ศพของพี่ม่อนถูกนำลงมาจากการพันธนาการบนต้นหว้าด้วยฝีมือชาวบ้านใกล้ๆ แล้วจึงถูกนำไปไว้ชั่วคราวที่วัดละแวกนั้น
ท่ามกลางเสียงชาวบ้านที่พากันพูดเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ดูจากสีหน้าท่าทางของแต่ละคนแล้วต่างรู้สึกถึงบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว นายตำรวจสองคนที่พึ่งจะได้บึ่งรถมอเตอร์ไซต์จากสถานีที่อยู่ห่างไปพอสมควร ต่างรีบทำการถ่ายรูปและเก็บหลักฐานเท่าที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากแม้เวลานี้สายฝนจะซาลง แต่ก็ยังไม่ถึงกับหยุดตกและด้วยเวลาเกือบที่จะสองยาม ทำให้การเก็บหลักฐานเป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่งนัก
จากการให้ปากคำของพวกเราทั้งสามคนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจยิ่งทำให้การฆาตกรรมในครั้งนี้ ยิ่งดูเป็นปริศนามากขึ้น แม้ว่าพี่ม่อนจะเป็นพวกขี้หงุดหงิด ท่าตีท้าต่อยกับชาวบ้านไปทั่ว แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะโดนฆ่าตายด้วยวิธีพิสดารอย่างนี้ ใครเป็นคนทำ? และจะลำบากทำขนาดนี้ไปเพื่ออะไร ?
แม้ว่าฝนจะเบาลง แต่ระดับคลื่นยังคงถาโถมซัดจนดูทะเลบ้าคลั่งก็ไม่ผิด ช่วงมรสุมเข้าเป็นแบบนี้เสมอเหรอไง
“ไหนลองบอกอีกทีซิ ว่าทำไมพวกเราสามคนถึงไปที่เกิดเหตุค่ำๆมืดๆแบบนั้น” นายตำรวจคนนึงถามคำถามเดิม
คิวมันทำท่าทางหงุดหงิด เหมือนจะว้ากใส่ด้วยความรำคาญ แต่โค้กมันยกมือห้ามไว้
“ก็อย่างที่ผมบอกว่า เพื่อนผมทำของหล่นหาย ผมสามคนก็เลยออกไปหา แล้วก็เดินไปทุกที่ๆผ่านตอนหัวค่ำ” โค้กอธิบายด้วยความใจเย็นอีกรอบ
“แล้วพวกผมก็ส่องไฟไปเจอแสงแปลกๆ ก็เลยส่องขึ้นไป ก็เลยเจอ - - - ” ผมพูดต่อ
“ไปหาของทั้งๆที่ฝนตกหนักเนี่ยนะ ? ” นายตำรวจแก่ยังไม่เลิกสงสัย
“ใช่ครับ ของสำคัญ” ผมตอบไปพลางมองหน้าตำรวจคนนั้นที่จ้องเขม็งมาทางพวกเรา
“คุณตำรวจ ข้าว่านะ ไอ้สามคนนี้มันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรอก มันจะมีเหตุผลอะไรล่ะที่จะฆ่าไอ้ม่อนมัน ทั้งๆที่พึ่งรู้จักกันไม่ข้ามวัน” พี่สิดเดินเข้ามาเสริมหลังจากที่พวกเราโดนตำรวจสอบนานเป็นพิเศษ
“มันก็ใช่นะ แต่พวกเราก็ต้องถามตามหน้าที่ก็เท่านั้นล่ะ” ตำรวจคนที่หนุ่มกว่าบอกกับพี่สิด
“เออมาก็ดีล่ะมึง จะได้สอบต่อ เอาคุณสามคน ขอรบกวนเท่านี้ก่อนล่ะกัน” นายตำรวจบอกก่อนจะยิ้มให้เป็นเชิงขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ
“เป็นไงบ้าง เค้าถามไรมั่ง” พี่โจ้เดินเข้ามาหาพวกผม เห็นสายตาก็ดูว่ากำลังตกใจ
“ก็ถามรายละเอียดทั่วไปล่ะ พวกผมก็บอกๆเค้าไป” ผมบอกกับพี่โจ้
“เห็นว่าศพพี่ม่อนดูไม่ได้เลยเหรอคะ ? ” น้องจ๋าถามบ้าง คิวมันพยักหน้า พร้อมกับทำท่าจะอ๊วกอีกรอบ
“จ๋า เรานี่ เป็นเด็กเป็นเล็ก ไปๆรีบเข้าบ้านเถอะ เกิดเรื่องแบบนี้ แล้วทีหลังอย่าออกไปเดินเล่นกลางค่ำกลางคืนแบบนี้อีกนะ” แม่พี่โจ้รีบไล่ให้พวกเรากลับเข้าบ้าน โดยพี่โจ้อาสามานอนเป็นเพื่อนพวกผมที่บ้านพัก แต่จริงๆแล้วพี่โจ้คงอยากจะถามเรื่องราวว่าเป็นไงมาไงมากกว่า
“หงึยยย ตัวนะพี่ ห้อยโงนเงนๆ อยู่กะกิ่งอ่ะ น่ากลัวชิบหาย ใครเป็นคนทำก็ไม่รู้” ไอ้คิวเล่ารายละเอียดเท่าที่หัวสมองมันพอจะจำได้
“เฮ้ยย นอนเหอะ เด๋วพรุ่งนี้ก็ไม่ตื่นหรอกเมิง” ผมเอ็ดไอ้คิวที่มัวแต่บรรยายอะไรไม่เป็นเรื่อง แล้วก็หันตัวเป็นนอนตะแคงไปทางโค้ก มันนอนหันหลังเงียบเชียบ สงสัยมันคงจะหลับแล้ว ผมยังคงนอนพลิกไปพลิกมา กระสับกระสายกับเหตุการณ์ขนหัวลุกที่เกิดขึ้น จนรู้สึกว่าสมองจะอ่อนเพลียไปเอง
“งืม งืม พรุ่งนี้ โอ้ตมันก็คงมาแล้วล่ะ งืม” ผมนอนคิดปลอบใจตัวเอง เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้หัวใจผมสงบมากที่สุดแล้วในขณะนี้ ก่อนที่จะผลอยหลับไป
***************************
Zzzzzz Zzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzz - - -
เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง !!
