บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [5-6-12] Part 3 "หน้า 4"
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [5-6-12] Part 3 "หน้า 4"  (อ่าน 30164 ครั้ง)

ออฟไลน์ BaoBao

  • Moderator
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +485/-2
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [21-4-12] Part 3
«ตอบ #90 เมื่อ22-04-2012 00:14:23 »

“ปิง … ทำไมกูถึงลืมมึงไม่ได้ซะที ”  :sad2:

อิน

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [21-4-12] Part 3
«ตอบ #91 เมื่อ23-04-2012 22:03:53 »

น้องโค้ก คงไม่ได้ชอบปริ้นช่ายมั้ยอ่าาา กัวมีปัญหากะโอ๊ตอีก ยังไม่พร้อมจะซดมาม่าตอนนี้

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
พี่ท็อปขับรถเข้าประตูหน้าโรงเรียน สนามบอลด้านซ้ายมือของพวกผม ตอนนี้มีสแตนเชียร์ของแต่ละสี ผุดขึ้นมาโดดเด่นเป็นสง่า (?)

“โห สีเราดูดีสุดเลยอ่ะ” ไอ้โค้กสะกิดเรียกให้ผมมองดูสแตนสีส้มของเรา มันดูสูงกว่าสีอื่นมากๆ จนผมกลัวว่า ถ้าเจอลมแรงๆเข้ามาซักป๊าบ มันจะหักโค่นลงมาป่าววะ พอรถแล่นมาจอดที่เต้นสี พลพรรคก็พาเหรดกันลงมา พร้อมกับหลายๆสายตาจ้องมาที่พวกผม จนรู้สึกอึดอัด

“เป็นไง เรียบร้อยนะ” โอ้ตเดินเข้ามาทัก ดูท่าทางแล้วมันคงแทบไม่ได้นอนเมื่อคืน แต่มันกลับดูไม่เพลียเลยแฮะ แถมยังดูกระปรี้กระเปล่าเหมือนเตรียมจะออกศึก

“อาจารย์เค้าจะให้ออกไปโชว์แนะนำตัวก่อน รอบนึงตอนเก้าโมง แล้วพอแข่งกีฬาเสร็จช่วงเที่ยงจะเริ่มแข่งรอบแรก” โอ้ตมันอธิบาย 3 สีแรกแข่งตอนเที่ยง อีก 3 สีจะออกตอนแข่งกีฬารอบบ่ายเสร็จแล้ว พรุ่งนี้ก็เหมือนกัน

“แล้วเค้าจะเรียกให้สีไหนแข่งก่อนวะ”

“เค้าจะจับฉลากเอาอ่ะ จับสีไหนออกมา ก็ต้องออกก่อน” โอ้ตอธิบายโน่นนี่ แล้วก็อะไรอีกมากมายแต่ผมขี้เกียจฟังครับ ก็เลยเลี่ยงๆออกมานั่งตรงเต้น พวกน้องๆ ก็นั่งกันอยู่ตรึม เลยต้องดึงไอ้โค๊กซึ่งตอนนี้ก็ไปสนใจคุยกะพวกเด็กๆในสังกัดที่ปลื้มมันอยู่ให้มานั่งเป็นเพื่อน

“เป็นไร ตื่นเต้นเหรอพี่”

“เออดิ หรอเมิงไม่ตื่นเต้น ? ” ผมย้อนถาม มันกลับบอกว่าเฉยๆ ไอ้กั๊ก กะพี่ผู้หญิงอีก 4 คนก็ไม่ค่อยจะดูตื่นเต้นเหมือนผมเลย

“ใจเย็นๆ พี่ ตื่นเต้นแบบนี้จำโค๊ดได้มั่งเปล่าเนี่ย” มันพูดแล้วก็ไปชวนพี่ผู้หญิงมาทบทวนเบาๆกันอีกรอบ

“ไหวนะปริ้น” ไอ้โอ้ตคับ อยู่ๆก็เดินเข้ามา แล้วก็เดินมาถามผมเบาๆ

“อือ ไหวดิ ชั้นนี้แล้ว”

“ดีมากครับ เอาใจช่วยนะ ตั้งใจฟังสัญญาณจากทางสแตนด้วย” โอ้ตมันบอกแล้วก็ยกโทรโข่งตัวนึงขึ้นมา เอาไว้สำหรับพูดให้น้องม.1 บนสแตนได้ยินแหละ

“แล้วก็มีสมาธินะ” มันพูดเสร็จแล้วก็เอามือลูบหัวแห้วผมเป็นเชิงให้กะลังใจ

“ระวังหน่อย วู้ เด๋วผมเสียทรงหมด” ผมพูดกัดๆ

“ทำแล้วก็ดูดีหนิ น่ารักดี หึหึ” มันพูดแล้วก็เอาลิ้นเลียริมฝีปาก

“อะไรเล่า ”

“ไม่มีไร ไปเตรียมตัวเหอะ เดี๋ยวต้องเริ่มโชว์แล้ว” มันว่าแล้วก็ไล่ให้ผมไปเข้าแถวเตรียมตัว หารู้ไม่ว่าทุกอิริยาบถของผมกะไอ้โอ้ต โค๊กมองอยู่ตลอด ผมหันควับไป เห็นมันเลยรู้

“อะไรตุง”

“เปล่านิ” มันพูดยิ้มๆ

หลังจากนั้นอีก 10 นาที สีผมก็เป็นสีแรกที่ต้องเปิดตัวต่อหน้าประชาชี

เฮ เฮ เฮ ……………….. เสียงเชียร์ดังกระหึ่ม ขาผมค่อยๆก้าวออกไปสุ่สนาม จากที่ค่อยๆเดิน ก็เริ่มวิ่ง วิ่ง วิ่ง เสียงเชียร์ด้านข้าง่ค่อยๆดับหายไปในความรู้สึกผม เสียงที่ผมต้องตั้งใจฟัง ก็คือเสียงโอ๊ตที่อยู่ในสแตนที่
อยู่เบื้องหลังของตัวเองอย่างเดียวเท่านั้น


***************************


“เอ้า น้ำ” โอ้ตโยนขวดน้ำขวดเบ่อเริ่มมาให้ ผมรีบคว้ามาดวดอย่างกระหายเหมือนขาดน้ำมาเป็นแรมปี วันนี้ทั้งวันเรียกได้ว่า ผมแทบไม่ได้หยุดพักเลย รู้สึกว่าสีผมจะเป็นสีเดียวที่ลีดบ้าพลังออกไปเต้นบ่อยที่สุด (สีอื่นมันยังมีพักบ้างอะซิ) เพราะไอ้พี่ท็อปนั้นแหละ

ผมก็ไม่รู้หรอกว่า คะแนนวันนี้ที่ออกมามันจะดีเหรอป่าว แต่ดูเหมือนโอ้ตมันจะพอใจในระดับนึง

“เอ้ย เห็นอาจารย์บอกว่าวันนี้สีเราคะแนนนำหว่ะ” พี่ต่ายเดินมาบอกโอ้ตกะพี่ท็อปด้วยความตื่นเต้น

“เจงดิ เชื่อได้แค่ไหนวะ” พี่ท็อปบอกเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อ

“เออ ลีดอ่ะ ไม่รู้ แต่ว่าสแตนอะแน่นอน” เอ้า พวกลีดอย่างผมเศร้าเรยคับ เพราะว่าเวลาตัดสินเนี่ย รางวัลลีดกะรางวัลสแตนมันคนล่ะอันกัน แน่นอนว่าสแตนผมอย่างที่บอกว่าเดิ้นสุด

“เป็นไงเหนื่อยมากมั้ย ยังเหลืออีกวันนึงนะ” โอ้ตเดินมาตบบ่าผมระหว่างจะกลับไปพักบ้านพี่ต่าย คืนนี้พวกลีดกะพวกสต๊าฟหลักๆ ตกลงกันไว้ว่าจะนอนบ้านพี่ต่ายคับ จะได้ทำไรได้สะดวก แล้วก็ไม่วุ่นวาย แต่ปัญหาดันเกิดขึ้นมาเพราะว่าไอ้โค้กมันเสือกเจ็บขาขึ้นมา

“โอ้ยยย …” ไอ้โค้กร้องลั่น เห็นกั๊กมันนวดขาตรงที่เจ็บให้อยู่ ผมเห็นดังนั้นเลยเดินเข้าไปสอบถามสารทุกข์สุขดิบ

“อ่าฮ่า .. ” ผมเดินเข้าไปทำเสียงแซวไอ้โค้กที่กำลังทำหน้าเจ็บปวดอยู่

“ทำเสียงอะไร ” มันมองทำหน้าไม่พอใจผม แล้วก็ปัดมือน้องกั๊กออกจากขามันคับ กั๊กมันหน้าเจือนแล้วก็ลุกเดินออกไปทางอื่น

“อ่าโฮ่ …” ผมมองตามหลังน้องกั๊กไปแล้วก็ทำเสียงแปลกๆอีก

“ทำอะไรวะ” แน่ะมันขึ้นเสียงกะผม แล้วก็เผลอเตะขาข้างที่ยอกอยู่มาทางผม แต่พอดีหลบได้ ไอ้โค้กเลยร้องจ๊ากเลย

“เป็นไงล่ะ เจ็บอะดิ ไม่ได้ดูตามาตาช้างเล้ย” ผมพูดแล้วก็ค่อยๆจับขามันให้เข้าที่เดิม

“แล้วงี้จะไหวมั้ยล่ะ”

“ฮึ .. ไม่ไหวก็ไม่เต้นไง” มันพูดเสียงงอนๆหันหน้าไปทางอื่น

“เฮ้ย พี่ท็อป ไอ้โค้กบอกว่า มันจะไม่เต้นพรุ่งนี้แล้วอ่ะ” ผมตะโกนฟ้องพี่ท็อปที่กะลังง่วนอยู่ในครัว

“ม่ายด้ายนะมรึงง เสียงมันดังออกมาตรงห้องรับแขกที่กำลังนั่งกันอยู่เลย พร้อมกับคำผลุสวาทอีกมากมาย

“ไปเลย ป่ะ ขี้ฟ้องเจง แมร่ง” ไอ้โค้กพูดพลางผลักตัวผมให้ไปไกล เหอๆ เวลามันงอนมันน่ารักดีหว่ะ

“โหไล่พี่ไล่เชื้อ เป็นห่วงนะเนี่ย อุตสาห์มาดูว่าเป็นไงบ้าง” ผมพูดประชด แล้วก็ทำไปนวดตรงที่มันเจ็บ แต่มันรีบชักขากลับ แล้วก็พูดประโยคให้ผมอึ้ง

“ไม่ต้อง ! ไปห่วงพี่โอ้ตเหอะไป”

“หงิ ” ผมตกใจนิดๆ ทำไมมันรู้ได้ไงวะ หรือว่ามันเดาไปส่งๆ

“เกี่ยวไรกะโอ้ …. พี่โอ้ตฟ่ะ” ผมพูดทีเล่นทีจริง

“ป่าว ไม่มีไร ก็ไม่มีไรดิ” มันพูดเสร็จมันก็ลุกขึ้น

“เฮ้ยไปไหน”

มันหันหน้ามาแว่บนึง เป็นหน้าที่กวนตีนมากๆเหมือนตอนที่เจอมันวันแรกๆเลย

“นอน ! ” แล้วมันก็ เดินกระเผลกกระเผลกหายไปในความมืด

อ้าวกรุทำไรผิดอีกเนี่ย แค่แซวนิดแซวหน่อยเอง แต่เออจริง มันไม่ชอบไอ้กั๊กอยู่นี่หว่า งืมๆ


***************************

เช้าวันต่อมากลับเป็นว่าผมตื่นขึ้นมาปวดเมื่อยเองซะงั้น แต่ก็ต้องทนตื่นคับ ต้องมานั่งแต่ตัวโน่นนี่เหมือนเดิม แต่โชคดีวันนี้ชุดเป็นแบบเบาสบาย แล้วก็บางคับ เลยไม่ค่อยร้อนเท่าไร

ผมเหลือบมองไปทางไอ้โค้กซึ่งกำลังแต่งหน้าแต่งตัวอยู่ มันจะหายโกดกรุยังวะ

“โค้ก …” ผมเรียกแบบลองเชิง

“คับ ว่าไง” มันหันหน้ามามองผมตาแป๋ว อ่าทำหน้าน่ารักแบบนี้แสดงว่าหายโกดแระ

“ขาเป็นไงมั่ง”

“ก็ค่อยยังชั่วแล้วล่ะ” มันพูดแล้วก็สะบัดขาให้ดู

“เออๆๆ ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก เด๋วมันจะเจ็บขึ้นมาอีก ”

“ก็ยังขัดๆอยู่แหละ เออ .. พี่มานวดให้ผมหน่อยดิ” มันพูดแล้วยื่นขาหน้ามาทางผม

“เอ้า ใช้กรุซะงั้นไอ้น้องเวน” ผมพูดแล้วก็ก้มลงนั่งนวดขาให้มัน

“เจ็บก็บอกนะเมิง” มันก็พยักหน้า แล้วก็หลับตาพริ้มเพลา แม่ม ไอ้นี่มาทำตัวเป็นคุณชายตัดหน้ากรุซะงั้น เด๋วปั๊ดจับเจี้ยวเลยนี่ คิดได้แว่บนึง หัวก็พลันหันไปทางเป้ามันคับ สาบานได้เลยว่าตอนแรกไม่ได้คิดลามกเลยนะ แต่ทำไมดูมันพองๆหว่า ?

แกร้งงงๆๆ

เสียงฝาอะไรซักอย่างตกลงบนพื้น ทำเอาตกกะใจหันไปมอง แล้วผมก็เสียวแว่บ ไอ้โอ้ตคับ มันทำตก ไม่รู้ว่ามันตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจทำตกอ่ะ แต่ตอนมันเก็บฝา แล้วก็เหลือบตามามองทางผมแล้ว โห … น่ากัวชิบเป๋ง

“เอ้า หยุดทำไมอ่ะพี่ปริ้น นวดต่อเซ่” ไอ้โค้กมันขยุกขยิกขาให้ทำต่อ

“เออ สั่งจัง” พูดเสร็จผมก็หันมานวดต่อ

คลื่นนนนนนนน ………. คลื่นนนน ……

อี้ .. ผมรู้สึกถึงบรรยากาศมาคุด้านหลัง

“เฮ้ย ปริ้น ตัวเองน่ะ จัดการเรียบร้อยหรอยัง” เสียงพี่ท็อปดังขึ้นมา ทำให้ผมเลี่ยงออกมาได้ หันมาอีกที โอ้ตมันก็ไม่อยู่ซะแระ

“พี่โอ้ตไปไหนแล้วอ่ะพี่ต่าย ”

“อ่อ เห็นออกไปแล้วเมื่อกี้อ่ะ สงสัยไปโรงเรียนแล้ว ” พี่ต่ายบอก

“อ้าว …”

“มีไรเหรอปริ้น”

“ป่าวคับพี่”

งือๆ มันงอนผมอีกแล้วแน่เลย T-T


***************************


“ต่อไป จะเป็นโชว์ของคณะสีสุดท้าย เอ้า ขอเสียงปรบมือให้กับ สี … ส้มมมมม”

สิ้นสุดเสียงของโฆษก ขาพวกผมทั้งเจ็ดคู่ สิบสี่ข้าง ก็วิ่งออกไปยืนอยู่กลางสนาม พร้อมกับสิ่งที่ร่วมกันฝึก ร่วมกันซ้อมกันมาตลอดสองสามเดือน อีกไม่นาน มันก็จะเสร็จสิ้นแล้ว ไม่ว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง

ประมาณบ่ายสามโมงของวันศุกร์ การแข่งขันทุกอย่างได้สิ้นสุดลง พร้อมกับความตื่นเต้นเริ่มย่างกลายเข้ามา แม้จะไม่หวังอะไรอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็อดที่จะลุ้นไม่ได้คับ อาจารย์ให้พวกน้องๆที่อยู่บนสแตนเชียร์ลงมาเข้าแถว โดยมีลีดของแต่ละสีอยู่ข้างหน้า ส่วนพี่สต๊าฟของแต่ละสี ก็ขึ้นไปนั่งบนสแตนแทนพวกน้องๆ เตรียมตัวตีเกราะเคาะไม้(ไผ่) เมื่อรู้ผล

ต่อไปนี้จะเป็นการประกาศผลการแข่งขันกีฬา บลาๆๆๆๆ (พอดีผมไม่สนใจฟังเกี่ยวกะถ้วยรางวัลกีฬาคับ รางวัลที่ตั้งใจมีอยู่ 3 รางวัลคือ ถ้วยสแตน ถ้วยลีด แล้วก็ถ้วยพาเหรดที่พวกม.5 อย่างผมรับผิดชอบ แฮะๆ)

“รางวัลรองชนะเลิศขบวนพาเหรด อันดับสอง ได้แก่ สี เขียววววววว”
(เฮ เฮ เฮ ผมจับความได้ว่า ที่เฮไม่ใช่สีเขียวหรอก แต่เป็นสีอื่นที่มีลุ้นว่าได้ที่ 1 ตะหาก)

“รางวัลรองชนะเลิศขบวนพาเหรด อันดับหนึ่ง ได้แก่ สีเหลืองงงงงงงง”
(ฮิ้ววว เฮ เฮ เฮ เสียงกรี้ดเริ่มดังขึ้นตามลำดับ)

“รางวัลชนะเลิกขบวนพาเหรด ได้แก่ สี ……….. ” (กรุก็ไม่เข้าใจว่าจะลากยาวทำซอกตึกอะไร)

“สีสสสสสสสสสสสส”

“สี …. ส้มมมครับบบ”

“เฮฮฮฮฮฮ กรี้ดกราดด” บลาๆๆๆๆ รางวัลใหญ่รางวัลแรกเป็นของสีผมเรียบร้อยแล้ว ยิ่งพาเหรด ม.5 อย่างพวกผมรับผิดชอบด้วยยิ่งเป็นเครื่องการันตีถึงงานในปีหน้าว่าต้องดีแน่

“เฮ้ย ปริ้นวิ่งไปรับถ้วยดิ ” เสียงพี่ผู้หญิงที่เป็นลีดบอก

“เอ้า ทำไมต้องเป็นผมล่ะ”

“ก็แกเป็นเด็ก ม .5 อยู่คนเดียวนี่ เร็ว”

“ไม่ต้องแล้วล่ะพี่ เพื่อนผมมันวิ่งไปรับแหล่วว” ผมพูดแล้วก็ชี้ไปที่ไอ้คิวที่วิ่งหน้าแป้นแล้นมารับรางวัลกะผอ. พร้อมกะขนมปังนึงลัง (โห คุ้มสัดๆ)

“ต่อไปจะประกาศผลรางวัลลีดเดอร์ครับ”

“รองชนะเลิศอันดับสองได้แก่ …. สีสสส เขียววว”
(ฮิ้ววว เฮ เฮ เฮ กิ้วก้าว เสียงกรี้ดเริ่มดังขึ้นมากกว่ารางวัลตะกี้)

ถ้าเผื่อจะสังเกต ลีดสีเขียวที่วิ่งมารับถ้วยนั้น ดูเหมือนจะมีเสียงกรี้ดมากเป็นพิเศษ เพราะว่ามันหล่อนั้นเอง

“ใครอ่ะโค้ก”

“อ่อ ไอ้นั่นเหรอ ไอ้ต้าร์ไง”

“ไม่เห็นรู้จักเลย”

“โห มันป๊อบจะตาย รุ่นผมอ่ะ แต่มันป๊อบน้อยกว่าผมนะ” โค้กมันพูดด้วยความพราวดี้พรีเซนต์ ผมหันไปมองหน้ามันทีนึง

“มองอะไร”

“เป่า”

“รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง ได้แก่ …. สีสสส สีสสสส” (เหี้ย ลากยาวอีกแระ)

“สี ส้มมมมมมมมมม”
เฮฮฮฮฮฮ กรี้ดกราดด บลาๆๆๆๆ

โอ้ว หัวใจผมหล่นวูบลงไปเล็กน้อย แต่จริงๆแล้วพวกลีดคนอื่นๆกระโดดดีใจกันใหญ่เลยครับ ได้ที่ 2 ก็หรูแล้วล่ะ พวกแต่ละคนโดดกอดกันเป็นว่าเล่นเลย ผมก็แบบมันส์กะสถานการณ์คับ โดดกอดพี่คนโน้น คนนี้ที แล้วถ้าตาผมไม่ฝาด ผมเห็นไอ้โค้กมันโดดกอดกะไอ้กั๊กด้วยหล่ะ แต่พอมันนึกได้มันก็รีบทำฟอร์มมากอดผมแทน หึหึ

จากนั้นลีดที่ได้ที่ 1 ก็สีฟ้าครับ คู่แข่งสีผมเลย ยังเหลืออีกรางวัลเป็นรางวัลที่ทุกคนรอคอย สีฟ้าก็เป็นคู่แข่งคู่คี่กับสีส้มเลย

“รางวัลสแตนเชียร์รองชนะเลิศอันดับสอง ได้แก่ สีสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส ” (โอ้ว คราวนี้ล่อซะยาวให้กรุลุ้นนานเลย)

“สี เขียว ครับ ”
เฮฮฮฮฮฮ กรี้ดกราดด บลาๆๆๆๆ


“เฮ้ย มีลุ้น มีลุ้นว้อยยยยยยย” เสียงจากทางสแตนเชียร์ดูจะดังกว่าเพื่อน ตอนนี้เหมือนจะรู้ๆคับ ว่ามีสองสีสุดท้ายที่จะมาวิน หนีไม่พ้นสีฟ้ากะสีส้มแน่ๆ (อธิบายก่อนว่าก่อนหน้านี้ สีส้มเป็นสีที่พึ่งตั้งมาใหม่ แล้วก็ไม่เคยได้รางวัลใหญ่ๆอะไรเลยซักกะตี้ด)

“ที่ครูจะประกาศต่อไปนี้ จะประกาศสีที่ได้ที่ 2 นะครับ เพราะฉะนั้น สีที่ไม่ได้ประกาศชื่อ ก็จะเป็นสีที่ได้รางวัลชนะเลิศ เอ้า สีที่ได้ที่ 2 ได้แก่ สีสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส”

“สีสสสสสส”

“สีสสสสสส”

เอ้า เชี่ย ครูเค้าจะรู้มั้ยว่านักเรียนจะหัวใจวายตาย

“สีฟ้า ครับบบบบบบบบบบบบบบบบบ”

ผมยืนอึ้งอยู่แป็บนึง หลังจากที่ประมวลผลในหัวสมองได้ว่า สีที่เหลือก็เป็นสีที่ชนะนี่หว่า ก็ผ่านไปสิบวิฯ

เฮ เฮ เฮ กรี้ดๆๆๆๆๆ บลาๆๆๆ เสียงดังสนั่นหวั่นไหวทั้งพวกที่อยู่ในสนาม แล้วก็บนสแตนคับ ไอ้พี่ท็อปวิ่งไปกอดกะไอ้โอ้ตเลย ดูท่าจะดีใจจัด เห็นมันโดดกระหย่องกระแหย่งบนสแตนไกลๆ

แล้วไอ้โอ้ตมันก็เดินมารับถ้วยชนะเลิศคับ สีหน้าชื่นมื่นสุดๆ เท่ห์จัง ที่รักกรุ 555

สุดยอดคับ กีฬาสีปีนี้ ถึงแม้จะเป็นครั้งแรกของผมที่ได้เข้าร่วมกิจกรรม แต่มันก็ทำให้ผมเริ่มที่จะรักอะไรหลายๆอย่างกับโรงเรียนที่พึ่งเข้าใหม่แห่งนี้

“โอ้ต ดีใจด้วย” ผมพูดเบาๆ พร้อมกับมองไปบนแท่นที่โอ้ตยืนชูถ้วยที่เขียนว่า ชนะเลิศ โชว์ไปมาด้วยความภาคภูมิใจ ตัวผมกับพวกลีดคนอื่นๆ ก็โดนดันให้เข้าไปถ่ายรูปร่วมกัน

“สำเร็จแล้วปริ้น โอ้ตทำได้แล้วเห็นป่าววว” มันพูดเสียงสั่นๆ น้ำเสียงไม่ต้องพูดถึง ผมยังคิดไม่ออกว่ามันเคยดีใจ หรือแสดงความรู้สึกแบบนี้ออกมามากเท่านี้เหรอป่าว

“เออ รู้ว่าเก่ง”

“จุ๊บทีดิ เป็นรางวัล”

“ไอ้บ้า คนเยอะแยะ” ผมค้อนมันขวับๆ

สรุปว่า หลังจากที่เก็บข้าวเก็บของ จัดการรื้อโครงสร้างสแตนอะไรกันเรียบร้อยแล้ว พวกสต๊าฟก็พากันไปกินหมูกระทะกันครับ เงินก็เงินที่ได้จากรางวัลนั่นแหละ หุหุ ไม่พอหรอก

“แมร่ง ประธานสีมันเก่งจังว้อยย มีไรที่มันทำไม่ได้อีกวะ” เสียงคนนั้นคนโน้น เอาแต่ชมที่รักผม ผมก็ปลื้มไปด้วยเด๊ะ แม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวไรกะเค้าก็เหอะ

“แต่เสียดายลีดหว่ะ ได้แค่ที่ สองเอง เฮ้อออ” พี่ท็อปพูดจาโศกๆ เพราะว่ามันรับผิดชอบด้านนี้ไงครับ

“เฮ้ย ที่สองก็ได้ถมไปแล้ว ดูลีดแต่ละคนดิ ไอ้กั๊กงี้ ไอ้โค้กงี้ ไอ้ปริ้นงี้ หน้าตาไม่น่าเป็นลีดทั้งนั้น” เจ๊ซายปลอบพี่ท้อป

อ้าวตกลงชมเหรอด่ากรุกันฟร่ะ -*-

“แต่การแสดงของปีนี้สุดยอดจริงๆน้องโอ้ต ปีพี่ยังทำได้ไม่เท่าแกเลย” เจ๊แกหันมาอวยฯที่รักผมแทน

“แหมๆๆ เพื่อนผมๆ ไอ้โอ้ตมันเก่งจะตาย เนี่ย รู้ป่าว ว่าที่เด็ก มช เชียวน้า” พี่คนนึงพูดขึ้นมาตามด้วยเสียงโห่ฮา

เอ๊ะ ..!

