(ต่อเลยนะครับ)
“やだも~!”เสียงวี๊ดของผักกาดดังขึ้นจากหน้าประตูจนคนทั้งสองสะดุ้ง
“อกอีแป้นจะแตก!! Do I have supposed to see something like this ค๊า? ああ~” สารพัดภาษาเท่าที่พอจะนึกออกตอนไม่มีสติพร่างพรูออกมาจากปากของอดีตนักศึกษาปริญญาโทจากญี่ปุ่นจนตีกันมั่วไปหมด คะน้าสะดุ้งสุดขีด สัญชาตญาณจึงรีบผลักทิมไปให้ห่าง ลืมไปแล้วซึ่งร่องรอยที่ฟกช้ำตามร่างกายจนชายหนุ่มกลับลงไปนั่งร้องโอดโอยบนโซฟา
“น้องเจ้ จะทำอะไรช่วยให้มันมิดชิดกว่านี้นะคะ ไม่ต้องเผื่อแผ่เจ้ค่ะ ถึงเจ้จะเป็นสาวยุคใหม่ แต่ก็ยังไม่ก๋ากั่นพอ โอย... หัวใจจะวาย” ติดเสียว่าไม่เคยพกติดตัว ไม่อย่างนั้นผักกาดคงควักยาดมขึ้นมายัดสองรูจมูกเอาเสียให้ได้ ไม่เชิงว่ารับไม่ได้ แต่เห็นแล้วมันจักจี๋แปลกๆ “ต่ายซัง ...เจ้จะเป็นลม”
“คือมันไม่ใช่อย่างนั้นนะเจ้”
“ฟังไม่ขึ้นค่ะ มันฟังไม่ขึ้น mouth to mouth - skin to skin ขนาดนั้น ああ~” ผักกาดยังไม่วายส่งเสียงประหลาดด้วยความตกใจ ทิมเผลอหัวเราะขำจนตัวสั่น ขณะที่คะน้ารีบหันไปพะงาบปากห้ามเป็นระวิง
“ไม่ใช่นะเจ้ ทิมมันช้ำไปทั้งตัว ไม่รู้จะทำยังไง ยาพวกนี้ก็ใช้ไม่เป็น” โบ้ยมือไปทางกล่องยาที่วางอยู่ตรงหน้า จนผักกาดเริ่มคลายความตกใจลงไปบ้าง แต่ก็ไม่วายมองแบบจับผิดมาที่ชายหนุ่มทั้งสอง กวาดตามองสำรวจริมฝีปากน้องชายที่เจ่อแดง แล้วมองไปที่อีกคนที่เปลือยท่อนบน สภาพริมฝีปาก ไม่ค่อยต่างกัน แล้วกวาดมองต่อไปที่รอยช้ำเป็นจ้ำๆ
“ตายจริง!!! ทำไมเราสองคนคิสมาร์กรุนแรงแบบนี้ เจ้เพลีย เจ้จะเป็นลมมมม...” ผักกาดทำท่าหน้ามืดอีกครั้ง
นับเป็นเวลาหลายนาทีที่จะอธิบายความกันรู้เรื่อง สุดท้ายผู้เป็นพี่สาวก็สอนสองหนุ่มถึงวิธีการใช้ยาต่างๆ คะน้าทำตามที่ผักกาดบอก หยิบหยูกยาแก้ฟกช้ำแล้วนวดเบาๆ ไปตามจุดต่างๆ โดยมีผักกาดคอยกำกับการดูแลรักษาน้องเขย (?!?!) อย่างใกล้ชิด
“จะว่าไปแล้วก็คิดถึงเจ้าตุลมันนะ ถ้ายังอยู่จะได้ช่วยตามมาดูกัน ไม่ต้องรอเจ้”