คลื่นนนนน
“อึ๊ก ….” ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงฟ้าคำรามสนั่นหวั่นไหว มองเห็นคิวมันนอนหลับไม่รู้สึกรู้สา ถัดไปพี่โจ้ก็นอนคลุมโปงได้ยินเสียงหายใจเบาๆ
“อืออออ กี่โมงแล้ววะเนี่ย” ผมคิดแล้วก็เอื้อมมือไปบนหัวนอนคว้านาฬิกาขึ้นมาดู
“ตี 5 กว่าๆ” แต่รอบๆยังคงมืดมิด อาจเป็นเพราะอยู่ในหน้าหนาว แล้วยังมีมรสุมเข้าอีกตะหาก ผมพลิกตัวกะจะนอนต่อ แต่คนที่นอนอยู่ข้างๆผมมันหายไป
“ไอ้โค้กมันหายไปไหนวะ” คิดยังไม่ทันจบ ก็เห็นเงาคนนั่งอยู่ตรงระเบียงนอกบ้าน ผมเลยค่อยๆลุกแล้วเดินไปช้าๆ เพื่อมองว่าเป็นใคร
“อ้าว โค้ก นอนไม่หลับเหรอ” ผมทักเมื่อเห็นว่าเป็นมันนั่งยกขารับลมอยู่ตรงระเบียงบ้าน
“อือ .. นอนไปได้หน่อยเดียวก็มานั่งรับลมดีกว่า” มันพูดสายตาก็ทอดยาวไปที่ชายหาด คลื่นลมยังคงปั่นป่วนทั่วท้องน้ำ เห็นแบบนี้แล้วรู้สึกว่ามันเท่ห์โคตรซะงั้น
“กลัวอะดิ เลยนอนไม่หลับ” ผมแซวมันแล้วก็หย่อนตัวลงนั่งข้างๆ
“อือเด๊ะ กลัวก็กลัว แต่สงสัยก็สงสัย” มันบอกพลางเก็บเศษกิ่งไม้แถวๆนั้นมานั่งหัก สายตามันเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
“สงสัยว่าใครเป็นคนทำน่ะเหรอ” ผมเดาความคิดมัน
“อือ”
“บ้าน่า ผมบอกกะมัน จนมันหันมามอง เราพึ่งมาไม่ถึงวัน จะรู้ได้ไงว่าใครเป็นคนทำ พี่ม่อนเค้าอาจจะมีคนที่ไม่ชอบตั้งเยอะแยะ เราไม่ใช่ตำรวจนะว้อย”
“ผมก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปสืบหาคนฆ่าซะหน่อย แค่สงสัยอ่ะ สงสัยไม่ได้เหรอไง” มันเถียงผมกลับมา
“ไม่สงสัยรึไงตอนเราเดินมาครั้งแรกมันช่วงสองทุ่มครึ่ง แต่พอกลับมาอีกที แค่ครึ่งชั่วโมง ก็มีศพที่ถูกหั่นเป็นท่อนๆแล้วอ่ะ” มันพูดให้ผมเห็นภาพสยองอีกรอบ จนต้องเบือนหน้าหนี
“ก็จริงว่าไม่มีใครทำได้แค่ครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าทำมาก่อนแล้วค่อยมาแขวน มันก็ทำได้ไม่ใช่เหรอไง” ผมพูดตอกกลับ
“ทำซะขนาดนี้ มันต้องมีร่องรอยอะไรบ้างแหละน่า อย่างน้อยก็ตัวคนเราก็ไม่ได้มีเลือดแค่หยดสองหยด ที่จะทำลายหลักฐานได้หมดหรอก ป่านนี้ตำรวจพวกนั้นก็คงกำลังไปค้นที่ๆใช้ชำแหละอยู่นั่นล่ะ”
“เป็นท่อนๆขนาดนั้น มันทำตามบ้านไม่ได้หรอก อย่างน้อยก็ต้องมีอุปกรณ์ที่ใช้เฉพาะ” โค้กมันอดต่อล้อต่อเถียงไม่ได้
ผมบอกพลางทำท่าจะลุกขึ้น เพราะรู้สึกว่าไม่อยากจะคุยเรื่องนี้อีกแล้ว
“เราไม่ใช่ตำรวจนะ โค้ก” ผมหันไปบอกไอ้โค้กที่ยังคงนั่งทอดหุ่ยอยู่
“ผมรู้หรอก” ไอ้โค้กบอกผมเสียงแข็ง
***************************
เวลาล่วงมาถึงเช้าของวันที่สองที่ผมได้มาอยู่บนเกาะ แต่ทว่าเหตุการณ์ที่คิดว่าเลวร้ายที่สุดแล้ว มันก็ยังไม่ได้หมดเพียงเท่านั้น
“วะ ว่าไรนะพี่โจ้ พวกพี่ต่ายยังมาวันนี้ไม่ได้เหรอ” ผมโพล่งออกไปหลังจากพี่โจ้มาส่งข่าว
