(ต่อเลย)
...สิ่งนั้นคือ การถูกลืมหากแม้นคะน้าเลือกที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ชกต่อย ต่อว่าด้วยคำแรงๆ จะจงเกลียดจงชัง หรือแม้กระทั่งฆ่าให้ตายด้วยมือของตัวเอง สิ่งที่ทิมได้ทำลงไปนั้นก็จะดูเหมือนได้รับบทลงโทษเป็นการชดเชยให้ไม่มีอะไรติดค้าง แต่ความเจ็บปวดของเขาในตอนนี้มันมากเกินไปกว่าที่จะยอมรับได้ เทียบกับทุกสิ่งที่ทิมทำไปนั้น มันไม่มีอะไรจะชดเชยได้เลยแม้กระทั่งความตาย ที่สาสมที่สุดก็คือการต้องจมอยู่กับความรู้สึกติดค้างไปตลอด จะยิ้มได้อย่างไม่เต็มสุข แม้แต่ทุกข์ก็จะทุกข์ได้อย่างไม่เต็มที่ ให้ในทุกวินาทีที่ข้ามผ่านนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมานไปกระทั่งถึงลมหายใจสุดท้าย ...ด้วยความรู้สึกของการถูกลืม
จงมีชีวิตอยู่ต่อไป อยู่แบบไร้คุณค่าและไม่มีใครมองเห็น อยู่กับทุกสิ่งที่โหยหาช่วงชิงมาแล้วไม่รู้ว่าจะแบ่งปันให้กับใคร ส่วนผมก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นกัน แต่ชีวิตนับจากนี้นั้นจะไม่มีที่ยืนให้กับชายหนุ่มคนนี้อีก
ผมจะลืม ...จะลืมทุกอย่างเกี่ยวกับทิม ทุกอย่างที่ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ทุกรอยยิ้มและน้ำตา ทุกอย่างแม้กระทั่งความทรงจำ จะไม่มีทั้งอดีต ปัจจุบัน และจะไม่มีอนาคตใดๆ อีก ไม่เคยพูดคุย ไม่เคยรู้จักเกี่ยวข้อง ไม่เคยมี ...แม้กระทั่งตัวตน
“แบบนี้ดีแล้วเหรอ” ผักกาดถามด้วยเสียงที่สงบนิ่ง หากแต่แววตาที่ทอดมองนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยที่มีต่อผู้เป็นน้องชาย
“ดีที่สุดแล้วครับ” คะน้าตอบเบาๆ ด้วยสายตาที่เหมือนตรงหน้ามีเพียงอณูอากาศ เขาพลิกตัวกลับแล้วเดินจากมาด้วยท่าทางที่เหมือนกับเบื้องหน้านั้นไม่มีใคร และไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น น้ำเสียงปกติ แววตาและท่าทางปราศจากร่องรอยของความเจ็บปวด โศกเศร้า แม้แต่ชิงชัง ค้อยหลังผู้เป็นน้องชาย ผักกาดเดินเข้าไปหาทิมแล้วสบตาร่างสูงตรงหน้าอย่างแน่นิ่ง
“ทำแบบนี้เพื่ออะไร”
ไม่มีคำตอบใดๆ จากปาก ไหล่สูงทิมเพียงยกตัวขึ้นเล็กน้อย แล้วใบหน้าของผู้ถูกถามก็เบือนไปอีกทางคล้ายกับไม่สนใจไม่ได้ยิน ความเงียบและนิ่งสงบนั้นไร้ประโยชน์ เพียงครู่เดียว ผักกาดและตุลก็หันตัวกลับแล้วเดินตามคะน้าออกมา ทิ้งให้ชายหนุ่มอีกคนยืนอยู่ในห้องประชุมที่หรูหรา ...ทว่าเดียวดาย
อดีตเพื่อนบ้านที่บัดนี้กลายเป็นแขกผู้เยี่ยมเยือน ตุลถูกเชื้อเชิญมาที่คอนโดอีกครั้งด้วยผู้เป็นพี่สาวต้องการตอบแทนในน้ำใจ บ่ายอันเงียบสงบ ผักกาดสั่งอาหารง่ายๆ ขึ้นมาทานบนห้องแต่ไม่มีใครพูดอะไร หญิงสาวสาละวนหน้าแท็บเล็ตสี่เหลี่ยมเล็กๆ สะสางงานการต่างๆ ที่ค้างคา ขณะที่ตุลนั่งจ้องความว่างเปล่า กรอบกระจกใสสะท้อนแสงแดดสีส้มที่มุมขอบฟ้า ใบหน้าเรียบกริบดั่งผิวน้ำที่นิ่งสงบนั้นเหมือนกำลังจมอยู่กับความคิดบางอย่าง