หูกรุฝาดไปป่าววะ เมื่อกี้ฟังว่าอะไรนะ ?

“พี่ต่ายๆ ถามไรหน่อยดิ” ผมแสร้งทำหน้าเป็นยิ้มรื่นเริงปกติ

“มะกี้พี่เค้าว่าอะไรนะ พี่โอ้ตเค้าอะไรนะ”

“อ้อ อ้าว ปริ้นไม่รู้เหรอ โอ้ตมันสอบติดโควตา มช ประกาศผลตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วน่ะ” พี่ต่ายบอกผม

“หงึบ ….”

“มช นี่คือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เหรอพี่”

“เออน่ะซิ ถามแปลกๆ” พี่ต่ายว่าแล้วก็หันไปเฮฮากับเพื่อนต่อ แต่ผมเฮไม่ออกแล้วคับ

เชียงใหม่เหรอ เชียงใหม่เหรอ เชียงใหม่เหรอ หัวใจที่ผมเคยรู้สึกเต็มเปี่ยมบัดนี้รู้สึกว่า ทำไมมันเหมือนโดนอะไรซักอย่างซูบลงไปอย่างรวดเร็ว ใจมันโหว่งๆยังไงไม่ทราบ

โอ้ตจะไปอยู่เชียงใหม่ ?

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
“โค้ก .. ขอยืมมอไซต์หน่อยดิ”

“ไปไหนอะ” ไอ้โค้กถามพลางยื่นกุญแจรถให้กับมือ

“จะขี่รถรับลมหน่อย แป็บเดียวล่ะ” ผมว่าพลางเดินไปที่มอไซต์ ไอ้โค้กดันเสือกวิ่งตามมาอีก

“ไปด้วยดิ เดี๋ยวขี่ให้” มันว่าพลางยื่นมือขอกุญแจคืน แต่ผมไม่ได้ส่งให้มัน

“ไม่เป็นไรอ่ะ ไปแป็บเดียว” ว่าแล้วก็รีบไขกุญแจแล้วก็บิดออกไปนอกร้าน

……….

……….

…….

…..



โอ้ตมันก็เก่งเนอะ สอบติดโควต้าได้เนี่ย เหอะๆ

บรื้นนนนนนน

มันเก่งแฮะ ไม่ต้องไปแข่งเอนฯกะใครเค้า

บรื้นนนนนนนนนนนนนน

อะ โอ้ต มันโคตรเก่งเลย ที่ไม่แม้จะบอกผมซักคำ ไม่เคยบอก ไม่เคยพูด ทำไม ผมต้องรู้ทีหลังสุดด้วยวะ ! เหรอว่ามันจะบอกกับผมเอาวันที่มันจะไปแล้ว

บรื้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

กูคงไม่สำคัญหรอก ใช่ กูมันไม่เคยสำคัญกะมันเลย เหอะ เหอะ

ความคิดที่เห็นแก่ตัวของผม มันกึกก้องวนเวียนอยู่ในใจตลอด และพัดพาเอาความรู้สึกที่ยากจะบอกวนเวียนอยู่ในตัว ผมคิดอะไรไม่ออก ไม่อยากคิด ไม่อยากนึกถึง สายลมที่เข้าปะทะกับใบหน้าทำให้น้ำตาที่หยดลงมากลายเป็นละอองเล็กๆ หายไปกับความมืดที่ถูกทิ้งอยู่เบื้องหลัง


***************************


“ปริ้นนนนนน ……….ปายหนายยมา” เสียงไอ้โอ้ตในสภาพดูไม่ค่อยได้ตะโกนเรียกซะดังลั่น

“ขี่รถเล่น” ผมพยายามทำเสียงเป็นปกติ แต่ก็แข็งกว่าธรรมดาอยู่ดี แต่คงไม่รู้เรื่องห่าไรหรอก เมาขนาดนี้

“ทำไมเป็นแบบนี้อ่ะ พี่ต่าย” ผมหันไปถามทำหน้าหงุดหงิด แล้วนี่จะกลับบ้านกันยังไงวะ บ้านไม่ได้อยู่ในตัวเมืองนะว้อยยย

“ก็เล่นกระดกเอื๊อกกระดกเอื๊อก ไม่เมาได้ไง ปกติมันกินที่ไหนล่ะไอ้โอ้ตนะ” พี่ต่ายบอกแล้วก็ตะโกนให้พี่ท็อปชวนพยุงร่างไอ้โอ้ตขึ้นรถ

“สงสัยต้องนอนค้างบ้านพี่อีกคืนแล้วล่ะ พรุ่งนี้ค่อยกลับเนอะ” พูดเองเสร็จสรรพ แล้วพวกพี่ๆที่เหลือก็พยายามขนคนเมาที่มีมากมายกว่าคนไม่เมาขึ้นรถกระบะไป

“คืนนี้ท่าจะเหนื่อยแฮะ” อ้าวไอ้โค้กไม่เมาแฮะ

“ไม่ไปค้างด้วยกันเหรอ”

“โหย ไม่เอาหรอกพี่ ขี้เกียจไปดมกลิ่นอ๊วกคนเมาอะ นอนอยู่บ้านสบายกว่า”

“เออ ตัดช่องน้อยแต่พอตัวนะเมิงอ่ะ”

“เอ้า หรือพี่จะไปนอนบ้านผมล่ะ” มันพูดแล้วก็ยิ้มตาแป๋วใส่ผม อึ๋ย นี่ถ้ากูไม่รมณ์เสียอยู่นะ …

“ไปเหอะ ขี่รถดีๆนะ” ผมปฏิเสธทั้งๆที่ใจก็อยาก

“คับ ก็เค้ามีคนต้องดูแลนี่เน๊อะ” โค้กมันพูดขึ้นมาลอยๆ แล้วก็เบิ้ลมอไซต์เสียงดังจากไป

ชิส์ .. แมร่ง ไม่ต้องสงสัยว่ามันต้องรู้ว่าผมกะโอ้ตเป็นอะไรกันมากกว่าญาติธรรมดาแน่ แต่ช่างมันเหอะ ผมคิดแล้วก็กระโดดขึ้นกระบะท้ายไป

กว่าที่จะขนคนเมาทั้งหลายลงมานอนแผ่ในบ้านพี่ต่ายได้ก็กินเวลาไปเกือบสองชั่วโมงครับ ที่ตกหนักก็คงหนีไม่พ้นพวกผู้ชายที่ไม่เมา หรือเมาน้อย ต้องมาช่วยเช็ดอ๊วก แถมยังต้องหาที่นอนให้อีกตะหาก

“ปริ้น เดี๋ยวพาโอ้ตมันไปนอนในห้องในนะ” พี่ต่ายเดินมาบอกผมซึ่งกำลังพยุงไอ้โอ้ตอยู่

“คับ ”

“ลำบากหน่อยนะน้อง นานปีทีหน” พี่เค้าพูดแล้วก็เดินเลี่ยงไปจัดการกะคนอื่นๆต่อ กว่าจะได้หลับก็ปาเข้าไปเที่ยงคืน ตีหนึ่ง

ZzzzzzzzzzzZZZzzzzzzzzz

บนเตียงนอกจากมีผม กะโอ้ตแล้ว ยังมีไอ้พี่ท็อปอีกตัวนอนอยู่ด้วย เสียงกรนพี่ท็อปทำเอาผมนอนไม่หลับเลย แต่จริงๆที่กังวลทำให้นอนไม่หลับคงไม่ใช่เรื่องนี้หรอก

ผมพลิกตัวเป็นนอนตะแคง มองหน้าไอ้คนเมาที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราว แล้วก็เอามือไปบีบจมูกมัน

“นอนสบายเชียวนะ …” ผมพึมพำ โอ้ตละเมอเอามือปัดมือผมออกแล้วก็นอนต่อ

“ทำไมถึงต้องไปเรียนที่เชียงใหม่ด้วย” ผมยังคงพูดคนเดียวไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็เอามือไปบีบจมูกมันเหมือนเดิม

“มีอะไรอยู่ที่โน่นเหรอไง..โอ้ต” คราวนี้ผมพูดเสร็จ โอ้ตมันละเมอจับมือผมออกจากจมูกมัน แต่มันก็จับอยู่แบบนั้นไม่ยอมปล่อยคับ

ผมมองดูมือโอ้ตที่กุมมืออยู่ ถึงแม้ว่ามันจะจับโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ทุกครั้งมันก็ยังอบอุ่นเหมือนเดิม น้ำตาผมเริ่มคลอมาที่เบ้า เมื่อคิดถึงความห่างไกลที่กำลังคืบคลานเข้ามา ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ความรู้สึกน้อยใจ หรือว่าโกรธก่อนหน้านี้ มันเหมือนมลายหายไปหมด

ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคิดมากในตอนนี้ ในเมื่อมันยังมาไม่ถึง ..

***************************


Zzzzzzzzzzz Zzzzzzzzzz

“ปริ้นซ์ …. ดูแลตัวเองดีๆนะครับ ”

“โอ้ต …ทำไมอ่ะ ”

“เลิกเรียนแล้ว อย่ามัวเถร่ไถล ไปไหนกะใครนะครับ รีบกลับบ้านล่ะ”

“โอ้ต …เด๋ว พูดกันให้รู้เรื่องก่อน”

“ดูแลตัวเองนะ … แล้วจะรีบกลับ สัญญา ”

“โอ้ต … อย่าพึ่งไป …..”

เอก อี๊ เอ้ก เอกกกกกกกกกกกก (บ้านพี่ต่ายมีไก่ด้วย)

“อึ๊กก” ผมสะดุ้งตัวตื่นลุกขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อโทรมกายอีกครั้งนึง เหมือนครั้งที่แล้วเลย ผมฝันเหมือนครั้งที่แล้ว

“เป็นอาไรครับ” เสียงงัวเงียข้างๆ ทำให้ความประสาทแดกของผมกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

“เป่า” ผมปฏิเสธแต่ตัวดันทำท่าจะลุกลงจากเตียงซะอย่างงั้น

“ยังไปไหนม่ายได้” สงสัยโอ้ตมันคงได้แรงคืนมาจากการนอนเมื่อคืนแล้วถึงได้กระโดดมาคว้าตัวผมไว้ได้ โดยที่มันไม่ได้ดูเลยว่าพี่ท็อปมันก็นอนอยู่ข้างๆ

“เฮ้ย ทำไร เด๋วพี่ท็อปเห็น” ผมพูดละล่ำละลักเมื่อมันเริ่มกดตัวผมแล้วก็เริ่มจะทำท่าไซร้อีกแล้ว เห็นแบบนี้บ้ากามชิบหายเรย

“ไม่เป็นไรหรอก หลับยังไม่รู้ตัวเลยมั้ง” โอ้ตมันไม่ว่าเปล่า ดันขืนเอาหน้ามันมาถูไถที่ข้างหูซะงั้น จุดอ่อนกรุเลย !

“อ๊างงง ! เอ้ย ไอ้โอ้ต ไม่เอา” ผมกระซิบแล้วพยายามผลักมันออก ไอ้โอ้ตมันก็ไม่ยอมครับ ปล้ำกันไปปล้ำกันมา จนผมต้องใช้ไม้ตายใช้เท้ายันครับ แต่ไม่ได้ยันไอ้โอ้ตหรอก ยันพี่ท็อปคับ ให้รู้สึกตัว แต่รู้สึกจะแรงไปหน่อย

พลั๊กกกก

“อ๊อกกก ”

ได้ผลคับ ไอ้โอ้ตทะลึ่งออกจากตัวผมเลยอ่ะ เหอๆ แล้วพี่ท็อปที่น่าสงสารที่อยู่ๆตัวก็ตกลงจากเตียงโดยไม่ทราบสาเหตุ(กรุทำเองแหละ)ด้วยความรุนแรง

“ไอ้สาดดดดดดดดดดด เมื่อคืนกรุนอนตกเตียงได้ไงวะ เจ็บชิบหาย” พี่ท็อปมันบ่นขึ้นมาระหว่างจะไปส่งพวกผมที่ท่ารถเพื่อที่จะกลับชะอำ

“ก็มึงนอนละเมอขนาดนั้น ไม่ตกได้ไงไอ้โง่” โอ้ตมันแก้ต่างให้โดยมีผมเอามีดจี้หลังมันให้พูดตามนั้น หุหุ


***************************


หลังจากผ่านพ้นกีฬาสีไป ชีวิตผมก็เรียกว่าราบรื่นเกือบจะราบเรียบเลยก็ว่าได้ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ มีแต่การเรียนที่เรียกว่ายากขึ้นยากขึ้น (ขนาดเป็นโรงเรียนตจว.นะคับ) ส่วนไอ้โอ้ตก็ยังไม่ปริปากบอกผมเรื่องที่มันได้โควต้าไปเรียนที่เชียงใหม่เลย ผมก็ไม่คิดที่จะถามมันหรอก ไม่กล้าถามมั้ง(ป๊อดขึ้นมาซะงั้น)

จนเวลาล่วงเลยไปจนถึงเดือนธันวาคม ไวซะอย่างงั้น หลายๆคนก็คงเป็นเหมือนกันคือ เป็นช่วงเดือนที่รู้สึกว่ามีสีสันอะไรมากมาย ทั้งวันหยุดที่เยอะ รวมถึงอากาศที่ค่อนข้างจะหนาวเลยทีเดียว (กทม. จะหนาวแค่สัปดาห์เดียว แต่ที่นี่หนาวจนเรียกว่าต้องเอาเสื้อกันหนาวมาใส่เลย)

“เฮ้อ จาหมดปีแล้วอ่ะ” ผมพูดขึ้นมาในระหว่างที่กะลังเตรียมจัดงานของวันเกิดของโรงเรียนอยู่ ทุกๆวันที่ 28 ธันวาคม ถือว่าเป็นวันเกิดของโรงเรียนครับ ก็จะมีกิจกรรมอะไรต่างๆเยอะแยะมากมาย

“เดี๋ยวก็จะเป็นพี่ใหญ่ในโรงเรียนแลซิ” โอ้ตมันพูดสำทับ

“เหอะๆ แล้วตัวเองอ่ะ จะเอนฯเข้าที่ไหน ไม่เห็นบอกกันมั่งเลย” ผมทำเป็นพูดเรื่อยเปื่อย

“ก็ยังไม่รู้เลยอ่ะ จะเอนฯติดเหรอเปล่าก็ไม่รู้เล้ยยย สงสัยได้เรียนราชพัดนี่มั้ง” แน่ะมันตอแหลลงตับ เอนฯไม่ติดแต่ติดโควตาแล้วอ่ะดิ

“เหรอ .. แต่ถ้าอย่างโอ้ตไม่ติด คงไม่มีใครติดแล้วล่ะ” ผมแซวแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร

“หึหึ” มันหัวเราะในลำคอ แล้วก็ทำงานของมันต่อ ผมก็มองหน้ามันคับ

ทำไมว้า จะอีกไม่กี่เดือนแล้ว มันถึงไม่ยอมบอกผมซะที

“เออ แล้วโอ้ตเลือกที่ไหนไว้บ้างอ่ะ 3 อันดับ” ผมลองถามอีกรอบว่าในหัวมันเลือกที่ไหนไว้บ้าง ตอนนั้นยังเอนฯช่วงเมษาฯรอบเดียวอยู่ครับ ตัดสินกันไปเลยว่าใครจะได้ไม่ได้ ไม่เหมือนสมัยนี้ มีแอดม้งแอดมินเห่ยๆ

“อืม ก็ที่ดูๆอ่ะนะ ก็มีที่ xxx แล้วก็ xxx อือ”

“เลือกแค่สองที่เอง ? ”

“อีกที่นึงก็คิดว่า คงเป็นที่ มช มั้ง” มันพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เหมือนกะไม่อยากให้ผมได้ยิน

“โห .. ซะไกลเลยนะ” ผมแกล้งซื่อ งี้ถ้าติดขึ้นมาคงเหงาน่าดูเน๊อะ ผมพูดทำเสียงสูง

“ฮ่ะ ฮ่ะ ไม่หรอก”

“โอ้ตไม่เหงา แต่เราเหงา”

ได้ผลครับ ดูเหมือนคำๆนี้จะทำให้โอ้ตมันหันมาสนใจผมได้ซะที

“ปริ้นรู้สึกยังไง … โอ้ตก็รู้สึกแบบนั้น” โอ้ตบอกผมแล้วก็ค่อยๆเลื่อนมือมากุมไว้ ลมหนาวพัดมาวูบนึง ทำเอาร่างกายของผมสั่นสะท้าน

“เอาน่า … ยังไงโอ้ตก็ยังไม่ได้ไปม่ะใช่เหรอ ถ้าเอนฯติดแล้วค่อยบอกก็ได้” ผมพูดปลอบใจโอ้ต ทั้งๆที่มันควรจะกลับกันมากกว่า โอ้ตดูอึกอักบอกไม่ถูก แต่ก็ยิ้มมาให้เหมือนเดิม

“ว่าแต่ ถ้าติดที่โน่นมาจริงๆเนี่ย รู้จักใครเค้าบ้างเหรอเป่า ” ผมยังไม่วายอยากถามต่อ

“อือ ก็ไม่รู้จักใครหรอก แต่ …”

“แต่อะไร ? ”

“แต่โอ้ตเคยไปมาครั้งนึงแล้วล่ะ ” โอ้ตพูดใจลอยๆ “โอ้ตมีคนรู้จักคนนึง…..เกิดที่นั่นหน่ะ”

ผมมองตามสายตาโอ้ตที่ทอดไปที่ต้นไม้ยืนต้นที่ใบร่วงโรยจนหมดต้น ใบไม้ใบนึงหลุดออกจากขั้วค่อยๆปลิวลองบนพื้นด้วยแรงลมที่พัดมาเป็นระลอกคลื่น เหมือนโอ้ตมันจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้

“ปริ้น .. ”

“หือ” ผมแสร้งหันมาทำงานต่อ

“โอ้ตมีเรื่องจะบอก”

“อือ เรื่องไร ” ถึงแม้ว่าสายตาของผมจะกำลังจับจ้องอยู่ที่ฟิวเจอร์บอร์ด แต่มือที่ผมกำลังจะติดกาวกลับสั่นเล็กๆอย่างควบคุมไม่ได้

“โอ้ต .. คง .. คงจะได้ไปอยู่เชียงใหม่ซัก 4 ปี”

“หมายความว่ายังไง” ผมหันมาแกล้งตีหน้าเซ่อที่ไม่ค่อยสมบทบาทเท่าไร

คือ โอ้ตได้โควตาเภสัชที่มช น่ะ” โอ้ตบอกกับผมเหมือนกลัวอะไรซักอย่าง

……………………………………….

…………………………..

………………

……..




“อ่อ ตกลงว่าปริ้นกะพี่โอ้ตคบกันอยู่จริงๆอะดิ” ไอ้ซังพูดขึ้นมาซะเสียงดัง จนผมต้องเอามือยัดปากมัน

“เฮ้ย เบาเบ้า….”

“เออ แล้วรู้ได้ไงว่าพี่โอ้ตจะไปเชียงใหม่แน่ๆ”

“พี่ต่ายบอกอ่ะ แล้วถ้าไม่อยากไป จะไปสมัครโควตาทำไมล่ะฟ่ะ”

“อือ งั้นปริ้นก็ต้องทำใจอ่ะ”

“ง่ะ ง่ายๆแค่เนี้ย พูดง่ายนะไอ้ซัง” ผมโอดใส่มัน ทั้งๆที่อุตสาห์มาขอความเห็นของมันซะหน่อย แต่มันดันพูดแค่เนี้ย !!

“แล้วปริ้นจะทำไง จะบอกให้พี่โอ้ตไม่ไปเหรอไง ”ซังถามผมเสียงเครียดกว่าเก่า

“ไม่รุ”

“ไม่รู้ไม่ได้ !! ”

“อย่าดุกรุดิ” ผมบ่นเสียงเบา

“ลองนึกดูว่า ถ้าปริ้นเป็นพี่โอ้ต ปริ้นจะทำตัวยังไง ที่พี่โอ้ตยังไม่บอกปริ้นก็เพราะกลัวปริ้นจะกังวลงี่เง่าอะเซ่ะ”
ไอ้ซังพูดเข้าข้างโอ้ตทุกที

“ซังไม่ได้เป็นเรานี่หว่า ก็พูดได้ดิ”

ไอ้ซังทำหน้าย่น แล้วก็เอามือมากอดคอผม

“ใช่ ซังไม่ได้เป็นโอ้ต แต่ถ้าซังเป็นโอ้ตนะ ซังจะ ……”

….

………….