“ใช่ คลื่นลมมันแรงมาก จนยกเลิกเดินเรืออ่ะ ” พี่โจ้บอกหน้าเสียๆ แบบนี้คงจะอีกวันสองวันแหละ กว่ามรสุมจะผ่านไป
-อะไรฟร่ะ เรื่องบ้าไรเนี่ย- ผมคิดในใจ เพราะถ้าเป็นแบบนี้ก็เหมือนพวกเราติดเกาะโดยไม่สามารถที่จะออกไปไหนได้เลย รวมถึงก็จะไม่มีใครเข้ามาได้เช่นกัน เรื่องมือถงมือถือไม่ต้องไปคำนึงถึงเลย คงจะต้องพึ่งแต่โทรศัพท์สาธารณะอย่างเดียวที่จะสามารถติดต่อคนบนฝั่งได้
เช้าวันนี้ตำรวจมาส่งข่าวให้พ่อกะแม่พี่โจ้เล็กน้อย ก่อนที่จะไปจัดการกับคดีต่อ ดูเหมือนว่าเมื่อคืนทั้งคืนจะไม่สามารถหาเบาะแสอะไรได้มากนัก แล้วที่โชคร้ายไปกว่านั้น ก็คือร่องรอยต่างๆก็ดูเหมือนจะโดนพายุฝนเมื่อคืนนี้กลบไปหมด
โรงเชือดสัตว์ที่มีอยู่บนเกาะแห่งเดียว ก็ไม่พบร่องรอยของการชำแหละ หรือว่าคราบเลือดอะไรที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลยด้วย
ฝนเมื่อคืนทำลายหลักฐานของคนร้ายทั้งเรื่องรอยเท้า แล้วก็เรื่องคราบเลือดที่หยดบริเวณนั้นไปหมดเลย นายตำรวจคนที่มาบอกข่าวดูสีหน้าอิดโรยไปพอสมควร เมื่อคืนอาจจะไม่ได้นอนก็เป็นได้ หลังจากมาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย ก็บึ่งมอไซต์กลับโรงพัก
“พี่ปริ้นคะ จ๋าจะไปตลาด พี่จะฝากซื้ออะไรมั้ยคะ” น้องจ๋ายื่นหน้ามาทัก
“อ่อ ก็มีอ่ะคับ เออ แต่เด๋วพี่ไปด้วยดีกว่า รอพี่แป็บนึงนะ” ผมว่าพลางรีบกุลีกุจอไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ผมไปด้วยซิพี่” เสียงไอ้โค้กแว่วมาแต่ไกล
“จะซื้อไรอ่ะ เด๋วพี่ซื้อให้ก็ได้” ผมว่าพลางหากระเป๋าตังค์
“ไม่เอาอ่ะ ก็จาไปด้วยไง ” มันงอแงแล้วก็รีบเปลี่ยนไปใส่เสื้อยืด แล้วก็คว้ากางเกเลมาผูกๆ โห แบบว่าถ้าโดนกระตุกนิดเดียวนะ เมิงเอ้ย เป็นเปรตโทงๆแน่ๆ
เราสามคนเดินซื้อหาซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นของกินตุนเอาไว้ก่อน เผื่อพวกพี่ต่ายอาจจะกลับมาในวันพรุ่งนี้ได้ แล้วก็หาของที่จะทำกินกันเพราะไม่อยากรบกวนที่บ้านพี่โจ้มากนัก
“ซื้อไรให้คิวมันกินด้วย แมร่งนอนขี้เซาชิหาย” ผมพูดถึงเพื่อนที่กำลังนอนกินบ้านกินเมืองอยู่ที่บ้านพัก ถ้ามันรู้ว่านอนอยู่คนเดียวนะ มีหวังป่านนี้คงโกรธพิลึก
“อ้าว จ๋านี่นา มาซื้ออะไรลูก” ผู้หญิงสูงวัยคนนึงเดินเข้ามาทักน้องจ๋าอย่างสนิทสนม
“สวัสดีคะ ป้าดา หนูมาซื้อของเข้าบ้านนะคะ” จ๋าตอบแบบอ่อนน้อม ผิดกับที่พูดอยู่ที่บ้าน หญิงที่ชื่อป้าดาคุยกับน้องจ๋าอยู่พักนึง น้องจ๋าก็หันมาพูดกับพวกผม
“พี่ปริ้น กับพี่โค้ก กลับบ้านไปก่อนก็ได้นะคะ เดี๋ยวจ๋าจะช่วยป้าดาเค้ายกตะกล้าผักกลับบ้านก่อนนะคะ ป้าแกแก่แล้ว” จ๋าบอกพลางยืนของที่ซื้อมาให้ผม