ส่วนตัวคะน้าเองนั้น ในใจของเขาเวลานี้นั้นแทบไม่ต่างอะไรกับผู้รอดตายจากโลกที่แทบแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับภูมิทัศน์ทุกอย่างรอบๆ ตัวนั้นเปลี่ยนไป เส้นขอบฟ้าเปลี่ยนตำแหน่ง พระอาทิตย์เปลี่ยนสี เศษเสี้ยวที่หลงเหลือจากพิบัติภัยที่เลวร้ายคือร่องรอยของลมหายใจที่เพียงให้พอแช่มชื่นใจ
“ผมจะไม่ขายที่ดิน เราจะไม่ทำสัญญาใดๆ กับธาดาพิพัฒน์” เสียงของคะน้าดังเสียดขึ้นมา ผักกาดและตุลที่นั่งกระจายอยู่ในแต่ละมุมห้องเงยหน้าขึ้น สักพักผู้เป็นพี่สาวก็เอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงที่เหมือนจะเตือนสติ
“สิ่งมีค่าที่สุดที่ป๊ากับแม่มอบเอาไว้ให้กับเราทั้งคู่ ไม่ใช่ที่ดินในทำเลเศรษฐกิจและไม่ใช่ตลาดที่เราเติบโตขึ้นมาแต่เล็กแต่น้อย มันเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่ามากกว่านั้น มรดกที่ไม่ว่าจะถูกโจรปล้นกี่ครั้งหรือไฟจะโหมแค่ไหนก็ไม่อาจจะทำให้มันสูญสลาย และเพราะเหตุนี้มันจึงมีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินใดๆ ที่เรามี” ผักกาดขยับตัวเองออกจากสิ่งที่จดจ่ออยู่ตรงหน้าแล้วมุ่งมาที่น้องชาย
“ความรู้และหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักที่ท่านมอบไว้ให้กับต่ายและพี่นั้นคือสิ่งที่มีค่าที่สุด ...ไม่ใช่ของที่สูญสิ้นพังทลายได้แบบนั้น อย่าทิ้งมันไปในเวลาแบบนี้ เจ้อยากให้ต่ายใช้เวลากับมันนานๆ” มือเล็กๆ นั้นตบลงบนบ่าของคะน้าเบาๆ แล้วหันไปทางแขกที่นั่งง่วนอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วส่งเสียงทักทาย
“มัวแต่ทำงานจนลืมทักไปซะแล้ว ว่าแต่คุณหมอขา ทำไมปุปปับถึงย้ายออกล่ะ สาวๆ เสียใจแย่” คำถามนั้นดูจะดึงให้ชายหนุ่มสวมแว่นเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสีหน้าแบ่งรับแบ่งสู้
“หลายๆ อย่างครับ” จัดว่าเป็นรอยยิ้มตามมารยาทที่เจ้าตัวมักพกติดบนใบหน้าเป็นประจำ ตุลละมือจากคีย์บอร์ดแล้วยกขึ้นมาขยับขาแว่นพลาสติก “หลักๆ ก็... อืม... ความสะดวกมั๊ง” เป็นคำตอบที่ทำให้ผักกาดนิ่วหน้าไปเล็กน้อย หญิงสาวย่นจมูกและรั้นปากขึ้นก่อนจะถามต่อแบบไม่อยากจะใส่ใจกับคำตอบที่ผ่านมา
“สะดวกกายหรือสะดวกใจล่ะคะคุณ” หญิงสาวตั้งคำถามอย่างไม่เกรงใจ “แล้วนี่จะขายเลยหรือเปล่า ถ้ายัง ย้ายกลับมาอยู่ที่นี่น่าจะสะดวกกว่านะ เจ้อยากมีเพื่อนบ้านหล่อๆ” ตุลไหวหน้าไปมาพร้อมกรอบรอยยิ้มที่ขยายกว้างขึ้น นั่นคือคำปฏิเสธในแบบฉบับของเจ้าตัวที่มักจะเลือกที่รักษาน้ำใจอีกฝ่ายเสมอ