ผักกาดบ่นไปอย่างเรื่อยเปื่อย หากแต่คำพูดเหล่านั้นกลับหวนทำให้คิดไปถึงคนที่อยู่ห่างไกล หลายเดือนแล้วนับตั้งแต่เอ่ยลาในวันนั้น คะน้าไม่ได้รับข่าวคราว ไม่ได้รู้เรื่องความเป็นไปของตุลเลยแม้แต่น้อย ยอมรับได้อย่างเต็มความรู้สึกว่าคิดถึง มันไม่ใช่ความรู้สึกรักใคร่ ผูกพัน มันปะปนไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ยิ่งย้อนกลับไปคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาด้วยกัน ก็ยิ่งรู้สึกใจหายกับการจากไป
...เคยคิดเล่นๆ ไหม ถ้าวันนั้นเลือกเส้นทางอีกทาง วันนี้มันจะเป็นอย่างไร?แค่สงสัย แค่อยากรู้ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่ามันก็เป็นแค่คำถามที่ไม่มีทางรู้คำตอบก็ตาม
“หลงคิดดีใจว่ามีคนเป็นหมออยู่ใกล้ๆ ตัวแท้ๆ ดันไปต่างประเทศซะได้ อ้อ! ต่าย... เราได้ข่าวตุลบ้างไหม?” ผักกาดหันมาถามเหมือนไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งไปกว่านั้น หากแต่คำถามนั้นกระทบกับใจของเขาเหลือเกิน
หลายวันก่อนคะน้าเพิ่งรู้ว่าพยาบาลที่แวะเวียนมาซื้อไอศกรีมทานทุกวันที่ตลาดนั้นคือ จิ๋ว ที่เคยมากับตุล ความคิดวูบแรก ผมแอบคิด ...แอบคิดว่าตุลจะมาด้วยไหม แต่เวลาผ่านไปนานแค่ไหน กี่วันต่อกี่วัน ก็มีแต่จิ๋วที่มาซื้อไอศกรีมใส่กระติกกลับไป
คิดแล้วก็น่าขำ ผมยังแอบตั้งคำถามเล่นๆ ในใจว่าซื้อไปทานกับตุลหรือเปล่า พอแอบทาน เธอก็บอกแค่ทานกับเพื่อนๆ ในวอร์ด ครั้งหนึ่ง ผมเคยถามไปว่าพอจะได้ข่าวของตุลบ้างไหม จิ๋วแค่ส่ายหน้า จ่ายเงิน แล้วเดินจากไป ห้องข้างๆ ที่เคยได้ยินเสียงกีต้าร์เบาๆ ทุกคืน เงียบสนิทมาเนิ่นนาน ...นานจนผมลืมว่ามีความทรงจำของผมอยู่หลังกำแพงนั้น
“ไม่ครับ ...ไม่รู้เลย”
ถ้าได้เจอกันอีกครั้งก็คงดี ...ถ้าได้เจอกัน ผมจะบอกกับเขาว่าผมทานของเผ็ดน้อยลงแล้ว น้ำอัดลมก็ด้วย เดี๋ยวนี้ผมว่ายน้ำ ผมออกกำลังกายบ้าง ก็ดูแลรักษาสุขภาพน่ะ อีกอย่างก็คงเป็นเรื่องที่ทุกวันนี้ผมหัวเราะเสียงดัง มีความสุขมากๆ เลยมั๊ง แล้ว... แล้วผมก็เลิกร้องไห้แล้วนะ เจออะไรหนักๆ ก็จะยิ้มสู้ จะอดทน จะไม่ขี้แยเป็นเด็กๆ
แม้แต่ต่อหน้าป๋ากับแม่ ผมก็ไม่ร้องไห้แล้ว ...และจะไม่ร้องอีกแล้ว
...ผมไม่เคยลืมคำสัญญา“น่าเสียดายนะ ไม่รู้ว่าย้ายไปอยู่ไหน เห็นแม่บ้านบอกว่าหลายวันก่อนมีบริษัทเข้ามาขนย้ายของออกไปหมดเลย ห้องก็ปล่อยขายแล้ว”
“ย้ายของออกหมด? ปล่อยขาย?”
