ขอโทษจริงๆ ที่มาช้านะครับ พอดีหลังเดี้ยง นั่งพิมพ์คอมนานๆ ไม่ได้เลย
แค่ 10-15 นาทีก็ปวดแล้ว เลยพิมพ์แบบขยักขย่อนได้ทีละนิดๆ
ขอบคุณพี่ oaw_eang มากๆ ด้วยครับสำหรับคำแนะนำและที่ช่วยแวะมาดันกระทู้ให้ตั้งหลายที
ไว้ผมจะปรับแก้ตามที่แนะนำนะครับ เห็นด้วยทุกประการ ขอหายเดี้ยงแล้วจะตามปรับนะครับ
สำหรับตอนนี้ อย่างที่บอกคือพิมพ์ทีละน้อย แถมไม่ได้อ่านตรวจทาน
ถ้าไม่ลื่นไหล ขออภัยด้วยนะครับ รีบเข็ญมาส่งเพราะไม่อยากให้นานเกินไปอ่ะครับ
ขอให้มีความสุขกับตอนที่ 10 นี้นะครับ อ่านเลยๆๆๆๆ ^ ^
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 10“พระจันทร์คือจิตใต้สำนึก คือความคิด ความวิตกกังวลที่หาคำตอบไม่ได้
มันเหมือนกับความรู้สึกโดดเดี่ยวคนเดียว สังเกตไหมในตอนกลางคืนมันไม่เหมือนกลางวัน
พระจันทร์ส่องแสงไม่เคยทั่วถึง เราจึงเห็นเพียงแค่ภาพลางๆ”
นิ้วชี้ที่มีรอยยับย่นกวาดไล่ไปบนกระดาษที่เรียงหลั่นตรงหน้า
กระทั่งสายตาสำรวจครบถ้วนก็เงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่มที่นั่งหวาดๆ ด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
“กำลังกังวลอยู่เหรอ เรื่องความรักสินะ”
“กังวล? The Moon เนี่ยเหรอครับพี่อ้อย”
“อืม ไพ่เรามันมีแต่ไพ่ที่พูดถึงเรื่องความรักทั้งนั้น มีแต่ความกังวล”
“ความรักงั้นเหรอ” เหมือนคะน้าจะรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะตั้งคำถามกับพี่อ้อยที่กำลังจ้องมองอยู่
หมอดูวัยกลางคนถอนหายใจเบาๆ แล้วอ่านตามคำพยากรณ์
“9 ถ้วยประกบกับ The Devil ความรักของเราน่ะ ไม่เหมือนกับคนทั่วไป”
“ยังไงครับ” คะน้าเอ่ยถามด้วยความสงสัย พี่อ้อยถอนหายใจเบาๆ
“มันไม่เหมือนกับกฎเกณฑ์ในสังคม เอาเถอะ ลึกๆ เราก็เลือกแล้วไม่ใช่เหรอ
ก็แค่ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่คิดไว้นั่นแหละ ฝืนไม่ไหวหรอก
ใจเรามันไปแล้ว หยิบไพ่ขึ้นมาซิ 3 ใบ เอามือซ้ายหยิบนะ”
คะน้าค่อยๆ เอื้อมมือซ้ายออกไปดึงไพ่ขึ้นมาตามที่หมอดูร้องขอ
“Hanged Man - Temparance - The World
ต้นร้ายปลายดีนะ อดทนหน่อย เราจะพบกับความสุขที่รอคอย เชื่อพี่”
“เอ่อ... แล้วที่คราวก่อนพี่อ้อยบอกว่า... เอ่อ... จะมีคนเข้ามา
เอ่อ... ผู้ชายสองคนน่ะครับ ใช่เรื่องนี้หรือเปล่า”
คะน้าพูดไปด้วยความแปลกแปร่งอย่างบอกไม่ถูก
“ดวงมันก็คือดวงน่ะ ไพ่มันบอกอย่างนั้น พี่ก็อ่านตามไพ่ล่ะจ๊ะพ่อหนุ่ม
คำพยากรณ์น่ะ มันก็ไม่ต่างอะไรกับสถิติ มีตรง มีไม่ตรง หรือถ้ามันเป็นดวง มันก็อาจจะฝืนได้
แต่ความรู้สึกเราน่ะ พ่อหนุ่มจะฝืนมันไหวเหรอ เราเลือกไปแล้วนี่”
“เลือกแล้ว?”