“กำลังพยายามปรับตัวให้ชินกับอะไรใหม่ๆ อยู่น่ะครับ” หญิงสาวมุ่ยหน้าขึ้นอีกครั้ง แต่ก็เลือกที่จะเปิดเผยความคิดในใจทุกอย่างตามนิสัยที่คุ้นเคย
“พูดอะไรแปลกๆ แล้วนี่กลับมานานหรือยัง”
“ก็สักพักน่ะครับ”
จากนั้นก็มีบทสนทนาสั้นๆ ประเภทถามมาตอบไปโต้ตอบอยู่กันอีกหลายนาที โดยมากเป็นคำถามคำตอบเชิงสารทุกข์สุกดิบ เรื่องราวงานวิจัยของตุล และการใช้ชีวิตหลายเดือนในดินแดนที่ห่างไกล คะน้าดูจะไม่ได้สนใจฟังอะไรมากมาย นานๆ ทีเขาจะเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มที่ไร้ความหมายแล้วก้มลงมองความว่างเปล่าในมือของตนเอง จุดสิ้นสุดของการพูดคุยคือการที่ผักกาดเดินกลับเข้าไปในห้องนอนแล้วซุกตัวอยู่หน้าโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยเอกสารมากมาย
ตุลหันกลับไปสนใจที่หน้าจอสี่เหลี่ยมผืนผ้าตรงหน้าต่อ ไม่ว่าจะในสถานการณ์ไหนและเวลาใด หมอหนุ่มนั้นรู้จักที่จะวางตัวเป็นอย่างดีและไม่สร้างความอึดอัดใดๆ ให้กับทั้งเจ้าของห้องทั้งสอง กับคะน้าแล้ว ความรู้สึกหลังจากการลาจากนั้น อัดแน่นไปด้วยความเป็นห่วงที่ตุลต้องใช้ชีวิตอยู่ผิดบ้านผิดเมืองในสภาวะของจิตใจแบบนั้น ความห่วงใยที่ตุลมีให้กับเขาเสมอมา ไม่ต่างอะไรเลยกับที่คะน้าห่วงใยตุล เขากังวลกับเรื่องสารพัด ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นไม่มีสิ่งใดที่อยากจะพูดคุยถามไถ่ไปมากกว่าการได้เห็นรอยยิ้มของตุลอีกครั้ง ดังนั้นการได้พบกันในครั้งนี้ แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับคะน้าไม่น้อย หากแต่สิ่งคั่งค้างที่ได้ทุเลาเบาบางนั้นช่วยให้เขาตัดเรื่องที่รบกวนจิตใจไปได้มากขึ้น คะน้าในตอนนี้มีเพียงแค่ความดีใจและหมดห่วงเมื่อเห็นคนที่ดีกับเขามากที่สุดคนหนึ่งในชีวิตมีความสุข และสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ดี
เสียงหน้ากระดาษที่พลิกตัวดังขึ้นเป็นระยะ ชายหนุ่มสวมแว่นยังคงจดจ่ออยู่กับเอกสารมากมายตรงหน้า นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุร้ายๆ นั้น ตุลดูจะปฏิบัติต่อเขาแบบเพื่อนที่ห่วงใยและให้เกียรติกันมากกว่าจะพยายามหาทางหวนคืนไปสู่ความรู้สึกแบบเดิมๆ ไม่เคยหยอดคำหวาน ไม่แม้แต่จะแสดงความรู้สึกใดๆ ผ่านแววตา ทุกครั้งมีเพียงแค่การไถ่ถามอาการบาดแผล ปฏิบัติและดูแลเหมือนหมอที่ดูแลคนไข้ทั่วไป
หมดห่วงเรื่องของตุล คะน้าผนึกตัวเองอยู่กับความว่างเปล่า ตั้งคำถามซ้ำๆ ว่าจะมีของวิเศษใดในโลกที่ทำให้มนุษย์เราสามารถมองทะลุความเสแสร้งจอมปลอมของกันและกันได้ ถ้ามีก็คงจะดี เพราะความเจ็บปวดจากการถูกทรยศนั้นมีรสชาติขมจนอยากสำรอก และเขาก็ไม่รู้เลยว่าอีกนานแค่ไหนบาดแผลนี้จะเยียวยาจนหายดี