คะน้าถึงกับอึ้งเหมือนโดนตี ตุลบอกว่าจะกลับมาอยู่ที่เดิม แต่แล้วจู่ๆ ก็ปล่อยห้องขาย หมายความว่าอะไร? ตุลจะไม่กลับมาไทยแล้ว? หรือว่าจะกลับมาแต่ย้ายที่อยู่? และไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน เหตุผลในการตัดสินใจครั้งนี้คืออะไร? ...เป็นเพราะเขาหรือเปล่า? เพราะทางที่เขาเลือกเดินในวันนั้น
“เห็นว่าฝ่ายรีเซลเริ่มพาลูกค้ามาดูบ้างแล้ว เราจะได้เพื่อนบ้านคนใหม่แบบไหนนะ ลุ้นจริงๆ” ผักกาดพูดไปพร้อมกับเก็บอุปกรณ์ปฐมพยาบาลลงกล่องแล้วจัดแจงให้เป็นระเบียบ
ความรู้สึกหน่วงก่อตัวขึ้นในใจอย่างรวดเร็วจนคะน้าตั้งตัวไม่ทัน จะเรียกได้ว่าเขาถูกจู่โจมด้วยความผิดหวังอย่างนั้นหรือเปล่า ภาพสุดท้ายของตุลที่จดจำได้ในความคิดเป็นชายหนุ่มผิวขาวสูงโปร่ง แววตาใต้กรอบแว่นดูหมองเศร้า ใบหน้าที่เคยแต้มด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนโลกให้สว่างได้ทั้งใบนั้นดูฝืดเฝือน มีเพียงรอยยิ้มบางๆ ...บางเหมือนแสงแดดในไอหมอกที่มืดมัว
“เหม่ออยู่นั่นแหละ เป็นอะไร” เสียงเปรยของทิมลอยขึ้นมาในอากาศ ดึงคะน้าออกจากความคิดที่เวียนวน
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร แค่แปลกใจนิดหน่อย”
“ตกลงว่ามี หรือไม่มีอะไร” เสียงทุ่มดูจะขุ่นขึ้นมากะทันหัน ใบหน้าของเจ้าของเสียงดูจะไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ไม่แปลกเลยที่ทิมจะพอคาดเดาทุกอย่างในความคิดของคะน้าออก ซึ่งเขาไม่ได้มีเจตนา แต่มันรวดเร็วจนคะน้าตกใจจริงๆ
“พอๆ สองคนไม่ต้องมาเล่นซีนหึงหวงพ่อแง่แม่งอนแถวนี้ แค่ซีนเดียวที่เจ้เห็น เจ็ก็ไม่ไหวแล้ว เจ้อยากจะเป็นลม” ผักกาดกุมขมับส่ายหน้าห้ามทัพ เล่นเอาสองหนุ่มนักแสดงทำหน้าไม่ถูก จะขำก็ไม่เชิง จะเขินก็ไม่ใช่
“ไหนๆ ก็ไหนๆ อยู่กันพร้อมหน้า เจ้ของถามเราหน่อยได้ไหม ซีเรียสนิดนึง ทิมก็ด้วย เจ้อยากฟังความคิดเห็นหน่อย” ผักกาดรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนที่จะได้เห็นซีนที่ว่าต่อ
“ที่ตลาดเป็นยังไงบ้างน่ะ มันดีขึ้นไหม พักหลังๆ คนเริ่มเลิกขายกันไปเยอะ เจ้ก็เข้าใจนะ เดี๋ยวนี้การแข่งขันมันสูง เราไม่ได้สู้แค่พวกห้าง พวกซุเปอร์ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ตลาดนัด หรือแม้แต่ตลาดสดด้วยกัน เรายังต้องสู้กับอาหารสำเร็จรูป อาหารพวกเดลิเวอรี่ตามบ้านต่างๆ อีก ตัวเลขมันติดลบต่อเนื่องเลยจนคนดูบัญชีเขาท้วงเจ้มา”
คะน้าถอนหายใจ ยอมรับกับปัญหาที่เกิดขึ้นแต่เขาก็จะพยายามแก้ไขอย่างดีที่สุด ที่ผ่านมาก็พยายามปรับปรุงตลาดให้น่าเดินขึ้น และเสียงตอบรับก็ค่อนข้างเป็นไปด้วยดี แต่มันคงต้องใช้เวลาที่มากกว่านี้
“เจ้เองแหละที่ผิดที่ปล่อยให้เราดูคนเดียว ต่าย... อย่าทำหน้าหนักใจแบบนั้น เจ้เห็นแล้วเซ็ง คุยกันสบายๆ ดีกว่า ช่วยๆ กัน อะไรที่พอทำได้ก็จะได้ทำ” สีหน้าของคะน้าดูจะดีขึ้นมาสักหน่อยหลังจากได้ยินถ้อยคำของพี่สาว
