สวัสดีครับ ตอนที่ 35 มาแล้ว คอมเมนต์เยอะ เลยรีบปั่นยิบตา 555 แต่เดี๋ยวขอทักทายทุกคนก่อนนะ
ขอบคุณมากๆ นะครับสำหรับทุกๆ คอมเมนต์เลย แอบตกใจในหลายคอมเมนต์มาสองสามตอนแล้ว
เพื่อนๆ เข้าใจหาหลักฐานมามัดตัวคนแต่งมากๆ เอาให้ดิ้นกันไม่หลุดเลยทีเดียว 55555555
คือจริงๆ คันปากอยากนั่งตอบนะครับ แต่สปอยล์รั่วแน่ๆ ดังนั้นจะขอแกล้งทำเป็นไม่เห็นไว้ก่อนนะ
แอบปรบมือให้จริงๆ คนอ่านน่ารักทุกคนเลย ดีใจจังได้อ่านคอมเมนต์ทุกคน ต่อตอน 35 เลยนะครับ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 35แค่เพียงเสี้ยววินาทีที่ระลอกแห่งความผิดหวังนั้นโหมซัดเข้าที่เดิมซ้ำๆ ...ครั้งที่หนึ่ง ...ครั้งที่สอง ...ครั้งที่สาม และครั้งต่อๆ ไปจนเริ่มกลายเป็นความด้านชา ก่อนที่ความเจ็บช้ำนั้นจะโรยราจนกลายเป็นตะกอนปะปนกับความสิ้นสูญอื่นๆ ตุลก็ทำให้ทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ในห้วงความคิด สลายเป็นมวลอากาศที่ไม่มีน้ำหนักในพริบตา
“เต็มใจ ตั้งใจ แต่มันไม่ได้เกิดเพราะความรัก ไม่ใช่แม้แต่ความใคร่ ทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะความเกลียด”
“หมายถึงอะไรครับ” คะน้ากระชากห้วงความคิดกลับด้วยสติที่เต็มไปด้วยการรับรู้ ตุลยิ้มเฝื่อนแล้วกลืนน้ำลาย ใบหน้าบิดเบี้ยวคล้ายกับพยายามสรรหาถ้อยคำที่ทดแทนทุกความรู้สึกที่ตรงใจที่สุดออกมา
“เราจูบกันด้วยความขยะแขยง สะอิดสะเอียน มีแต่ความอยากแก้แค้นเอาชนะ มันก็แค่นั้น” นับเป็นเรื่องที่ไม่เคยอยู่ในความคิดของคะน้ามาก่อน ถ้อยคำที่บ่งแน่ชัดถึงความไม่ชอบและท่าทางที่ดูเหมือนกับคนกินของแสลงของตุลดูอย่างไรก็ไม่รู้สึกถึงความลวง เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มผู้แสนอ่อนโยนตรงหน้านั้นเลือกที่จะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร
“ทำแบบนั้นไปทำไมครับ”
ตุลนิ่งจนวิเวก เป็นการนิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นการสำนึกในห้วงเวลาที่ไม่อาจย้อนคืน ความผิดชอบชั่วดีระเนระนาดจนกระเพื่อมไหวในอากาศ “บางครั้ง อันที่จริงควรจะเรียกว่าหลายครั้งด้วยซ้ำ ผมอยากจะเอาคืนให้กับนภ แต่อีกใจก็อยากถอยห่างกรวดน้ำคว่ำขันไม่ข้องแวะกันอีก วันนั้นผมเลือกอย่างหลัง เลิกแล้วต่อกันไป จนได้มาเจอกันอีกครั้ง”
“ตุลเลยอยากแก้แค้นให้คุณนภหรือ” คะน้าแปลเจตนารมย์มาได้เช่นนั้น ตุลไม่มีท่าทีจะปฏิเสธ กระนั้นก็เรียกไม่ได้เต็มปากว่ายอมรับ
“ก็ไม่เชิงครับ เหตุผลมันปะปนกับความรู้สึกของผม ในตอนนั้น...หมายถึงตอนที่เราคบกันในฐานะ ...คนรักน่ะครับ ยิ่งมาข้องเกี่ยวกับคุณไม่จบไม่สิ้น ผมยิ่งรู้สึก...” ตุลหันมามองด้วยแววตาที่แจ่มชัดในห้วงความที่จดจำในอดีต สบลึกไปในดวงตา “เอาเป็นว่าช่างมันเถอะครับ ...คือกับคุณ ผมไม่รู้จริงๆ เขาต้องการอะไรกันแน่ แต่ผมจะไม่ยอมอะไรง่ายๆ แบบคราวของนภอีกแล้ว และแน่นอนว่าผมจะทบคืนทั้งต้นทั้งดอกในส่วนของน้องชายผมด้วย”