ใครๆ ก็บอกว่ารักครั้งแรกนั้นมักลงเอยด้วยความเจ็บปวด เขากระจ่างแล้วในวันนี้ว่ามันเจ็บและทรมานแค่ไหน เพราะรักครั้งแรก ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย และถ้ามันพ่วงมาด้วยความทรยศหักหลัง ความเจ็บนั้นรุนแรงเหลือเกินกับมือใหม่แบบเขา
ถ้าถามว่ายังรักไหม คำตอบในใจนั้นมีได้โดยไม่ลังเล เขาเป็นแค่คนธรรมดา มีหัวใจ มีความรู้สึกไม่ต่างกับใครๆ ถ้าถามว่าอยากสิ้นสุดทุกเรื่องราวเหล่านี้หรือเปล่า ในความลังเลที่ก่อตัวขึ้นในใจ คะน้าเลือกที่จะให้ทุกอย่างจบลง ชายหนุ่มลุกขึ้นแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง
ผมเหนื่อย ในหัวสมองว่างเปล่าเหมือนกับอวกาศที่เวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา ตัวเบาหวิวเหมือนกับกำลังล่องลอยและเจือจางอยู่ในมวลอากาศบางเบา ผ้าปูเตียงยวบไปตามน้ำหนักตัวจนย่นยับ เครื่องปรับอากาศที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียสกลับหนาวเหมือนจุดเยือกแข็ง ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ หลายวันที่ผ่านหมดไปกับการทอถักสายใยที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ บันทึกที่อยู่ในที่ไหนสักแห่งในความทรงจำนั้นกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ ไม่รู้วัน ไม่รู้เวลา ผมลืมตาอยู่ในความมืดดำที่เงียบงัน ฟังเสียงเข็มนาฬิกาค่อยๆ ขยับตัวไป
เสียงฝีเท้าที่สัมผัสกับผืนพรมยวบยาบไปมาที่หน้าห้อง มีเสียงอื่นๆ เล็กน้อยที่คะน้าอุปทานว่าคงเป็นเสียงเก็บคอมพิวเตอร์แล้วข้าวของอื่นๆ ตุลปรากฏตัวอยู่ที่หน้าห้องที่มืดมิด หากแต่เจ้าของห้องไม่มีกระใจจะพูดจาสนทนาใดๆ ในยามที่ความฝันแตกกระจายและเจียนจะสิ้นสูญ
“ผมอยากขอตรวจข้อเท้ากับสะเก็ดแผลสักหน่อยน่ะครับ”
ได้ยิน แต่อยู่ๆ เขาก็ไม่อยากพูดอะไร ไม่อยากสนใจรับรู้ใดๆ ขึ้นมา เหมือนส่วนลึกเรียกร้องอยากให้พัก พักทั้งกาย พักทั้งใจ และก็ไม่มีคำอธิบายใดๆ มากไปกว่านี้ เสียงเคาะประตูที่เปิดกว้างดังขึ้นอีกครั้ง และเงาสูงสีดำนั้นก็ยังนิ่งรออยู่สักพัก หากแต่มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ ชายหนุ่มผู้สวมแว่นจึงก้าวเข้าห้องมา เจ้าของห้องยังคงแน่นิ่ง ดิ่งดำไปกับความรู้สึกบางอย่างที่ปกคลุม มีเพียงดวงตาที่เปิดอยู่คอยมองร่างสูงที่เคลื่อนเข้ามาใกล้
“คะน้า... คะน้าครับ” เสียงทุ้มๆ นั้นขานชื่อซ้ำ แต่อยู่ๆ กล่องเสียงผมก็หมดถ้อยคำเอาดื้อๆ
“หลับแล้วหรือครับ” ตุลยังคงถามซ้ำ และที่ผมทำอยู่ในตอนนี้คือมองร่างสูงใหญ่สีดำที่มีแสงสลัวจากด้านนอกลอดเร้นจากเบื้องหลัง
“คุณคะน้า” ตุลเดินมายืนใกล้ๆ ที่เตียง ทอดสายตามองคนที่นอนอยู่
“หลับเสียแล้วสินะ”
