หวังว่าช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา เพื่อนๆจะมีช่วงเวลาที่ดีๆ กันทุกคนนะครับ
อยากจะมาเร็วมากมายกว่านี้แต่งานมันสุมเกิ้น
ยังไงก็ขอบคุณทุกๆ กำลังใจ คำเสนอแนะ ติชม นะครับ บวกคะแนนให้กับทุกคอมเมนต์นะ
เห็นยอดรีพลายน้อยลงอย่างต่อเนื่องแล้วก็พอเข้าใจ นิยายมันมาม่าเกิ้น
ตอนนี้ น่าจะโอเคกับหลายๆ คนนะครับ ถ้ามีผิดพลาดต้องขอโทษด้วย
เพราะรีบพิมพ์แบบเอาเป็นเอาตาย ไม่ได้อ่านทวนเอาเสียเลย
ในตอนนี้ มีคำไม่สุภาพโผล่ออกมาเยอะ ยังไงต้องขออภัยล่วงหน้าด้วยนะครับ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 19
รอยยิ้มนั้นยังดูคุ้นตาแม้ว่าดวงตาสีหม่นจะดูหมองไปกว่าทุกครั้ง คะน้าพยายามตั้งสติ
ปรับความรู้สึกต่างๆ ให้เป็นปกติที่สุดจากความจริงอันหนักอึ้งที่เพิ่งได้รับรู้มา
ความเคลือบแคลงในตัวของตุลในตอนนี้นั้นแทบจะไม่มีหลงเหลือในความคิดของคะน้าเลย
เมื่อถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอัดแน่นมากมายนั้นถูกระบายออกมาทั้งหมดโดยมีหมอก้อยเป็นผู้รับรู้
...ผิดกับเจ้าของรอยยิ้มที่ยืนอยู่ตรงหน้าในเวลานี้
“มาหาตุลเหรอครับ” ทั้งที่เสียงยังสั่นๆ แต่ก็ไม่รู้ทำไมคะน้าถึงเอ่ยถามออกไปแบบนั้น
ดวงตายังคงมองที่ช่อดอกไม้สีแดงสดในมือราวกับตั้งคำถาม
กระทั่งทิมมองไปที่สิ่งที่คะน้าจับจ้องอย่างไม่วางตา
ไม่มีคำตอบใดๆ เว้นแต่เสียงแค่นหัวเราะเบาๆ ในลำคอ
พร้อมกับร่างสูงโปร่งที่พลิกตัวกลับแล้วเดินจากไปอย่างไม่คิดจะให้คำตอบ
แม้ว่าใจจะนึกห่วงคนที่อยู่ในห้องแค่ไหน หากแต่ความค้างคาใจมากมายรุดให้คะน้าเดินตามทิมไป
“มาหาตุลแล้วทำไมไม่เข้าไป” ยิ่งห่าง คะน้าก็ยิ่งเร่งตัวเองให้เข้าใกล้
ปลายเสียงที่สั่นไหวกลืนความขมลงในลำคอ
พร้อมกับความรู้สึกหน่วงกลางหน้าอกอย่างบอกไม่ถูก
“...เอาดอกไม้มาแสดงความยินดีไม่ใช่เหรอ”
คนที่เดินนำอยู่ข้างหน้าหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะก้าวเดินต่อไปเร็วขึ้น
“ยินดีที่อะไรๆ มันเป็นแบบนี้ เป็นอย่างที่นายคิดเอาไว้ไง”
เมื่อได้รับการเพิกเฉย คะน้าก็ส่งเสียงดังยิ่งขึ้น
นึกแปลกใจตัวเองที่รู้สึกอยากประท้วงอะไรแบบเด็กๆ ขึ้นมาอย่างนี้
ทิมหันกลับมามองจ้องด้วยแววตาที่ไม่ชอบใจ
“เลิกตามเสียที”
หากแต่คะน้าไม่ถดถอย คนตัวเล็กกว่ารุดเดินไปข้างหน้า ดวงตาจ้องมองทิมอย่างไม่เกรงกลัว
“เลิกตาม!”