……………………

………………………………

…………………………………………


“โอ้ตได้โควตา มช เหรอ !! ”ผมหัวเราะเสียงดัง จนไอ้โอ้ตมันแปลกใจกับท่าทีของผม

“ปริ้นม่ะ ไม่เศร้าเหรอ ไม่เสียใจเหรอ” โอ้ตมันขยับเข้ามาถามผมใกล้ขึ้นจนตัวติดกัน

“งือ .. ก็จะให้บอกตรงๆ” ผมพูดพลางเลิกเสแสร้งทำตลก

“เศร้าดิ แต่ไม่เสียใจหรอก”

“ฮืม … ”

“แต่โอ้ตบอกเองม่ะใช่เหรอ ว่า ถ้าปริ้นรู้สึกยังไง โอ้ตก็รู้สึกแบบนั้น” ผมก้มหน้าบอกเสียงสั่นๆ กรุว่าจะไม่ทำอ่อนแอแล้วเชียวนะ

“ปริ้นเคารพในการตัดสินใจของโอ้ตคับ” ผมล่ะไม่อยากมองหน้าโอ้ตมันตอนนี้เลย ได้แต่กุมมือมันไว้แบบนั้น

“อะ โอ้ตขอโทษนะ” โอ้ตมันเริ่มสะอื้นบ้างแล้ว

“จะขอโทษทำไม ? มันเป็นชีวิตโอ้ตนะ โอ้ตมีสิทธิเลือกนี่นา”

“ครับ รอโอ้ตนะ” มันพูดทำตาซะซึ้งเชียว

“บ้า!! ยังไม่ต้องรีบลากันตอนนี้หรอก เหลืออีกตั้งหลายเดือน” ผมทำทีผลักมันให้ออกห่างผมได้แล้ว เพราะรู้สึกได้ว่ามีสายตาหลายคู่เริ่มจะจับจ้องมาที่ผมนั่งอยู่แระ (หรือนานแล้วก็ไม่รู้)

“เออ ถึงตอนนั้นแล้วอย่ามาร้องไห้ขี้มูกโป่งก็แล้วกัน” มันพูดเสร็จก็ลุกขึ้นแล้วก็ผลักหัวผมจนหน้าเกือบคะมำ

“โหย ไอ้บ้า เจ็บนะ” ผมตะโกนด่ามันพร้อมกับรอยยิ้ม

ใช่แล้ว !! เหลือเวลาอีกไม่นานที่จะได้อยู่ด้วยกัน ผมควรที่จะทำมันให้มีค่าที่สุดมากกว่าที่จะต้องมานั่งกลุ้มใจนี่นา

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
ก่อนจะถึงงานคล้ายวันก่อตั้งโรงเรียนไม่กี่วัน ซึ่งหลังจากนั้นก็จะเป็นช่วงหยุดยาวปีใหม่ ห้องของโอ้ตปรึกษากันว่าจะรวมตัวกันไปเที่ยวที่เกาะพะงัน ประมาณ 1 สัปดาห์ ซึ่งแน่นอน มันกะจะโดดเรียนกันหลายวัน นับตั้งแต่วันที่ 29 จนเลยปีใหม่ไปจนถึงวันที่ 3 ม.ค. กันเลยทีเดียว ดูเหมือนว่าพวกห้องโอ้ตจะคาดหวังเป็นอย่างมากที่จะได้ไปเที่ยวกันเป็นการปิดท้ายการเรียนก่อนที่จะมีการสอบเอ็นทราน

“พี่อยากให้โอ้ตมันไปด้วยน่ะ” พี่ต่ายมาบอกผมด้วยท่าทีข้อร้อง

“อ้า แล้วพี่ต่ายมาบอกไรผมอ่ะ ? ” ผมหันไปถามด้วยความสงสัย

“พี่ว่าปริ้นน่าจะช่วยให้โอ้ตมันเปลี่ยนใจได้ เนี่ย ปีที่แล้วมันก็ไม่ไปทีนึงแล้ว” พี่ต่ายพูดแล้วก็หยุดพักถอนหายใจ

“ทั้งๆที่ปีนี้ก็เป็นปีสุดท้ายที่จะได้เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วแท้ๆ”

“โอ้ตมันไม่ชอบไปทะเลมั้งพี่ ”

“ไม่หรอก ก็ตอนม.4 มันยังไปเลย ตอนไปเข้าค่ายน่ะ แต่หลังจากที่ .. ” พี่ต่ายเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็หยุดไปเฉยๆ ผมมองหน้าพยายามเค้นสิ่งที่พี่ต่ายยังไม่ได้หลุดปากออกมา

“ตอนจบ ม.4 เพื่อนในกลุ่มพี่เสียไปคนนึง” พี่ต่ายพูดด้วยน้ำเสียงสลด “หลังจากนั้น โอ้ตมันก็เปลี่ยนไปเป็นคนล่ะคน”

“พี่โอ้ตสนิทกับพี่คนนั้นมากใช่มั้ยครับ”

พี่ต่ายพยักหน้าเป็นการให้คำตอบ

“คือพี่คิดว่า ถ้าปริ้นไปโอ้ตมันก็อาจจะอยากไปด้วยนะ ”

เอาล่ะซิ จริงๆผมก็อยากไปล่ะนะ แต่เนื่องผมเกรงใจพี่ๆหลายๆคนที่ไม่ค่อยจะรู้จักสนิทสนมกัน แล้วเที่ยวประเภทนี้ ถ้าคนที่ม่ะใช่ห้องเดียวกันไป มันคงจะรู้สึกเป็นส่วนเกินยังไงชอบกล แต่พี่ต่ายก็ยืนยันว่า นอกจากห้องตัวเองแล้ว ก็ยังชวนพวกคนอื่นที่สนิทๆกันไปอีกหลายคน เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ ตอนแรกผมก็ยังไม่อยากตัดสินใจคับ แต่พอเห็นหน้าตาท่าทางพี่ต่ายเมื่อกี้นี้แล้ว ก็อดสงสารไม่ได้ หลายคนคงเข้าใจนะครับ เวลาได้ไปเที่ยวไหนกับเพื่อนสนิทในกลุ่มมันจะสนุกสนานแล้วก็น่าจดจำแค่ไหน

ก๊อกๆๆ

“โอ้ต โอ้ต” ผมหาโอกาสคุยกะไอ้โอ้ตได้ ก็หลังจากกลับมาถึงบ้านกันเรียบร้อย กว่าจะกินข้าว ทำการบ้านอะไรเสร็จ บ้านโอ้ตมันก็เกือบจะปิดไฟเข้านอนแล้ว ป้าเปิดประตูให้ผมด้วยสีหน้าตำหนินิดหน่อย แล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้องนอน

แอ๊ดดด

“เอ้า ว่าไง มีไรเปล่ามาป่านนี้” โอ้ตเดินมาเปิดประตูให้ด้วยสภาพเปลือยท่อนบน ใส่แต่กางเกงบ็อกเซอร์เห็นอะไรไปถึงไหนต่อไหน

“ไม่หนาวมั่งไง ใส่แบบนี้” ผมกัดไปทีนึง ขนาดตัวผมเองยังต้องใส่เสื้อกันหนาวตัวนึงเลยถึงได้เดินออกมาจากบ้านตัวเอง

“ก็หนาววววอยู่ ” มันทำพูดปากคอสั่นหลังจากที่ผมก้าวเข้าไปในห้องไม่เท่าไร มันก็คว้าตัวผมเข้าไปกอดจนตัวเซไปเซมาล้มตึงลงบนบนเตียงที่เป็นลูกฝูกของมัน

“หนักนะเนี่ย” ผมพูดไม่สะดวกเพราะว่าโดนทับอยู่ ตัวมันก็ใช่เล็กอยู่

“ก็หนาวไง หนาว หนาว เลยต้องกอดแบบนี้” มันพูดอมยิ้มแล้วก็มาซุกไซ้ตัวผมยังกะเด็ก จนผมเกือบลืมว่าจะมาคุยอะไรกะมัน

“เด๋ว เด๋ว โอ้ต - - ” ผมเริ่มหน้าแดงเมื่อมันเอามือล้วงเข้ามาจะจับอะไรต่อมิอะไร

“หนาวไม่ใช่เหรอ .. ” มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ทำเสียงกระเส่า โอ้ตจะช่วยให้หายหนาวไง หึหึ พูดเสร็จมันก็เอาปากมันทำท่าจะเข้ามาประกบคับ ผมจะทำไงได้ล่ะ ก็อ้าปากรับดิ หุหุ

แต่มันแกล้งผมโดยที่ทำท่าจะจูบให้ผมอ้าปากเก้ออ่ะ พอผมลืมตาเห็นมันยิ้มหน้าเป็นอยู่ถึงได้รู้ว่าโดนแกล้งอีกแระกรุ เลยทำหน้าง้ำ

“หึหึ” มันยังทำหน้าอมยิ้มไม่หยุด หน้าผมกะหน้ามันอยู่ใกล้กันแค่ปลายลิ้นสัมผัส ได้กลิ่นลมหายใจอ่อนๆของกันและกันได้อย่างชัดเจน (ดีนะที่กรุแปรงฟันมาแระ)

“ขำไร”

“เปล่า ก็เห็นปกติจะเอาแต่ขืนตัวนี่นา เลยสงสัยว่าทำไมวันนี้ยอมง่ายจัง” มันพูดติดตลกซะงั้น

“พอเห๊อะ … ถึงขนาดนี้แล้วจะเล่นตัวทำไมล่ะฟะ อีกอย่าง ม่ะใช่นางเอกหนังไทยนะ” ผมพูดเสร็จก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วก็ขยับมือเอื้อมไปโอบหัวโอ้ตลงมาเป็นฝ่ายจูบมันซะเอง โอ้ตมันสะดุ้งนิดนึง แต่ก็ตอบรับด้วยดีคับ แลกลิ้นกันพลันวัล แล้วถึงแม้อากาศมันจะหนาวแค่ไหนตอนนี้ โอ้ตมันก็หาทางสลัดผ้าทั้งของตัวเองแล้วก็ของผมออกจากร่างกายได้ในเวลาไม่ถึงสิบนาที

“อึ๊ก ….”

“เจ็บเปล่า ”

“ก็ .. นิดหน่อย อ๊ะ ….”

“แป็บนะ อ่า ……”

“อ๊ะ อ๊ะ ….”

“อ๊ะ โอ๊ะ เบา โอ้ต เจ็บว้อย - - ซี้ดดด”

“เจ็บ ..เจ็บ แล้วทำไมครางล่ะครับ แฮ่ก แฮ่ก”

“ก็ .. ม่ะกี้ มันเสียวนี่หว่า โอ้ยยย โอ้ต ! ”

………………………………

………………………

……………….

……….

……



ผมรู้สึกตัวอีกทีในห้องก็มืดสนิทแล้วครับ โอ้ตมันคงลุกไปดับไฟตอนที่ผมดันหลับไปด้วยความอ่อนเพลียนั่นแหละ ผมพยายามจะลุกขึ้น แต่ก็ติดแขนโอ้ตที่มันกอดผมอยู่จากด้านหลัง หน้าอกไอ้โอ้ตกะแผ่นหลังผมยังคงเป็นเนื้อกับเนื้อคับ ยังแก้ผ้ากันอยู่ทั้งคู่เลย ลมหายใจอุ่นๆของมันเป่าอยู่ด้านหลัง ผมหันหลังกลับไปมองหน้ามันจนคอแทบเคล็ด ดวงตาที่ดูมีเสน่ห์คู่นั้นของโอ้ตหลับสนิท ผมสั้นที่เริ่มยาวลงมาปรกหน้าผาก เห็นโอ้ตตอนนี้แล้ว ยิ่งทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัว กลัวที่เมื่อถึงเวลาที่ต้องห่างกันไปจริงๆ

ไม่ซิ เราสัญญากับโอ้ตไว้แล้ว เราจะรอโอ้ตม่ะใช่เหรอไง แค่ 4-5 ปีเอง (เภสัชเรียน 5 ปีคับ ขออภัยที่ข้อมูลผิดพลาด) ผมคิดไป น้ำตาก็คลอไป ผมไม่อยากให้โอ้ตต้องลำบากใจ ยังไงโอ้ตก็ต้องไปแน่ๆ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง แล้วโอ้ตก็จะต้องไม่มานั่งกังวลใจเรื่องของผม

***************************

เช้าวันต่อมา ผมต้องรีบทะลึ่งตัวตื่นขึ้นแล้วก็ต้องรีบวิ่งแจ้นกลับบ้านตัวเองก่อนที่ป้าจะตื่นขึ้นมา ไม่งั้นได้เดี้ยงกันเป็นแถบๆแน่

“ว่าไงนะ จะไปพะงันกะที่ห้องโอ้ตเหรอ !? ” เสียงโอ้ตถามผมด้วยท่าทางไม่พอใจ ผมได้โอกาสถามมันตอนที่กำลังนั่งอยู่บนรถประจำทางมาโรงเรียน เนื่องจากเมื่อคืนที่ว่าจะถามแต่ดันทำเรื่องอย่างอื่นก่อน

“ก็ว่าจะ … ทำไมไปไม่ได้เหรอ” ผมย้อนถาม “ ก็พวกพี่เค้าชวนอ่ะ”

“เปล่า ก็จะไปก็ไปซิ” มันหันไปเปิดกระเป๋าแล้วเอาหนังสือเรียนขึ้นมาอ่าน

“ไปด้วยกันดิ” ผมบอกโดยที่ไม่ได้หันไปหา

“ไม่ไป ” มันตอบเสียงหนักแน่น

“ก็แค่อยากไปเที่ยวด้วยกันก่อนโอ้ตจะไปเชียงใหม่ก็เท่านั้นแหละ ” ผมใช้ไม้ตายมากกว่าที่จะอ้อมค้อมพูดต่อไป

เจอไม้นี้เข้า เป็นโอ้ตมันก็ต้องตามใจผมครับ ช่วงกลางวันวันนั้นผมเลยวิ่งไปบอกข่าวดีกะพี่ต่าย ดูพี่เค้าจะดีใจเป็นพิเศษคับ มีเรื่องน่าแปลกใจอยู่นิดหน่อยตรงตอนที่ผมถามว่า นอกจากห้องพี่ต่ายแล้วยังมีใครที่ไปกันอีกเหรอ ก็ได้คำตอบว่า …

“เฮ้ย ซัง เมื่อกี้เราไปคุยกะพี่ต่ายที่จะไปเที่ยวเกาะกันอ่ะ เห็นไอ้คิวมันจะไปด้วย!

ผมรายงานซังทันทีเมื่ออยู่กะมันสองต่อสอง คนเถื่อนอย่างไอ้คิวมีเหรอที่จะไปกะพวกห้องผู้ดีอย่างห้องไอ้โอ้ต

“อ่อ เห็นพี่ท็อปเค้าชวนอ่ะมั้ง ก็เลยไป ไอ้คิวมันสนิทกะพี่ท็อปก็รู้อยู่”

“แล้วซังไม่ไปเหรอ”

“ไปไม่ได้หรอก ก็มันต้องโดดเรียนไปตั้งหลายวันนี่” มันพูดแล้วก็เหลือบตามามองที่ผม

“ม่ะต้องมามองแบบนั้นเลยไอ้ซัง พี่ๆเค้าขอร้องให้ช่วยไปตะหาก ไม่ได้อยากไปเล้ย” ผมรีบแก้ตัวทันที

“ก็ไม่ได้ว่าอาไร แต่น่าอิจฉาชะมัด ได้ไปฮันนีมูนริมทะเลชื่นมื่นกันสองคน เฮ้อ …..” มันพูดแล้วก็ทำเป็นถอนหายใจ

“มูนเมินบ้าไร ไปกันตั้งหลายคนว้อย แล้วก็ไม่ได้ไปกันสองต่อสองด้วย” ผมพูดแก้เก้อ

“ช่าย ไม่ได้ไปสองต่อสองหรอก เพราะว่ากรุจะไปเป็น กขค ด้วยไงล่ะ” ไอ้คิววิ่งพลวดเข้ามากอดรัดผมด้านหลัง

“เหี้ย เล่นไรกุเจ็บนะ สัดด” ผมด่ามัน มันก็ยังไม่ยอมปล่อย

“ซะ ซังช่วยด้วย”

“ไอ้คิว เมิงเลิกเล่นซะที การบ้านมึงยังไม่ได้ลอกวิชานี้นะ ” ซังมันพูดเสร็จก็โยนสมุดการบ้านฟิสิกไปกองไว้ที่โต๊ะ

“จ้าๆ เลิกก็เลิก” ทีเงี้ยแมร่งว่าง่ายเชียว เดินเป็นเด็กน้อยน่ารักไปที่โต๊ะเลยคับ เชื่อมันจริงๆ

ว่าแต่ เกาะพะงัน !? มันจะเป็นยังไงวะ เกิดมากรุยังไม่เคยไปเที่ยวเกาะเลย ตื่นเต้นเหมือนกันนะนี่


***************************


และแล้วหลังจากผ่านพ้นงานโรงเรียนไปได้ด้วยดี พรุ่งนี้ก็เป็นวันเดินทางไปทะเลกันแล้วครับ ตามปกติแล้วเนี่ย ผมนึกว่าป้าเล็กแม่โอ้ตเค้าจะว่าซะอีกที่จะโดดเรียนไปเที่ยว (แถมพ่วงผมไปด้วยแบบนี้) แต่คราวนี้ดูป้าแกจะอ่อนไปเยอะครับ คงเห็นว่ากลุ่มเพื่อนที่ไปนี่ก็ไม่เคยเหลวไหล ส่วนลุงสนก็ไม่ได้ว่าอะไรตามเคย ลูกจะทำอะไรไม่เคยห้ามอยู่แล้ว

“เตรียมของครบยัง ..หยั่งกับจะย้ายบ้าน” โอ้ตมันเดินเข้ามาในห้องผม พร้อมกับวิจารณ์สัมภาระของผมซะอย่างกับมันเป็นแม่อย่างงั้นแหละ

“ไปตั้งอาทิตย์นึง เตรียมไปเยอะดีกว่าน่า” ผมแย้งอายๆ

โอ้ตมันก็ขำๆแล้วก็เดินลงมานั่งช่วยผมจัดเสื้อผ้า ของโอ้ตมันเรียบร้อยตั้งนานแล้ว ม่ะจุกจิกๆเหมือนผม

“เอาไฟฉายไปด้วยนะ” โอ้ตสั่ง

“ไม่อาวอ่ะ หนัก” ผมโอดแล้วก็ทำท่าปิดกระเป๋า

“เอาไปเหอะ เผื่อฉุกเฉินไฟดับ” มันว่าแล้วก็ยัดเข้าไปให้ได้

“ยาเอาไปยัง”

“ตัวเองก็เอาไปดิ” ผมบอกมั่ง

“ตลอดล่ะ” โอ้ตมันพูดแล้วก็เข้ามาขย้ำหัวผม ชอบยุ่งกะหัวตูจังวุ้ย -_-* แล้วมันก็เดินออกไป โดยไม่ลืมทิ้งท้ายว่าให้เตรียมถุงยางไปด้วย

“ไม่เอาไปว้อย” ผมหน้าแดงตะโกนใส่มัน

“ชอบแบบสดๆอะซิ ก็ไม่บอก หึหึ” มันพูดเสร็จก็วิ่งหลบออกจากประตูบ้านไปแบบเฉียดฉิวก่อนที่หมอนจะโดนเขวี้ยงออกไปจากมือผม


***************************


ตอนเช้าวันรุ่งขึ้นเราต้องถ่อไปเรียนกันก่อนครับ เพราะว่านัดรถตู้ออกเดินทางกันตอนประมาณสองทุ่มแน่ะ -*- พี่ๆในห้องเดียวกะโอ้ตไปน้อยกว่าที่คิดครับ พอเอาเข้าจริงๆก็ติดโน่นติดนี่ พ่อแม่ไม่ให้ไปกันบ้าง สรุปแล้วก็ไปกันประมาณ 20 คนเอง

โชคดีที่ไปครั้งนี้มีพี่คนนึงในห้องมีบ้านอยู่บนเกาะคับ ก็เลยสามารถหาที่พักที่เป็นบ้านใหญ่ๆให้ได้หลังนึง แต่ต้องข้ามภูเขาไปลูกสองลูกเห็นจะได้ แต่นั่นม่ะใช่ปัญหาคับ เพราะพอถึงเวลาต้องเดินทางจริงๆแล้ว ก็เกิดปัญหา …

“เฮ้ย โจ้ รถไม่มาคันนึงอ่ะ” พี่ต่ายบ่นให้พี่โจ้ฟังถึงปัญหาแรกที่เกิดขึ้น พี่โจ้เป็นเจ้าของบ้านที่อยู่บนเกาะนั่นแหละครับ แล้วก็เป็นคนจัดการเรื่องที่พ้งที่พักให้กะพวกเราด้วย

“แล้วงี้ทำไงวะ ”

“งั้นพวกกุไม่ไปก็ได้นะ ” โอ้ตมันพูดเสียงดังสนั่น

“ไม่ต้องเลยมึงๆ ต้องไปกันทุกคนนี่แหละ … เด๋วกรุโทรสับหาแม่งก่อน” พี่โจ้บอกแล้วก็หันไปคุยโทรสับ

“เออแล้วนี่มากันครบยังวะ นึง สอง ไอ้โอ้ต ไอ้ต่าย ไอ้บลาๆๆๆ ….” ไล่ไปประมาณอีกสิบเจ็ดคน “ไอ้ปริ้น เหลือใครอีกวะ”

“ไอ้คิวกะไอ้โค้กยังไม่มาเลย”

“โค้กไปด้วยเหรอพี่ท็อป”

“เออ พี่ชวนมันเองอ่ะ มีไรเหรอ”

“เป่า”

“งั้นเด๋วผมไปตามไอ้คิวให้ก็ได้ บ้านมันอยู่แค่นี้เอง ” ผมว่าแล้วก็วางสัมภาระไว้ อ่อลืมบอกไปว่านัดเจอกันที่หน้า 7 แถวโรงเรียนอะแหละ ไม่ถึงห้านาทีผมก็มาถึงหน้าบ้านไอ้คิวแระคับ กดออดจนพ่อมันเดินออกมา

“มาหาใครครับ” พ่อมันถามแบบสุภาพมากๆผิดกับวันแรกที่ผมเจอ แม่มันก็ไม่อยู่บ้านอีกตามเคย อ่อ ลืมบอกไปคับ พ่อไอ้คิวคนนี้เป็นพ่อเลี้ยงนะ อย่างที่บอกว่าพ่อมันตายไปแล้ว

“เออ คิวคับ คือ รถจะออกแล้วอะครับ”

“มันยังอาบน้ำอยู่เลยลูก เอ้า เข้ามารอมันข้างในบ้านก่อน” พ่อไอ้คิวเปิดประตูบ้านรับแขกอย่างเป็นกันเอง ผมก็ไปนั่งรอมันบนห้อง ได้ยินเสียงมันอาบน้ำซู่ๆ

“ไอ้เหี้ย … รถจะออกแล้ว” ผมตะโกนด่ามัน

“สัด ไอ้ปริ้นเมิงกล้าด่ากรุเหรอ ไอ้สัด รอกรุก่อน” มันพูดเสร็จเสียงตักน้ำอาบดังซุ่ๆเลยคับ แฮะๆ เวลาจะเร่งคนเถื่อนก็ต้องใช้วิธีนี้

และด้วยความสันดานผม ก็นั่งรอเฉยๆก็เบื่อคับ ก็เลยเดินไปรอบห้องมันดูโน่นดูนี่ ถือวิสาสะว่าเคยมานอนบ้างแล้ว ก็ไปเปิดลิ้นชักโต๊ะมันเข้า ก็เห็นตั๋วหนังเรื่อง 303 ฯ ที่มันวางแผนคืนดีกะไอ้ซังเก็บไว้อยู่เลย ข้างๆตั๋วหนังเป็นกรอบรูปเล็กๆครับ ผมก็หยิบขึ้นมาดูเป็นรูปที่มันถ่ายคู่กะไอ้ซัง ดูแล้วน่ารักมากมาย ดูจากปกเสื้อแล้วคิดว่า ถ่ายกันตอน ม.4 ชัวว์

“เฮ้ย เมิงดูไรฟ่ะ” ไอ้คิวเดินพลวดพลาดออกมาจากห้องน้ำ

ผมก็ยกกรอบรูปมาชูให้มันดูคับ เหอๆ มันทำหน้าตกใจวิ่งเข้ามาจะคว้ากรอบรูปคืนให้ได้ แต่ผมก็ไม่ยอมคับ แกล้งมัน หุหุ

“เอาคืนมาไอ้สาดดด ไอ้เหี้ย ไอ้สันดานเอ้ย เด๋วเมิงไม่คืนกรุต่อยเมิงจริงๆนะ ” ผมแกล้งมันอยู่ซักพักก็คืนให้มันคับ น่าสงสาร (ปนสมน้ำหน้าหน่อยๆ เก็บไม่เป็นที่เป็นทาง)

“โห มึงเอาของไปแค่เนี้ย” ผมว่าพลางดูที่เป้มัน เอาไปน้อยมากๆ

“กรุไม่ได้มีทรัพศฤคารอะไรมากมายนี่หว่า”

“โห ดูมันใช้ศัพท์” แล้วก็ไปตบหัวมันนึงที

“เล่นหัวเหรอเมิง เด๋วนี้เอาใหญ่นะ เห็นกรุไม่เอาจริงเนี่ย ”

“มึงจะเอากูก็ไม่ให้เอาหรอก แสดด”

“เออ กรุรู้ว่าเมิงให้โอ้ตมันเอาคนเดียวดิ เหอๆ ติดจายของใหญ่ดิสัด” หงิ มันพูดแทงใจดำซะงั้น สงสัยไอ้ซังไปเล่าอะไรให้คิวมานฟังแน่เรย

ผมสองคนก็เดินมาถึงที่นัดกันไว้ รถตู้มาแล้วครับคันนึง แล้วก็มีพี่บางคนหายหน้าหายตาไป

“อ้าว หายไปไหนกันหมดอ่ะพี่ต่าย”

“อ่อ รถมันเบี้ยวไปคันนึงอ่ะ เลยต้องให้พวกผู้ชายไปรถไฟกัน” พี่ต่ายบอกแบบกระวนกระวาย

“อ้าว แล้วมีรถด้วยเหรอพี่ตอนนี้”

“ก็มีเที่ยว3 ทุ่มน่ะ พี่เค้าพูดพลางดูเวลา สองทุ่มสี่สิบ ”