แม่หมอยิ้มเล็กน้อย เอื้อมมือไปหยิบไพ่ใบหนึ่งเอามาวางลงตรงหน้าของคะน้า
ชายหนุ่มก้มลงมองรูปภาพบนกระดาษสี่เหลี่ยมนั้น ไม่เข้าใจถึงความหมายของไพ่ทาโร่ต์แม้แต่น้อย
“ไพ่ 6 ถ้วย มันหมายถึงอะไรเหรอครับ”
“ไม่เลวร้ายอะไรหรอก วางใจได้ อย่าไปกังวลเลย จิตใจเราตอนนี้มันพะว้าพะวง
คิดอะไรไปเรื่อย ไพ่ใบนี้มันไม่ได้บอกสิ่งที่จะเกิดขึ้น แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว
แค่เรายังไม่ยอมรับมันเอง ยิ่งรู้ความหมาย เราก็ยิ่งกังวล ปล่อยมันไปเถอะ ทำใจให้สบายๆ อย่าคิดมาก”
“เอ่อ.. ครับ”
“มันจะปวดหัวหน่อยนะ มีเรื่องมารบกวนใจเราบ้าง แต่จำคำพี่ไว้นะพ่อหนุ่ม
ต้นร้ายปลายดี อดทน แล้วทุกอย่างจะค่อยๆ คลี่คลาย
ว่างๆ ก็สวดมนต์ ทำบุญอะไรบ้าง ใจจะได้สงบนะ”
คะน้าลาจากพี่อ้อย หมอดูไพ่ยิปซีที่การันตีสรรพคุณทั้งตลาด
อันที่จริงเขาเป็นคนไม่ได้เชื่อถือเรื่องคำพยากรณ์อะไรนัก
แต่จะแย้งยังไงกับคำทำนายครั้งก่อนนับตั้งแต่ตุลและทิมที่ก้าวเข้ามาในชีวิต
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อน
จะเรียกว่ากำลังวิ่งหนีอยู่ก็ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่รู้ว่าคำพูดไหนคือความจริง
ที่ตุลบอกว่าเขาเป็นคนทำ หรือแม้แต่ที่ทิมบอกว่าตุลโกหก
และถ้าไม่ใช่ตุลที่เป็นคนทำ มันก็เป็นทางอื่นไปไม่ได้ นอกจากว่าคนที่ทำเรื่องนั้นคือ...
ยิ่งคิดก็ยิ่งหวั่นไหวและทำตัวไม่ถูก กลับกลายเป็นว่าไม่รู้จะมองหน้าคนทั้งคู่ได้อย่างสนิทใจได้ยังไง
กระทั่งตัวเองก็ไม่เข้าใจ ลงท้ายแล้วตัวเองรู้สึกยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้น
เอาเถอะ ยังไงก็ตามจะให้ผักกาดรู้สึกสงสัยอะไรไม่ได้
สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะสอดการ์ดแล้วปลอดล็อกประตูห้องเข้าไป
“กลับมาแล้วเหรอต่าย” รู้สึกถึงแรงโถมมาทั้งตัวจนแทบจะล้ม
“โหย เจ้ทำอะไรเนี่ย” คะน้ารีบโวยกลบเกลื่อนพลางรีบแกะมือแล้วเลี่ยงสายตาผู้เป็นพี่สาว
“ไปทำอะไรที่ตลาดมา ของก็ไม่ได้ขายนี่”
“วันหยุดก็ไปสำรวจหน่อย ตลาดของเราเอง ก็เผื่อจะพัฒนาปรับปรุงอะไรได้มั่งไง”
ผักกาดพยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วยกับความคิดเอาการเอางานของน้องชาย
คะน้าเลี่ยงไปอีกทางก่อนจะลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
“แต่พักนี้ต่ายซังดูแปลกๆ นะ กลายเป็นคนขวัญอ่อนตั้งแต่เมื่อไหร่
ปกติออกจะเอ๋อๆ พักนี้ตื่นตัวน่าดูนะ เมื่อคืนไปทิ้งขยะ ก็หายไปตั้งนานสองนาน
กลับมาก็หน้าตื่นอย่างกับไปเจอผีมาแน่ะ” คำทักของผักกาดเล่นเอาคะน้าสะดุ้ง
คิดย้อนไปถึงเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทั้งเรื่องที่ตุลมาสารภาพทุกอย่าง