“ตอนนี้ตัวแผงต่างๆ ในตลาดก็โอเคกับสิ่งที่ทางเราดูแลนะ แต่ปัญหาคือจำนวนคนมาเดินที่ลดลง ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง เสียงตอบรับจากคนที่เดินอยู่มันก็ดี แต่คิดว่าทุกอย่างก็คงต้องใช้เวลาถึงจะขยายสู่วงกว้าง” คะน้าตอบตามความเป็นจริงในสิ่งที่เขาคิด
“บริษัททำบัญชีบอกมาอีกว่ามีคนมาขอซื้อที่จากเรา เขาก็เชียร์ใช้เราขายนะ เพราะตัวเลขมันแดงมานาน อีกอย่างคือเขาก็ให้ราคาสูงมาก ถามไปทางญาติฝั่งป๋าด้วย ทางนั้นก็นะ เห็นอะไรเป็นเงินเป็นทองไปหมด เห็นว่าจะทำคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่แบบครบวงจร เจ้เคยปฏิเสธไป ก็ยังสู้ราคาไม่ถอย แถมบอกว่าจะยอมรับข้อเสนอทุกอย่าง”
“เจ้ผมขอได้ไหม... ผมคงไม่ขายนะ ผมรับไม่ได้ สำหรับเราทุกคน เจ้ก็รู้ว่าที่นี่มันไม่ใช่แค่ตลาด หรือแค่ที่ค้าขาย มันมีอะไรมากกว่านั้น อีกอย่างถ้าเราขายไป แล้วคนที่ตลาดจะทำอะไรกินกัน เขาอยู่กันมาเป็นสิบปี จู่ๆ หายไป มัน... ผมคิดไม่ออกจริงๆ มันคงยากสำหรับทุกคนนะเจ้”
“แล้วเราน่ะ โอเคใช่ไหมกับที่ต้องทำงานแบบนี้ ไม่ได้ดูโก้แบบเพื่อนๆ ของเราที่ตอนนี้เติบโตไปไหนๆ กันแล้ว” ผักกาดมองน้องชายของตนเองด้วยความเป็นห่วง
“ผมโอเคครับ ที่นี่อาจไม่โก้ ไม่มีชื่อเสียงหน้าตา แต่ที่นี่ มันทำให้ผมมีความสุขทุกวัน คิดไม่ออกจริงๆ นะเจ้ ว่าไม่มีมันแล้วชีวิตวันพรุ่งนี้ ตื่นมาแล้วจะทำอะไร” คะน้าตอบเสียงใสพร้อมกับรอยยิ้ม
อยากจะเก็บที่นี่ไว้สำหรับทุกคน เสียงหัวเราะของเจ๊เป็ด เสียงทะเลาะกันของจันทูและสายใจ เสียงต่อราคาของคนที่มาจับจ่ายซื้อของ แม้แต่รอยยิ้มของทุกๆ คนในตอนที่เดินกลับออกไปพร้อมกับข้าวของเต็มมือ ทุกคนช่วยกันทำทุกอย่างเพื่อให้คนที่จากไปรู้สึกอยากกลับมาเดินที่ตลาดใหม่ สินค้าราคาประหยัด มีคุณภาพ อาหารปลอดสารพิษ แม้กระทั่งความอบอุ่น จริงใจเหมือนกับคนในครอบครัว
“ไอ้จ๋อ แกคิดว่ายังไง” ผักกาดหันมาตวาดเสียงแข็งใส่ทิมที่นั่งฟังจนเคลิ้ม เล่นเอาเจ้าตัวสะดุ้งขึ้นมา ดูทิมจะหงุดหงิดกับที่โนเรียกว่าเป็นลิงอยู่ไม่น้อย
“เงินก็เป็นเรื่องสำคัญ ธุรกิจก็คือเรื่องของกำไรขาดทุน มันขึ้นอยู่กับว่าพี่ผักกาดกับเมี...” ทิมชะงักกับสายตาคมกริบสองคู่ที่ทิ่มแทง “...กับต่ายจ๋ามองว่ามันคือธุรกิจหรือเปล่า ถ้าตอบตรงนี้ได้อย่างชัดเจน คำตอบมันก็มีอยู่ในตัวมันชัดแล้ว”
นับว่าคำตอบของทิมค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจสำหรับผักกาด หญิงสาวหันกลับไปยักคิ้วให้คะน้า
เดี๋ยว... ภาพนั้นมันคุ้นตาจนน่าตกใจ คะน้าหันกลับไปมองคนที่นั่งข้างๆ ท่วงท่า สีหน้าเรียกได้ว่าแทบจะไม่ต่างกัน หลังจากที่เคยครุ่นคิดอยู่นานว่าชายหนุ่มนั้นมีอะไรบางอย่างที่คุ้นตา เป็นอันว่าวันนี้คะน้าได้พบกับคำตอบชนิดเส้นผมบังภูเขานั้นแล้ว