“เออ เด๋วพี่ช่วยแบกไปให้แล้วกัน จะได้ไวๆ แล้วจะได้กลับพร้อมกัน” ผมว่าแล้วก็หันไปมองไอ้โค้ก มันก็เห็นด้วย
น้องจ๋าแนะนำตัวผมกะโค้กให้ป้าดาได้รู้จัก ดูป้าแกจะดีใจมากที่รู้ว่าไม่ต้องหอบไปคนเดียว แต่ก็ดูท่าจะแกล้งอกแกล้งใจพวกเราอยู่ ผมมารู้ว่าป้าดาคือแม่ของผู้หญิงที่ผูกคอตายที่ต้นหว้า ที่ชื่อมุกนั่งเองหลังจากเดินมาได้ซักพัก ก็ถึง อย่างที่บอกตั้งแต่ตอนแรกว่า ระแวกบ้านก็อยู่ใกล้ๆกัน
“ขอบใจหนูมากนะ จ๋า แล้วก็พ่อหนูสองคนด้วย ” ป้าดาบอกขอบอกขอบใจ แล้วก็คะยั้นคะยอให้เราสามคนกินข้าวเช้ากะแกที่นี่ซะเลย เนื่องจากว่าไม่ต้องรีบร้อนไปไหน อีกทั้งรู้สึกเห็นใจว่า แกอยู่บ้านเพียงลำพัง ก็เลยนั่งอยู่เป็นเพื่อนกินข้าวซักมื้อนึง
ป้าดาพาเราเข้าไปในบ้าน ผมกะไอ้โค้กมองสำรวจภายในบ้านอย่างประนีประนอม เพื่อไม่ให้ผิดมารยาทมากนัก
เท่าที่ดูภายในบ้านก็มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรไม่มากมายนัก แต่ก็ไม่ถึงกับอัตคัดขัดสน จะมีเพียงส่วนนึงของบ้านที่ประดับตกแต่งด้วยโมบายที่ทำด้วยหอย แล้วก็ซากปะการัง แขวนเอาไว้ แต่ที่ทำให้ผมสนใจมากกว่านั้น คงจะหนีไม่พ้น หุ่นกระบอกเป็นสิบๆตัว ห้อยเอาไว้ข้างกำแพงปะปนกับโมบายปะการัง
หลังจากที่กินข้าวเสร็จ ระหว่างที่ป้าดาชวนน้องจ๋าคุยกันนู่นนี่ ผมก็หลีกตัวออกมาพินิจดูเครื่องประดับบ้านแต่ละชิ้น ไม่ว่าจะเป็นโมบายหอยที่มีหลากหลานชนิด หรือว่าจะเป็นปะการังที่บางอันก็เป็นสีขาวบริสุทธิ์ บางอันก็แหลมคมจนน่ากลัว โค้กมันเดินมาดูข้างๆ อย่างสนอกสนใจ
“สวยเนอะ ” โค้กมันถามผมเหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบ แล้วก็หยิบบางอันขึ้นมาดูบ้าง “แต่ไอ้พวกนี้ไม่เห็นว่าจะเข้ากันกับพวกโมบายเลยหนิ ”
ป้าดากับจ๋าเดินมาพอดี
“มุกหน่ะ เค้าชอบเก็บหุ่นพวกนี้มากเลยจ๊ะ กลับมาจากในเมืองทีไร ก็จะซื้อมาตัวสองตัว หรือไม่เห็นที่ไหน ก็ชอบซื้อมาสะสม”
ป้าดาบอกขณะที่เอื้อมมือไปหยิบหุ่นกระบอกตัวนึงที่แขวนไว้ ยื่นมาให้ดู ไอ้โค้กรับไว้พลางมองมาที่ผม
“งั้นเดี๋ยวหนูขอลาป้าเลยนะคะ เดี๋ยวที่บ้านจะหาว่าไปเถร่ไถลที่ไหนอีก ” จ๋าบอกลาป้าดา
“พี่ปริ้นคิดเหมือนพี่ผมคิดม่ะ” ไอ้โค้กยิ้มทะแม่งๆ หันมาหาผม
“คิดไร” ผมถามมันเหมือนจะลองใจ
ไอ้โค้กหันหน้าไปทางหน้าต่าง ทิศที่ต้นหว้าสูงตะหง่านตั้งอยู่ มองออกไปจากที่บ้านนี้ก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน โค้กมันยกตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่ป้าดาให้ดูเมื่อกี้ ยื่นไปที่ต้นหว้าใหญ่ต้นนั้น ฉับพลันสมองผมก็คิดเลยเถิดไปว่า ตุ๊กตาที่โค้กมันถือเทียบกับตำแหน่งของต้นหว้าอยู่ มันเหมือนสภาพศพของพี่ม่อนที่ถูกแขวนเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน..