“คงทันแหละ งั้นพวกเราก็ขึ้นรถเถอะ” พี่ต่ายว่าพลางต้อนให้พวกพี่ผู้หญิงบางคนที่ไม่ได้ไปรถไฟขึ้นรถ แต่ส่วนใหญ่ก็นะ อยากไปนั่งรถไฟคุยกันอ่ะคับ เลยเหลือนั่งรถตู้ไม่กี่คน เป็นงั้นไป

“อ้าว พี่โอ้ตไปด้วยเหรอ” ผมถามใจแป้ว

“อือ ก็เห็นมันอยากนั่งรถไฟคุยกันล่ะ ” พี่ต่ายบอกให้ผมขึ้นรถได้แล้ว โดยมีไอ้คิวหัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลัง

“หวัดดีพี่ปริ้น” เสียงคุ้นหูอย่างสัด

“เออ” ผมทักแบบขอไปที จริงๆก็ไม่ใช่ไม่ชอบให้น้องน่ารักๆไปด้วยนะครับ แต่โอ้ตไปด้วยนี่ซิ ผมก็เลยไม่อยากตะบะแตกอ่ะ

“ดูทักแบบไร้เยื่อใยมากเลยนะ” ไอ้โค้กมันบอกผมแบบงอนๆ

“เป่าเว้ย ก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว” ผมพูดแล้วก็ปิดประตูรถดังปั๊ง

“คนเค้ามีเจ้าของแล้ว ก็เลิกยุ่งกะเค้าเห้อ” เสียงไอ้คิวพึมพำๆ พอจับใจความได้ ไอ้โค้กมันหันหน้าไปด้วยความไม่พอใจ ไอ้คิวมันก็ทำหน้ากวนตีนตอบกลับมา

โอ้ย กรุปวดหัว โอ้ตช่วยกรุด้วย

รถตู้เริ่มสตาร์ตรถแล้วก็เคลื่อนที่ออกจากตัวอำเภอเมืองประมาณเกือบ 3 ทุ่มเป็นเวลาเดียวกับทางโอ้ตที่ขบวนรถไฟมาจอดเทียบชานชรา วัยรุ่นหนุ่มสาวเกือบยี่สิบชีวิตค่อยๆทยอยกันขึ้นไปบนรถด้วยท่าทีสนุกสนาน
ขบวนรถไฟจะเดินทางถึงสถานีสุราษฯประมาณเจ็ดโมงเช้า


***************************

*

ตึก ตัก ตึก ตัก ตึก ตัก

เสียงวิ่งด้วยความรีบเร่งของใครบางคนในช่วงเวลาค่ำมืดแบบนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติเป็นแน่แท้ ฉับพลันเสียงฝีเท้าที่วิ่งมานั้นก็หยุดลง แสงสว่างของดวงจันทร์ค่อยๆเผยร่างที่ยืนรอด้วยความกระวนกระวายไม่แพ้กัน เสียงพูดคุยดังขึ้น

“จะ จะทำ ยังไงดีล่ะ แบบนี้ มีหวังแย่แน่ๆ”

“หยุดทำท่าทีเหยาะแหยะแบบนั้นซะทีน่า แล้วฟังให้ดี …” ร่างที่ยืนรออยู่กล่าวตะคอกผู้ที่พึ่งวิ่งมาพบด้วยโทสะ

“ถ้าแกไม่รีบจัดการอย่างที่บอก แกจะเป็นฝ่ายแย่ซะเอง จำไว้ !! ” ร่างนั้นกล่าวด้วยเสียงที่อาฆาตมาดร้าย จนคนที่ได้รับฟังสารถึงกับตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

“ดะ ได้ ตะ แต่ ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ชั้นไม่เกี่ยวนะ ไม่เกี่ยว …!!” ร่างที่สั่นตะกุกตะกักตอบกลับมาก่อนที่จะรีบหันหลังวิ่งกลับไปทางเดิม ทิ้งให้ใครบางคนยืนอยู่แต่เพียงผู้เดียว ร่างนั้นแสยะยิ้มด้วยความพึ่งพอใจ

สายลมพัดแรงมากขึ้นจนทำให้ต้นไม้รอบๆข้างโอนเอนไปมาดูน่ากลัว น้ำทะเลระลอกแล้วระลอกเล่าถาโถมพัดเข้าหาฝั่ง เมฆที่ตั้งเค้าดำทะมึนค่อยๆโอบล้อมแสงจันทร์เมื่อครู่นี้จนดูเหมือนเกาะทั้งเกาะจมหายไปกับความมืด
.
.
.
การเดินทางในรถตู้แคบๆ ตลอดระยะเวลาเกือบ 8 ชั่วโมง ก็ไม่ได้มีอะไรเลวร้ายสำหรับผมเท่าไรหรอกครับ เพราะว่า พี่ๆส่วนมากรวมทั้งไอ้โอ้ต T-T ก็ไปทางรถไฟกันซะ ในรถก็เหลือแต่พี่โจ้ เจ้าของบ้าน พี่ต่าย หัวหน้าทริป คิว โค้ก ผมแล้วก็ พี่ๆผู้หญิงที่เหลืออีก 5 คนเท่านั้น ก็นั่งกันค่อนข้างสบายคับ เสียงพี่ๆคุยกันโขมงโฉงเฉง ตามประสาผู้หญิงยิงเรือคับ

ไอ้พวกผู้ชายอย่างผมสามคนก็นั่งแถวหน้า ก็นอนๆฟังๆกันไป เพลินดีเหมือนกัน น่าสงสารแต่พี่โจ้คับ นั่งอยู่กับคนขับเงียบเชียว

“พี่โจ้คับ … พะงันนี่อีกไกลเป่าพี่” ผมหาเรื่องคุยกะพี่แก เพราะว่าตามปกติ ผมกะพี่เค้าก็ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไร

“ไม่ไกลเลยน้อง ก็เนี่ย ขับรถไปทางเพชรเกษมเรื่อยๆใช่ม่ะ แล้วพอถึงชะอำ ก็ตัดไปทางสายใหม่”

“อ้าวงี้ก็ไม่ผ่านทางหัวหินดิพี่ ” ไอ้โค้กแหลมมาคุยบ้าง

“ไม่ผ่านคับ เส้นเก่าส่วนใหญ่กลางคืนไม่ค่อยมีคนผ่านน่ะ มันเปลี่ยว ไม่มีไฟ แล้วก็โจรเยอะด้วย”

“สมัยนี้ยังมีโจรอีกเหรอ ” ผมพูดด้วยความงง

“มีดิ บางพวก รถวิ่งๆมาเงี้ย เอาก้อนหินขว้างใส่ รถคว่ำก็มี ตายก็เยอะ”

“โห น่ากัว” ผมพูดพลางกลืนน้ำลาย

“ทำขวัญอ่อนนะไอ้ปริ้น” ไอ้คิวสะแหลนหาช่องกัดผม ทั้งๆที่เงียบมาตั้งนาน

“เสือก !! ”

“แล้ว .. ก็ขับไปเรื่อยล่ะ ผ่านประจวบฯ แล้วก็ชุมพร ก็ถึงสุราษฯแล้ว” พี่โจ้อธิบายเหมือนจะใกล้กันเลยทีเดียว

“อ่าๆ ” ผมว่า แล้วก็ปล่อยให้โค้กมันคุยกะพี่โจ้เรื่องโน้นเรื่องนี้ต่อ ไม่พ้นเรื่องกีฬาสีที่พึ่งผ่านมาล่ะคับ ส่วนไอ้คิวไม่มีเมียมาด้วย ก็แกล่วคับ เลยนอนนิ่งๆซะงั้น เสียงคุยของพี่ๆข้างหลังยังไม่หยุดได้ง่ายๆ เมื่อรถเลยผ่านประจวบ เสียงก็ค่อยๆเงียบลง ผมมองดูเวลา ห่ะ เที่ยงคืนกว่าแล้วนี่หว่า งืมๆ …

ติ๊ด ตี๊ด ตี๊ด ติ๊ด ..

ผมกดเบอร์โทรสับสี่ตัว

“สวัสดีคะ แพคลิงค์ บลาๆๆๆๆๆ”

“เออ เบอร์ 5101xx คับ”

“ขอทราบข้อความคะ”

“หลับยัง…. อยู่บนรถไฟเมื่อยป่าว อยู่นี่โคตรเหงาเลย พวกพี่ต่ายคุยไรกันไม่แบ่งปันเลย คิดถึงน้า ถ้ายังไม่หลับ ก็ขอให้หลับฝันดีนะ จาก ปริ้นคับ”

ผมพยายามฝากข้อความให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่อยากให้ไอ้คิวได้ยินคับ ไม่งั้นมันเอาไปคุยสามวันเจ็ดวันไม่เลิก เสียดายที่โอ้ตมันไม่มีมือถือ เลยไม่รู้ว่าจะคุยกะมันทางไหนเลยได้แต่ส่งข้อความไปทางเพจ บนรถไฟไม่มีโทรสับนี่หว่า งิงิ

หงึก หงึก หงึก

ผมรู้สึกตัวอีกที ก็ตอนที่หัวโค้กมันมาพิงที่ไหล่แล้ว ผมหันไปกะจะดันหัวมันพิงกับพนักดีๆ ก็ตกใจนิดหน่อยครับ เพราะว่าได้กลิ่นอะไรแปลกๆ

“สัด ใครตดในรถฟร่ะ เลวแม่ง - -* ”

ต้นตอกลิ่นมาจากใครซักคนด้านหลังแน่นอน แมร่ง ผู้หญิงนี่ตดเหม็นเหมือนกันนี่หว่า เซงเรย ภาพพวกพี่ๆที่น่ารักของกรุติดลบไปอย่างมาก

“อือ …” เสียงครางข้างๆหูผม ทำให้รู้ว่าเป็นเสียงไอ้โค้ก ผมค่อยๆเอามือดันที่หัวมันเบาๆเพราะกลัวมันตื่น แต่สัมผัสที่ได้กลับไม่อยากจะดันกลับไปแล้วล่ะซิ มือที่พยายามดัน กลับกลายเป็นลูบผมมันแทนซะงั้น ทำให้ผมคิดถึงภาพตอนที่โอ้ตมันชอบมาเล่นที่หัวผม มันเพลินแบบนี้นี่เอง ผมโค้กมันนิ่มจังเลยวะ ขนาดสั้นๆแบบนี้ ดูเหมือนโค้กมันรู้สึกตัวหน่อยๆ เลยเอามือของมันมาจับมือผมให้ออกไปจากหัว ผมก็เอามือลงตามมัน แต่มือผมยกออกมาแล้ว มือมันก็ไม่ยอมปล่อยคับ เอาไงดีวะ

ระหว่างที่กะลังคิดอยู่ พี่โจ้ก็หันมาเห็นผมตื่นอยู่พอดี ดีนะที่มันมืดพี่เค้าเลยไม่เห็นว่าโค้กมันกุมมือผมไว้อยู่

“อ้าว นอนไม่หลับเหรอปริ้น” พี่เค้ายิ้มให้ทีนึง แล้วก็หาวทีนึง

“งีบไปงีบนึงแล้วพี่ ถึงไหนแล้วเนี่ย” ผมมองไปรอบๆ ชักเริ่มเห็นสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างจากที่เห็น แม้ว่าจะมืดๆอยู่ก็เหอะ

“แถวๆพุนพินแล้วล่ะ” พี่โจ้บอก

“เดี๋ยวแวะปั้มแป็บนะ ยืดเส้นยืดสาย” คนขับรถบอก พลางทำปากหาวหวอด อ้าว เวนแล้วดิ

แวะปั้มได้ ผมก็ได้ทีเอามือออกจากการเกาะแกะของไอ้โค้กมันเลย ไม่รู้ว่ามันคิดว่าเป็นมือแฟนมันป่าววะ โค้กมันตื่นมาทำหน้างงๆ บวมๆ ไม่ต่างอาไรจากหน้าไอ้คิวคับ

“ถึงไหนแล้วเนี่ย ” ไอ้คิวบ่น ว่าเมื่อยตูด แล้วก็รีบวิ่งไปฉี่ทันที สงสัยมันอั้นนานจัด

“ไม่ไปห้องน้ำเรอะ” ผมถามไอ้โค้ก

มันสั่นหน้า แล้วก็งอตัวด้วยความหนาว มันไม่ได้ใส่เสื้อกันหนาวมาด้วยคับ เหอๆ ใกล้ทะเลแบบนี้ แถมยังอยู่ในช่วงปลายธันวาขนาดนี้ แถมยังพึ่ง ตีสี่ตีห้า หนาวโคดแหละ

“โห่ โห่ะ” มันเอามือป้องปาก แล้วก็พ่นความร้อนออกมาใส่ที่มือ แล้วก็บ่น

“อยู่ในรถไม่เห็นหนาวขนาดนี้เลยนี่หว่า ”

“เต้นดิ ให้ร่างกายมันร้อน เด๋วก็หายหนาว ” ผมพูดติดตลก แล้วก็คิดได้ว่า บนรถไฟชั้น 3 คงหนาวกว่านี้แน่นอน สงสารไอ้โอ้ตหว่ะ

“ทำงี้ไง เด๋วก็หายหนาว” โค้กมันพูดจบ ก็เข้ากอดผมด้านหลัง

“เฮ้ย ไอ้เน่” ผมไม่ได้ว่าไรมันมากคับ เพราะว่าไม่ได้คิดอะไรมากมาย มันกอดก็อุ่นดีคับ หุหุ

“เฮ้ยๆ นั่นเล่นไรกันหน่ะ เด๋วกรุจาฟ้อง กรุจาฟ้อง ” ไอ้คิวยื่นปากมาอีกแระหลังจากฉี่เสร็จ

“หุบปากปายเรยไอ้คิว” ผมด่ามันให้ทีนึง มันก็ทำหน้าเป็น แล้วมันก็กระโดดเข้ามากอดผมด้านหน้า

“เฮ้ย สัด ปล่อยย อึดอัด ” คราวนี้ข้างหน้าก็มีไอ้คิว ข้างหลังโค้กมันก็ยังยืนกอดอยู่ กลายเป็นแซนวิชเลยผม

“นั่นๆ เล่นไรกันลามกไอ้พวกนี้ ขึ้นรถได้แล้ว” พี่ต่ายเป็นแม่พระมาแยกให้ไอ้สองตัวนี่ ออกจากร่างกายผมได้ซะที เฮ้อ เกือบเสียความบริสุดแล้วม่ะล่ะกุ


***************************


ตาคนขับรถมาส่งเราที่สถานีรถไฟสุราษฯครับ ตอนแรกผมก็งงว่าทำไมไม่ไปท่าเรือวะ คือ ต้องมารอรถไฟพวกโอ้ตที่จะมาถึงช่วง 7 โมงก่อนอ่ะคับ แล้วค่อยไปพร้อมๆกัน ตอนนี้เราผู้ชายสี่คน พี่โจ้ คิวโค้ก ผม ก็เกาะกันติดหนึบคับ เพราะว่า นอกนั้นพวกผู้หญิงล้วนๆ จริๆก็ไม่ได้แยกไรกันมากคับ แต่คุยกันสี่คนนี่แล้วมันไหลลื่นกว่า อีกอย่างพี่โจ้เป็นคนไม่ค่อยพูดมากคับ เลยไม่ค่อยอยากไปหารือไรกะพวกผู้หญิงมากเท่าไร

“เฮ้ย เล่นบอลกัน โค้ก” ไอ้คิวมันมาญาติดีกะโค้กตั้งแต่ม่ะไรฟร่ะ มันชวนเสร็จ ก็หยิบลูกบอลออกมากจาเป้มันคับ โห มันสามารถ !!

แล้วมันก็เขี่ยบอลเล่นกันหน้าสถานีรถไฟกะไอ้โค้ก แบบไม่เกรงกลัวว่ารถจะมาเฉี่ยวชนมันเลยอ่ะ โชคดีมันพึ่งหกโมงเช้า

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด

“ป้าเล็กคับ ผมถึงสุราษฯแล้วนะคับ คับๆ เด๋วรอขึ้นเรือเฟอรี่อ่ะคับ” ผมพูดไม่หมดครับ ไม่ได้บอกป้าว่า จริงๆแล้วไม่ได้บอกเรื่องที่โอ้ตมันแยกขึ้นรถไฟมาต่างหาก

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
คลื่น คลื่นนนนนนน

พึ่งรุ่งสางแท้ๆ แต่ผมมองท้องฟ้ากลับมีเค้าลางเมฆฝนที่ค่อยๆตั้งเค้ามา นี่มันหน้าหนาวนะมึง ทำไมฝนจะตกได้ล่ะเนี่ย (ลืมไปว่ามันคือภาคใต้คับ)

ระหว่างรอ ก็นั่งกินข้าวต้มตอนเช้ากันคับ อากาศถ้าไม่ติดว่า เหมือนฝนจะตก ดีมากเลยล่ะ ตอนเช้าแบบนี้ ได้กินข้าวต้ม รู้สึกกระปลี้กระเปล่าขึ้นมาทันที รอไม่กี่อึดใจ (สองชั่วโมง) รถไฟก็เล่นมาเทียบชานชลาสุราษฯคับ เด็กหนุ่มประมาณเกือบ 10 คนรีบกุลีกุจอวิ่งออกมาทางหน้าสถานี

“เร็วๆเข้าพวกเมิงอ่ะ ”เสียงพี่โจ้เรียกพวกโอ้ต เราต้องทำเวลานิดหน่อย เนื่องจากเรือเฟอรี่ จะมีเวลาออกครับ ช่วงเช้า 8 โมง กะช่วงบ่าย แค่นั้น เราต้องให้ทันรอบเช้าให้ได้ เห็นสภาพโอ้ตแล้ว ม่ะได้นอนทั้งคืนแน่

“ทำไรอยู่ไม่ได้นอนเนี่ย” ผมถามพลางเอามือไปปัดปอยผมที่มาปกหน้ามันออก

โอ้ตมันยิ้มเป็นเชิงอายๆ

“เล่นไพ่ !! ”

หลังจากครบทีมแล้ว ทริปเรามีสิบเก้าคนคับ หญิง 5 คน อีก 14 คนที่เหลือไม่ระบุเพศว่าเป็นชายหรือเกย์กี่คน หุหุ
ก็เหมารถเมล์ที่เป็นแบบรถสองแถวอ่ะคับ แต่ขนาดปิ๊กอัพธรรมดา โหนกันไป ให้รีบไปส่งที่ท่าเรือโดนด่วน ขาไปนี่แหละ รถขับแบบซิ่งมากมาย จนเกือบตายกันยกล็อต สุดท้ายก็มาถึงท่าเรือแบบเฉียดฉิวคับ

“เรามาไม่ทันเรือหว่ะ ออกไปโน่นแล้วววว ” พี่ต่ายบอกด้วยเสียงหดหู่ นั่นหมายถึงเราไม่ทันเรือเที่ยวนี้ ต้องรอจนกว่าจะบ่ายโมงเลยครับ

“เฮ้ย ไม่เป็นไรต่าย เข้าไปนั่งหาไรกินกันก่อนล่ะกัน” โอ้ตบอก แล้วพลพรรคจากเมืองเพชร ก็ค่อยๆเดินแยกย้ายกันไปนั่งตามสะดวก แถบๆนี้เดินไปหน่อยก็เป็นร้านขายอาหาร ขายพวกของฝาก แต่พึ่งจะเช้า ก็เลยยังเปิดไม่ครบทุกร้าน

“นี่ๆ มาคุยแผนกันก่อนว่าจะไปไหนมาไหนกันบ้าง ” พี่ต่ายหัวหน้าทริปเรียกประชุม เพื่อกันความผิดพลาดขึ้นมาอีก

“ปริ้น คิว โค้ก มาช่วยพี่เลื่อนกระเป๋าไอ้พวกนี้หน่อย” พี่โจ้สะกิดเรียกให้เราสามคนที่เป็นน้องๆ แบกสัมภาระของพวกพี่ๆทั้งหลายเปลี่ยนที่มาวางไว้ตรงมุมอีกด้านนึงของเรือ เพราะตอนแรกวางได้แบบเกะกะมาก

“ตกลงให้มาเนี่ย มาเป็นเบ๊เหรอเฮีย” ไอ้คิวบ่นใส่พี่โจ้

“เออดิ พึ่งรู้เรอะ ” พี่โจ้ยักคิ้วกวนๆให้คิวมันทีนึง ไอ้คิวถึงกะหน้าหงิกตามสไตย์

“ไอ้โจ้ ไอ้โจ้เปล่าวะนั่น” สำเนียงแปลกๆแบบคอทองแดงดังขึ้นเรียกพี่โจ้ ผมเงยหน้าขึ้นมาหลังจากทิ้งเป้ไอ้โอ้ตไว้กับพื้น

“อ้าว เฮ้ย พี่สิด” พี่โจ้ทักผู้ชายท่าทางทะมัดทะแมงคนนึง ดูภายนอกก็พอจะเดาได้ว่าเป็นชาวเรือแน่นอน

“ลมไรพัดมาถึงนี่วะ” คนที่พี่โจ้เรียกชื่อว่าพี่สิด ทักทายด้วยความสนิทสนม

“พาเพื่อนมาเที่ยวเคาดาวปีใหม่น่ะพี่ แล้ววันนี้ขึ้นมาหาแสงสีเหรอพี่” พี่โจ้พูดติดตลก

“มาหาแสงสีป๊ะมึงดิ ถ้าจะเที่ยว สมุยมีออกเกลื่อน เอาปลามาส่งวุ้ย” พี่สิดพูดแล้วก็ชี้มือไปทางผู้ชายอีกสองคนที่กะลังขะมักเขม้น ยกลังใส่ปลาขึ้นรถกระบะ

“เอ้า นั่นพี่ม่อน กะ ไอ้สิงห์ป่าววะ” พี่โจ้ถามพลางเพ่งมองเพื่อดูว่าใช่คนที่ตัวเองรู้จักเหรอไม่

“เออ กุให้มาช่วยน่ะ ”

“ห่ะ อย่างพี่สิด เดี๋ยวนี้ต้องให้คนมาช่วยแล้วเหรอ แก่แล้วนะเนี่ย” พี่โจ้พูดเหน็บพลางหัวเราะ ซักพักคนที่พี่สิดเรียกว่าม่อน กับ สิงห์ ก็เดินมาสบทบ

คนสองคนนี่ ดูแล้วแตกต่างจากพี่สิดค่อนข้างมากพอสมควร แต่ดูแล้วก็ยังดูเป็นพวกที่ผ่านการอยู่บนเรือมาก่อน พี่ม่อนออกจะพวกขี้เก๊กหน่อยๆ ส่วนสิงห์นี่ตัวเตี้ยๆ ดูไม่ค่อยพูดค่อยจา แตกต่างจากพี่สิดที่เป็นคนพูดอะไรโผงผางชอบกล

ผมฟังบทสนทนาของทั้งสี่คนนั่นไปพลาง แล้วก็ยกสัมภาระไปพลาง จนหมด เห็นหน้าไอ้โค้กไอ้คิวหอบแฮ่กเลย แล้วก็พากันไปหาน้ำมะพร้าวมากินกันแก้เหนื่อย ซักพักพี่โจ้ก็เดินมานั่งสมทบกะพวกผม

“เพื่อนพี่เหรอนั่นอ่ะ” โค้กมันแซงคิวถามก่อนผม

“อือ คนรู้จักบนเกาะล่ะ บ้านอยู่ใกล้ๆกัน คนตัวหนาๆหน่อยชื่อพี่สิด สูงๆขาวๆนั่นพี่ม่อน ส่วนไอ้ตัวเล็กๆนั่นชื่อสิงห์ อายุเท่าๆพี่แหละ ” พูดไม่ทันขาดคำ ทั้ง 3 คนนั่นก็เดินมานั่งคุยที่โต๊ะผม

ยอมรับจริงๆคับว่า คนใต้พูดเสียงดังกันมากๆเลย แต่ก็ดูสนุกสนานเป็นกันเองดีอ่ะคับ

“แล้วนี่พี่ขึ้นเฟอรี่เที่ยวเดียวกับพวกผมเลยเปล่า หรือว่าจะกลับพรุ่งนี้ล่ะ ”

“ส่งของเสร็จวันนี้ก็กลับวันนี้ซิน้อง” เสียงพี่ม่อนบอกแบบไม่สบอารมณ์ยังไงบอกไม่ถูก พี่โจ้นั่งเงียบไปเลย

“เฮ้ย น้องมันก็ถามดีๆ มึงกินรังแตนมาจากไหนวะ ไอ้นี่” พี่สิดว๊ากใส่พี่ม่อน จนพี่แกลุกพลวดอย่างไม่พอใจ เดินหายไป