มีคนเคยบอกว่าผู้ชายมักจะตกหลุมรักผู้หญิงที่มีลักษณะบางอย่างที่เหมือนกับแม่ของตนเอง
คะน้าหันกลับไปมองทิมที่เขม่นตาใส่พี่สาวเขาได้อย่างไม่ลดรา อีกฝ่ายก็ดูจะไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ความใจกล้า บ้าบิ่น และใจนักเลง เรียกว่าแทบจะไม่ทิ้งลายกัน ทิมหันมายกคิ้วใส่แบบที่เจ้าตัวเป็นนิสัย คะน้าถึงกับส่ายหน้าตัวเองในความคุ้นเคยที่มองผ่านไปอย่างไม่รู้ตัว
...และก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน“งั้นเราจะยืนยันว่าหัวเด็ดตีนขาดก็จะไม่ขาย” เสียงของผักกาดกึกก้องราวกับโฆษกประกาศประจำเวทีมวย “และเมื่อเราไม่ขาย ก็มาลองคิดกันดูว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง ในเมื่อปัญหาของเราคือคนเดินที่น้อยลง อาจจะเพราะไม่รู้จัก หรืออาจจะเพราะไม่อยากเดิน หรือจะอะไรก็แล้วแต่ นั่นเป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าตลาดเรามันพัฒนาไปแล้ว ทั้งๆ ที่เรามีอะไรหลายๆ อย่างที่น่าสนใจ” คะน้าพยักหน้าตาม ปัญหานี้เขาเคยขบคิดกับคนในตลาดหลายรอบแล้ว แต่มันก็ไม่ตกผลึกเอาเสียที
“แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เคยนั่งคิดกันแล้ว แต่ก็ดูจะไม่ใช่”
“ต้องแก้ให้ตรงจุด ถ้าชาวบ้านไม่รู้ ก็ทำให้รู้ซะ” พี่สาวโอบมือลงบนบ่าของน้องชายเบาๆ คะน้าหันไปมองมือที่วางบนบ่า ...นับว่าเหมือนมาก ...มากจริงๆ
“เชิญรายการทีวีมาถ่ายเป็นไง” คำตอบของผักกาดทำให้คะน้าตื่นตะลึง แม้จะฟังดูเข้าท่า แต่เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าที่ตลาดเล็กๆ แบบนี้จะเอาอะไรไปโชว์ “เจ๊จะให้เพื่อนช่วยหาทางติดต่อรายการมาถ่ายที่ตลาดของน้องเจ้ คราวนี้ล่ะ ได้รู้จักกันไปทั่วแน่ๆ”
“แต่จะเอาอะไรไปโชว์เขา ของผมก็เล็กแค่นี้”
“เฮ่ยยย! ไม่เล็กนะ!” เสียงทิมแทรกขึ้นมาชนิดไม่มีปี่มีขลุ่ย
ทุกอย่างจะตกลงสู่ความเงียบจนเข้าขั้นสงัด คะน้าหันไปมองทิม เจ้าตัวคงพอรู้ว่าผิดจังหวะและสถานการณ์ไปมากๆ ดวงตาคู่นั้นจึงกลอกไปมาอย่าหลุกหลิก ผักกาดหันมายิ้มเย็นจนคนอายุน้อยสุดในห้องคว้าถุงสำลีใกล้ตัวขึ้นมาดูอ่านวิธีใช้ เสียงทุ้มยังคงงึมงำเหมือนพูดกับตัวเอง
“ถึงจะเล็กกว่าก็ไม่ได้แปลว่าเล็กนะ พี่ทิมชอบนะ กำลังดีเลย” คะน้าคิ้วกระตุก ชักจะไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเนื้อตัวถึงมีแต่แผล มันวอนขนาดนี้
“...เกิดใหญ่กว่าก็เสียความมั่นใจหมดสิ”
คือว่าคุณมึงจะไม่เลิกใช่ไหม?คะน้าชักคันไม้คันมือขึ้นมตะหงิด ผักกาดรีบตบมือเป็นระฆังพักยกให้สองหนุ่ม “อย่าเพิ่งทะเลาะกัน โปรดให้เกียรติสุภาพสตรีที่สวยที่สุดในที่นี้ก่อนค่ะ”
“ฟังนะ เจ้มีไอเดียดีๆ และทุกคนต้องห้ามปฏิเสธ เราจะจัดการอะไรพิเศษๆ ที่ไม่เหมือนกับตลาดอื่นๆ ให้เห็นทั่วกัน ทำแบบนี้รับรองว่าจะต้องได้รับการกล่าวขานไปทั้งประเทศแน่นอน” ท่วงท่าและความมั่นใจของผักกาดทำให้คะน้ากับทิมงงว่าสิ่งที่ว่าคืออะไร