***************************
“อยากจะบอกว่าการตายของพี่ม่อนเกี่ยวข้องกับพี่มุกงั้นดิ” ผมถามโค้กหลังจากแยกจากน้องจ๋าแล้ว
“ผมก็ไม่รู้ แค่รู้สึกมีอะไรตะหงิดๆ” แววตาไอ้โค้กมันดูจริงจังซะจนผมไม่กล้าจะไปขัดอะไรมัน
“เฮ้ย พวกเมิงอ่ะ หายหัวไปไหนกันมา ทิ้งให้กรุอยู่คนเดียว” ไอ้คิวเห็นผมกะโค้กเดินมาใกล้ก็ตะโกนโหวกเหวก
“ก็ไปหาไรให้มึงกินแหละ นอนตื่นสายเอง”
“เออ เมื่อกี้พี่โจ้เดินมาบอกว่า คืนนี้เค้ามีงานฟูลมูนปาร์ตี้ด้วยนะ” คิวมันบอกพลางเปิดถุงโจ้กที่ซื้อมาให้
“ฟูลมูนคือไรง่ะ” ผมไม่รู้จักเลยหันไปถาม
“งานเหมือนๆกะเทศกาลบนเกาะอ่ะคับ จะจัดตรงกับวันที่พระจันทร์เต็มดวงไง ถึงเรียกว่า ฟูลมูนปาร์ตี้” โค้กอธิบาย
“อ่อ .. ว่าแต่ มรสุมเข้าอยู่แบบนี้ แถมหนาวๆแบบนี้ ยังจะจัดได้อีกเหรอ”
“แล้วเอาไงอ่ะ เย็นนี้ไปเที่ยวกะเค้าม่ะ” ผมถาม
“ไปเด๊ะ แค่นี้ก็เบื่อจาแย่อยู่แล้ว ไอ้พวกพี่ท็อปพรุ่งนี้มั้งกว่าจะมาได้ เซงเลย” คิวมันบ่นอุบ แล้วเดินออกไปนั่งหน้าระเบียง
“โอ้ยยย สัด ไรทิ่มตูดกรุเนี่ย” เสียงไอ้คิวดังลั่นจนผมกะโค้กต้องรีบเดินไปหามัน
“สาดด ร้องมาได้แทบบ้านแตก กุนึกว่ามึงชอบซะอีก” ผมอดกัดมันไม่ได้จริงๆ ที่มันชอบโวยวาย
“ชอบไรเมิงพูดดีๆนะไอ้ปริ้น” มันพูดแล้วก็ค่อยๆลุกขึ้นมา เห็นเป็นวัตถุสีเงินวาวหล่นอยู่ตรงที่คิวนั่งทับ มันกำลังจะหยิบขึ้นมาดู แต่โค้กมันก็ตะโกนห้ามไว้ก่อน
“พี่ปริ้น พี่ คิว มันดูคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหนป่าววะ” มันทำหน้าเหมือนกะลังใช้หัวอย่างหนัก
“เออ ก็ว่างั้น” ผมสำทับ
“อ่ออออ กรุนึกออกแล้ว” ไอ้คิวโพล่งออกมา พร้อมกับทำหน้าซีดๆ “ม่ะ เหมือ … เหมือนกะไอ้ตะขอที่อยู่ที่บนตัวไอ้พี่ม่อนไง” มันสบตากะโค้ก แล้วหันมามองผมทีละคน
“เมิงแน่ใจนะคิว” ผมถาม
“กะ ก็เหมือนอ่ะ แต่กรุว่า ของแบบนี้ ไอ้ตะขอแบบนี้ มันก็คงมีเหมือนๆกันบนเกาะอ่ะ ”
ระหว่างที่ผมกะลังออกความเห็นอยู่กะคิว โค้กมันก็เดินเข้าไปในบ้าน พร้อมกับใช้เศษผ้าห่อตะขอชิ้นนี้เอาไว้
“เก็บไว้ก่อนดีกว่าพี่ ถ้าตำรวจมาเห็นเข้า ผมว่าคงจะสงสัยพวกเราแน่ๆอ่ะ มาเที่ยวแล้วมีไอ้ของอย่างงี้มาอยู่แถวบ้านได้ไง ” มันพูดเสร็จก็จัดการห่อไว้อย่างดี
สามหนุ่มมองหน้ากันเลิกลั่ก เหมือนกับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นกันอย่างไร พอดีกับพี่โจ้มาเรียกให้ไปหาที่บ้าน เมื่อเดินมาถึงก็เจอพวกพี่สิด กับไอ้สิงห์ยืนรออยู่ด้วยแล้ว