“สงสัยไอ้พี่ม่อนมันเซ็งเรื่องที่บ้านน่ะ” คนที่ชื่อสิงห์บอก

“หมู่นี้ที่บ้านมันเป็นห่าไรก็ไม่รู้ ทะเลาะกันทุกวี่ทุกวัน” พูดจบ ก็สั่งเบียร์มาแต่หัววันเลยคับ

“ชวนเพื่อนกินดิโจ้” สิงห์เอ่ยปากชวนพี่โจ้ก่อนที่จะหันมาทางพวกผมสามคน

“อย่ามาชวนน้องกรุเสียคน มึงกินไปเหอะ” พี่โจ้พูดแบบเสียไม่ได้ สิงห์ส่งแก้วนึงให้พี่สิด แล้วก็ยกแก้วตัวเองซด แล้วก็ทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงพี่โจ้ ด้วยการรินเบียร์เต็มแก้ว แล้วก็ยื่นมาให้ผม

“เอ้า ไอ้ตี๋ กินกะพี่แก้วนึงม่ะ” มันพูดแล้วก็ทำตาแบบโลมเลียไงบอกไม่ถูกคับ อย่างไอ้คิวผมว่าเถื่อนแต่ก็เถื่อนแบบมีสกุล แต่กะไอ้พี่สิงห์นี่แล้ว ผมบอกได้คำเดียวว่า กลัวไงม่ะรู้

“ไอ้สิงห์ ” พี่โจ้ขึ้นเสียงคับ แต่ดูเหมือนมันก็ยังไม่สนใจเหมือนเดิม พยายามยัดเยียดแก้วใบนั้นให้กะผมจนได้

“มีไรวะ” ผมหันขวับไป เห็นโอ้ตมันเดินมาถึงโต๊ะผมแล้ว สงสัยมันเห็นทะแม่งๆแล้วมั้ง

“ก็ … ไม่มีราย” สิงห์มันบอก แล้วก็มองหน้าโอ้ตแบบหาเรื่อง “แค่ชวนกินเบียร์แก้วสองแก้ว”

“ขอโทดทีคับ แต่น้องผมไม่แดกเบียร์นะคับ”

ไอ้สิงห์มันไม่พอใจลุกพลาดขึ้นมาเลยคับ พร้อมๆกับพี่สิดก็ลุกขึ้นมาจับแขนเอาไว้

“เฮ้ยๆๆๆ พอๆเลยมึง กินเบียร์ไปแก้ว อย่ามากุ้ย .. ขอโทดแทนไอ้นี่มันด้วยนะคับ” พูดเสร็จ พี่สิดก็รีบพาให้ไอ้สิงห์มันไปนั่งอยู่อีกโต๊ะนึง

นี่มานอาไรกันเนี่ย เกือบมีเรื่องแล้วไม่เนี่ย ตกใจหมดเรยกรุ

เรารอกันด้วยความเบื่อหน่ายจนถึงเวลาเกือบบ่ายโมง ก็เห็นเรือมาเทียบกับที่จอด ก็ค่อยๆทยอยกันขึ้นคับ

“เสน่ห์แรงนะเมิงเนี่ย ปริ้น” คิวมันพูดด้วยเสียงไม่ค่อยจะหนุกเท่าไร

“สัด อย่างมาทำให้กรุหลอน เหี้ยเกือบมีเรื่องแล้วม่ะเนี่ย”

“แต่พระเอกแมร่งมาช่วยก่อน” มันยังพูดไม่จบคับ แหม ทีตอนเพื่อนเกือบมีเรื่องเนี่ย นั่งเป็นลูกแมวเลยนะเมิง

ผมได้ทีก็กัดมันบ้างคับ มันก็หน้าจ๋อยไปเลย เหอๆ จริงๆก็รู้คับว่ามันก็อยากช่วย แต่มันก็ยังเด็กกว่าไอ้พวกนั้นพอสมควร ขืนมาช่วยผมมีแต่แพ้กะแพ้


ให้ตายเหอะ เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ผมยังไม่เคยนั่งเรือแบบนี้เลย ตอนแรกก็ตื่นเต้นคับ แต่ระยะเวลาผ่านไปซักพัก ความเบื่อหน่ายก็จะเริ่มเข้ามาแทนที่ เฟอรี่ก็เหมือนกะตึกลอยน้ำอ่ะคับ ไม่ค่อยมีไรเท่าไร นั่งไปนานๆก็เบื่อ
ประมาณพักใหญ่ๆ เป็นชั่วโมงๆเลยล่ะ ก็มาถึงสมุยคับ พวกผม 3 คน ก็เดินลงกันมาก่อนพวกโอ้ต เพราะมันยังคุยไรกันม่ะรู้น่าเบื่อ ไม่สนใจแฟนมั่งเรย ไอ้นี่ - -* กะว่าจะรีบเดินไปหาซื้อพวกโปสการ์ดที่ร้านใกล้ๆท่าเรือ ก่อนจะไปพะงัน เดินมาด้านล่างที่เป็นที่จอดรถก็ก็เห็นพวกพี่สิด กำลังจัดข้าวของโน่นนี่อยู่ที่รถ คือ เฟอรี่ข้างใต้จะบรรจุรถข้ามฟากได้อ่ะคับ ชั้นบนจะให้คนอยู่ แล้วมันก็เป็นทางที่ต้องเดินผ่านด้วยดิ

ผมหน้าเสียนิดนึง

“เอ้า ว่าไงเรา ”พี่สิดทักทาย จะลงไปซื้อของเหรอ

“คับพี่” ผมพูดแล้วก็ทำท่างอึดอัดนิดหน่อย เพราะกัวเจอไอ้สิงห์

“ฮ่ะฮ่ะ ไม่ต้องกลัว ไอ้สิงห์มันกินเบียร์อยู่บนโน่น ไม่ไหว กินมากแล้วเหม็นเหล้าชิบ เฮ้ย ! ไอ้ม่อน มึงไขกระจกหลังให้หน่อยดิ๊”

“เฮ้ย …. พี่สิด” ตะโกนเรียกพี่ม่อนจากด้านท้ายกระบะ

“สงสัยหลับอยู่อ่ะคับ ”ไอ้โค้กบอกหลังจากที่ไปมองผ่านเข้าไปทางกระจกหลังที่เปิดอยู่

“เอ้า ไอ้นี่เสือกหลับอีกแล้ว แมร่งขี้เซาชิบหาย” พี่สิดพูดพลางส่ายหัว แล้วก็กระโดดลงจากกระบะ ยื่นหัวเข้าไปด่าพี่ม่อน ด้วยคำหยาบคายที่ฟังไม่ค่อยออก

พวกผมสามคนมองหน้ากัน แล้วก็คิดว่าควรที่จะไปได้แล้วล่ะ กรุกัว เหอๆ

“เมิงจะซื้อไรมั่งวะ ปริ้น”

“คงพวกโปสการ์ดมั้ง แต่แม่งแพงชิบเรย”

“เออวะ” คิวมันพูดเสร็จก็หยิบกระเป๋าตังค์ขึ้นมาเปิดกว้าง

“จาซื้อไปให้ใครเหรอวะ” ไอ้ซังมันคงดีใจเนอะ แฟนคิดถึงขนาดนี้ ผมพูดแซว

“ชั่งกุ ไอ้คิวมันทำหน้าเขินๆ แล้วหายหัวไปเลือกของอีกนิดหน่อย

“แพงหว่ะพี่ปริ้น ขอยืมตังค์หน่อยดิ”

“อย่ามาทำเนียนเมิง … ”

“เอ้า ก็พี่ปริ้นไม่ต้องซื้อฝากใครนิ” มันพูดไปก็ทำเป็นเลือกซื้อของไป

“ไมวะ” ผมหันไปถาม

“เอ้า ก็แฟนมาด้วยกัน แล้วจะซื้อไปให้ใครอีกล่ะพี่ ”มันพูดเสร็จก็หันมามองผมด้วยสายตาจับผิด

“อุ๊ก ”

“ฟงแฟนไรวะ ไม่มี๊” ผมรีบแก้ตัวพัลวัน แปลกหว่ะ ทำไมแทนที่ผมจะยอมรับไปว่า ผมคบกะโอ้ตอยู่ แต่อีกใจก็ยังไม่อยากให้โค้กมันคิดว่าผมเป็นเกย์อ่ะ มันคิดยังไงก็ผมก็ไม่รู้ด้วย

ปู้นนนนนนนนนนนนน ปู้นนนนนนน

เสียงหวูดของเฟอรี่ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าเรือใกล้จะออกแล้ว ทำให้ต้องเร่งซื้อกันหน่อยล่ะ จริงๆมีพวกพวงกุญแจปะการัง แล้วก็หอยสวยๆอีกเยอะแยะเลย แต่ผมไม่ค่อยอยากซื้อแหะ มันเหมือนทำลายธรรมชาติไงม่ะรุ ไม่ได้เงินกรุหรอก หุหุ

หลังจากซื้อของเสร็จ ไอ้คิวดันอยากแดกไส้กรอกขึ้นมา ก็เลยต้องรอมันซื้อก่อน แล้วก็รีบวิ่งกันขึ้นมาบนเรือได้ทันท่วงที

“เอ้า ไปไหนกันหมดวะ” ผมพูดขึ้นมา ระหว่างที่เดินมาถึงบริเวณที่พวกโอ้ตมันน่าจะอยู่กัน ตอนนี้ผู้โดยสารบางส่วน หรือเรียกว่าส่วนใหญ่แทบจะลงไปสมุยกันหมดคับ ดูวังเวงชอบกล

“เจอป่ะ โค้ก” ผมหันไปหาไอ้โค้กซึ่งก็ส่ายหน้า

“คิว” คิวมันเดินมาบอกว่าหาไม่เจอเหมือนกัน เอ้า ไงล่ะนี่

“เวนกรำ ทำไมมาอยู่บนนี้กันล่ะเนี่ย !! ” เสียงพี่โจ้พูดอย่างตกใจเมื่อเห็นผมสามคน

“เอ้า ทำไมอ่ะพี่ ก็…”

“ไม่รู้เหรอว่าพวกต่ายมันลงไปค้างสมุยคืนนึงอ่ะ แล้วพรุ่งนี้ถึงจะขึ้นเรือมาพะงัน”

“ห่ะ ทำไมผมไม่รู้ล่ะ” ผมถามด้วยความตกใจ นี่กรุคลาดกันอีกแล้วเหรอเนี่ย

“ก็เค้าคุยกันตอนที่กินข้าวอยู่อ่ะ โอ้ตมันไม่ได้บอกปริ้นเหรอ”

“ไม่ได้บอกกกกก” ผมพูดหน้าเสีย

“เออ ไม่เป็นไร งั้นถือว่าพวกเรามากันก่อนล่ะกัน ดีเหมือนกันจะได้ช่วยพี่เตรียมบ้านช่อง ปัดกวาดเช็ดถู” พี่โจ้ยิ้ม กริ่ม

“โห อีกแระ” ผม ไอ้โค้ก ไอ้คิว พูดกันแบบผสานเสียง

ไอ้โอ้ตนะไอ้โอ้ต ด้วยความที่มันคิดว่าพวกผมรู้จากพี่โจ้แล้ว ว่าจะค้างกันที่สมุยคืนนึงก่อน ก็เลยไม่ได้บอกผม ประกอบกับที่ผมเดินกันลงมาก่อน ก็นึกว่าจะไปรอกันที่ท่าเรือสมุย พอเรือออกเท่านั้นแหละ ไม่เห็นพวกผม มันก็เลยโทรเข้ามาหา ซึ่งแน่นอน ไม่สายไปซะแระ ตอนนี้ผมเกือบจะถึงเกาะพะงันกันแล้วด้วยซ้ำ

ฮ่วย !!

“ไม่เป็นไรหรอกโอ้ต ปริ้นไม่สำคัญอยู่แล้ว” ผมพูดประชดใส่หูโทรสับ

“เฮ้ย โอ้ตขอโทษ”

“ไม่รุ” ผมพูดเสร็จ ก็วางหูไปด้วยความฉุน

“พี่ปริ้น ถึงเกาะแล้ววว” สิ้นเสียงไอ้โค้ก เกาะพะงันที่เห็นรางๆมะกี้นี้ ก็ชัดเจนแจ่มแจ้งมากขึ้น แม้ว่า จะเป็นช่วงเกือบค่ำแล้วก็ตาม แต่น้ำทะเลงี้ แบบเขียวมรกตมากๆเลยครับ

“แล้วนี่จะไปบ้านกันเลยเหรอเปล่า” พี่สิด ขับรถลงมาจากเรือ ยื่นหน้ามาถามพวกผม

“คับ เด๋วว่าจะโทรไปบอกให้พ่อมารับนะคับ” พี่โจ้บอก

“เฮ้ย งั้นเดี๋ยวไปกับพวกพี่ก็ได้โจ้ แต่นั่งกระบะหลังนะ ไหวเปล่า” พี่สิดว่าพลาง เดินลงจากรถ แล้วก็หยิบกระเป๋าผ้า ถุงไส้ปลา บลาๆ ไปใส่ไว้หน้ารถ

“ขอบคุณคับ” พี่โจ้ยิ้มหน้าบาน ส่วนผมเหรอ เหอะๆ ไม่อยากพูดอ่ะ ยิ่งเมื่อเห็นไอ้สิงห์เดินเข้ามาคุยกะพี่สิด หน้ามันผมก็แทบไม่อยากมองอ่ะ

“พี่ม่อนมันหายหัวไปไหนมันวะ” สิงห์มันบ่น

“สงสัยแมร่ง นั่งรถกลับไปเองแล้วมั่ง ไอ้ขี้เกียจนั่น”

“เออ ไรวะ งั้นเด๋วชั้นติดรถพี่ไปด้วยนะ ขี้เกียจนั่งรถกลับเอง” พูดเสร็จ มันก็หันมามองทางผมสายตาแปลกๆ แล้วก็กระโดดขึ้นกระบะหลังไป

“เมิงจะไปนั่งหน้าเป่า ปริ้น” ไอ้คิวถามผมแบบเป็นห่วง(นานๆที)

“ไม่เป็นไร ให้พี่โจ้นั่งแล้วกัน” ผมพูดแล้วก็เดินขึ้นไปพร้อมกะไอ้โค้ก แล้วก็ไอ้คิว

คลื่นนนนนนนน คลื่นนนนนนนนนนนนนนนน เสียงฟ้าคำราม เหมือนฝนจะตก ไม่น่าเชื่อว่า ม่ะกี้ ตอนอยู่บนเรือ แทบจะไม่เห็นเมฆฝนบนเกาะ เมฆดำดูลอยต่ำลงมาจนเหมือนกับจะปิดบังเกาะให้ดูทะมึน พี่สิดขับรถวนซ้ายวนขวาตามแนวของสันเขา เนื่องจากบ้านของพี่โจ้อยู่อีกด้านนึงของเกาะ ทำให้ต้องข้ามเขาไปพอสมควร

พี่สิดขับรถมาส่งถึงหน้าบ้านพี่โจ้ ฝนเม็ดแรก ก็หยดมาลงจมูกผมพอดี หลังจากที่ขอบอกขอบใจกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็รีบวิ่งแจ้นกันเข้าที่พักทันที บ้านที่พวกเราจะพักกันเป็นบ้านที่ไม่ได้มีคนอยู่คับ พอดีว่าที่บ้านของพี่โจ้ เตรียมจะสร้างไว้ให้คนอื่นเช่าต่อ แต่ตอนนี้ว่าง ก็เป็นโอกาสของพวกเราซะเลย

“พวกพี่สิด นี่อยู่แถวนี้กันเป่า” ผมหันไปถามพี่โจ้

“อือ ก็ถัดไปอีกหลังสองหลังนี่แหละ พี่ม่อน ไอ้สิงห์ก็ด้วย ระแวกนี้แหละ”

“อ่อ …”


“หวาดดีค่า พี่โจ้” เสียงใสของผู้หญิงคนนึงดังกังวาน ไม่ใช่ใคร น้องสาวพี่โจ้คับ ชื่อ จ๋า น่ารักแล้วก็สวยแบบคมๆ แบบคนใต้แหละ คงเรียนอยู่ม ต้น

“หวัดดีคะ หวัดดีคะ หวัดดีคะ” จ๋าทักทายพวกเราเสร็จ ก็ชวนให้ไปกินข้าวที่บ้านของพี่โจ้ พอพวกผมเดินเข้ามาที่บ้านพี่โจ้ ก็เห็นคุณพ่อ คุณแม่ แล้วที่ตกใจก็เห็นพี่สิด ไอ้สิงห์ แล้วก็ใครไม่รู้อีกสองสามคนมานั่งล้อมวงกันเตรียมกินข้าวกันแล้ว

“รบกวนบ้านพี่โจ้แย่เรย” ผมบอก เพราะตามแผนคือ เรากะจะหาซื้อไรมาทำกันกินเอง ไม่ได้มารบกวนแบบนี้

เมนูแรกที่มาบนเกาะนี้คือ ปลาหมึกครับ ทุกอย่างคือหมึกแทบทั้งนั้น เนื่องจากแถวนี้ ตกหมึกได้เยอะคับ จริงๆปลาก็มีแหละ แต่ส่วนใหญ่เก็บไว้ขาย

“พี่โจ้ รู้ป่าว พี่มุกที่อยู่ข้างบ้านอ่ะ ตายแล้วนะ ” จ๋าพูดโพล่งขึ้นมากลางวงกินข้าว

“เฮ้ย ตายได้ไง” พี่โจ้พูดออกมาแทบสำลัก ผมสามคนมองหน้ากันปริบๆ

“ผูกคอตายอ่ะ เนี่ย ที่ต้นหว้าริมหาดตรงนั้นอ่ะ ” พวกผมหันไปมองทิศที่น้องจ๋าผู้แสนดี เล่าให้ฟัง แต่มองจากตรงนี้ไม่เห็นหรอกคับ หลังคาบ้านบังหมด

พี่โจ้พยักหน้า

“ผูกคอตาย ! พี่มุกเนี่ยนะ เป็นไปได้ไง ”

“นี่เลิกพูดเรื่อยตายๆ กันได้แล้วนะ กำลังกินข้าวกินปลากันอยู่ ดูซิ พี่ๆเค้าหน้าซีดกันหมดแล้ว” แม่พี่โจ้เอ็ดลูกสาว
ผมรู้สึกว่าหลังจากที่พี่โจ้รู้ข่าวการเสียชีวิตของพี่มุกแล้ว พี่โจ้ดูหน้าเคร่งเครียดไปในทันที ไม่เพียงแต่พี่โจ้เท่านั้น ผมดูท่าทางแล้วไม่ว่าจะเป็นพี่สิดที่เฮฮาอยู่ก่อนหน้า ก็นั่งตักข้าวเงียบกริบ ส่วนไอ้สิงห์ก็คว้าเบียร์มาดวดๆ ไม่มีหยุด


***************************


“เฮ้ย ไปดูกันเป่า” เสียงมารร้ายอย่างไอ้คิวกระซิบกับผมสองคน

“ดูเหี้ยไร”

“ก็ไปดูต้นไม้ที่พี่ไรนั่นผูกคอตายอ่ะ ” ดูมันช่างคิด

“มึงไปคนเดียวเหอะ”

“ไปดิพี่” น่าน ไอ้โค้ก มึงไม่ห้ามมันล่ะ มาชวนซะงั้น

“พวกเมิงไปเหอะ” ผมพูดแล้วก็รีบเดินเข้าไปในบ้าน แล้วซักพักก็เดินออกมา ในบ้านคนเดียว แถมพึ่งมาเล่าเรื่องคนตาย ให้กรุอยู่คนเดียวเหรอเมิง เลยต้องจำใจเดินมากะพวกมันด้วยคับ กรุกัวผีนะเนี่ย

“ไปแป็บเดียวนะพวกเมิง จะได้รีบอาบน้ำอาบท่า” ผมว่าพลางเดินตามหลังพวกมันไปตามริมหาด ตอนนี้เรียกว่า มีแต่แสงไฟที่สาดมาจากตามบ้านที่ปลูกไว้ห่างๆ ล่ะคับ ริมหาดค่อนข้างมืดมาก มีแต่แสงจากไฟฉายของเด็กหนุ่มสามคนเท่านั้น หนาวก็หนาว สาดดด

“ใช่ต้นนี่เป่าวะ” ไอ้คิวมันหยุดยืนที่ใต้ต้นหว้าต้นนึงที่ค่อนข้างจะสูงใหญ่ กิ่งก้านมันดูรกทึบไปหมด พูดเสร็จก็ส่องไฟไปทางโน้นทีทางนี้ที

“ต้นหว้า อืม พี่เค้าเลือกมาผูกเพราะมีความหมายไรเป่าวะ” ไอ้โค้กพูดขึ้นมาลอยๆ

“ไมคิดงั้นวะ” คิวสอดขึ้นมา

.

.