หนามยอกก็เอาหนามบ่ง เคยคิดว่าความเงียบของทิมนั้นได้ผล
จึงเลือกที่จะเงียบกลับไปให้ทิมบ้าง คะน้ายังคงรั้นเดินตามคนข้างหน้าอย่างเพิกเฉย
และก็ได้ผลจริงๆ เมื่อเป็นฝ่ายทิมที่ทนไม่ไหว ชายหนุ่มออกแรงดึงแขนคะน้าแล้วดันเข้ากับฝาผนัง
“คิดว่าทำอะไรอยู่ เข้าท่าแล้วใช่ไหม” ทิมจ้องเขม็งด้วยแววตาลุกโชน
เอาตัวเองดันคะน้าจนแนบชิดติดฝาผนัง
“แล้วคิดว่าทำอะไรอยู่” ตาต่อตาฟันต่อฟัน คะน้าตอบกลับไม่ลดละ
ด้วยคำถามยอกย้อนแบบที่ทิมชอบใช้ เจอกับตัวเองทิมถึงกับพ่นลมหายใจฟึดฟัด
พยายามระงับความไม่สบอารมณ์เต็มที่ แต่คะน้าไม่คิดจะถอย “...แล้วมันเข้าท่าหรือเปล่า”
“แล้วไง?” ทิมข่นเสียงเข้มลอดผ่านทางไรฟัน
ยื่นหน้าเบียดเข้ามาใกล้ คะน้าจ้องตากลับอย่างไม่เกรงกลัว
“แล้วยังไงเหรอ นั่นสินะ คนแบบนายมันได้ทุกอย่างตามที่นายต้องการอยู่แล้วนี่
นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่เห็นต้องสนใจความรู้สึกของใคร
คนแบบนายมันเอาแต่ความรู้สึกตัวเอง ไม่แคร์ใครสักคนอยู่แล้ว”
เกินกว่าจะคาดคิด จังหวะที่รวดเร็วนั้น ทิมบดริมฝีปากของตัวเองเข้ากับปากของคะน้าอย่างรุนแรง
แขนทั้งสองข้างของทิมออกแรงตรึงข้อมือที่พยายามผละจากอย่างแนบแน่น
ร่างกายเบียดดันคะน้าอย่างถือครอง ทุกสัมผัสที่แนบชิดนั้นเต็มไปด้วยความรุนแรงกักขฬะ
ริมฝีปากนั้นยังคงบดเบียดอย่างลึกล้ำ คะน้าพยายามบ่ายเบี่ยงหากแต่ความรุนแรงนั้น
เกินกว่าจะต้านทาน ...กระทั่งทิมเป็นฝ่ายที่ผละจาก
“นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่เคยสนใจความรู้สึกใคร เอาแต่ตัวเอง และไม่แคร์ใครสักคน”
รอยยิ้มยียวนจุดขึ้นที่มุมปาก “...ตรงแฮะ” ทิมกระซิบเบาๆ ใกล้กับริมฝีปากของคะน้า
ใบหน้าคมค่อยๆ ถอยห่างช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้มราวกับผู้กำชัยชนะ
คะน้าพ่นลมหายใจหนักๆ ด้วยความไม่ชอบใจ แม้แต่จะยกฝ่ามือขึ้นมาเช็ดปาก
แสดงความไม่พึงใจหากแต่ทิมกลับดันข้อมือนั้นไว้กับผนังด้วยมือ ...มือที่ถือช่อกุหลาบสีแดง
“งี่เง่า” คะน้าบ่นอุบด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง
เพราะแพ้แรงที่มากกว่า ผิดกับทิมที่หัวเราะขันอย่างสมใจ
“ติดใจมากใช่ไหม ไอ้ดอกไม้พวกนี้น่ะ”
“อย่าไร้สาระ” แม้จะไม่ชอบใจกับสัมผัสล่วงล้ำบนริมฝีปาก
แต่ก็ไม่คิดอะไรไปมากมายด้วยความที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน
และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทิมทำอะไรแบบนี้ หากแต่สิ่งที่คะน้ากระฟัดกระเฟียดอยู่นั้น
กลับเป็นการที่ถูกต้อนให้จนมุมขยับไปไหนไม่ได้
ความคิดที่อยากจะชกหน้าทิมสักครั้งก็คงเกินหวัง เมื่อเริ่มรู้สึกตัว
ทิมจึงค่อยๆ ถอยตัวออกห่างพร้อมคลายวงแขนที่กดไว้
คะน้าขัดขืนตั้งหลัก ฝ่ามือกำแน่นจนเกร็งพร้อมจะจู่โจมในชั่วพริบตา
...หากแต่ดอกกุหลาบสีแดงสดช่อใหญ่ถูกยัดใส่มือของคะน้าจนเจ้าตัวรู้สึกประหลาดใจ