หรือแม้แต่ที่ทิมบอกว่าตุลโกหก ซ้ำยังเย้าเขาเล่นจนวิ่งเตลิดกลับมาแบบนั้น
“โหย เจ๊คิดมากไปน่า ไม่มีอะไรหรอก กินข้าวละ หิว”
เดินไปที่โต๊ะอาหารแล้วเริ่มลงมือจ้วงแต่ละจานเข้าปาก
“ต่ายซัง เจ้จะต้องตามนายไปทำงานที่ญี่ปุ่นนะ ยังไงช่วงที่ไม่อยู่
มานอนที่นี่ทีได้ไหม มันจะมีเอกสารด่วนส่งมา อยากให้ช่วยแกะดูให้หน่อย”
“ได้ๆ” เคี้ยวตุ้ยๆ ด้วยความอร่อย
“จะว่าไปเพื่อนเราทั้งคู่ก็ดูเข้าท่าดีนะ ตอนแรกก็อดเป็นห่วงไม่ได้
เที่ยวไปได้รู้จักใครเขาไปเรื่อย แต่พอคุยๆ ดูแล้วก็เหมือนไม่มีพิษมีภัยอะไร
อย่างน้อยช่วงที่เจ้ไม่อยู่ เราก็ยังมีเพื่อน”
“เพื่อนเนี่ยนะ แถมพวกนี้ก็ไว้ใจไม่ได้หรอก ไม่อย่างนั้นมันจะ...”
คะน้าถึงกับอ้าปากค้าง ...เกือบแล้ว เกือบพูดไปแล้ว
“จะอะไร?” ผู้เป็นพี่สาวขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ทำไมวันนี้มีแต่อาหารแบบนี้น๊า ตำปูปลาร้า ซุปหน่อไม้ ลาบปลาดุก”
แก้ผ้าเอาหน้ารอดไปแล้วกัน
“แหม แกจะให้ชั้นจกตำปูปลาร้าซิ๊ดซ๊าดๆ ต่อหน้าเพื่อนแกเหรอ
ชั้นยังสาว ยังสวย แถมยังโสดนะยะอีต่ายบ้า”
คะน้าถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักฝ่ามือที่บีบคอ ...ก็ดีกว่าความลับรั่วไหลล่ะมั๊ง
หลายวันต่อมา ความคิดต่างๆ ก็ยังคงวนเวียนอยู่ในความรู้สึกไม่หาย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ห้องในวันนั้น สัมผัสที่อ่อนนุ่มและแผ่วเบาราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะหอบเอาความคิดฟุ้งซ่านมาที่ตลาดด้วยทุกวันจนผิดสังเกต
“คะน้า เอ็งไม่สบายหรือเปล่าลูก พักนี้ดูไม่กระฉับกระเฉงนะ”
เจ๊เป็ดตะโกนถามในบ่ายวันหนึ่งที่ตลาดค่อนข้างเงียบเหงาจากสายฝนที่กระหน่ำลงมา
หากแต่คะน้ากลับเหม่อลอยจนจันทูต้องสะกิด
“แปลกๆ นะเอ็ง ทำอย่างกับคนมีความรัก” สิ้นเสียงเจ๊เป็ด จันทูถึงกับหันขวับมาสอดส่ายสายตาเต็มที่
คะน้าจึงแกล้งดุไปสองสามคำแล้วก็เฉไฉก้มหน้าก้มตาจัดข้าวของไปเรื่อย จันทูถึงเลิกสนใจ
สายฝนยังคงกระหน่ำลงมาอย่างไม่ขาดสาย
แต่ตลาดของคะน้าเป็นตลาดขนาดใหญ่และมีหลังคาตีครอบตลอดทั้งโครงการ
มีกรรมการตลาดที่เป็นเหล่าพ่อค้าแม่ขายที่ได้รับคัดเลือกจากเหล่าผู้ค้าขายในตลาดทั้งหมดให้ช่วยดูแล
ฝนจะตกแรงแค่ไหนจึงไม่เคยมีปัญหาน้ำท่วมขังหรือแม้แต่หลังคารั่วแต่อย่างใด
สายฝนตกกระทบหลังคาเป็นเสียงดังจนฟังไม่ได้ศัพท์
จะว่าไปนี่เป็นวันแรกในหลายๆ วันที่คะน้าขายไอศกรีมไม่หมด
อาจเพราะอากาศที่เปลี่ยนไป ไม่อบอ้าวแบบเดิมๆ
หรือเพราะสายฝนที่ตกมาบ่อยครั้งจนทำให้คนมาจับจ่ายดูบางตา
