป็นคนที่ทำลายเราน่ะเหรอ”
“เขาไม่ได้ทำลายอะไรเราได้มากมายแบบนั้น แต่ถ้าเรายังปล่อยให้ความโมโหเกลียดชังคงอยู่นั่นละ เขาทำลายทุกอย่างของเราได้จริงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผมรู้ว่ามีอะไรบนโลกนี้อีกมากมายที่มีค่าเกินกว่าที่เงินทองจะซื้อหาได้ และผมโชคดีแค่ไหนที่ได้เป็นเจ้าของสิ่งต่างๆ พวกนั้น”
“แกอย่าบอกนะ ว่าแกตั้งใจจะบวช” ผักกาดเหล่ตาแล้วทำสีหน้าหวาดๆ คะน้าหัวเราะชอบใจ แต่ไม่ทันไรชายหนุ่มก็สะดุ้งเพราะยังช้ำในไม่หายจนผู้เป็นพี่สาวหัวเราะขัน คะน้าโหม่งหัวใส่ผักกาดหนึ่งทีเพื่อชำระแค้นจนพี่สาวยัดแอปเปิลที่ปอกไว้จนเต็มปากเขา
“...เจ้ ทุกวันนี้ เรามีความสุขกันไหม” คะน้าพูดพลางเคี้ยวแอปเปิลตุ้ย
“มีแก เจ้ก็พอใจแล้ว ความสุขของสาวแก่ขึ้นคานแบบฉันมันก็แค่นี้ล่ะ จะเอาอะไรหนักหนากับชีวิต” ผักกาดยิ้มให้กับคะน้าแล้วยัดผลไม้สีขาวใส่ปากน้องชายอีกชิ้น ชายหนุ่มอิงหัวซบบนไหล่เล็กๆ นั้นเบาๆ แล้วเคี้ยวด้วยความอร่อย
“ที่ไหนล่ะ เห็นมีแต่หนุ่มๆ มาจีบแต่เจ้ก็ไม่เห็นจะสนใครสักคน”
“ไม่สนล่ะค่ะ ถ้าขายให้ธาดาพิพัฒน์เจ้ก็เศรษฐีนีนะจ๊ะ ไหนจะค่าประกันหลายล้าน แล้วไหนจะค่าที่ นอนนับเงินเจ้ก็ฟินแล้วต่ายเอ้ย” ผักกาดหัวเราะเอิ๊กอ๊าก
“ดูพูดเข้า แต่ก็ดีแล้ว อยู่ปอกผลไม้ให้น้องกินแบบนี้ก่อน ฮ่าๆๆๆ”
“เจ้าค่ะ บรรดาศักดิ์นะคะ ต้องมีคนปอกให้ โน่นๆๆๆ ไปใช้อีทิมโน่นไป” ผู้เป็นพี่สาวดูจะไม่แคร์กับถ้อยคำที่ตัวเองเอื้อนเอ่ยแม้แต่น้อย แต่คะน้ากลับปั้นหน้าตัวเองไม่ถูก อันที่จริงแอปเปิลก็ไม่ได้หวานสักเท่าไหร่ แต่คะน้าคิดว่ามันดีกว่าจะตัวเขาจะหุบปากเงียบๆ แบบนั้น
“รู้ไหม สิ่งหนึ่งที่ยากที่สุดในชีวิตคนเราคือการให้อภัยกับคนที่คิดร้ายกับเรานี่ละ ตัวเจ้เองบางทีก็ทำไม่ได้ ...เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ว่าไม่โกรธไม่แค้น เราก็มนุษย์ธรรมดา แต่สิ่งที่เจ้ต้องการที่สุดไม่ใช่การให้อีกฝ่ายเจ็บช้ำ แต่เป็นการที่น้องของเจ้ปลอดภัยกลับมาน่ะ แค่นี้ก็ดีใจมากแล้ว” ผักกาดเดินกลับไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟา “เราเกลียดเขาที่เป็นแบบนั้น เราจะไม่เป็นแบบเขา สุดท้ายจะเป็นอย่างไร ก็ให้กฎหมายเป็นคนตัดสินแล้วกัน”
(ยังมีต่ออีกครึ่งครับ)