ลืมความคิดจะเอาคืนในนาทีก่อนหน้าไปเสียหมด
“ถ้ามันเป็นเรื่องนักก็เอาไป” ทิมถอยห่างพร้อมกับทำท่าประดักประเดิก
เขายืนนิ่งอยู่เฉยๆ แบบนั้น แล้วหมุนตัวไปมาแบบไม่รู้จะอยู่หรือไป
สักพักก็ยกมือขึ้นขยี้ผมตัวเองเบาๆ จนยุ่ง ผิวที่ขาวจัดทำให้เห็นลำคอ
และใบหูที่เป็นสีแดง ก่อนพูดเสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
“...ให้”คะน้าได้แต่ยืนมองช่อดอกกุหลาบสีสวยในมือด้วยความมึนงง
และปรับตัวไม่ถูกกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย ร่างของทิมก็หายวับไปราวกับเล่นกลเสียแล้ว
ทั้งๆ ที่คิดจะเอ่ยถามถึงเรื่องราวมากมายที่เป็นคำถามในใจ
หรือแม้แต่จะซัดกลับสักหมัดให้กับความเอาแต่ใจของคนที่เด็กกว่าคนนี้
หากแต่ทุกอย่างเหมือนกับกลับตาลปัตร นอกจากคะน้าจะไม่ได้รับคำตอบที่สงสัย
กลับยิ่งรู้สึกประหลาดใจกับความแปลกประหลาดของทิม
นึกถึงจูบที่หยาบคายเมื่อครู่แล้วมองช่อดอกกุหลาบสีแดงในมือ
ถ้อยคำที่ผักกาดเคยพูดถึงทิมในอีกด้านย้อนกลับมาในความคิด
...คะน้าได้แต่ถอนหายใจอยู่กับคำถามและความไม่เข้าใจมากกว่าเดิม
ดอกกุหลาบสีแดงสดช่อนั้นถูกปักวางอยู่ในแจกันบนโต๊ะอาหาร
สร้างความประหลาดใจให้กับผักกาดที่กำลังรีบเร่งเป็นอย่างยิ่ง
หญิงสาวได้แต่ทำหน้าสงสัยใส่คะน้าที่กำลังงัวเงียในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นจากการนอนหลับ
แต่ก็ไม่ได้คิดจะหาความอะไร เมื่อสภาพการจราจรของกรุงเทพในตอนเช้า
น่ากลัวขึ้นทุกวันด้วยปริมาณรถที่แห่มาเหมือนถมถนน ผักกาดสวมรองเท้าส้นสูง
แล้วเปิดประตูออกจากบ้านไม่ลืมที่จะหอมแก้มน้องชายสุดที่รักเช่นทุกวัน
คะน้าที่มีเพียงผ้าขนหนูสีขาวห่อหุ้มท่อนล่างได้แต่โบกมือหยอยๆ
ให้กับผักกาดแบบสะลึมสะลือ ส่งพี่สาวไปทำงานในตอนเช้า
ตลาดยังคงคึกคักดั่งเช่นทุกวัน และนับตั้งแต่ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการของตลาด
ทำให้ระบบระเบียบของตลาดดูเรียบร้อยมากขึ้น มีลำโพงขยายเสียงเปิดเพลงเพราะๆ ทุกวัน
มีกิโลที่เป็นเครื่องชั่งส่วนกลางเพื่อให้ผู้ที่มาจับจ่ายใช้สอยตรวจสอบน้ำหนักของสินค้าที่ซื้อไป
รวมทั้งหลอดไฟและพัดลมที่ทำให้ตลาดดูสว่างและมีอาการระบายอย่างทั่วถึง
แม้ว่าบรรยากาศใกล้ตัวในเวลานี้จะเต็มไปด้วยมลพิษทางเสียง
จากการเถียงที่ดูจะเป็นกิจวัตรประจำวันของจันทูและสายใจ
ที่เหมือนเป็นกิจกรรมสันทนาการให้เหล่าพ่อค้าแม่ขายในท้องตลาดแล้ว
ในความคิดของคะน้ายังวนเวียนกับเรื่องราวๆ ต่างๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ทุกวันคะน้าได้แต่บอกตัวเองว่าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ที่ผ่านมาตุลเจ็บปวดกับความรู้สึกแบบนี้มานานแค่ไหน
หากแต่รอยแดงที่ตุลพยายามปิดบังนั้นก็สร้างความเจ็บปวดให้กับคะน้าไม่ต่างกัน
แต่ตุลพูดแบบนั้น มันเหมือนกับว่า ...ทิมรักคะน้าอย่างนั้นหรือ?!?!