“พอดีพี่สิดเค้าจะไปส่งของที่หาดริ้น พ่อกะแม่ก็เลยให้พี่ชวนพวกเราไปนั่งรถเที่ยวด้วยอ่ะ จะไปด้วยเปล่า” พี่โจ้ถามความเห็น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเพื่อนในกลุ่มพึ่งเสียชีวิตไปเหรอเปล่า วันนี้ไอ้สิงห์ดูเงียบหงอย ไม่กวนตีน หรือดูซ่าแบบเมื่อวานนี้ ดูไอ้คิวมันอยากไป ผมกะไอ้โค้กก็เลยไปด้วย เพราะเห็นเค้าบอกว่า หาดที่ว่าเนี่ย ฝรั่งโป๊ตรึมาๆ โอ่วๆ (บ้ากาม)
พอไปถึงก็จริงครับ นมเป็นนม เหอๆ ถ้าผมไม่ได้เป็นแบบนี้ก็เลยรู้สึกว่า เฉยๆอ่ะ แต่ก็ตะลึงๆพอสมควรเหมือนกัน แต่อากาศแบบนี้แล้วคลื่นลมก็ยังแรงอยู่ ก็เลยไม่ค่อยมีคนมาเล่นน้ำเท่าไร มีแต่คนมานอนอาบแดด (ซึ่งก็ไม่ค่อยมี)อยู่บ้าง แต่หาดทรายแถวนี้เรียกว่าขาว แล้วก็ละเอียดมากๆ ได้สัมผัสแล้วอยากจะลงไปนอนเกลือกกลิ้งจริงๆ
“นี่ถ้าไม่มีพายุเข้า ไม่มีเรื่องเมื่อคืน ป่านนี้คงสนุกสนานกันขนาดไหนก็ม่ะรู้ เฮ้อ” ไอ้คิวบ่น เป็นรอบที่ล้านแปด
“อือ ถ้าไม่มีพายุเข้า ป่านนี้พวกไอ้โอ้ตคงกำลังขึ้นเรือมาหาอยู่แล้วเชียว” ผมคิดในใจ อยู่ที่นี่โอ้ตมันก็โทรเข้ามายากอยู่แล้ว ยิ่งมีพายุแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
“งั้นตอนเที่ยงหาไรกินกันแถวนี้แล้วกันนะ” พี่สิดบอก ตอนเที่ยงนี้เราก็เลยมานั่งกินเปลี่ยนบรรยากาศ อย่างที่บอกคับ ตั้งแต่มาเนี่ย ไอ้สิงห์มันไม่พูดไม่จาอะไรเลยทั้งสิ้น จริงๆแล้วพี่สิดก็ดูเฉาๆไปเหมือนกัน บรรยากาศในการกินเลยดูมาคุไปชอบกล
“เออ ลืมถามเลย เมื่อเช้าได้กินไรมากันเหรอยังล่ะ เห็นแต่ไอ้คิวมันกินคนเดียวนิ ” พี่โจ้ถามผมสองคน
“อ่อ กินแล้วครับ พอดีช่วยป้าดาเค้าขนของกลับบ้านอ่ะคับ ก็เลยไปกินที่บ้านป้าเค้า” โค้กมันบอก
“ป้าดา ป้าดา” พี่โจ้ดูเหมือนจะจากเกาะไปเรียนนานก็เลยนึกไม่ออกว่าดาไหนแน่ๆ
“ป้าดา ที่เป็น เออ ที่เป็น แม่พี่มุกไงคับ” ผมบอกไปโดยไม่ทันได้คิดอะไร เสียงไอ้สิงห์สำลักข้าวที่กำลังเคี้ยวอยู่อย่างไม่มีมารยาท
“อ่ะ อ่อๆ” พี่โจ้พยักหน้าเป็นเชิงนึกออก “ แล้วป้าแกดูสบายดีเหรอ”
“ก็เหมือนจะสบายดีล่ะครับ แต่ดูแกเหงา - - -” ผมยังคุยไม่จบ เสียงพี่สิดกระแทกแก้วน้ำเสียงดัง เหมือนอยากให้ผมหยุดพูดอะไรอย่างงั้น
“รีบๆกินจะได้รีบๆกลับเถอะ อย่ามัวแต่คุยกันอยู่ พี่ยังต้องไปขนปลาไปส่งอีกหลายที่” พี่สิดว่า เหมือนหงุดหงิดซะงั้น
“เป็นอะไรของเค้าวะ” คิวมันบ่นพึมพำๆ แบบไม่สบอารมณ์
***************************
งานฟูลมูนปาร์ตี้ดูจะเงียบเหงากว่าทุกครั้งที่จัดมา เมื่อออกไปยืนที่ริมหาดหน้าบ้านพัก เดินไปด้านขวามือเกือบจะสุดพื้นที่หาด จะเป็นพื้นที่ของพวกรีสอร์ตของนักธุรกิจ ตรงจุดนี้แหละที่มีงานฟูลมูน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติแทบทั้งสิ้น บรรยากาศในงานคราวนี้มีการจุดคบเพลิง แล้วก็สุมไฟเป็นกองเพลิงขนาดใหญ่หลายจุด