“ถ้าวันนี้ ทิมรู้สึกแบบนั้นผู้ชายได้จริงๆ ผมจะทำให้เขารับรู้ความรู้สึกของนภในตอนนั้น” ตุลยักไหล่ด้วยความสับสน ดวงตาที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกเคลื่อนตัวออกจากคะน้ากลับไปสู่ความว่างเปล่า
“หมายถึงจะเล่นกับความรู้สึกของเขากลับน่ะหรือครับ ถ้าไม่ชอบแบบนั้นทำไมถึงทำแบบเขาล่ะครับ นั่นไม่ดีเลยนะ” คะน้าหน่วงลมหายใจจนขาดห้วง อาจจะดูเหมือนกับว่าเขาดูเป็นคนที่เจ็บแล้วไม่รู้จักจดจำ แม้ปากจะพูดแบบนั้น แต่ความรู้จักที่หยั่งลึกทำให้คะน้าเข้าใจในเหตุผลของการกระทำที่ดูไร้สาระของตุลในตอนนั้น ความรู้สึกที่ตามมาคือความเห็นใจและห่วงใยผู้ชายตรงหน้าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ครับ ผมยอมรับ มันเป็นความโมโหที่เกิดขึ้นชั่ววูบ และผมก็เจ็บปวด สะอิดสะเอียนกับจูบนั้นมาถึงตอนนี้ ไม่น่าหลงไปกับคำพูดยั่วโมโหพวกนั้นเลยจริงๆ รู้ทั้งรู้ว่าทิมเป็นคนแบบนั้น แต่ก็ยังเป็นไอ้งั่งหลงกลง่ายๆ” นับว่าสมมติฐานของคะน้าไม่ได้บิดเบือนเสียทีเดียวเมื่อไพ่ใบต่อมาถูกพลิกเปิดออก ความที่เป็นคนที่ทันคนจึงไม่แปลกเลยที่ทิมจะเป็นคนดึงตุลเข้าสู่เกมของตนเองอย่างที่คะน้าคาดเดาเอาไว้ แต่สิ่งนั้นคืออะไร?
“ยังไงหรือครับ”
ผู้ฟังไม่ได้ให้คำตอบในสิ่งที่คะน้าเอ่ยถาม ข้อเท็จจริงนั้นถูกปิดตายไว้ในความคิดของชายหนุ่มใส่แว่นตรงหน้า ตุลเงยหน้าสบตาเขาอีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นแรงกล้าและเป็นการจ้องมองแบบตรงไปตรงมาไร้เปลือกหุ้มห่อ
“มีสิ่งหนึ่งที่ค้างอยู่ในใจผมมาตลอดเช่นกัน ช่วยตอบผมตามความเป็นจริงได้ไหมครับ อย่างน้อยก็เพื่อให้ตัวผมเองไม่ต้องติดค้างในใจอยู่ต่อไป” แม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่คั่งค้างอยู่ในใจของตุลนั้นคืออะไร คะน้าก็รับคำด้วยเสียงหนักแน่น
“ครับ”
“ระหว่างที่เราคบกันในฐานะแฟน ตลอดเวลาที่เดินข้างผม ตอนที่เราจับมือกัน กินข้าวกัน เล่าเรื่องตลกหรือฟังเรื่องเศร้าด้วยกัน ตอนที่คุณกอดผม ที่เราบอกคำรักกัน” มีความวุ่นวายอยู่ในท่าทีที่สงบของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ตุลกำลังประหม่าลังเล ในท่วงท่าที่ดูนิ่งเฉยคล้ายกับกำลังฝังลึกสู่ความปวดร้าว
“...คนที่คุณรักคือทิมใช่ไหม?”คะน้านิ่งเหมือนกับคนหูอื้อเพราะได้ยินเสียงปึงปังดังสนั่น ใบหน้าซีดขาวเหมือนกับสีของก้อนเมฆบนฟ้าครื้ม ความตกใจเข้าจู่โจมจนชาไปทั้งตัว เวลาที่ผันผ่านทำให้เขาตระหนักในคำตอบได้เป็นอย่างดี หากแต่ความสับสนลังเลนั้นเข้าโรมรัน ระหว่างคำโกหกที่น่าฟังและความเป็นจริงที่น่ารังเกียจ คะน้าไม่รู้ว่าสิ่งใดที่จะดีกว่าสำหรับทั้งสองฝ่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่พบเจอกับอะไรยากๆ แบบนี้ ความคิดและถ้อยคำมากมายที่เหมือนรอเพียงปลดสลักให้ออกมาถูกกลืนลงในลำคอ คะน้าในตอนนี้เหมือนกับคนที่เป็นใบ้ที่ไม่รู้วิธีสื่อสาร