“ต้นหว้า เนี่ย มันเรียกได้อีกชื่อว่า ชมพู อ่ะ คับ มันเป็นไม้ในวงศ์เดียวกันนะ เป็นไม้ประจำทวีปนี้ นี่ว่าตามภูมิศาสตร์นะคับ ในความเชื่อของอินเดียโบราณที่ไทยเราก็รับมาเนี่ย อยู่ในไตรภูมิพระร่วงก็มี เชื่อกันว่าในโลกมีสี่ทวีป ชมพูทวีป อมรโคยานทวีป บุรพวิเทหทวีป แล้วอะไรอีกอันหว่า ? นั่นล่ะๆแต่ละทวีปก็มีไม้ประจำทวีปของตัวครับ คำว่า "ชมพูทวีป" นั้นเป็นคำที่ชาวพุทธใช้หมายถึงดินแดนประเทศอินเดียโบราณ ก็มาจากต้นชมพู หรือว่าต้นหว้านี่แหละคับ”

“โห นักพฤกศาสตร์มาเองเลยวุ้ย ”ไอ้คิวแซวไป ส่องไม่ลดละ

“ไอ้เหี้ย .. ส่องให้ผีมันโผล่มาเหรอไง ” ผมโพล่งด่าไป

“พี่ปริ้น พูดไรเนี่ย ผงผี ตอนหน้าสิ่งหน้าขวาน” ไอ้โค้กทำเป็นกลัวขยับเข้ามาใกล้ ผมมองดูนาฬิกา สองทุ่มครึ่งได้แล้ว เลยรีบไล่ให้พวกเดินกลับกันได้แล้วล่ะ กรุกัว ไม่ใช่ไรหรอก ซึ่งระยะห่างระหว่างที่พัก ก็ที่ยืนอยู่นี่ก็ไม่ไกลกันมากคับ ประมาณ สองสามร้อยเมตร มองจากตรงนี้ ก็เห็นที่พักเปิดไฟอยู่

“ม่ะกี้ออกมาเมิงไม่ได้ปิดไฟเหรอปริ้น” คิวมันถามผมระหว่างเดินอ้อยอิ่งกลับ

“ห่า ม่ะกี้กุเข้าไป แล้วก็เดินออกมายังไม่ทันได้เปิดไฟห่าไรเลย พี่โจ้มาเปิดมั้ง” ผมบอก แล้วก็รีบเร่งเท้าเพราะกลัวพี่แกเห็นว่าไม่อยู่ จะตกใจว่าหายไปไหนอีก

คลื่นนนนนน คลื่นนนนนนนนนนนนน

เสียงฟ้าคำรามมาอีกรอบ มองไปบนท้องฟ้าไม่เห็นแม้แต่แสงดาวซักดวง เม็ดฝนเริ่มตกเปาะแปะๆ ทำให้เดินอยู่ไม่ได้แล้วล่ะคับ วิ่งมาถึงบ้าน ก็ปรากฏว่า ไฟทุกดวงในบ้านมันไม่ได้เปิดอยู่นะซิ

“อ้าว นี่ไง ไฟก็ไม่ได้เปิดไว้” โค้กมันหันมาถามผม แล้วก็รีบกดเปิดไฟ

“ก็ม่ะกี้ กรุเห็นจริงๆนะ ว่าไฟมันเปิดอยู่อ่ะ” ไอ้คิวเถียง ผมก็เห็นเหมือนกันคับ แต่ไม่พูดอะไร ไม่อยากเข้าข้างมันเหอะๆ

“เอาเหอะ รีบไปอาบน้ำอาบท่าเหอะ เหนียวตัวจาแย่อยู่แล้ว” ผมดันไอ้คิวให้รีบไปอาบก่อน

“เออ ว่าแต่อาบด้วยกันม่ะจ๊ะ ปริ้น ” มันพูดเสร็จก็ทำสายตากระลิ้มกระเหลีย

“เด๋วกรุซัดเข้าที่ใบหน้า สัด ไสตูดไปอาบน้ำอย่างเร็ว” ผมพูดเสร็จก็เตรียมจะผลัดผ้าบ้าง แต่ก็เหลือบไปเห็นไอ้โค้กคับ มองตาแป๋วมาทางผม

“เฮ้ย คนจะแก้ผ้า หันไปทางอื่นดิ”

“อายเหรอ 555”

“เออดิ ไอ้บ้า ” ผมพูดไปก็หน้าเริ่มแดง พักหลังไอ้โค้กมันทำตัวแปลกๆกับผมจังวะ หรือว่ามันเป็นเกย์เนี่ย แต่ มันก็เคยบอกผมแล้วนี่นา ตอนที่ไอ้กั๊กมาบอกชอบมัน มันก็ปฏิเสธไป .. อะไรวะ

“หันปาย” ผมว่ามันแล้วก็เอาตรีนไปเขี่ยให้มันหันตัวไปทางอื่น มันก็มาดึงตรีนผมไว้อ่ะ หน้าเกือบคว่ำ

“โห ใช้เท้าเลยนะ คนนะคน ” มันว่าแล้วก็ผุดลุกขึ้น รายเล่า ต่อล้อต่อเถียงไปได้ซักพัก ไอ้คิวก็อาบน้ำเสร็จ

“จะอาบก่อนเป่า ”

“พี่ปริ้นอาบก่อนแล้วกัน ขอนอนต่อก่อน เหอะๆ” มันว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอน ไอ้คิวก็เดินไปเข้าห้องที่แยกไว้ให้พวกผู้หญิงนอน ไปแต่งตัว

ผมก็เข้าไปผลัดผ้าในห้องน้ำคับ ก็ควักๆของที่อยู่ในเสื้อกันหนาว ออกมา

“เอ๊ะ หายไปไหนวะ ” ผมพยายามควักทุกสิ่งอย่างในกระเป๋าเสื้อกันหนาวออกหมด แต่ก็ไม่มี

“เฮ้ย สงสัยทำตกแน่เลยว้อย” ผมสบถกับตัวเอง แล้วก็รีบอาบน้ำอย่างเร็ว เสียงฝนตกกระหน่ำลงมาเรื่อยๆ อากาศที่หนาวอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มทวีความเย็นเข้าไปอีก ผมเดินออกมาตัวสั่นงันงก แล้วก็รีบคว้าเสื้อมาสวมอย่างเร็ว

“มีร่มเป่าวะ”

“ใครจะพกร่มมาหน้าหนาวล่ะ ไอ้โง่ ”ไอ้คิวด่าผม

“ห่า ไม่มีก็ไม่ต้องด่ากรุ” ผมพูดอารมณ์เสีย แล้วก็เดินออกไปขอร่มพี่โจ้ที่อยู่บ้านติดๆกัน

“ไปไหนอ่ะพี่ ” โค้กดินออกมาถามผม ซึ่งกำลังจะกางร่มฝ่าฝนออกไป

“ทำของหล่นอะดิ จะเดินไปหาอ่ะ” ผมบอก

“ตอนนี้เนี่ยนะ จะหาเจอมั้ย” โค้กบอกผมด้วยความเป็นห่วงในน้ำเสียง

“ก็ต้องหาล่ะวะ”

“งั้นเด๋วผมไปด้วย” ไอ้โค้กว่าพลางคว้าเสื้อกันหนาวมาใส่(ย้ำว่ากันหนาว)

“เออ ขอบใจ ”

“เฮ้ย พวกเมิงไปไหนกันเนี่ย ”ไอ้คิวเดินแน่วๆมาหา

“ไปหาของ มึงจะไปด้วยม่ะ” ผมว่า พลางเร่งมันเพราะยิ่งช้าฝนก็ตกหนักมากขึ้น

“โค้กไปขอร่มพี่โจ้มาอีกคันป่ะ ” ผมว่า ด้วยความร้อนใจ

จะบอกว่า การหาของในความมืดว่ายากแล้ว การหาของที่ตกอยู่บนพื้นทราย แถมรอบข้างฝนดันตกหนักแบบนี้ ยิ่งเหมือนคนโง่เข้าทุกที ผมใช้ร่มคันนึง ส่วนอีกคันนึงไอ้คิวกะไอ้โค้กถือ เสียงบ่นกระปอดกระแปด ไล่หลังผมมาตลอดทางที่เดินมา

- อยู่ไหนวะ อยู่ไหนวะ – ในหัวผมเร่งหาแต่ของสำคัญที่ทำตกไว้ แมร่งถ้าหาไม่เจอกรุแย่แน่เลย

พวกผมเดินไล่หากันด้วยความทุลักทุเล กันจนมาเกือบถึงใต้ต้นหว้า ผมฉายแสงไปตามพื้นที่เฉอะแฉะเพราะสายฝน ก็พบสิ่งๆนึงมันสะท้อนแสงกลับมา

“เฮ้ย เจอแล้วๆ” ผมพูดพลางวิ่งไปเก็บมา

“เออ เมิงกว่าจะเจอ กรุเปียกเป็นหมาตกน้ำหมดแล้ว ”

“เนี่ยสงสัยผีพี่มุกช่วยมึงหาของให้แน่เลยไอ้ปริ้น ” ไอ้คิวพูดเล่น พลางทำส่องไฟไปที่ต้นหว้าที่อยู่ห่างไม่กี่เมตร

แว๊บ

“เฮ้ย .. ”

“ไรวะ ” ผมซึ่งทำท่าทีจะเดินกลับที่พักแล้ว สะดุดกึกกะเสียงไอ้คิว

“อะไรมันสะท้อนแสงม่ะรู้หว่ะ ” ไอ้คิวพูดกับไอ้โค้ก แล้วก็เดินไปที่ใต้ต้นหว้า

“ตรงไหนวะ ที่เมิงเห็นอ่ะ” ผมเดินตามเข้าไปบ่นใส่

“ข้างบนต้นไม้อ่ะ ” ไอ้คิวพูดเสียงสั่นๆ แล้วก็ฉายไฟไปบนต้นไม้ เท้าไอ้โค้กหยุดกึกเมื่อมันฉายไฟไปทางที่ไอ้คิวบอก คิวหันไปมองหน้าไอ้โค้กด้วยความสงสัย สายตาไอ้คิวมันจับจ้องค้างอยู่บนต้นไม้ มือโค้กสั่นเทา ทำให้แสงไฟโฉบเฉียวไปมา

“ไอ้สะ สัดด…” คิวสบถออกมาด้วยเสียงสั่นเคลือเหมือนกับกะลังควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ผมหันร่มให้มีระยะพอมองไปด้านบน พร้อมกับส่องไฟขึ้นไปมองสิ่งที่คิวกะโค้กมันเห็น

หัวใจผมแทบหยุดเต้น มือที่ถือกระบอกไฟฉายแทบจะไม่มีแรงจับยึดไว้ เหนือศีรษะที่ผมฉายไฟปรากฏร่างๆนึงแขวนไว้บนกิ่งใหญ่ของต้นหว้า ร่างห้อยต่องแต่งบิดเบี้ยวผิดรูปแกว่งโอนเอนไปตามแรงลม เมื่อแสงไฟกระทบเข้ากับตะขอที่เกี่ยวแต่ละจุดของร่างกายมนุษย์ที่แขวนไว้อยู่ ทำให้เห็นสภาพความโหดเหี้ยมอำมหิตของฆาตกร

แขน ขา ถูกตัดออกแล้วใช้ตะขออันใหญ่เสียบเข้ากับบริเวณร่างกาย ทำให้สภาพดูรุ่งริ่งเต็มทน บริเวณส่วนหัวของเหยื่อที่ถูกตัดออกเช่นเดียวกับส่วนอื่นๆของร่างกาย ถูกสายเบ็ดพันเข้าหลายทบ แล้วใช้ตะขออันใหญ่เสียบให้เข้ากับบริเวณส่วนคอ

ร่างทั้งร่างบัดนี้เปรียบเหมือนหุ่นกระบอกที่ถูกสายเบ็ดโยงเหมือนใยแมงมุม ตรึงไว้บนกิ่งใหญ่ของต้นหว้า สายลมพัดกระหน่ำจนทำให้ศพดูซีดเซียว

“โอ๊กกกก อ๊วกกกกกก” เสียงไอ้คิวอาเจียนออกมาลงบนพื้น มันอยู่ใกล้ศพมากที่สุด จนเห็นติดตา

“คะ โค้ก รีบ ปะ ไป ไป ไป จากที่นี่ จะ แจ้ง ตำรวจ เร็วเข้า ระ เร็ว มีคนตายที่นี่”

โค้กมันดูแข็งค้างพอๆกับไอ้คิว แต่ดูเหมือนเรียกสติกลับมาได้ก่อน รีบคว้าตัวคิวที่ก้มลงไปอ๊วกอยู่ให้ลุกขึ้น ขาผมสั่นมากจนไม่คิดว่าจะก้าวออกจากที่ตรงนั้นได้ ร่างข้างบนนั้นเหมือนกับสะกดตัวผมไว้อยู่

“พะ พี่ปริ้น โค้กมันตะโกนใส่หูผมจนได้สติ พี่ปริ้น ม่ะกี้ ม่ะกี้ ตอนเรามามันยังไม่มี ยังไม่มีศพเลย แล้วนี่มันอะไรวะ ”

ผมก้มลงมองนาฬิกา อะไรวะ แค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กลับมาศพที่ถูกหั่นเป็นเป็นท่อนๆได้ขนาดนี้

ผมเหมือนกำลังจะร้องไห้ จริงอยู่ที่ว่าใครที่มาเห็นการฆาตกรรมแบบนี้คงจะตกใจไม่น้อยไปกว่าพวกผม แต่สิ่งที่ทำให้ผมเหมือนกับขาดสติไป เพราะร่างๆนั้นคือคนที่ พวกผมพึ่งจะได้คุยด้วยเหมือนช่วงเย็นที่ผ่านมา

ผมสามคนค่อยก้าวออกจากบริเวณนั้นด้วยความยากลำบาก ไม่ใช่เป็นเพราะว่าฝนตกอย่างหนักหรอก แต่เป็นเพราะร่างพี่ม่อนที่โดนแขวนห้อยเป็นหุ่นกระบอกอยู่ต่างหาก

.
.
.
.
.
.

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
ศพของพี่ม่อนถูกนำลงมาจากการพันธนาการบนต้นหว้าด้วยฝีมือชาวบ้านใกล้ๆ แล้วจึงถูกนำไปไว้ชั่วคราวที่วัดละแวกนั้น

ท่ามกลางเสียงชาวบ้านที่พากันพูดเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ดูจากสีหน้าท่าทางของแต่ละคนแล้วต่างรู้สึกถึงบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว นายตำรวจสองคนที่พึ่งจะได้บึ่งรถมอเตอร์ไซต์จากสถานีที่อยู่ห่างไปพอสมควร ต่างรีบทำการถ่ายรูปและเก็บหลักฐานเท่าที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากแม้เวลานี้สายฝนจะซาลง แต่ก็ยังไม่ถึงกับหยุดตกและด้วยเวลาเกือบที่จะสองยาม ทำให้การเก็บหลักฐานเป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่งนัก

จากการให้ปากคำของพวกเราทั้งสามคนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจยิ่งทำให้การฆาตกรรมในครั้งนี้ ยิ่งดูเป็นปริศนามากขึ้น แม้ว่าพี่ม่อนจะเป็นพวกขี้หงุดหงิด ท่าตีท้าต่อยกับชาวบ้านไปทั่ว แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะโดนฆ่าตายด้วยวิธีพิสดารอย่างนี้ ใครเป็นคนทำ? และจะลำบากทำขนาดนี้ไปเพื่ออะไร ?

แม้ว่าฝนจะเบาลง แต่ระดับคลื่นยังคงถาโถมซัดจนดูทะเลบ้าคลั่งก็ไม่ผิด ช่วงมรสุมเข้าเป็นแบบนี้เสมอเหรอไง

“ไหนลองบอกอีกทีซิ ว่าทำไมพวกเราสามคนถึงไปที่เกิดเหตุค่ำๆมืดๆแบบนั้น” นายตำรวจคนนึงถามคำถามเดิม

คิวมันทำท่าทางหงุดหงิด เหมือนจะว้ากใส่ด้วยความรำคาญ แต่โค้กมันยกมือห้ามไว้

“ก็อย่างที่ผมบอกว่า เพื่อนผมทำของหล่นหาย ผมสามคนก็เลยออกไปหา แล้วก็เดินไปทุกที่ๆผ่านตอนหัวค่ำ” โค้กอธิบายด้วยความใจเย็นอีกรอบ

“แล้วพวกผมก็ส่องไฟไปเจอแสงแปลกๆ ก็เลยส่องขึ้นไป ก็เลยเจอ - - - ” ผมพูดต่อ

“ไปหาของทั้งๆที่ฝนตกหนักเนี่ยนะ ? ” นายตำรวจแก่ยังไม่เลิกสงสัย

“ใช่ครับ ของสำคัญ” ผมตอบไปพลางมองหน้าตำรวจคนนั้นที่จ้องเขม็งมาทางพวกเรา

“คุณตำรวจ ข้าว่านะ ไอ้สามคนนี้มันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรอก มันจะมีเหตุผลอะไรล่ะที่จะฆ่าไอ้ม่อนมัน ทั้งๆที่พึ่งรู้จักกันไม่ข้ามวัน” พี่สิดเดินเข้ามาเสริมหลังจากที่พวกเราโดนตำรวจสอบนานเป็นพิเศษ

“มันก็ใช่นะ แต่พวกเราก็ต้องถามตามหน้าที่ก็เท่านั้นล่ะ” ตำรวจคนที่หนุ่มกว่าบอกกับพี่สิด

“เออมาก็ดีล่ะมึง จะได้สอบต่อ เอาคุณสามคน ขอรบกวนเท่านี้ก่อนล่ะกัน” นายตำรวจบอกก่อนจะยิ้มให้เป็นเชิงขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ

“เป็นไงบ้าง เค้าถามไรมั่ง” พี่โจ้เดินเข้ามาหาพวกผม เห็นสายตาก็ดูว่ากำลังตกใจ

“ก็ถามรายละเอียดทั่วไปล่ะ พวกผมก็บอกๆเค้าไป” ผมบอกกับพี่โจ้

“เห็นว่าศพพี่ม่อนดูไม่ได้เลยเหรอคะ ? ” น้องจ๋าถามบ้าง คิวมันพยักหน้า พร้อมกับทำท่าจะอ๊วกอีกรอบ

“จ๋า เรานี่ เป็นเด็กเป็นเล็ก ไปๆรีบเข้าบ้านเถอะ เกิดเรื่องแบบนี้ แล้วทีหลังอย่าออกไปเดินเล่นกลางค่ำกลางคืนแบบนี้อีกนะ” แม่พี่โจ้รีบไล่ให้พวกเรากลับเข้าบ้าน โดยพี่โจ้อาสามานอนเป็นเพื่อนพวกผมที่บ้านพัก แต่จริงๆแล้วพี่โจ้คงอยากจะถามเรื่องราวว่าเป็นไงมาไงมากกว่า

“หงึยยย ตัวนะพี่ ห้อยโงนเงนๆ อยู่กะกิ่งอ่ะ น่ากลัวชิบหาย ใครเป็นคนทำก็ไม่รู้” ไอ้คิวเล่ารายละเอียดเท่าที่หัวสมองมันพอจะจำได้

“เฮ้ยย นอนเหอะ เด๋วพรุ่งนี้ก็ไม่ตื่นหรอกเมิง” ผมเอ็ดไอ้คิวที่มัวแต่บรรยายอะไรไม่เป็นเรื่อง แล้วก็หันตัวเป็นนอนตะแคงไปทางโค้ก มันนอนหันหลังเงียบเชียบ สงสัยมันคงจะหลับแล้ว ผมยังคงนอนพลิกไปพลิกมา กระสับกระสายกับเหตุการณ์ขนหัวลุกที่เกิดขึ้น จนรู้สึกว่าสมองจะอ่อนเพลียไปเอง

“งืม งืม พรุ่งนี้ โอ้ตมันก็คงมาแล้วล่ะ งืม” ผมนอนคิดปลอบใจตัวเอง เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้หัวใจผมสงบมากที่สุดแล้วในขณะนี้ ก่อนที่จะผลอยหลับไป


***************************


Zzzzzz Zzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzz - - -

เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง !!

คลื่นนนนน

“อึ๊ก ….” ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงฟ้าคำรามสนั่นหวั่นไหว มองเห็นคิวมันนอนหลับไม่รู้สึกรู้สา ถัดไปพี่โจ้ก็นอนคลุมโปงได้ยินเสียงหายใจเบาๆ

“อืออออ กี่โมงแล้ววะเนี่ย” ผมคิดแล้วก็เอื้อมมือไปบนหัวนอนคว้านาฬิกาขึ้นมาดู

“ตี 5 กว่าๆ” แต่รอบๆยังคงมืดมิด อาจเป็นเพราะอยู่ในหน้าหนาว แล้วยังมีมรสุมเข้าอีกตะหาก ผมพลิกตัวกะจะนอนต่อ แต่คนที่นอนอยู่ข้างๆผมมันหายไป

“ไอ้โค้กมันหายไปไหนวะ” คิดยังไม่ทันจบ ก็เห็นเงาคนนั่งอยู่ตรงระเบียงนอกบ้าน ผมเลยค่อยๆลุกแล้วเดินไปช้าๆ เพื่อมองว่าเป็นใคร

“อ้าว โค้ก นอนไม่หลับเหรอ” ผมทักเมื่อเห็นว่าเป็นมันนั่งยกขารับลมอยู่ตรงระเบียงบ้าน

“อือ .. นอนไปได้หน่อยเดียวก็มานั่งรับลมดีกว่า” มันพูดสายตาก็ทอดยาวไปที่ชายหาด คลื่นลมยังคงปั่นป่วนทั่วท้องน้ำ เห็นแบบนี้แล้วรู้สึกว่ามันเท่ห์โคตรซะงั้น

“กลัวอะดิ เลยนอนไม่หลับ” ผมแซวมันแล้วก็หย่อนตัวลงนั่งข้างๆ

“อือเด๊ะ กลัวก็กลัว แต่สงสัยก็สงสัย” มันบอกพลางเก็บเศษกิ่งไม้แถวๆนั้นมานั่งหัก สายตามันเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

“สงสัยว่าใครเป็นคนทำน่ะเหรอ” ผมเดาความคิดมัน

“อือ”

“บ้าน่า ผมบอกกะมัน จนมันหันมามอง เราพึ่งมาไม่ถึงวัน จะรู้ได้ไงว่าใครเป็นคนทำ พี่ม่อนเค้าอาจจะมีคนที่ไม่ชอบตั้งเยอะแยะ เราไม่ใช่ตำรวจนะว้อย”

“ผมก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปสืบหาคนฆ่าซะหน่อย แค่สงสัยอ่ะ สงสัยไม่ได้เหรอไง” มันเถียงผมกลับมา

“ไม่สงสัยรึไงตอนเราเดินมาครั้งแรกมันช่วงสองทุ่มครึ่ง แต่พอกลับมาอีกที แค่ครึ่งชั่วโมง ก็มีศพที่ถูกหั่นเป็นท่อนๆแล้วอ่ะ” มันพูดให้ผมเห็นภาพสยองอีกรอบ จนต้องเบือนหน้าหนี

“ก็จริงว่าไม่มีใครทำได้แค่ครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าทำมาก่อนแล้วค่อยมาแขวน มันก็ทำได้ไม่ใช่เหรอไง” ผมพูดตอกกลับ

“ทำซะขนาดนี้ มันต้องมีร่องรอยอะไรบ้างแหละน่า อย่างน้อยก็ตัวคนเราก็ไม่ได้มีเลือดแค่หยดสองหยด ที่จะทำลายหลักฐานได้หมดหรอก ป่านนี้ตำรวจพวกนั้นก็คงกำลังไปค้นที่ๆใช้ชำแหละอยู่นั่นล่ะ”

“เป็นท่อนๆขนาดนั้น มันทำตามบ้านไม่ได้หรอก อย่างน้อยก็ต้องมีอุปกรณ์ที่ใช้เฉพาะ” โค้กมันอดต่อล้อต่อเถียงไม่ได้

ผมบอกพลางทำท่าจะลุกขึ้น เพราะรู้สึกว่าไม่อยากจะคุยเรื่องนี้อีกแล้ว

“เราไม่ใช่ตำรวจนะ โค้ก” ผมหันไปบอกไอ้โค้กที่ยังคงนั่งทอดหุ่ยอยู่

“ผมรู้หรอก” ไอ้โค้กบอกผมเสียงแข็ง


***************************


เวลาล่วงมาถึงเช้าของวันที่สองที่ผมได้มาอยู่บนเกาะ แต่ทว่าเหตุการณ์ที่คิดว่าเลวร้ายที่สุดแล้ว มันก็ยังไม่ได้หมดเพียงเท่านั้น

“วะ ว่าไรนะพี่โจ้ พวกพี่ต่ายยังมาวันนี้ไม่ได้เหรอ” ผมโพล่งออกไปหลังจากพี่โจ้มาส่งข่าว

“ใช่ คลื่นลมมันแรงมาก จนยกเลิกเดินเรืออ่ะ ” พี่โจ้บอกหน้าเสียๆ แบบนี้คงจะอีกวันสองวันแหละ กว่ามรสุมจะผ่านไป

-อะไรฟร่ะ เรื่องบ้าไรเนี่ย- ผมคิดในใจ เพราะถ้าเป็นแบบนี้ก็เหมือนพวกเราติดเกาะโดยไม่สามารถที่จะออกไปไหนได้เลย รวมถึงก็จะไม่มีใครเข้ามาได้เช่นกัน เรื่องมือถงมือถือไม่ต้องไปคำนึงถึงเลย คงจะต้องพึ่งแต่โทรศัพท์สาธารณะอย่างเดียวที่จะสามารถติดต่อคนบนฝั่งได้

เช้าวันนี้ตำรวจมาส่งข่าวให้พ่อกะแม่พี่โจ้เล็กน้อย ก่อนที่จะไปจัดการกับคดีต่อ ดูเหมือนว่าเมื่อคืนทั้งคืนจะไม่สามารถหาเบาะแสอะไรได้มากนัก แล้วที่โชคร้ายไปกว่านั้น ก็คือร่องรอยต่างๆก็ดูเหมือนจะโดนพายุฝนเมื่อคืนนี้กลบไปหมด

โรงเชือดสัตว์ที่มีอยู่บนเกาะแห่งเดียว ก็ไม่พบร่องรอยของการชำแหละ หรือว่าคราบเลือดอะไรที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลยด้วย

ฝนเมื่อคืนทำลายหลักฐานของคนร้ายทั้งเรื่องรอยเท้า แล้วก็เรื่องคราบเลือดที่หยดบริเวณนั้นไปหมดเลย นายตำรวจคนที่มาบอกข่าวดูสีหน้าอิดโรยไปพอสมควร เมื่อคืนอาจจะไม่ได้นอนก็เป็นได้ หลังจากมาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย ก็บึ่งมอไซต์กลับโรงพัก

“พี่ปริ้นคะ จ๋าจะไปตลาด พี่จะฝากซื้ออะไรมั้ยคะ” น้องจ๋ายื่นหน้ามาทัก

“อ่อ ก็มีอ่ะคับ เออ แต่เด๋วพี่ไปด้วยดีกว่า รอพี่แป็บนึงนะ” ผมว่าพลางรีบกุลีกุจอไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

“ผมไปด้วยซิพี่” เสียงไอ้โค้กแว่วมาแต่ไกล

“จะซื้อไรอ่ะ เด๋วพี่ซื้อให้ก็ได้” ผมว่าพลางหากระเป๋าตังค์

“ไม่เอาอ่ะ ก็จาไปด้วยไง ” มันงอแงแล้วก็รีบเปลี่ยนไปใส่เสื้อยืด แล้วก็คว้ากางเกเลมาผูกๆ โห แบบว่าถ้าโดนกระตุกนิดเดียวนะ เมิงเอ้ย เป็นเปรตโทงๆแน่ๆ