“อะไรเหรอเจ้ที่ไม่เหมือนคนอื่น” คะน้าถามด้วยอาการหวาดๆ ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนั้นขึ้นมา
“จันทูไง!”สองหนุ่มตะลึงจนอ้าปากค้าง “เจ้จะให้จันทูนำเต้นประกอบเพลงเป็นกิจกรรมรื่นเริงพิเศษให้กับลูกค้าในตลาด”
“จะดีเหรออออออ!!!” เสียงคะน้ากับทิมดังขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้คาดหมาย
“ดีแน่! แต่นั่นยังไม่ใช่ไฮไลต์เด็ดของตลาดเรา” สองหนุ่มมองหน้าผักกาดที่ยืนส่งยิ้มหวาน ...หวานไปนะ ...หวานจนน่าใจหายเลยนะ
หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้แล้ววางมือลงบนบ่าของชายหนุ่มทั้งสองคนเบาๆ จู่ๆ ขนแขนก็ลุกซู่ขึ้นมาอย่างประหลาด
“คะน้าน้องรัก... น้องทิมจ๊ะ... พี่ฝากทุกอย่างไว้ที่เราสองคนนะ”
แล้วเสียงหัวเราะหึหึของผักกาดก็เริ่มกลายเป็นเสียงกึกก้องจนน่ากลัว หญิงสาวหยิบแก้วน้ำเปล่าขึ้นมาแล้วชู่ขึ้นระดับหน้า “มาค่ะน้องๆ เรามาฉลองน้ำเปล่าให้ความสวยและความอัจริยะที่มาพร้อมกันของเจ้นะ”
คะน้าและทิมหยิบแก้วน้ำเปล่าของตนเองที่วางชืดมาตั้งแต่ตอนก่อนทำแผลขึ้นมาด้วยความจำใจ
“คัมปายยยยย!!!”
เสียงแก้วกระทบกันดังขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะแบบแปลกแปร่ง คะน้าไม่รู้ว่าอนาคตจะต้องเจออะไร แต่ถ้ามันจะพอทำให้อะไรๆ ดีขึ้นมาได้ ตัวเขาเองก็ยินดีที่จะทำ ...และจะทำให้เต็มที่ เต็มความสามารถ เพื่อรักษาทุกสิ่งทุกอย่างตรงนี้ไว้ให้เหมือนกับภาพในวันวาน
ที่นี่...มีรอยยิ้ม มีความผูกพัน ที่นี่...มีความทรงจำที่สูญหายและรอให้ทุกคนที่จากไปคืนกลับ ...ให้ทุกๆ คำร่ำลา ทุกๆ ความคิดถึงกลับมาหากันอีกครั้ง ผมจะทำทุกอย่างให้เต็มที่ ให้ดีที่สุด เพื่อวันพรุงนี้ที่จะมาถึง ...วันที่ทุกคนที่จากไปได้กลับคืนมา
...รอยยิ้มที่คุ้นตารอยยิ้มนั้น แจ่มชัดอีกครั้งในความทรงจำ
รออยู่นะครับ ...จะรออยู่ตรงนี้
...สัญญา
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่พิมพ์ไปก็รู้สึกหมั่นไส้ทิม-ต่ายขึ้นมาตะหงิด อะไรมันจะปานนั้น (ก็แกพิมพ์เอง 55555)
แถมช่วงหลังๆ ทิมหลุดมากขรึมกลายเป็นติงต๊องไปซะแล้ว ภาพลักษณ์เสียหายจริงๆ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคนที่แวะมาทักทายกันนะครับ +1 ให้กับทุกคอมเมนต์พร้อมแถมกอดแน่นๆ สักที
ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่บอกต่อๆ กันจนมีคนมาอ่านนิยายเรื่องนี้มากขึ้นด้วยนะครับ
คนแต่งดีใจมากๆ เลย ขอบคุณมากๆ นะครับ ทีนี้ก็ มาลุ้นกันว่าตอนหน้าจะเป็นยังไงกันหนอ 5555
ปล. ตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นเป็นพวกคำอุทานเวลาตกใจนะครับ ไม่ได้มีความหมายอะไรมากมายครับ