นับตั้งแต่วันนั้นก็ไม่เคยไปส่งไอศกรีมที่ไซด์งานก่อสร้างของทิมอีกเลย
ไม่เคยจะไปส่งที่ห้องตามที่เจ้าตัวร้องขอด้วยสักครั้ง ก็เขาไม่ได้อยู่ที่นั่น ถึงอยู่ก็ไม่มีคีย์การ์ดอยู่ดี
หรือแม้แต่ตุลก็ไม่ได้พบอีกเลย แต่นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก
เพราะเหมือนว่าจะเปลี่ยนกะมาประจำตอนบ่ายซึ่งกว่าจะเลิกก็มืดค่ำ
ตกเย็นก็แบกไอติมที่เหลือกลับไปนอนกินเล่นที่คอนโด
เห็นทีว่าต้องสั่งให้จันทูบอกคนงานว่าช่วงนี้ให้ทำน้อยลงสักหน่อย
ฝนตกจะค้าขายอะไรก็ลำบาก กดลิฟต์ขึ้นไปที่ห้องพร้อมกับกระติกไอศกรีมที่อัดแน่น
คืนนี้มีหวังได้นอนพุงกางแน่ๆ เปิดไฟและเก็บทุกอย่างให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
เปิดทีวีที่มีแต่ชองรายการญี่ปุ่น ไม่รู้ใจคอผู้เป็นพี่สาวจะไม่ดูรายการทีวีไทยเลยหรือไงนั่น
ล้มตัวนั่งกับโซฟาแล้วเปิดฝาไอศกรีม ถึงจะชอบแค่ไหน แต่เห็นปริมาณก็อยากจะอาเจียน คิดอยู่นาน
“เจ้าต่ายลูกพ่อ สายไหมไม้เบ่อเร่อจะกินหมดจริงๆ เหรอเรา”
“หมดๆ” เด็กชายตัวน้อยถลกเสื้อเปิดพุงโชว์
“โอเคๆ แล้วผักกาดล่ะคะ หนูจะกินหมดเร้อ หนูกินไม่หมดประจำเลย”
เด็กหญิงพยักหน้าหงึกๆ ส่งสายตาวิบวาวจนผู้เป็นพ่อใจอ่อน
เพียงครู่เดียวสายไหมที่นุ่มเหมือนปุยเมฆสีลูกกวาดเสียบไม้ก็ถูกส่งให้กับเด็กทั้งสอง
ผู้เป็นน้องชายเมื่อได้รับมาก็ลงมือเคี้ยวตุ้ยๆ อยู่เอร็ดอร่อย
ส่วนเด็กหญิงผักกาดฉีกปุยนุ่มนั้นเป็นสามส่วน ส่งให้พ่อเป็นคนแรก แล้ววิ่งเอาไปให้แม่สำหรับส่วนที่สอง
สุดท้ายเหลือแรงลมที่พัดทำให้เด็กหญิงเหลือขนมหวานนิดเดียวติดกับไม้
เหมือนผักกาดจะน้ำตาซึมๆ เล็กน้อยจนน้องชายหันมาเห็น
ผู้เป็นพ่อและแม่จ้องมองทุกอย่างอยู่ในสายตา
ไม่นานนัก ผักกาดก็ได้ครอบครองเมฆสีลูกกวาดไม้โตจากมือของน้องชายเวลาผ่านไปหลายสิบปี แต่เหมือนบางสิ่งบางอย่างจะไม่เปลี่ยนแปลงไป
คะน้าเดินไปตักแบ่งไอศกรีมเย็นๆ ใส่กล่องพลาสติกสองกล่อง แม้จะไม่ค่อยอยากเจอหน้าเท่าไหร่ก็ตาม
ของกิน กินคนเดียวไม่อร่อยหรอก ผักกาดมักจะกรอกหูอยู่บ่อยๆ
และถ้าเจ้าตัวอยู่ก็คงเคี่ยวเข็ญให้ไปส่งให้สองคนนั่นอยู่ดี
คะน้ายืนอยู่หน้าห้องข้างๆ เหมือนพยายามทำใจ เหตุการณ์วันก่อนยังฝังแน่นในความคิดชวนปวดหัว
เสียงดนตรีจากเครื่องเสียงแทนที่จะเป็นเสียงกีต้าร์ที่คุ้นเคยทำให้คะน้าแปลกใจเล็กน้อย
...แค่มาส่งให้แล้วกลับ อย่าคิดมาก
กดกริ่งที่หน้าประตูห้อง ไม่นานนักเจ้าของห้องก็เดินมาเปิดประตู
ใบหน้าของตุลดูเคร่งเครียดจนสังเกตได้ ดวงตาทั้งสองข้างบวมเหมือนผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
แม้ทันทีที่เห็นคะน้า รอยยิ้มที่อบอุ่นแบบทุกครั้งจะอยู่บนใบหน้าของเขา