เราสามคนเดินซื้อหาซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นของกินตุนเอาไว้ก่อน เผื่อพวกพี่ต่ายอาจจะกลับมาในวันพรุ่งนี้ได้ แล้วก็หาของที่จะทำกินกันเพราะไม่อยากรบกวนที่บ้านพี่โจ้มากนัก

“ซื้อไรให้คิวมันกินด้วย แมร่งนอนขี้เซาชิหาย” ผมพูดถึงเพื่อนที่กำลังนอนกินบ้านกินเมืองอยู่ที่บ้านพัก ถ้ามันรู้ว่านอนอยู่คนเดียวนะ มีหวังป่านนี้คงโกรธพิลึก

“อ้าว จ๋านี่นา มาซื้ออะไรลูก” ผู้หญิงสูงวัยคนนึงเดินเข้ามาทักน้องจ๋าอย่างสนิทสนม

“สวัสดีคะ ป้าดา หนูมาซื้อของเข้าบ้านนะคะ” จ๋าตอบแบบอ่อนน้อม ผิดกับที่พูดอยู่ที่บ้าน หญิงที่ชื่อป้าดาคุยกับน้องจ๋าอยู่พักนึง น้องจ๋าก็หันมาพูดกับพวกผม

“พี่ปริ้น กับพี่โค้ก กลับบ้านไปก่อนก็ได้นะคะ เดี๋ยวจ๋าจะช่วยป้าดาเค้ายกตะกล้าผักกลับบ้านก่อนนะคะ ป้าแกแก่แล้ว” จ๋าบอกพลางยืนของที่ซื้อมาให้ผม

“เออ เด๋วพี่ช่วยแบกไปให้แล้วกัน จะได้ไวๆ แล้วจะได้กลับพร้อมกัน” ผมว่าแล้วก็หันไปมองไอ้โค้ก มันก็เห็นด้วย

น้องจ๋าแนะนำตัวผมกะโค้กให้ป้าดาได้รู้จัก ดูป้าแกจะดีใจมากที่รู้ว่าไม่ต้องหอบไปคนเดียว แต่ก็ดูท่าจะแกล้งอกแกล้งใจพวกเราอยู่ ผมมารู้ว่าป้าดาคือแม่ของผู้หญิงที่ผูกคอตายที่ต้นหว้า ที่ชื่อมุกนั่งเองหลังจากเดินมาได้ซักพัก ก็ถึง อย่างที่บอกตั้งแต่ตอนแรกว่า ระแวกบ้านก็อยู่ใกล้ๆกัน

“ขอบใจหนูมากนะ จ๋า แล้วก็พ่อหนูสองคนด้วย ” ป้าดาบอกขอบอกขอบใจ แล้วก็คะยั้นคะยอให้เราสามคนกินข้าวเช้ากะแกที่นี่ซะเลย เนื่องจากว่าไม่ต้องรีบร้อนไปไหน อีกทั้งรู้สึกเห็นใจว่า แกอยู่บ้านเพียงลำพัง ก็เลยนั่งอยู่เป็นเพื่อนกินข้าวซักมื้อนึง

ป้าดาพาเราเข้าไปในบ้าน ผมกะไอ้โค้กมองสำรวจภายในบ้านอย่างประนีประนอม เพื่อไม่ให้ผิดมารยาทมากนัก
เท่าที่ดูภายในบ้านก็มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรไม่มากมายนัก แต่ก็ไม่ถึงกับอัตคัดขัดสน จะมีเพียงส่วนนึงของบ้านที่ประดับตกแต่งด้วยโมบายที่ทำด้วยหอย แล้วก็ซากปะการัง แขวนเอาไว้ แต่ที่ทำให้ผมสนใจมากกว่านั้น คงจะหนีไม่พ้น หุ่นกระบอกเป็นสิบๆตัว ห้อยเอาไว้ข้างกำแพงปะปนกับโมบายปะการัง

หลังจากที่กินข้าวเสร็จ ระหว่างที่ป้าดาชวนน้องจ๋าคุยกันนู่นนี่ ผมก็หลีกตัวออกมาพินิจดูเครื่องประดับบ้านแต่ละชิ้น ไม่ว่าจะเป็นโมบายหอยที่มีหลากหลานชนิด หรือว่าจะเป็นปะการังที่บางอันก็เป็นสีขาวบริสุทธิ์ บางอันก็แหลมคมจนน่ากลัว โค้กมันเดินมาดูข้างๆ อย่างสนอกสนใจ

“สวยเนอะ ” โค้กมันถามผมเหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบ แล้วก็หยิบบางอันขึ้นมาดูบ้าง “แต่ไอ้พวกนี้ไม่เห็นว่าจะเข้ากันกับพวกโมบายเลยหนิ ”

ป้าดากับจ๋าเดินมาพอดี

“มุกหน่ะ เค้าชอบเก็บหุ่นพวกนี้มากเลยจ๊ะ กลับมาจากในเมืองทีไร ก็จะซื้อมาตัวสองตัว หรือไม่เห็นที่ไหน ก็ชอบซื้อมาสะสม”

ป้าดาบอกขณะที่เอื้อมมือไปหยิบหุ่นกระบอกตัวนึงที่แขวนไว้ ยื่นมาให้ดู ไอ้โค้กรับไว้พลางมองมาที่ผม

“งั้นเดี๋ยวหนูขอลาป้าเลยนะคะ เดี๋ยวที่บ้านจะหาว่าไปเถร่ไถลที่ไหนอีก ” จ๋าบอกลาป้าดา

“พี่ปริ้นคิดเหมือนพี่ผมคิดม่ะ” ไอ้โค้กยิ้มทะแม่งๆ หันมาหาผม

“คิดไร” ผมถามมันเหมือนจะลองใจ

ไอ้โค้กหันหน้าไปทางหน้าต่าง ทิศที่ต้นหว้าสูงตะหง่านตั้งอยู่ มองออกไปจากที่บ้านนี้ก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน โค้กมันยกตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่ป้าดาให้ดูเมื่อกี้ ยื่นไปที่ต้นหว้าใหญ่ต้นนั้น ฉับพลันสมองผมก็คิดเลยเถิดไปว่า ตุ๊กตาที่โค้กมันถือเทียบกับตำแหน่งของต้นหว้าอยู่ มันเหมือนสภาพศพของพี่ม่อนที่ถูกแขวนเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน..


***************************

“อยากจะบอกว่าการตายของพี่ม่อนเกี่ยวข้องกับพี่มุกงั้นดิ” ผมถามโค้กหลังจากแยกจากน้องจ๋าแล้ว

“ผมก็ไม่รู้ แค่รู้สึกมีอะไรตะหงิดๆ” แววตาไอ้โค้กมันดูจริงจังซะจนผมไม่กล้าจะไปขัดอะไรมัน

“เฮ้ย พวกเมิงอ่ะ หายหัวไปไหนกันมา ทิ้งให้กรุอยู่คนเดียว” ไอ้คิวเห็นผมกะโค้กเดินมาใกล้ก็ตะโกนโหวกเหวก

“ก็ไปหาไรให้มึงกินแหละ นอนตื่นสายเอง”

“เออ เมื่อกี้พี่โจ้เดินมาบอกว่า คืนนี้เค้ามีงานฟูลมูนปาร์ตี้ด้วยนะ” คิวมันบอกพลางเปิดถุงโจ้กที่ซื้อมาให้

“ฟูลมูนคือไรง่ะ” ผมไม่รู้จักเลยหันไปถาม

“งานเหมือนๆกะเทศกาลบนเกาะอ่ะคับ จะจัดตรงกับวันที่พระจันทร์เต็มดวงไง ถึงเรียกว่า ฟูลมูนปาร์ตี้” โค้กอธิบาย

“อ่อ .. ว่าแต่ มรสุมเข้าอยู่แบบนี้ แถมหนาวๆแบบนี้ ยังจะจัดได้อีกเหรอ”

“แล้วเอาไงอ่ะ เย็นนี้ไปเที่ยวกะเค้าม่ะ” ผมถาม

“ไปเด๊ะ แค่นี้ก็เบื่อจาแย่อยู่แล้ว ไอ้พวกพี่ท็อปพรุ่งนี้มั้งกว่าจะมาได้ เซงเลย” คิวมันบ่นอุบ แล้วเดินออกไปนั่งหน้าระเบียง

“โอ้ยยย สัด ไรทิ่มตูดกรุเนี่ย” เสียงไอ้คิวดังลั่นจนผมกะโค้กต้องรีบเดินไปหามัน

“สาดด ร้องมาได้แทบบ้านแตก กุนึกว่ามึงชอบซะอีก” ผมอดกัดมันไม่ได้จริงๆ ที่มันชอบโวยวาย

“ชอบไรเมิงพูดดีๆนะไอ้ปริ้น” มันพูดแล้วก็ค่อยๆลุกขึ้นมา เห็นเป็นวัตถุสีเงินวาวหล่นอยู่ตรงที่คิวนั่งทับ มันกำลังจะหยิบขึ้นมาดู แต่โค้กมันก็ตะโกนห้ามไว้ก่อน

“พี่ปริ้น พี่ คิว มันดูคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหนป่าววะ” มันทำหน้าเหมือนกะลังใช้หัวอย่างหนัก

“เออ ก็ว่างั้น” ผมสำทับ

“อ่ออออ กรุนึกออกแล้ว” ไอ้คิวโพล่งออกมา พร้อมกับทำหน้าซีดๆ “ม่ะ เหมือ … เหมือนกะไอ้ตะขอที่อยู่ที่บนตัวไอ้พี่ม่อนไง” มันสบตากะโค้ก แล้วหันมามองผมทีละคน

“เมิงแน่ใจนะคิว” ผมถาม

“กะ ก็เหมือนอ่ะ แต่กรุว่า ของแบบนี้ ไอ้ตะขอแบบนี้ มันก็คงมีเหมือนๆกันบนเกาะอ่ะ ”

ระหว่างที่ผมกะลังออกความเห็นอยู่กะคิว โค้กมันก็เดินเข้าไปในบ้าน พร้อมกับใช้เศษผ้าห่อตะขอชิ้นนี้เอาไว้

“เก็บไว้ก่อนดีกว่าพี่ ถ้าตำรวจมาเห็นเข้า ผมว่าคงจะสงสัยพวกเราแน่ๆอ่ะ มาเที่ยวแล้วมีไอ้ของอย่างงี้มาอยู่แถวบ้านได้ไง ” มันพูดเสร็จก็จัดการห่อไว้อย่างดี

สามหนุ่มมองหน้ากันเลิกลั่ก เหมือนกับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นกันอย่างไร พอดีกับพี่โจ้มาเรียกให้ไปหาที่บ้าน เมื่อเดินมาถึงก็เจอพวกพี่สิด กับไอ้สิงห์ยืนรออยู่ด้วยแล้ว

“พอดีพี่สิดเค้าจะไปส่งของที่หาดริ้น พ่อกะแม่ก็เลยให้พี่ชวนพวกเราไปนั่งรถเที่ยวด้วยอ่ะ จะไปด้วยเปล่า” พี่โจ้ถามความเห็น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเพื่อนในกลุ่มพึ่งเสียชีวิตไปเหรอเปล่า วันนี้ไอ้สิงห์ดูเงียบหงอย ไม่กวนตีน หรือดูซ่าแบบเมื่อวานนี้ ดูไอ้คิวมันอยากไป ผมกะไอ้โค้กก็เลยไปด้วย เพราะเห็นเค้าบอกว่า หาดที่ว่าเนี่ย ฝรั่งโป๊ตรึมาๆ โอ่วๆ (บ้ากาม)

พอไปถึงก็จริงครับ นมเป็นนม เหอๆ ถ้าผมไม่ได้เป็นแบบนี้ก็เลยรู้สึกว่า เฉยๆอ่ะ แต่ก็ตะลึงๆพอสมควรเหมือนกัน แต่อากาศแบบนี้แล้วคลื่นลมก็ยังแรงอยู่ ก็เลยไม่ค่อยมีคนมาเล่นน้ำเท่าไร มีแต่คนมานอนอาบแดด (ซึ่งก็ไม่ค่อยมี)อยู่บ้าง แต่หาดทรายแถวนี้เรียกว่าขาว แล้วก็ละเอียดมากๆ ได้สัมผัสแล้วอยากจะลงไปนอนเกลือกกลิ้งจริงๆ

“นี่ถ้าไม่มีพายุเข้า ไม่มีเรื่องเมื่อคืน ป่านนี้คงสนุกสนานกันขนาดไหนก็ม่ะรู้ เฮ้อ” ไอ้คิวบ่น เป็นรอบที่ล้านแปด

“อือ ถ้าไม่มีพายุเข้า ป่านนี้พวกไอ้โอ้ตคงกำลังขึ้นเรือมาหาอยู่แล้วเชียว” ผมคิดในใจ อยู่ที่นี่โอ้ตมันก็โทรเข้ามายากอยู่แล้ว ยิ่งมีพายุแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

“งั้นตอนเที่ยงหาไรกินกันแถวนี้แล้วกันนะ” พี่สิดบอก ตอนเที่ยงนี้เราก็เลยมานั่งกินเปลี่ยนบรรยากาศ อย่างที่บอกคับ ตั้งแต่มาเนี่ย ไอ้สิงห์มันไม่พูดไม่จาอะไรเลยทั้งสิ้น จริงๆแล้วพี่สิดก็ดูเฉาๆไปเหมือนกัน บรรยากาศในการกินเลยดูมาคุไปชอบกล

“เออ ลืมถามเลย เมื่อเช้าได้กินไรมากันเหรอยังล่ะ เห็นแต่ไอ้คิวมันกินคนเดียวนิ ” พี่โจ้ถามผมสองคน

“อ่อ กินแล้วครับ พอดีช่วยป้าดาเค้าขนของกลับบ้านอ่ะคับ ก็เลยไปกินที่บ้านป้าเค้า” โค้กมันบอก

“ป้าดา ป้าดา” พี่โจ้ดูเหมือนจะจากเกาะไปเรียนนานก็เลยนึกไม่ออกว่าดาไหนแน่ๆ

“ป้าดา ที่เป็น เออ ที่เป็น แม่พี่มุกไงคับ” ผมบอกไปโดยไม่ทันได้คิดอะไร เสียงไอ้สิงห์สำลักข้าวที่กำลังเคี้ยวอยู่อย่างไม่มีมารยาท

“อ่ะ อ่อๆ” พี่โจ้พยักหน้าเป็นเชิงนึกออก “ แล้วป้าแกดูสบายดีเหรอ”

“ก็เหมือนจะสบายดีล่ะครับ แต่ดูแกเหงา - - -” ผมยังคุยไม่จบ เสียงพี่สิดกระแทกแก้วน้ำเสียงดัง เหมือนอยากให้ผมหยุดพูดอะไรอย่างงั้น

“รีบๆกินจะได้รีบๆกลับเถอะ อย่ามัวแต่คุยกันอยู่ พี่ยังต้องไปขนปลาไปส่งอีกหลายที่” พี่สิดว่า เหมือนหงุดหงิดซะงั้น

“เป็นอะไรของเค้าวะ” คิวมันบ่นพึมพำๆ แบบไม่สบอารมณ์


***************************


งานฟูลมูนปาร์ตี้ดูจะเงียบเหงากว่าทุกครั้งที่จัดมา เมื่อออกไปยืนที่ริมหาดหน้าบ้านพัก เดินไปด้านขวามือเกือบจะสุดพื้นที่หาด จะเป็นพื้นที่ของพวกรีสอร์ตของนักธุรกิจ ตรงจุดนี้แหละที่มีงานฟูลมูน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติแทบทั้งสิ้น บรรยากาศในงานคราวนี้มีการจุดคบเพลิง แล้วก็สุมไฟเป็นกองเพลิงขนาดใหญ่หลายจุด

“กรุว่านะ ต้องมีพวกอัพยาด้วยแน่เลย เมิงดูอีผู้หญิงคนนั้นดิ” ไอ้คิวว่าพลางชี้ให้ดูแหม่มสาวคนนึงที่กำลังดิ้นเป็นกุ้งเต้นด้วยความเมามันส์ เนื้อตัวแดงซ่าน แทบจะทุกคนต่างถือแก้วเหล้า บางคนก็เป็นขวด ดิ้นกันด้วยความเมามันส์

“เฮ้ย ไปเต้นกัน” ไอ้คิวชวนผม

“เหอะ กุเต้นม่ะเป็น” ผมปฏิเสธ แล้วก็ดันให้ไอ้โค้กไปเต้นเป็นเพื่อนแทน ดูมันก็ชอบแนวนี้เหมือนกันเลยไปด้วยกันได้

ผมได้แต่หาน้ำพั้นแถวนั้นกิน (กรุดูสำอางไปม่ะ) สายตาก็เหล่หนุ่มแถวนั้นไปเรื่อยๆ ด้วยความเมามันส์เช่นเดียวกัน หุหุ

อุ๊ … หล่อชิบบบหายยยยยยยยยยย มีหนุ่มฝรั่งคนนึงคับ กะลังเต้นๆ ดริ้งๆไปด้วย ตาคมมากๆ ผมแทบละลาย หุห

อ๊ะ … คนนั้นๆๆ ก็น่ารัก แต่ทำไมตัวโคตรใหญ่แบบนั้นวะ อึ้ย..

โอ๊ะ … ไอ้ตัวเล็กๆเตี้ยๆนั่นใครวะ คุ้นๆ อ่ะ ไอ้สิงห์นี่หว่า มาด้อมๆมองๆไรแถวนี้วะ ? ผมสังเกตเห็นท่าทางมันไม่เหมือนคนมาเที่ยวธรรมดา ดูหลุกหลิกชอบกล เลยค่อยๆเดินตามไป แต่ตามไปได้พักเดียวเท่านั้นก็คลาดสายตา

-แม่ม !! ไปไหนแล้วฟร่ะ ผมคิดแบบหงุดหงิด แต่ก็มาเจอไอ้โค้กในสภาพเมาแอ๋ซะงั้น กะลังถูกอีผู้หญิงคนนึงก้อล้อก้อติกอยู่

ดูท่าทางมันจะถูกใจอีคนนี้เหลือเกิน เพราะผมเห็นมือไม้มันพัลวันนัวเนียไปทั่วตัว ฝ่ายผู้หญิงแมร่งก็ไม่เบาคับ กอดคอไอ้โค้ก ส่วนที่เป็นโนตมก็เบียดแนบเข้ากะตัวไอ้โค้กแบบไม่มีพื้นที่ว่าง

ผมเห็นแบบนั้นรู้สึกไม่พอใจแปลกๆ แต่ก็คิดว่า แมร่ง มรึงเด็กม ปลายนะ

“เฮ้ย โค้ก เมาขนาดนี้กลับได้แล้ว” ผมเดินไปสะกิดมันก่อน ดูท่าทางมันไม่สนใจเลย

“ไอ้โค้กจะกลับไม่กลับเนี่ย เด๋วกรุกลับแล้วนะ” ผมเอ็ดมันเสียงดังกว่าเดิม เสียงเพลงในงานแมร่งเปิดดังสนั่นไปหมด คราวนี้อีผู้หญิงซึ่งพอมองมาใกล้ๆแล้วเนี่ย คงเป็นนักท่องเที่ยวคนไทยนี่แหละ ดูมันไม่ค่อยสบอารมณ์กะผมแล้ว เลยเดินเอาจะเอามือมาปัดมือผมออกอย่างแรง

“อ่ะ ทำงี้กะกุ ได้เสียละมึง” ผมเลยเดินไปกระชากตัวไอ้โค้กออกมาจากการโอบกอดของอีผู้หญิงคนนั้นด้วยความรวดเร็ว ไอ้โค้กเสียการทรงตัวเลยล้มตึงไปบนพื้นทราย ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะเดินมาจิกตัวไอ้โค้กให้ลุกขึ้น ผมก็เอาตัวเข้าไปขวางไว้ก่อน

“ไอ้เชี่ย มันเป็นผัวมึงเหรอไง ขัดกูอยู่ได้” อีนั่นแผดเสียงใส่ผมอย่างดัง ทำเอาผมหน้าชาไปนิด

-เออ ขอโทษครับ อย่ามายุ่งกับเพื่อนผมเลย มันเมาแล้ว- ผมคิดในใจที่จะพูดตอบกลับไปแบบนี้ แต่ปากผมไวกว่าความคิด

“สัดด อย่ามาแรดกับเพื่อนกูนะ คิดว่าเป็นผู้หญิงแล้วกูจะต่อยไม่ได้เหรอ” ผมพูดไปทำท่ากำหมัดจะต่อย แต่มีคนมาแยกผมกะมันออกไปก่อน พอดีกะไอ้คิวซึ่งไม่ค่อยยี่หร่ะกับการแดกเหล้าเท่าไรมาพาผมกะไอ้โค้กซึ่งเมาแอ๋ กลับที่พัก

“ดูแมร่งเมาดิ เฮ้อ เกือบเสียความบริสุทธ์ให้คนม่ะรู้จักแล้วม่ะล่ะไอ้โค้ก” ผมบ่นให้ไอ้คิวที่กำลังยิ้มกริ่มห่าไรม่ะรู้ฟัง

“โอ่ เป็นห่วงเป็นยายยยย” มันแซว

“เอ๋า ก็น้องนี่หว่า” ผมพูดไม่สบตามัน

“เหรอออออออออออ ถ้าไม่ไปขัดไรมันเนี่ย ไม่แน่ป่านนี้มันอาจได้เมียแล้วก็ได้นา ไปขัดฟามสุขมันเป่าวะ” ไอ้คิวมันยังพูดไม่จบ

“เออ ช่าย กรุเสือกเองแหละ ทำมายวะ” ผมชักยัวะ เลยเดินออกมาข้างนอกบ้าน เสียงไอ้คิวตะโกนให้มาช่วยเช็ดอ๊วกไอ้โค้กดังออกมา แต่ผมม่ะสนหรอก ชิส์

กองไฟที่สุมอยู่ทั่วบริเวณที่จัดงานมันสูงแล้วก็สว่างพอที่จะมองเห็นจากที่พวกผมพักกันอยู่ หลังเที่ยงคืนงานคงใกล้จะเลิกกันซะที เสียงปะทุของไม้ที่เป็นเชื้อเพลิง พร้อมกับประกายไฟที่กระเด็นออกมา เปาะแปะๆ อาจจะทำให้ใครบางคนชอบอกชอบใจ เพราะว่าบางสิ่งบางอย่างที่เอาเป็นเชื้อเพื่อให้กองไฟส่องสว่างอยู่นั้น ไม่ได้มีแต่เพียงใบไม้หรือกองฟืนเท่านั้น แต่มีร่างกายของใครบางคนกำลังมอดไหม้อยู่ในกองไฟกองนึงภายในงานนั้นด้วย

คลื่นนนนนนนนนนน ซ่า …….

เสียงคลื่นซัดเข้ามากระทบกับชายหาด เช้าวันที่สามของการที่พวกผมสามคนมาถึงเกาะแห่งนี้ ดูเหมือนว่ามรสุมจะผ่านพ้นเกาะไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท้องฟ้าในเช้าวันนี้ดูเหมือนจะสดใสขึ้น คลื่นลมในทะเลสงบลง เรือประมงบางลำเริ่มจะออกไปหาปลากันตามวิถีชีวิตปกติ แต่ดูเหมือนจะมีเหตุการณ์ที่ไม่เป็นปกติอยู่เรื่องนึง บริเวณชายหาดที่เป็นสถานที่จัดงานฟูลมูนปาร์ตี้เมื่อคืนที่ผ่านมา พบร่างกายของคนคนนึงโดนเผาไหม้เกรียม สภาพศพดำเป็นตอตะโก เจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าน่าจะโดนจับมาแล้วจุดไฟเผาหลังเที่ยงคืน และเนื่องด้วยภายในงานก็มีการจัดกองไฟอยู่รอบๆแล้ว จึงไม่มีคนสังเกต และเสียงดนตรีที่เปิดสนั่นหวั่นไหว จึงไม่มีใครคาดคิดว่า จะมีการใช้กองไฟเหล่านี้ เป็นเครื่องมือในการฆาตรกรรม

สิ่งที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจถึงกับอึ้ง แล้วก็สยอดสยองก็คือ สภาพของศพที่นอกจากจะดำม่ะเมี่ยมแล้ว ร่างกายแต่ละส่วนยังโดนหั่นเป็นชิ้นเฉกเช่นเดียวกับศพที่โดนแขวนไว้บนต้นหว้าเมื่อคืนก่อน กลิ่นเนื้อที่โดนย่างยังคงลอยตลบอบอวลอยู่ภายในบริเวณนั้น ถ้าจะเปรียบการฆาตรกรรมคราวที่แล้วเหมือนหุ่นกระบอกโดนแขวนเอาไว้ การฆ่าในครั้งนี้ก็เหมือนเอาหุ่นกระบอกที่ไร้ประโยชน์แล้วมาเผาไฟทิ้งเพื่อไม่ให้เหลือซากนั่นก็ไม่ผิด

.
.
.