“วันนั้นทิมบอกว่าเขาจูบคุณ”ตุลหรี่ตามองมาที่คะน้าอีกครั้งในระยะห่างที่สม่ำเสมอ ดวงตาที่เวิ้งวางดุจมหาสมุทรที่กว้างใหญ่นั้นเต็มไปด้วยคำถามที่เจ็บปวด
“...ทิมบอกว่าคุณรักเขา”ความตระหนักรับรู้ถึงความปวดร้าวในดวงตาคู่นั้นทำให้คะน้ารู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลัง ตุลสูดลมหายใจเข้าปอดจนลึกเหมือนพยายามจะเรียกเรี่ยวแรงกำลังให้กลับคืนมา หมอหนุ่มจ้องมองมาที่คะน้าด้วยแววที่ดูจะหลงเหลือซากพลังงานแห่งชีวิตแค่รวยริน ตุลระบายรอยยิ้มน้อยๆ ...เป็นรอยยิ้มที่หม่นจนน่าใจหาย
“แปลกไหมครับ? ...ที่ลึกๆ ในใจผมก็คิดอย่างนั้นมาโดยตลอด”
สองสามวินาทีที่มีแต่ความเงียบในอณูอากาศนั้นเนิ่นนานกว่าเข็มวินาทีเคลื่อนตัวไปข้างหน้าสองถึงสามจังหวะ ความหม่นเศร้าค่อยๆ ขยับแทรกไปยังช่องว่างระหว่างคนทั้งสองให้ดูกว้างกว่าระยะในความเป็นจริง คะน้ากลืนน้ำลาย รับรู้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจตัวเองที่แผ่วจนยากจะฟื้นกำลัง
“คุณเลือกเขาแต่แรกแล้ว แต่คุณอยู่กับผมเพราะกลัวว่าจะทำให้ผมเสียใจ”คะน้านิ่งงัง เขาหันกลับไปมองใบหน้านั้นตรงๆ และไม่อาจละสายตาจากได้เลยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตุลเพิ่งเอ่ยประโยคนั้นออกมา รอยยิ้มที่คุ้นเคยยังเปรอะเปื้อนอยู่บนใบหน้า คำว่า
เปรอะ หมายถึงอยู่ในสภาวะที่ไม่ควรจะพึงมี นั่นเป็นเพราะผู้พูดจงใช้สร้างมันขึ้นมาเพื่อเหตุผลบางอย่าง คะน้าคิดว่ามันคือหน้ากากที่ใช้ซ่อนเร้นความปวดร้าว
“ลึกๆ คุณเชื่อมั่นในตัวทิมมาโดยตลอด รู้ว่าเขาเข้มแข็งพอจะอยู่คนเดียวได้ คุณเลยเลือกที่จะอยู่ข้างๆ ผม ให้ความรักผมด้วยความห่วงใย ดีกับผมทุกอย่าง คุณไม่เคยทะเลาะกับผม หึ... คุณมีเซ็กซ์กับผมไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ตุลหัวเราะขื่น ร่องรอยแห่งความปวดร้าวดูหนักหนาเกินกว่าจะปิดบังได้อีกต่อไป คะน้านั่งนิ่งซ่อนตัวอยู่ในเปลือกของตัวเอง มีตัวตนให้มองเห็น แต่เป็นตัวตนที่ดูว่างเปล่าและไร้น้ำหนัก
“ผมเองก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง มีศักดิ์ศรี มีความภูมิใจในตัวเอง ผม... ทำไมผมดูอ่อนแอและน่าสมเพชเหลือเกิน”
ไม่เคยคิดหรือคาดฝันว่าทุกอย่างที่ผ่านมาจะทำให้คนที่เขารักและห่วงมากที่สุดคนหนึ่งตกอยู่ในความรู้สึกแบบนี้ แม้จะไม่อาจชดเชยอะไรได้ แต่สิ่งเล็กๆ สิ่งหนึ่งที่เขาพอจะทำได้ในเวลานี้นั้น คงเป็นถ้อยคำที่แสดงความรู้สึกออกมาจากส่วนลึกในใจ
“ตุล... ผม...”