คู่แข่งทางความรักอะไรแบบนี้หรือเปล่านะ เป็นไปได้ไหม
ตุลแอบชอบทิมหรือเปล่า เคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าแล้วมีเรื่องผิดใจกัน
ถ้าใช่... อะไรๆ ก็พอเป็นรูปร่างขึ้น เพราะแบบนั้นใช่ไหม
ตุลเลยเข้ามาเพื่อกำจัดคะน้าออกจากทิม ...มันจะบ้าไปได้ขนาดนั้นจริงๆ เหรอ?!?!
แล้วทิมล่ะ ถ้าแบบที่ตุลคิด หรือแบบที่ผักกาดสงสัย แม้แต่การกระทำแปลกๆ ที่ผ่านมาของทิม
...จู่ๆ หัวใจของคะน้าก็สั่นอย่างประหลาด ความรู้สึกบางอย่างปะติดปะต่อรูปร่างขึ้นมาจนแจ่มชัด
หมายความว่าทิม...
บ้าน่า!!!! ถ้าแบบนั้น ทิมจะสร้างรอยแดงบนคอของตุลไปทำไม คะน้าทึ้งผมตัวเองด้วยความมึน
ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ ทำไมทุกอย่างถึงได้กลายเป็นแบบนี้
...ความสัมพันธ์ที่มีแต่ผู้ชายสามคน
“บ้าที่สุด! พอซะที นี่มันไร้แก่นสารชะมัด!” แค่คิดก็อยากจะอาเจียน
จนคะน้าเผลอพูดออกมาเสียงดัง จันทูและสายใจถึงกับสะดุ้งด้วยความเข้าใจไปอีกทาง
“เก๊าะเอสายจายมานมาด่าจันทูก่อนเน่ มานขี้อิดฉา”
หลังจากทำงานมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง จันทูก็เริ่มพูดภาษาไทยได้ชัดขึ้น
“เอ๊ะ อีนี่ ชั้นมาพี่คะน้า แกล่ะมาสแหล๋นแต๋นอะไร”
สายใจเท้าเอวเถียงกลับอย่างไม่หวั่นกลัว
หากแต่ทุกคำพูดกลับไม่อยู่ในความสนใจของคะน้าแม้แต่นิด
ชายหนุ่มยังคงวนเวียนกับสมมติฐานและความรู้สึกมากมายในใจ
ถ้าเราเป็นแฟนกับตุล แต่ตุลอยากเป็นแฟนกับทิม
แล้วทิมก็อยากเป็นแฟนกับเราเหรอ? บ้าไปแล้วแน่ๆ มันสับสนไปหมด
ถ้าอย่างนั้น ทั้งๆ ที่คบกับเรา ...แต่ตุลคงชอบทิมมากเลยสินะ ...แล้วเราล่ะ
..เราชอบใคร?