“กรุว่านะ ต้องมีพวกอัพยาด้วยแน่เลย เมิงดูอีผู้หญิงคนนั้นดิ” ไอ้คิวว่าพลางชี้ให้ดูแหม่มสาวคนนึงที่กำลังดิ้นเป็นกุ้งเต้นด้วยความเมามันส์ เนื้อตัวแดงซ่าน แทบจะทุกคนต่างถือแก้วเหล้า บางคนก็เป็นขวด ดิ้นกันด้วยความเมามันส์
“เฮ้ย ไปเต้นกัน” ไอ้คิวชวนผม
“เหอะ กุเต้นม่ะเป็น” ผมปฏิเสธ แล้วก็ดันให้ไอ้โค้กไปเต้นเป็นเพื่อนแทน ดูมันก็ชอบแนวนี้เหมือนกันเลยไปด้วยกันได้
ผมได้แต่หาน้ำพั้นแถวนั้นกิน (กรุดูสำอางไปม่ะ) สายตาก็เหล่หนุ่มแถวนั้นไปเรื่อยๆ ด้วยความเมามันส์เช่นเดียวกัน หุหุ
อุ๊ … หล่อชิบบบหายยยยยยยยยยย มีหนุ่มฝรั่งคนนึงคับ กะลังเต้นๆ ดริ้งๆไปด้วย ตาคมมากๆ ผมแทบละลาย หุห
อ๊ะ … คนนั้นๆๆ ก็น่ารัก แต่ทำไมตัวโคตรใหญ่แบบนั้นวะ อึ้ย..
โอ๊ะ … ไอ้ตัวเล็กๆเตี้ยๆนั่นใครวะ คุ้นๆ อ่ะ ไอ้สิงห์นี่หว่า มาด้อมๆมองๆไรแถวนี้วะ ? ผมสังเกตเห็นท่าทางมันไม่เหมือนคนมาเที่ยวธรรมดา ดูหลุกหลิกชอบกล เลยค่อยๆเดินตามไป แต่ตามไปได้พักเดียวเท่านั้นก็คลาดสายตา
-แม่ม !! ไปไหนแล้วฟร่ะ ผมคิดแบบหงุดหงิด แต่ก็มาเจอไอ้โค้กในสภาพเมาแอ๋ซะงั้น กะลังถูกอีผู้หญิงคนนึงก้อล้อก้อติกอยู่
ดูท่าทางมันจะถูกใจอีคนนี้เหลือเกิน เพราะผมเห็นมือไม้มันพัลวันนัวเนียไปทั่วตัว ฝ่ายผู้หญิงแมร่งก็ไม่เบาคับ กอดคอไอ้โค้ก ส่วนที่เป็นโนตมก็เบียดแนบเข้ากะตัวไอ้โค้กแบบไม่มีพื้นที่ว่าง
ผมเห็นแบบนั้นรู้สึกไม่พอใจแปลกๆ แต่ก็คิดว่า แมร่ง มรึงเด็กม ปลายนะ
“เฮ้ย โค้ก เมาขนาดนี้กลับได้แล้ว” ผมเดินไปสะกิดมันก่อน ดูท่าทางมันไม่สนใจเลย
“ไอ้โค้กจะกลับไม่กลับเนี่ย เด๋วกรุกลับแล้วนะ” ผมเอ็ดมันเสียงดังกว่าเดิม เสียงเพลงในงานแมร่งเปิดดังสนั่นไปหมด คราวนี้อีผู้หญิงซึ่งพอมองมาใกล้ๆแล้วเนี่ย คงเป็นนักท่องเที่ยวคนไทยนี่แหละ ดูมันไม่ค่อยสบอารมณ์กะผมแล้ว เลยเดินเอาจะเอามือมาปัดมือผมออกอย่างแรง
“อ่ะ ทำงี้กะกุ ได้เสียละมึง” ผมเลยเดินไปกระชากตัวไอ้โค้กออกมาจากการโอบกอดของอีผู้หญิงคนนั้นด้วยความรวดเร็ว ไอ้โค้กเสียการทรงตัวเลยล้มตึงไปบนพื้นทราย ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะเดินมาจิกตัวไอ้โค้กให้ลุกขึ้น ผมก็เอาตัวเข้าไปขวางไว้ก่อน
“ไอ้เชี่ย มันเป็นผัวมึงเหรอไง ขัดกูอยู่ได้” อีนั่นแผดเสียงใส่ผมอย่างดัง ทำเอาผมหน้าชาไปนิด
-เออ ขอโทษครับ อย่ามายุ่งกับเพื่อนผมเลย มันเมาแล้ว- ผมคิดในใจที่จะพูดตอบกลับไปแบบนี้ แต่ปากผมไวกว่าความคิด
“สัดด อย่ามาแรดกับเพื่อนกูนะ คิดว่าเป็นผู้หญิงแล้วกูจะต่อยไม่ได้เหรอ” ผมพูดไปทำท่ากำหมัดจะต่อย แต่มีคนมาแยกผมกะมันออกไปก่อน พอดีกะไอ้คิวซึ่งไม่ค่อยยี่หร่ะกับการแดกเหล้าเท่าไรมาพาผมกะไอ้โค้กซึ่งเมาแอ๋ กลับที่พัก