มีเสียงผ่อนลมหายใจช้าๆ กับแสงจากภายนอกของห้องซึ่งทอดตัวเป็นเงาสีขาวที่ยาวเหยียด ช่วงเวลาที่แสงสว่างและเงากำลังเกี่ยวก้อยเป็นสหายที่ไม่คุ้นหน้ากัน ตุลนั่งลงที่ปลายเตียง เอื้อมมือขึ้นและจับที่ข้อเท้าซ้ายของคะน้า พลิกและดันเบาๆ สายตาจับจ้องไปในความมืดที่เลือนลาง หมอหนุ่มทิ้งประสาทการรับรู้ทั้งหมดไว้เพียงบนปลายนิ้วบนข้อเท้า เขารู้สึกถึงแรงตึงเล็กน้อยในจังหวะที่มือกว้างนั้นจับพลิกและนวดคลึงเบาๆ ภายใต้สีดำที่หม่นมัว คะน้าเห็นรอยยิ้มของตุลค่อยๆ คลี่ตัวออกคล้ายกับโล่งใจ ชายหนุ่มที่ย่อตัวคุกเข่าอยู่ที่พื้นรั้งผ้าห่มที่อยู่บนตัวเขาขึ้นอีกนิด แล้วก้มใบหน้าลงดูสะเก็ดแผลในความสลัว สองมือเคลื่อนไหวอย่างแคล่วคล่องทว่ากลับแผ่วเบาราวกับขนนก สำสีเย็นๆ ปาดซับลงบนผิว ตามด้วยตัวยาบางอย่างที่มีกลิ่นฉุนเล็กๆ แค่เพียงไม่กี่นาทีในสายตา ตุลก็จัดแจงทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย
คนใส่แว่นเก็บกล่องปฐมพยาบาลแล้วหยิบยกขึ้นมาวางใกล้ตัว มือทั้งสองดึงผ้าห่มคลุมทั่วทั้งตัวเขาจนมิดชิด จากนั้นก็หันไปหยิบรีโมตสี่เหลี่ยมเล็กๆ ขึ้นมา คะน้าได้ยินเสียงกดอะไรบางอย่างก่อนที่อุณหภูมิในห้องจะอุ่นขึ้นจนน่านอน ตุลเดินมาใกล้ๆ อีกครั้ง ย่อตัวแล้วนั่งลงบนเตียง มือกว้างสัมผัสศีรษะเขาในความมืดแล้วลูบเบาๆ คะน้ามองทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้า ไม่ได้ตระหนก แต่ก็ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดจินตนาการ
“เหนื่อยไหม... ไม่เป็นไรนะครับคนดี”
ไม่อาจคาดเดาสีหน้าท่าทางของตุลจากเงาสะท้อนของแสงในความมืดได้ และยากที่จะบอกได้ว่าความสั่นสะเทือนของคนที่ขยับมานั่งอยู่เคียงข้างในตอนนี้นั้นจะทำสิ่งใดต่อไป ทุกสิ่งนิ่งและเงียบจนมีเพียงเสียงลมหายใจที่หมุนวนเข้าออกราวกับจะดำเนินไปชั่วนิรันดร์ คะน้าขยับหน้าผากที่แนบกับหมอนขึ้น มองดวงตาสีเข้มที่ทอแสงอุ่นในท่วงท่าที่เรียบและเฉยชาของตุล สัมผัสแผ่วเบาของปลายนิ้วที่พร่างพรมบนหัวนั้นทำให้เขารู้สึกแปลกขึ้นมาในใจ ...ท่วงทำนองที่ปราศจากดนตรีดังขึ้นพร้อมกับเสียงอ่อนโยนที่ทุ้มกังวานในความมืด
คะน้าหม่นดวงตาลง นับตั้งแต่พบกันอีกครั้ง ทุกอย่างคงเป็นเพียงการกดความรู้สึกเอาไว้ คนๆ นี้เพียงแค่เฝ้าและมองดูห่างๆ โดยไม่ทำให้เขาลำบากใจ ตุลซ่อนทุกความรู้สึกเอาไว้ด้วยเปลือกนอกที่เฉยชา ไม่เคยเรียกร้อง ไม่เคยอ้อนวอน ไม่มีสักครั้งที่ดวงตาคู่นั้นจะเผยให้เห็นถึงสิ่งที่อัดแน่นจนล้นใจแบบในเวลานี้
เหนื่อยพอแล้ว เจ็บพอแล้ว สิ่งเลวร้ายให้แล้วล่วงไปเป็นเพียงแค่ฝัน
จะกอดเธอไว้ จวบจนสิ้นแสงจันทร์ จากนี้เธอไม่มีวันเดียวดาย
การเคลื่อนไหวของตุลนั้นเชื่องช้าราวกับจะไม่ให้สัมผัสที่นุ่นนวลนั้นเสียดสีใดๆ ให้ระคาย คะน้าลอบมองใบหน้านั้นในความมืด ฟังทุกสรรพสำเนียงที่สะท้อนไปมา ทุกถ้อยคำที่เรียงร้อยออกมาเป็นจังหวะสูงต่ำ ฝ่ามือกว้างค่อยๆ ตระกองบนบ่าและแผ่นหลังของเขาด้วยสัมผัสที่อ่อนโยน ความอบอุ่นนั้นราวกับจะดูดซับน้ำหนักที่ไม่มีตัวตนซึ่งแบกไว้ตลอดระยะเวลาหลายวันในใจของเขาให้ผ่อนเบา