“อย่าพูดคำขอโทษ ถ้ามีใครสักคนจะพูดคำนั้น คนนั้นควรจะเป็นผมเอง”
เสียงของตุลแทรกขึ้นมาในอากาศแล้วซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้ภายใต้กระจกสี่เหลี่ยมใส คะน้าอ่านสัญญาณนั้นไม่ออก ไม่รู้ว่าจะปรับตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไร และจะมีทางไหนที่จะชดเชยในสิ่งที่เขาทำลงไปได้บ้าง
“ขอโทษนะครับกับทุกๆ เรื่องที่ผ่านมา รู้ทั้งรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่มันก็ตัดใจไม่ได้สักที ผมพยายามเก็บคุณไว้ ยื้อให้นานที่สุด ที่สนามบินนั่น มันเจ็บจนแทบบ้า แต่ในใจที่เจ็บเหมือนจะตายกลับรู้สึกโล่งใจ ในที่สุดแล้ว ผมก็ปลดตัวเองออกจากความเห็นแก่ตัวได้เสียที จากนี้ไปคุณคงมีความสุขโดยไม่ต้องกังวลเรื่องผม”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ”
“คะน้าครับ ...ที่ผ่านมา คุณคงคิดว่าผมเป็นคนที่เฝ้าดูแลคุณมาโดยตลอดใช่ไหม? แต่มันไม่ใช่เลย ความจริงก็คือ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ...ผมเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายถูกดูแล”
“อย่าเพิ่งแย้งผมเลย มันเป็นเพราะคุณไม่เคยคิดถึงอะไรพวกนี้ต่างหาก จะว่าไปมันคงเป็นแค่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำไปโดยไม่รู้ตัวตามธรรมชาติของคุณล่ะมั๊ง แต่มันมีความหมายกับผมมากเลยนะ” ตุลระบายรอยยิ้มออกมาจนเต็มหน้า “ที่ผ่านมา คุณเลือกที่จะให้คนอื่นมีความสุขก่อนตัวเองมาโดยตลอด ดีกับทุกๆ คนรอบตัว คุณไม่เคยคิดร้ายกับใคร อาวุธของคุณคือความดี และไม่ใช่ดีแต่พูด คุณเป็นอย่างนี้โดยธรรมชาติของคุณจริงๆ” ถ้อยคำที่เป็นดั่งบรรณาการนั้นทำให้คะน้าได้แต่นั่งนิ่งๆ เปิดใจและลองรับฟังในอีกมุมหนึ่งที่ตัวเองไม่เคยได้ยิน
“แต่รู้ไหม? ยิ่งคุณดีกับผม ผมก็ยิ่งไม่อยากจะเสียคุณไป ทั้งๆ ที่ทำใจได้ไปแล้ว ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะเป็นฝ่ายที่ดูแลคุณบ้างถึงแม้ว่าจะต้องอยู่ห่างๆ โดยคุณไม่เห็นก็ตาม แต่พอทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ ผมก็ตัดใจไม่ได้ สุดท้ายผมก็ยังหน้าด้านขอโอกาสกับคุณอยู่ซ้ำๆ” สิ่งที่รออยู่ที่จุดหมายปลายทางนั้น ใช่ว่าตุลจะไม่รู้มาก่อน หากแต่สิ่งนั้นมันดูเป็นสิ่งที่ยากเย็นสำหรับเขาที่จะยอมรับได้เท่านั้น
“การตัดใจจากคุณมันไม่ง่ายเลย”
“ผมขอโทษนะตุล” ในห้วงเวลานี้นั้น ไม่มีสิ่งใดที่เขาพอจะทำไปได้มากกว่าคำพูดสั้นและเชยแบบนี้ ตุลเอียงใบหน้าขึ้นแล้วจ้องมองมาที่คะน้า สบลึกไปในแววตา