“ดูแมร่งเมาดิ เฮ้อ เกือบเสียความบริสุทธ์ให้คนม่ะรู้จักแล้วม่ะล่ะไอ้โค้ก” ผมบ่นให้ไอ้คิวที่กำลังยิ้มกริ่มห่าไรม่ะรู้ฟัง
“โอ่ เป็นห่วงเป็นยายยยย” มันแซว
“เอ๋า ก็น้องนี่หว่า” ผมพูดไม่สบตามัน
“เหรอออออออออออ ถ้าไม่ไปขัดไรมันเนี่ย ไม่แน่ป่านนี้มันอาจได้เมียแล้วก็ได้นา ไปขัดฟามสุขมันเป่าวะ” ไอ้คิวมันยังพูดไม่จบ
“เออ ช่าย กรุเสือกเองแหละ ทำมายวะ” ผมชักยัวะ เลยเดินออกมาข้างนอกบ้าน เสียงไอ้คิวตะโกนให้มาช่วยเช็ดอ๊วกไอ้โค้กดังออกมา แต่ผมม่ะสนหรอก ชิส์
กองไฟที่สุมอยู่ทั่วบริเวณที่จัดงานมันสูงแล้วก็สว่างพอที่จะมองเห็นจากที่พวกผมพักกันอยู่ หลังเที่ยงคืนงานคงใกล้จะเลิกกันซะที เสียงปะทุของไม้ที่เป็นเชื้อเพลิง พร้อมกับประกายไฟที่กระเด็นออกมา เปาะแปะๆ อาจจะทำให้ใครบางคนชอบอกชอบใจ เพราะว่าบางสิ่งบางอย่างที่เอาเป็นเชื้อเพื่อให้กองไฟส่องสว่างอยู่นั้น ไม่ได้มีแต่เพียงใบไม้หรือกองฟืนเท่านั้น แต่มีร่างกายของใครบางคนกำลังมอดไหม้อยู่ในกองไฟกองนึงภายในงานนั้นด้วย
คลื่นนนนนนนนนนน ซ่า …….
เสียงคลื่นซัดเข้ามากระทบกับชายหาด เช้าวันที่สามของการที่พวกผมสามคนมาถึงเกาะแห่งนี้ ดูเหมือนว่ามรสุมจะผ่านพ้นเกาะไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท้องฟ้าในเช้าวันนี้ดูเหมือนจะสดใสขึ้น คลื่นลมในทะเลสงบลง เรือประมงบางลำเริ่มจะออกไปหาปลากันตามวิถีชีวิตปกติ แต่ดูเหมือนจะมีเหตุการณ์ที่ไม่เป็นปกติอยู่เรื่องนึง บริเวณชายหาดที่เป็นสถานที่จัดงานฟูลมูนปาร์ตี้เมื่อคืนที่ผ่านมา พบร่างกายของคนคนนึงโดนเผาไหม้เกรียม สภาพศพดำเป็นตอตะโก เจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าน่าจะโดนจับมาแล้วจุดไฟเผาหลังเที่ยงคืน และเนื่องด้วยภายในงานก็มีการจัดกองไฟอยู่รอบๆแล้ว จึงไม่มีคนสังเกต และเสียงดนตรีที่เปิดสนั่นหวั่นไหว จึงไม่มีใครคาดคิดว่า จะมีการใช้กองไฟเหล่านี้ เป็นเครื่องมือในการฆาตรกรรม
สิ่งที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจถึงกับอึ้ง แล้วก็สยอดสยองก็คือ สภาพของศพที่นอกจากจะดำม่ะเมี่ยมแล้ว ร่างกายแต่ละส่วนยังโดนหั่นเป็นชิ้นเฉกเช่นเดียวกับศพที่โดนแขวนไว้บนต้นหว้าเมื่อคืนก่อน กลิ่นเนื้อที่โดนย่างยังคงลอยตลบอบอวลอยู่ภายในบริเวณนั้น ถ้าจะเปรียบการฆาตรกรรมคราวที่แล้วเหมือนหุ่นกระบอกโดนแขวนเอาไว้ การฆ่าในครั้งนี้ก็เหมือนเอาหุ่นกระบอกที่ไร้ประโยชน์แล้วมาเผาไฟทิ้งเพื่อไม่ให้เหลือซากนั่นก็ไม่ผิด
.
.
.
---------------------------------TBC---------------------------------------
คิดว่ายาวจุใจแล้วนะ ต้องขอโทษที่หายไปนานเลย ยังไม่รับปากนะว่าจะหายไปอีกมั้ย ช่วงนี้ยุ่งจริงๆค่ะ ขอโทษจริงๆ