จะเคียงข้างเธอทุกคืน และจะคอยสบตาเมื่อตื่น อย่าคิดอย่านึกกังวลกับสิ่งใด
จะกล่อมให้เธอฝันดี จะไม่ยอมให้เธอฝันร้าย หลับตาพักให้สบายคนดี
สัมผัสที่อ่อนโยนนั้นราวกับกุญแจที่ปลดสลัก เกราะปราการที่ก่อสร้างขึ้นอย่างแน่นหนาค่อยๆ ผุพังลงช้าๆ ชิ้นส่วนความทรงจำที่แตกกระจัดกระจายในหลายวันที่ผ่านมาค่อยๆ ประกอบตัวเข้าทีละเล็กละน้อย ตัวตนแท้จริงที่เปราะบางของคะน้าค่อยๆ กลับมาอีกครั้ง
ฮืม... หลับเถอะนะแล้วฉันจะพาเธอข้ามคืนนี้
จะกอดเธอไว้ จะอยู่ที่ตรงนี้ กล่อมเธอให้นอนฝันดีตลอดคืน
หยดน้ำตานั้นเหมือนกับพระเจ้าที่ทำหน้าที่ชะล้างทุกสรรพสิ่งที่ขุ่นมัวจนบริสุทธิ์ ความชื้นที่ก่อตัวขึ้นในดวงตานั้นค่อยๆ เคลื่อนตัวตามกฎแรงโน้มถ่วงของโลก ทิ้งตัวลงช้าๆ พร้อมกับความรู้สึกมากมายที่ละลายออกมาพร้อมกับมัน
ในความมืดที่สงบเงียบ และบนร่างกายที่เหมือนคนไร้ความทรงจำ ผมร้องไห้ ...เป็นการร้องไห้โดยที่แม้แต่ตัวผมเองก็ไม่รู้ตัว ไม่รู้จุดเริ่มต้น และไม่รู้จุดสิ้นสุด ทุกสัมผัสของร่างกายด้านชาไม่เคลื่อนไหว ผมกำลังเจ็บอยู่หรือเปล่า กำลังเสียใจอยู่หรือไม่ ผมกำลังผิดหวัง หรือว่ากำลังรู้สึกเบาใจ ผมไม่รู้ ...ไม่รู้อะไรเลย
“ฝันร้ายนะครับ ...ไอ้น่ารัก”
แรงกดยุบบนฟูกนุ่มค่อยๆ คลายตัวพร้อมกับเสียงปิดประตูเบาๆ ที่ดังขึ้นในนาทีถัดมา นับตั้งแต่เปลวไฟเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่างจนเหลือเพียงความว่างเปล่า นี่คือน้ำตาหยดแรกที่ไหลออกมา ครั้งแรกในรอบระยะเวลาหลายๆเดือน และเป็นการร้องไห้ที่ทำให้ผมลืมทุกความเสียใจที่เคยผ่านมาจนหมดสิ้น
ท่ามกลางความว่างเปล่าที่มืดมิด เสียงสะอื้นของผมดังขึ้นมาอย่างไม่อายใคร
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผ่านไปอีกหนึ่งตอน ถึงตอนนี้แล้วไม่รู้ว่าคนอ่านจะเลือกทางไหนนะ
เชื่อทิมต่อ หรือว่าหันกลับมามองที่ตุลที่ดูแลคะน้าอยู่ใกล้ๆ แบบไม่คิดแสดงออก
รักครั้งแรกของต่ายจะโชคดีกลายเป็นรักสุดท้ายไหม หรือว่าจะมีความรักที่ดีกว่าเข้ามา
ถ้าเป็นแบบนั้น คะน้าจะเลือกจะลืมอดีตแล้วก้าวต่อ หรือเลือกจะอยู่คนเดียวไปเรื่อยๆ
ที่ผ่านมาทิมแค่เพียงเล่นละครหรือเปล่า แล้วการกลับมาของตุลครั้งนี้จะลงเอยอย่างไร
อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างตุลและทิม รวมทั้งคิสมาร์กเจ้าปัญหา
แล้วเป็นการลอบวางเพลิงหรือไม่ ต่ายน้อยจอมพลังและผักกาดจะทำอย่างไรต่อไป
บทสรุปของทุกๆ เรื่องที่คาใจจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามนะคร้าบบบบบบบบบ...