เป็นรอยยิ้มที่แม้คนที่ไม่เคยรู้จักตุลมาก่อนก็พอจะดูรู้ว่านั่นคือการฝืน
“ผมเอามาฝากน่ะครับ” ส่งกล่องพลาสติกในมือให้ ตุลยื่นมือมารับพร้อมกับขอบคุณ
“เอ่อ... ขอเข้าไปหน่อยจะได้ไหมครับ”
ความตั้งใจที่แค่ส่งให้แล้วกลับนั้น หายไปสิ้นตั้งแต่ที่เห็นหน้าของตุลแล้ว
แม้ตุลจะมีท่าทีที่ลังเลแต่ก็เบี่ยงตัวให้คะน้าเดินเข้ามาในห้องในที่สุด
ห้องของตุลใกล้เคียงกับห้องของผักกาด แตกต่างที่พื้นที่ใช้สอยและการตกแต่งนิดหน่อยที่ไม่เหมือนกัน
ดูขรึมและเรียบกว่าเพราะไม่มีลูกเล่นทางการตกแต่งมากนัก
ส่วนมากจะเป็นหนังสือภาษาอังกฤษและเยอรมันเล่มหนาๆ ที่เรียงรายไปทั่วทุกมุมของห้อง
“หมอสบายดีไหมครับ” ตุลยิ้มให้แทนคำตอบ
แล้วขอบคุณเบาๆ ไม่ได้ช่สงพูดช่างคุยเหมือนทุกๆ ที
“กินไอติมก่อนสิครับ เดี๋ยวละลาย”
“นั่นสินะ ทานด้วยกันนะครับ” ตุลเดินไปในส่วนครัวแล้วตักแบ่งไอศกรีมเป็นสองส่วน
ก่อนจะส่งส่วนหนึ่งให้กับคะน้า แล้วลงไปนั่งนิ่งๆ เขี่ยของเย็นในชามแก้วของตัวเองไปมา
“เอ่อ... มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่าครับ ดูไม่สบายเลย”
“เฮ่ๆๆ เปล่านี่ครับ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะครับ” รอยยิ้มนั้นอีกแล้ว
ยิ่งตุลดูพยายามฝืนเท่าไหร่ คะน้ายิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น
“เฮ้อ... ผมควรเชื่อดีไหมเนี่ย”
ตุลยิ้มให้เล็กน้อย เป็นรอยยิ้มแฝงไปด้วยความขมขื่นในใจ ทุกอย่างดำดิ่งสู่ความเงียบงันจนน่าอึดอัด
“ขอโทษด้วยนะครับ ผมคุยไม่สนุกเลย”
“เข้าใจครับ ผมก็ดูเป็นคนไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวอะไรกับใครเขาด้วยสิ
ยังไงก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมไวๆ แล้วกันนะครับ ผมไม่รบกวนต่อก็แล้วกันนะครับ”
คะน้าลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับออกไป ตุลจึงลุกขึ้นแล้วเดินตามมาส่ง
“ผมไม่อยากให้คุณไม่สบายใจ” ตุลยืนนิ่ง
“แต่ที่หมอทำอยู่ ทำให้ผมไม่สบายใจจริงๆ”
“ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ แต่มันยาก ผมไม่รู้จะพูดยังไง”
สบตาคะน้าด้วยความจริงใจ ก่อนที่รอยยิ้มน้อยๆ จุดขึ้นบนใบหน้า
“รู้ไหม... คุณเป็นคนสำคัญสำหรับผมนะครับ”“แล้วคิดว่าคุณสำคัญกับผมหรือเปล่าล่ะครับ”พูดออกไปก็ยังนึกแปลกใจตัวเอง แต่ความรู้สึกมันบอกอย่างนั้น
และเขาก็ไม่อยากจะโกหกความรู้สึกของตัวเอง
แม้จะรู้จักได้ไม่นาน แต่คะน้าก็อดเป็นห่วงตุลไม่ได้จริงๆ
“ผมกอดคุณได้ไหมครับ”ไม่รู้จะยังไง แม้จะรู้สึกกระดากๆ รวมทั้งยังคิดเรื่องในวันก่อนอยู่