“เห้ออออออ!!!” คะน้าถอนหายใจเสียงดังจนสองสาวทำหน้างง
แล้วทะลึ่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มหันกลับมาทางสาวพม่าหน้าตาแบบ Korea
“จันทู วันนี้ฝากดูแลแผงด้วยนะ มีธุระอะไรต้องทำนิดหน่อย ผมคงไม่เข้ามาแล้ว”
ว่าแล้วก็รีบเดินออกไปทำเอาสองสาวหันมามองหันกันแบบอึ้งๆ
เพียงไม่นาน รถกระบะคันเก่าซึ่งเจ้าของขนานนามว่า ‘ไอ้แก่’
ที่ครางหึ่งๆ อยู่บนท้องถนนก็เลี้ยวเข้าสู่โรงพยาบาลที่อยู่ไม่ห่างจากตลาด
...อย่างน้อย สิ่งที่ควรทำก็คือขอโทษตุล
คะน้าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดโทรหาตุล หากแต่ปลายสายกลับเป็น
เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลพร้อมแจ้งว่าหมอตุลได้คืนโทรศัพท์ให้กับทางโรงพยาบาลไปแล้ว
พร้อมแจ้งว่าตุลน่าจะอยู่ที่ห้องพักเพราะเพิ่งออกเวรไปเมื่อสักครู่
จำทางทุกอย่างได้เป็นอย่างดีจากเมื่อวาน คะน้าใช้เวลาเพียงเล็กน้อย
ก็มายืนอยู่ที่หน้าห้องทำงานส่วนตัวของตุล ใช้เวลาทำใจเพียงชั่วครู่ก่อนจะเคาะประตูห้องเข้าไป
ด้วยความรีบร้อนที่ลืมดูว่าคนที่จะมาหานั้นอยู่ในห้องหรือไม่
กลับกลายเป็นมีเพียงหมอก้อยที่นั่งทำงานอยู่ในห้องพักเพียงผู้เดียว
หญิงสาวทำหน้าตกใจเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยเสียงเรียบๆ
“ที่นี่เป็นพื้นที่ในส่วนของเจ้าหน้าที่ คนนอกไม่ควรจะเข้ามานะคะ”
“เอ่อ... ผมขอโทษครับ คือผม... นึกว่าหมอตุลจะอยู่”
คะน้าขอโทษด้วยความสำนึกผิด
“อยู่หรือไม่อยู่ ก็ไม่สมควรค่ะ” หมอก้อยถอนหายใจเบาๆ
“เอาเถอะค่ะ ว่าแต่มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ ตุลไม่อยู่หรอก
มี Conference Call กับมหาวิทยาลัยที่นั่นน่ะค่ะ
คงอีกนาน ฝากเรื่องไว้ก่อนไหม หรือให้ตุลโทรกลับหาไหมคะ”
“เอ่อ... งั้นไม่เป็นไรดีกว่าครับ ผมไม่อยากรบกวนหมอก้อยด้วยครับ
ยังไง ...ผมขอตัวก่อนแล้วกันครับ” คะน้าตั้งท่าจะออกจากห้องไป หากแต่หญิงสาวกลับร้องเรียกไว้
“ถ้าคุณพอจะว่าง คุยกันหน่อยดีไหมคะ” คะน้าหันมามองด้วยความงง
หมอก้อยดึงเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลตัวออก คะน้าจึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้นั้น
หญิงสาวจึงเดินไปเปิดตู้เย็นเล็กๆ แล้วหยิบน้ำให้กับคะน้าแล้วเดินมานั่งตาม
“คุณคงพอรู้เรื่องเกี่ยวกับที่ตุลได้ทุนใช่ไหมคะ”
คะน้าพยักหน้ารับ ในใจยังรู้สึกปวดร้าวกับเหตุการณ์เมื่อวันวาน
“มันเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ที่ตุลจะได้โอกาสทำสิ่งที่เขารัก
และมีโอกาสเติบโตในวงวิชาการ ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้คุณเป็นกำลังใจให้กับตุลด้วยนะ”
“ครับ ผมทราบดี”
บทสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆ พร้อมกับความรู้สึกที่ค่อยๆ ชาขึ้นแบบทบทวี