“คุณยังรักเขาอยู่ใช่ไหม?”อีกครั้งที่คะชะงักงันเข้าจู่โจมเขา สิ่งที่เป็นจริงมากกว่าคำพูดและความสั่นสะเทือนของกล่องเสียงนั้นคือความรู้สึกของคะน้าในตอนนี้ แม้ว่าทิมดูร้ายกาจและเปี่ยมไปด้วยเล่ห์กลสารพัด แม้จะเต็มไปด้วยถ้อยคำที่จำแนกไม่ได้ระหว่างความจริงและกลลวง และแม้ว่าเขาเลิกเชื่อไม่คิดจะฟังไม่ขอรับรู้ใดๆ อีก หากแต่ความลังเลลึกๆ ในใจของคะน้านั้นยังอัดแน่นไปด้วยความรู้สึก ...และเขาโกหกความรู้สึกนั้นของตัวเองไม่ได้เลย
“ความรักมันเป็นอย่างนี้สินะ”เสียงของตุลที่ดังขึ้นเหมือนกับตัวอักษรที่พิมพ์ด้วยหมึกสีจางๆ ขาดห้วง และบางเบา ใบหน้าดูว่างเหมือนแผ่นกระดาษที่มีหมึกสีดำแต้มเป็นรอยคิ้วเหนือดวงตาที่จ่อมลงในความมืดอันลึกล้ำ กระนั้น แค่เพียงเข็มวินาทีเดินหน้าไปไม่กี่ครั้งตุลก็ปรับสีหน้าขึ้นจนดูแทบจะเป็นปกติ รอยยิ้มนั้นแม้จะดูไม่เบิกกว้างเต็มที่ แต่ก็เต็มไปด้วยความจริงที่ปราศจากการเสแสร้ง คะน้าเดาว่ามันคือจุดปะทะกันระหว่างความรู้สึกสูญเสียและความโล่งใจ โดยที่ชัยชนะนั้นตกไปอยู่กับฝ่ายหลัง
“ตุล... ผมในตอนนี้กลายเป็นคนที่เลิกเชื่อมั่นในความรักไปแล้ว หัวใจมันก็แค่อวัยวะหนึ่งที่ทำหน้าที่แค่เพียงสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้อยู่รอด จริงอยู่ที่ในส่วนลึกผมยังรู้สึก แต่ผมไม่กล้า ไม่ศรัทธาหรือคาดหวังอะไรอีกแล้ว อย่างน้อยก็ในช่วงนี้ หรือบางทีอาจจะไม่มีวันสิ้นสุดด้วยซ้ำ ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆ ที่มีให้ผมมาโดยตลอดนะครับ แต่ผมไม่คู่ควรกับสิ่งดีๆ เหล่านั้นเลย”
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับ” ตุลแย้งขึ้น สีหน้าแสดงออกชัดเจนถึงความไม่เห็นด้วย คะน้าเพียงแค่ยิ้มกลับด้วยแววตาที่สงบนิ่ง
“คราวนี้ผมขอคำสัญญาบ้างจะได้ไหมครับ ตุลสัญญากับผมได้ไหมครับ ว่านับจากนี้จะมีความสุขที่สุด ร่าเริง หัวเราะกับทุกช่วงเวลาอย่างเต็มที่ และจะใช้ชีวิตให้ดีที่สุด ...จนกว่าจะพบกับคนที่ดีกว่าผม”
“...คะน้า”
“สัญญากับผมได้ไหมครับ”
คะน้ามองคนตรงหน้าด้วยแววตาที่เติบโตขึ้นกว่าวันวาน เขาในตอนนี้เข้มแข็งขึ้นทีละน้อยจากอุปสรรคและปัญหาต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตในช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมา คะน้าพูดทุกคำออกจากความรู้สึก ไม่มีแม้การปั้นแต่งถ้อยคำให้สวยหรู และสิ่งนั้นก็ชัดเจนและแน่วแน่จนทำให้อีกฝ่ายรับรู้ได้ ตุลคลี่ยิ้มขึ้นมาทีละน้อยกระทั่งเป็นรอยยิ้มกว้างแบบที่เขาคุ้นตา