แต่ก็พยักหน้าในที่สุด ตุลค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ สองแขนกางขึ้นก่อนจะโอบรอบทั้งตัว
ค่อยๆ รัดแน่นขึ้น ...และแน่นขึ้น คะน้ายกมือทั้งสองข้างขึ้นแล้วโอบกอดร่างของคนที่สูงกว่า
ตัวของตุลอุ่นและให้ความรู้สึกถึงความโหยหาบางสิ่งบางอย่าง
ร่างสูงสั่นจนไหวสะท้าน คะน้าลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังกว้างนั้น
สักพักก็เริ่มรู้สึกถึงความชื้นบนบ่า ตุลสั่นแรงขึ้น มีเสียงสะอื้นเล็กๆ ที่จับความไม่ได้ให้พอได้ยิน
“ผมไม่รู้ว่าตุลกำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่
แต่ผมรู้สึกไม่สบายใจ รู้ไหมครับ ว่าผมเป็นห่วงตุลนะ”
“ครับ” เสียงทุ้มเอ่ยรับด้วยความสั่นเครือจนแทบไม่เป็นภาษา
“ถ้าผมสามารถช่วยอะไรได้ ผมยินดีนะ
อย่าคิดว่าเป็นคนอื่นไกล ตุลก็รู้ ผมอยู่ข้างๆ ตุลนี่เอง”
“ขอบคุณครับ” ร่างนั้นสั่นสะท้านหนักยิ่งขึ้น
คะน้าค่อยๆ ดันร่างคนในอ้อมกอดออกห่าง เห็นตุลที่อ่อนแออย่างไม่น่าเชื่อ
ดวงตาที่เคยเหมือนกับยิ้มได้ตลอดเวลานั้นเอ่อชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา
ร่างสูงที่เคยดูสง่า สุขุม ในเวลานี้กลับดูคล้ายเด็กชายตัวน้อยๆ
ที่ไม่รู้จะทำยังไงกับโลกที่อยู่ตรงหน้าของตัวเอง ทั้งอ่อนไหว ...และอ่อนแอ
“มันจะผ่านพ้นไปครับ”
คะน้าค่อยๆ ประคองใบหน้าของตุลขึ้น สองมือค่อยๆ ปาดเกลี่ยหยดน้ำตาที่เอ่อล้นบนใบหน้า
ฝ่ามือลูบบนใบหน้าของตุลอย่างแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ โน้มตัวเองเข้าไปใกล้
“ตุลครับ ผมจะให้พรวิเศษหนึ่งอย่าง”
หัวสมองในตอนนี้ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความว่างเปล่า
มีแต่ความห่วงใยคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเพียงความรู้สึกเดียวที่แจ่มชัดในความคิด
ไม่รู้ว่าเหมาะสม หรือควรไหมกับสิ่งที่ทำลงไป
คะน้าค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าเข้าหาตุล
ก่อนที่ปลายจมูกจะกดตัวลงบนแก้มของคนที่ยืนสั่นอยู่
ดูเหมือนว่าตุลจะหยุดนิ่งไปชั่วครู่ และช่วงเวลานั้น
ริมฝีปากสีระเรื่อของคะน้าก็แตะลงเบาๆ บนแก้มที่ชื้นนั้น
ผละออกพร้อมกับรอยยิ้มและความร้อนวาบไปทั่วใบหน้า เห็นท่าทางของตุลที่ยืนอึ้งก็ได้แต่ยิ้มให้
คะน้าเอ่ยคำลาด้วยเสียงที่แผ่วเบา ก่อนเตรียมจะเปิดประตูกลับห้องไป
หากแต่ข้อมือนั้นถูกกระตุก และร่างกายนั้นก็ถูกรั้งเข้าสู่วงแขนของคนที่สูงกว่าอีกครั้ง
ตุลกอดคะน้าแน่น ก่อนที่จะฝังร่องรอยของจมูกลงบนแก้มของคะน้าเบาๆ
“ขอเวลาผมอีกหน่อยนะ ผมสัญญาว่าจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง”
...ในที่สุด รอยยิ้มของตุลที่เคยสดใสก็กลับคืนมา(มีต่ออีกนะครับ)