ข้อสันนิษฐานสวนทางกับสิ่งที่ออกจากปากของแพทย์หญิงอย่างต่อเนื่องจนคะน้าจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ช่วงนี้ ตุลคงยุ่งมาก ถ้าเป็นไปได้ อยากให้ลองโทรนัดกับตุลเค้าก่อนเข้ามาก็ดีนะคะ”
“ผมมีแต่เบอร์เครื่องของโรงพยาบาลน่ะครับ” คะน้าลอบถอนหายใจเบาๆ
“งั้นเดี๋ยวหาให้แล้วกันนะ” หมอก้อยยิ้มให้น้อยๆ แล้วหยิบมือถือมากดไล่รายชื่อหาเบอร์โทรศัพท์
หากแต่คะน้ากลับรู้สึกกังวลใจ เพราะความที่ไม่รู้ว่าจะทำให้ตุลลำบากใจหรือเปล่าจึงปฏิเสธไป
คะน้าเดินทางกลับบ้านด้วยความรู้สึกที่ยากเกินกว่าจะอธิบาย
ดูเหมือนปมต่างๆ ยังคงขมวดจนเป็นกองโตจนยากจะสะสางออกมาได้ง่ายดั่งใจคิด
และไม่รู้ว่าจะคลายปมต่างๆ นั้นได้อย่างไร
คะน้ากลับมาสู่คอนโดด้วยความรู้สึกที่แน่นไปทั้งหัว พักหลังๆ
ชายหนุ่มมักจะพักที่คอนโดของผักกาดมากกว่า
บ้านหลังเก่าๆ อีกหลังที่เคยอยู่ตอนสมัยเด็กๆ กับครอบครัว
เดิมทีเดียว คะน้าตั้งใจจะพักที่บ้านไปเรื่อยๆ เพราะชอบบรรยากาศต่างๆ
และความไม่ต้องพิธีรีตรองอะไรให้มากความ หากแต่การพักคอนโดนั้นทำให้พบเจอ
ได้เรียนรู้อะไรต่างๆ นานาเกี่ยวกับทิมและตุลมากขึ้น
...ทิม? ทำไมถึงมาเกี่ยวด้วย ไม่สิ หมายถึงตุลต่างหาก
เพราะว่าวันนั้น เราตัดสินใจจะคบกับตุลเป็นแฟนต่างหาก
คะน้าขยี้หัวตัวเองจนยุ่งเหยิง จนผักกาดที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่หันมามองด้วยความห่วง
“ต่าย เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย หน้าตาเราดูเครียดๆ ยังไงไม่รู้”
“ไม่มีอะไรหรอกเจ้ รถติดก็คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย”
คะน้าเดินไปหาผักกาดที่นั่งอยู่ที่โซฟา การยื่นแก้มให้ผู้เป็นพี่สาวหอมนั้น
ดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมสำหรับบ้านนี้ไปเสียแล้ว
ผู้เป็นน้องชายทิ้งตัวลงข้างๆ ที่สาวบนโซฟานุ่มหนา
ผักกาดเดินไปเปิดตู้เย็นและรินน้ำใส่แก้วสูงเดินมาส่งให้ คะน้ากล่าวขอบคุณ
“ต่าย เจ้ถามตรงๆ นะ ชอบงานที่ตลาดไหม ยังอยากจะทำหรือเปล่า
เจ้เป็นห่วงเรานะ เราออกจากงานออฟฟิศแล้วมาทำงานค้าขายแบบนี้
งานพวกนี้จะว่าไปมันก็ใช้พลังงานเยอะอยู่ ถ้าไม่ชอบก็บอกกัน
อย่าฝืนตัวเองรู้ไหม คนที่เค้าสนใจจะซื้อที่ตรงตลาดเรามันมีเรื่อยๆ แหละ”
“ป๋ากับแม่จะได้ว่าเราเอาไง ให้แล้วก็ดูแลไม่ได้”
คะน้าจิบน้ำแล้วหันมายิ้มให้พี่สาว “อ๊า... ชื่นจายยยยย...”
“เจ้ก็เป็นห่วงเรานั่นแหละ ดูสภาพสิ อะไรก็ไม่รู้
บางทีเจ้ก็คิดว่าเจ้ทำให้เราไม่มีความสุขหรือเปล่า”
ผักกาดมองคะน้าด้วยความเป็นห่วง ผู้เป็นน้องชายยิ้มกว้างแล้วโผเข้ากอดพี่สาว
...หอมแก้มฟอดใหญ่ ผักกาดหัวเราะขำแล้วตีมือน้องชาย
“นี่ๆๆ ไม่ต้องเลย เราน่ะ ไปเอากุหลาบมาจากไหน สาวที่ไหนให้มา บอกมาเลย”
คำถามของผักกาดทำให้คะน้าสะอึก สาวเหรอ? ...ไม่ใช่เลย
(ยังมีต่อด้านล่างนะครับ)