“ครับ ผมสัญญา”
อากาศในตอนเย็นเต็มไปด้วยความซึมเซาและสีเทาหม่น กระนั้นก็อบอวลไปด้วยความเข้าใจ ตุลลากลับไปพร้อมกับการปรากฏตัวขึ้นของผักกาดที่เพิ่งกลับมาจากที่ทำงาน ผู้เป็นพี่สาวไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่าถ้อยคำทักทายเมื่อกลับถึงบ้าน จิบน้ำเย็นๆ แล้วนั่งนิ่งๆ อยู่กับตะกอนความคิด หลังจากมื้ออาหารที่ปรุงด้วยไมโครเวฟเช่นเดียวกับตลอดหลายวันมานี้ หญิงสาวก็ถอนหายใจจนนับไม่ถ้วน ใบหน้าที่เหมือนกับยังไม่ฟื้นจากฝันร้ายนั้นทำให้คะน้ารู้สึกเป็นห่วง แม้ว่าเขาอยากจะไต่ถามแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร จนสุดท้าย ผักกาดก็พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาด้วยท่าทางที่จริงจัง
“นับจากคุยกันคราวนั้นมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย วันนี้พี่เพิ่งรู้ว่าเราถูกบีบจากธาดาพิพัฒน์ ที่ของเราตอนนี้กลายเป็นที่ตาบอด ทำอะไรไม่ได้เลย”
“คืออะไรครับ” ความไม่เข้าใจพุ่งขึ้นในใจของคะน้า
“ธาดาพิพัฒน์เพิ่งกว้านซื้อที่รอบๆ ตลาดจากชาวบ้านที่ได้รับความเสียหายตอนไฟไหม้ด้วยราคาที่สูงลิ่ว แน่นอนว่าข้อเสนอที่น่าสนใจทำให้ใครๆ ก็ไม่อยากปฏิเสธ เมื่อบริเวณที่ดินรายรอบทั้งหมดเป็นของเขา ที่เราก็เหมือนถูกตีกรอบไม่มีทางออกสู่ถนนได้ เรากำลังถูกบีบให้ขายทิ้งเท่านั้น” ผักกาดถอนหายใจยาวแล้วฝังใบหน้าลงบนฝ่ามือทั้งสองของตัวเอง
ทิมอย่างนั้นหรือ?ในใจของคะน้าอดที่จะคิดอย่างนั้นขึ้นมาไม่ได้ แม้จะไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด แต่ลางสังหรณ์บอกเขาว่าทิมต้องมีส่วนรู้เห็นกับเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้นไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง จนกว่าที่ปริศนาทุกอย่างจะคลี่คลาย คำถามนั้นจะยังดังก้องอยูในใจของเขาด้วยความเจ็บปวดและฟังดูราวกับจะดังเช่นนั้นไปตลอดกาล
“ผมไม่ค่อยอยากเชื่อว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ความรู้สึกมันเทไปที่ธาดาพิพัฒน์เป็นคนเล่นงานเรา และเราจะไม่อยู่เฉย” เขายืนยันในความคิด ผักกาดมีท่วงท่าที่ลังเลกลับ เธอพูดช้าๆ และไตร่ตรองคำพูดอย่างระมัดระวัง
“มีหลักฐานบางอย่างระบุว่าทิมอยู่บริเวณตลาดในเวลาที่ไฟไหม้”
ความสั่นสะเทือนของเสียดเสียงในอากาศดูเหมือนจะส่งตรงเข้าสู่หัวใจแล้วลามไปแข้งขา ก่อนที่แรงไหวนั้นจะกลายเป็นความหน่วงชาไปทั่วร่าง น้ำเสียงของคะน้าในเวลานี้แห้งโหยและเบาบางเหลือเกิน
(มีต่อด้านล่างอีกนะครับ)