---------------------------------TBC---------------------------------------

คิดว่ายาวจุใจแล้วนะ ต้องขอโทษที่หายไปนานเลย ยังไม่รับปากนะว่าจะหายไปอีกมั้ย ช่วงนี้ยุ่งจริงๆค่ะ ขอโทษจริงๆ

 o1 o1 o1

ออฟไลน์ CarToonMiZa

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +820/-41
อ่านตอนนี้แล้วขนรุกซู่เลยอ่ะ o22

ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
มาดันนิยายในดวงใจ และในตำนานของเล้าเป็ด
อึ้บๆ

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
อ่านตอนนี้แล้ว มีแต่เรื่องหดหู่อ่าาาา ทั้งเรื่องที่จะแยกกันของ โอ๊ตกะปริ้น แล้วก้อเรื่องฆาตกรรมไรนี่อีก

 :seng2ped: :seng2ped: :seng2ped:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






Hakken

  • บุคคลทั่วไป
ยาวได้ใจ แต่กำลังสนุกก็หมดไปแร้ว
     :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
มาเที่ยวหรือมาสืบคดีกันเนี่ย
พี่โอ๊ตก็ไม่รู้อยู่ไหน

ออฟไลน์ Tinton

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 249
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
จะเข้ามาบอกว่า รอรวมเล่มครับ ;D

ออฟไลน์ suisui

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ยิ่งอ่านยิ่งน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ... เฮือก!! :a5:

run2522

  • บุคคลทั่วไป
 :กอด1: :L2: :L1: :pig4: รอ รอ รอ  :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:

artit

  • บุคคลทั่วไป
สนุกดี แต่ก็โดนสปอยไปแล้ว ฮ่าๆๆ อุตส่าห์เชียร์...  :L1: :L1: :L1:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
ศพของพี่ม่อนถูกนำลงมาจากการพันธนาการบนต้นหว้าด้วยฝีมือชาวบ้านใกล้ๆ แล้วจึงถูกนำไปไว้ชั่วคราวที่วัดละแวกนั้น

ท่ามกลางเสียงชาวบ้านที่พากันพูดเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ดูจากสีหน้าท่าทางของแต่ละคนแล้วต่างรู้สึกถึงบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว นายตำรวจสองคนที่พึ่งจะได้บึ่งรถมอเตอร์ไซต์จากสถานีที่อยู่ห่างไปพอสมควร ต่างรีบทำการถ่ายรูปและเก็บหลักฐานเท่าที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากแม้เวลานี้สายฝนจะซาลง แต่ก็ยังไม่ถึงกับหยุดตกและด้วยเวลาเกือบที่จะสองยาม ทำให้การเก็บหลักฐานเป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่งนัก

จากการให้ปากคำของพวกเราทั้งสามคนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจยิ่งทำให้การฆาตกรรมในครั้งนี้ ยิ่งดูเป็นปริศนามากขึ้น แม้ว่าพี่ม่อนจะเป็นพวกขี้หงุดหงิด ท่าตีท้าต่อยกับชาวบ้านไปทั่ว แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะโดนฆ่าตายด้วยวิธีพิสดารอย่างนี้ ใครเป็นคนทำ? และจะลำบากทำขนาดนี้ไปเพื่ออะไร ?

แม้ว่าฝนจะเบาลง แต่ระดับคลื่นยังคงถาโถมซัดจนดูทะเลบ้าคลั่งก็ไม่ผิด ช่วงมรสุมเข้าเป็นแบบนี้เสมอเหรอไง

“ไหนลองบอกอีกทีซิ ว่าทำไมพวกเราสามคนถึงไปที่เกิดเหตุค่ำๆมืดๆแบบนั้น” นายตำรวจคนนึงถามคำถามเดิม

คิวมันทำท่าทางหงุดหงิด เหมือนจะว้ากใส่ด้วยความรำคาญ แต่โค้กมันยกมือห้ามไว้

“ก็อย่างที่ผมบอกว่า เพื่อนผมทำของหล่นหาย ผมสามคนก็เลยออกไปหา แล้วก็เดินไปทุกที่ๆผ่านตอนหัวค่ำ” โค้กอธิบายด้วยความใจเย็นอีกรอบ

“แล้วพวกผมก็ส่องไฟไปเจอแสงแปลกๆ ก็เลยส่องขึ้นไป ก็เลยเจอ - - - ” ผมพูดต่อ

“ไปหาของทั้งๆที่ฝนตกหนักเนี่ยนะ ? ” นายตำรวจแก่ยังไม่เลิกสงสัย

“ใช่ครับ ของสำคัญ” ผมตอบไปพลางมองหน้าตำรวจคนนั้นที่จ้องเขม็งมาทางพวกเรา

“คุณตำรวจ ข้าว่านะ ไอ้สามคนนี้มันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรอก มันจะมีเหตุผลอะไรล่ะที่จะฆ่าไอ้ม่อนมัน ทั้งๆที่พึ่งรู้จักกันไม่ข้ามวัน” พี่สิดเดินเข้ามาเสริมหลังจากที่พวกเราโดนตำรวจสอบนานเป็นพิเศษ

“มันก็ใช่นะ แต่พวกเราก็ต้องถามตามหน้าที่ก็เท่านั้นล่ะ” ตำรวจคนที่หนุ่มกว่าบอกกับพี่สิด

“เออมาก็ดีล่ะมึง จะได้สอบต่อ เอาคุณสามคน ขอรบกวนเท่านี้ก่อนล่ะกัน” นายตำรวจบอกก่อนจะยิ้มให้เป็นเชิงขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ

“เป็นไงบ้าง เค้าถามไรมั่ง” พี่โจ้เดินเข้ามาหาพวกผม เห็นสายตาก็ดูว่ากำลังตกใจ

“ก็ถามรายละเอียดทั่วไปล่ะ พวกผมก็บอกๆเค้าไป” ผมบอกกับพี่โจ้

“เห็นว่าศพพี่ม่อนดูไม่ได้เลยเหรอคะ ? ” น้องจ๋าถามบ้าง คิวมันพยักหน้า พร้อมกับทำท่าจะอ๊วกอีกรอบ

“จ๋า เรานี่ เป็นเด็กเป็นเล็ก ไปๆรีบเข้าบ้านเถอะ เกิดเรื่องแบบนี้ แล้วทีหลังอย่าออกไปเดินเล่นกลางค่ำกลางคืนแบบนี้อีกนะ” แม่พี่โจ้รีบไล่ให้พวกเรากลับเข้าบ้าน โดยพี่โจ้อาสามานอนเป็นเพื่อนพวกผมที่บ้านพัก แต่จริงๆแล้วพี่โจ้คงอยากจะถามเรื่องราวว่าเป็นไงมาไงมากกว่า

“หงึยยย ตัวนะพี่ ห้อยโงนเงนๆ อยู่กะกิ่งอ่ะ น่ากลัวชิบหาย ใครเป็นคนทำก็ไม่รู้” ไอ้คิวเล่ารายละเอียดเท่าที่หัวสมองมันพอจะจำได้

“เฮ้ยย นอนเหอะ เด๋วพรุ่งนี้ก็ไม่ตื่นหรอกเมิง” ผมเอ็ดไอ้คิวที่มัวแต่บรรยายอะไรไม่เป็นเรื่อง แล้วก็หันตัวเป็นนอนตะแคงไปทางโค้ก มันนอนหันหลังเงียบเชียบ สงสัยมันคงจะหลับแล้ว ผมยังคงนอนพลิกไปพลิกมา กระสับกระสายกับเหตุการณ์ขนหัวลุกที่เกิดขึ้น จนรู้สึกว่าสมองจะอ่อนเพลียไปเอง

“งืม งืม พรุ่งนี้ โอ้ตมันก็คงมาแล้วล่ะ งืม” ผมนอนคิดปลอบใจตัวเอง เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้หัวใจผมสงบมากที่สุดแล้วในขณะนี้ ก่อนที่จะผลอยหลับไป


***************************


Zzzzzz Zzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzz - - -

เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง !!

คลื่นนนนน

“อึ๊ก ….” ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงฟ้าคำรามสนั่นหวั่นไหว มองเห็นคิวมันนอนหลับไม่รู้สึกรู้สา ถัดไปพี่โจ้ก็นอนคลุมโปงได้ยินเสียงหายใจเบาๆ

“อืออออ กี่โมงแล้ววะเนี่ย” ผมคิดแล้วก็เอื้อมมือไปบนหัวนอนคว้านาฬิกาขึ้นมาดู

“ตี 5 กว่าๆ” แต่รอบๆยังคงมืดมิด อาจเป็นเพราะอยู่ในหน้าหนาว แล้วยังมีมรสุมเข้าอีกตะหาก ผมพลิกตัวกะจะนอนต่อ แต่คนที่นอนอยู่ข้างๆผมมันหายไป

“ไอ้โค้กมันหายไปไหนวะ” คิดยังไม่ทันจบ ก็เห็นเงาคนนั่งอยู่ตรงระเบียงนอกบ้าน ผมเลยค่อยๆลุกแล้วเดินไปช้าๆ เพื่อมองว่าเป็นใคร

“อ้าว โค้ก นอนไม่หลับเหรอ” ผมทักเมื่อเห็นว่าเป็นมันนั่งยกขารับลมอยู่ตรงระเบียงบ้าน

“อือ .. นอนไปได้หน่อยเดียวก็มานั่งรับลมดีกว่า” มันพูดสายตาก็ทอดยาวไปที่ชายหาด คลื่นลมยังคงปั่นป่วนทั่วท้องน้ำ เห็นแบบนี้แล้วรู้สึกว่ามันเท่ห์โคตรซะงั้น

“กลัวอะดิ เลยนอนไม่หลับ” ผมแซวมันแล้วก็หย่อนตัวลงนั่งข้างๆ

“อือเด๊ะ กลัวก็กลัว แต่สงสัยก็สงสัย” มันบอกพลางเก็บเศษกิ่งไม้แถวๆนั้นมานั่งหัก สายตามันเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

“สงสัยว่าใครเป็นคนทำน่ะเหรอ” ผมเดาความคิดมัน

“อือ”

“บ้าน่า ผมบอกกะมัน จนมันหันมามอง เราพึ่งมาไม่ถึงวัน จะรู้ได้ไงว่าใครเป็นคนทำ พี่ม่อนเค้าอาจจะมีคนที่ไม่ชอบตั้งเยอะแยะ เราไม่ใช่ตำรวจนะว้อย”

“ผมก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปสืบหาคนฆ่าซะหน่อย แค่สงสัยอ่ะ สงสัยไม่ได้เหรอไง” มันเถียงผมกลับมา

“ไม่สงสัยรึไงตอนเราเดินมาครั้งแรกมันช่วงสองทุ่มครึ่ง แต่พอกลับมาอีกที แค่ครึ่งชั่วโมง ก็มีศพที่ถูกหั่นเป็นท่อนๆแล้วอ่ะ” มันพูดให้ผมเห็นภาพสยองอีกรอบ จนต้องเบือนหน้าหนี

“ก็จริงว่าไม่มีใครทำได้แค่ครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าทำมาก่อนแล้วค่อยมาแขวน มันก็ทำได้ไม่ใช่เหรอไง” ผมพูดตอกกลับ

“ทำซะขนาดนี้ มันต้องมีร่องรอยอะไรบ้างแหละน่า อย่างน้อยก็ตัวคนเราก็ไม่ได้มีเลือดแค่หยดสองหยด ที่จะทำลายหลักฐานได้หมดหรอก ป่านนี้ตำรวจพวกนั้นก็คงกำลังไปค้นที่ๆใช้ชำแหละอยู่นั่นล่ะ”

“เป็นท่อนๆขนาดนั้น มันทำตามบ้านไม่ได้หรอก อย่างน้อยก็ต้องมีอุปกรณ์ที่ใช้เฉพาะ” โค้กมันอดต่อล้อต่อเถียงไม่ได้

ผมบอกพลางทำท่าจะลุกขึ้น เพราะรู้สึกว่าไม่อยากจะคุยเรื่องนี้อีกแล้ว

“เราไม่ใช่ตำรวจนะ โค้ก” ผมหันไปบอกไอ้โค้กที่ยังคงนั่งทอดหุ่ยอยู่

“ผมรู้หรอก” ไอ้โค้กบอกผมเสียงแข็ง


***************************


เวลาล่วงมาถึงเช้าของวันที่สองที่ผมได้มาอยู่บนเกาะ แต่ทว่าเหตุการณ์ที่คิดว่าเลวร้ายที่สุดแล้ว มันก็ยังไม่ได้หมดเพียงเท่านั้น

“วะ ว่าไรนะพี่โจ้ พวกพี่ต่ายยังมาวันนี้ไม่ได้เหรอ” ผมโพล่งออกไปหลังจากพี่โจ้มาส่งข่าว

“ใช่ คลื่นลมมันแรงมาก จนยกเลิกเดินเรืออ่ะ ” พี่โจ้บอกหน้าเสียๆ แบบนี้คงจะอีกวันสองวันแหละ กว่ามรสุมจะผ่านไป

-อะไรฟร่ะ เรื่องบ้าไรเนี่ย- ผมคิดในใจ เพราะถ้าเป็นแบบนี้ก็เหมือนพวกเราติดเกาะโดยไม่สามารถที่จะออกไปไหนได้เลย รวมถึงก็จะไม่มีใครเข้ามาได้เช่นกัน เรื่องมือถงมือถือไม่ต้องไปคำนึงถึงเลย คงจะต้องพึ่งแต่โทรศัพท์สาธารณะอย่างเดียวที่จะสามารถติดต่อคนบนฝั่งได้

เช้าวันนี้ตำรวจมาส่งข่าวให้พ่อกะแม่พี่โจ้เล็กน้อย ก่อนที่จะไปจัดการกับคดีต่อ ดูเหมือนว่าเมื่อคืนทั้งคืนจะไม่สามารถหาเบาะแสอะไรได้มากนัก แล้วที่โชคร้ายไปกว่านั้น ก็คือร่องรอยต่างๆก็ดูเหมือนจะโดนพายุฝนเมื่อคืนนี้กลบไปหมด

โรงเชือดสัตว์ที่มีอยู่บนเกาะแห่งเดียว ก็ไม่พบร่องรอยของการชำแหละ หรือว่าคราบเลือดอะไรที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลยด้วย

ฝนเมื่อคืนทำลายหลักฐานของคนร้ายทั้งเรื่องรอยเท้า แล้วก็เรื่องคราบเลือดที่หยดบริเวณนั้นไปหมดเลย นายตำรวจคนที่มาบอกข่าวดูสีหน้าอิดโรยไปพอสมควร เมื่อคืนอาจจะไม่ได้นอนก็เป็นได้ หลังจากมาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย ก็บึ่งมอไซต์กลับโรงพัก

“พี่ปริ้นคะ จ๋าจะไปตลาด พี่จะฝากซื้ออะไรมั้ยคะ” น้องจ๋ายื่นหน้ามาทัก

“อ่อ ก็มีอ่ะคับ เออ แต่เด๋วพี่ไปด้วยดีกว่า รอพี่แป็บนึงนะ” ผมว่าพลางรีบกุลีกุจอไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

“ผมไปด้วยซิพี่” เสียงไอ้โค้กแว่วมาแต่ไกล

“จะซื้อไรอ่ะ เด๋วพี่ซื้อให้ก็ได้” ผมว่าพลางหากระเป๋าตังค์

“ไม่เอาอ่ะ ก็จาไปด้วยไง ” มันงอแงแล้วก็รีบเปลี่ยนไปใส่เสื้อยืด แล้วก็คว้ากางเกเลมาผูกๆ โห แบบว่าถ้าโดนกระตุกนิดเดียวนะ เมิงเอ้ย เป็นเปรตโทงๆแน่ๆ

เราสามคนเดินซื้อหาซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นของกินตุนเอาไว้ก่อน เผื่อพวกพี่ต่ายอาจจะกลับมาในวันพรุ่งนี้ได้ แล้วก็หาของที่จะทำกินกันเพราะไม่อยากรบกวนที่บ้านพี่โจ้มากนัก

“ซื้อไรให้คิวมันกินด้วย แมร่งนอนขี้เซาชิหาย” ผมพูดถึงเพื่อนที่กำลังนอนกินบ้านกินเมืองอยู่ที่บ้านพัก ถ้ามันรู้ว่านอนอยู่คนเดียวนะ มีหวังป่านนี้คงโกรธพิลึก

“อ้าว จ๋านี่นา มาซื้ออะไรลูก” ผู้หญิงสูงวัยคนนึงเดินเข้ามาทักน้องจ๋าอย่างสนิทสนม

“สวัสดีคะ ป้าดา หนูมาซื้อของเข้าบ้านนะคะ” จ๋าตอบแบบอ่อนน้อม ผิดกับที่พูดอยู่ที่บ้าน หญิงที่ชื่อป้าดาคุยกับน้องจ๋าอยู่พักนึง น้องจ๋าก็หันมาพูดกับพวกผม

“พี่ปริ้น กับพี่โค้ก กลับบ้านไปก่อนก็ได้นะคะ เดี๋ยวจ๋าจะช่วยป้าดาเค้ายกตะกล้าผักกลับบ้านก่อนนะคะ ป้าแกแก่แล้ว” จ๋าบอกพลางยืนของที่ซื้อมาให้ผม

“เออ เด๋วพี่ช่วยแบกไปให้แล้วกัน จะได้ไวๆ แล้วจะได้กลับพร้อมกัน” ผมว่าแล้วก็หันไปมองไอ้โค้ก มันก็เห็นด้วย

น้องจ๋าแนะนำตัวผมกะโค้กให้ป้าดาได้รู้จัก ดูป้าแกจะดีใจมากที่รู้ว่าไม่ต้องหอบไปคนเดียว แต่ก็ดูท่าจะแกล้งอกแกล้งใจพวกเราอยู่ ผมมารู้ว่าป้าดาคือแม่ของผู้หญิงที่ผูกคอตายที่ต้นหว้า ที่ชื่อมุกนั่งเองหลังจากเดินมาได้ซักพัก ก็ถึง อย่างที่บอกตั้งแต่ตอนแรกว่า ระแวกบ้านก็อยู่ใกล้ๆกัน

“ขอบใจหนูมากนะ จ๋า แล้วก็พ่อหนูสองคนด้วย ” ป้าดาบอกขอบอกขอบใจ แล้วก็คะยั้นคะยอให้เราสามคนกินข้าวเช้ากะแกที่นี่ซะเลย เนื่องจากว่าไม่ต้องรีบร้อนไปไหน อีกทั้งรู้สึกเห็นใจว่า แกอยู่บ้านเพียงลำพัง ก็เลยนั่งอยู่เป็นเพื่อนกินข้าวซักมื้อนึง

ป้าดาพาเราเข้าไปในบ้าน ผมกะไอ้โค้กมองสำรวจภายในบ้านอย่างประนีประนอม เพื่อไม่ให้ผิดมารยาทมากนัก
เท่าที่ดูภายในบ้านก็มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรไม่มากมายนัก แต่ก็ไม่ถึงกับอัตคัดขัดสน จะมีเพียงส่วนนึงของบ้านที่ประดับตกแต่งด้วยโมบายที่ทำด้วยหอย แล้วก็ซากปะการัง แขวนเอาไว้ แต่ที่ทำให้ผมสนใจมากกว่านั้น คงจะหนีไม่พ้น หุ่นกระบอกเป็นสิบๆตัว ห้อยเอาไว้ข้างกำแพงปะปนกับโมบายปะการัง

หลังจากที่กินข้าวเสร็จ ระหว่างที่ป้าดาชวนน้องจ๋าคุยกันนู่นนี่ ผมก็หลีกตัวออกมาพินิจดูเครื่องประดับบ้านแต่ละชิ้น ไม่ว่าจะเป็นโมบายหอยที่มีหลากหลานชนิด หรือว่าจะเป็นปะการังที่บางอันก็เป็นสีขาวบริสุทธิ์ บางอันก็แหลมคมจนน่ากลัว โค้กมันเดินมาดูข้างๆ อย่างสนอกสนใจ

“สวยเนอะ ” โค้กมันถามผมเหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบ แล้วก็หยิบบางอันขึ้นมาดูบ้าง “แต่ไอ้พวกนี้ไม่เห็นว่าจะเข้ากันกับพวกโมบายเลยหนิ ”

ป้าดากับจ๋าเดินมาพอดี

“มุกหน่ะ เค้าชอบเก็บหุ่นพวกนี้มากเลยจ๊ะ กลับมาจากในเมืองทีไร ก็จะซื้อมาตัวสองตัว หรือไม่เห็นที่ไหน ก็ชอบซื้อมาสะสม”

ป้าดาบอกขณะที่เอื้อมมือไปหยิบหุ่นกระบอกตัวนึงที่แขวนไว้ ยื่นมาให้ดู ไอ้โค้กรับไว้พลางมองมาที่ผม

“งั้นเดี๋ยวหนูขอลาป้าเลยนะคะ เดี๋ยวที่บ้านจะหาว่าไปเถร่ไถลที่ไหนอีก ” จ๋าบอกลาป้าดา

“พี่ปริ้นคิดเหมือนพี่ผมคิดม่ะ” ไอ้โค้กยิ้มทะแม่งๆ หันมาหาผม

“คิดไร” ผมถามมันเหมือนจะลองใจ

ไอ้โค้กหันหน้าไปทางหน้าต่าง ทิศที่ต้นหว้าสูงตะหง่านตั้งอยู่ มองออกไปจากที่บ้านนี้ก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน โค้กมันยกตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่ป้าดาให้ดูเมื่อกี้ ยื่นไปที่ต้นหว้าใหญ่ต้นนั้น ฉับพลันสมองผมก็คิดเลยเถิดไปว่า ตุ๊กตาที่โค้กมันถือเทียบกับตำแหน่งของต้นหว้าอยู่ มันเหมือนสภาพศพของพี่ม่อนที่ถูกแขวนเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน..


***************************

“อยากจะบอกว่าการตายของพี่ม่อนเกี่ยวข้องกับพี่มุกงั้นดิ” ผมถามโค้กหลังจากแยกจากน้องจ๋าแล้ว

“ผมก็ไม่รู้ แค่รู้สึกมีอะไรตะหงิดๆ” แววตาไอ้โค้กมันดูจริงจังซะจนผมไม่กล้าจะไปขัดอะไรมัน

“เฮ้ย พวกเมิงอ่ะ หายหัวไปไหนกันมา ทิ้งให้กรุอยู่คนเดียว” ไอ้คิวเห็นผมกะโค้กเดินมาใกล้ก็ตะโกนโหวกเหวก

“ก็ไปหาไรให้มึงกินแหละ นอนตื่นสายเอง”

“เออ เมื่อกี้พี่โจ้เดินมาบอกว่า คืนนี้เค้ามีงานฟูลมูนปาร์ตี้ด้วยนะ” คิวมันบอกพลางเปิดถุงโจ้กที่ซื้อมาให้

“ฟูลมูนคือไรง่ะ” ผมไม่รู้จักเลยหันไปถาม

“งานเหมือนๆกะเทศกาลบนเกาะอ่ะคับ จะจัดตรงกับวันที่พระจันทร์เต็มดวงไง ถึงเรียกว่า ฟูลมูนปาร์ตี้” โค้กอธิบาย

“อ่อ .. ว่าแต่ มรสุมเข้าอยู่แบบนี้ แถมหนาวๆแบบนี้ ยังจะจัดได้อีกเหรอ”

“แล้วเอาไงอ่ะ เย็นนี้ไปเที่ยวกะเค้าม่ะ” ผมถาม

“ไปเด๊ะ แค่นี้ก็เบื่อจาแย่อยู่แล้ว ไอ้พวกพี่ท็อปพรุ่งนี้มั้งกว่าจะมาได้ เซงเลย” คิวมันบ่นอุบ แล้วเดินออกไปนั่งหน้าระเบียง

“โอ้ยยย สัด ไรทิ่มตูดกรุเนี่ย” เสียงไอ้คิวดังลั่นจนผมกะโค้กต้องรีบเดินไปหามัน

“สาดด ร้องมาได้แทบบ้านแตก กุนึกว่ามึงชอบซะอีก” ผมอดกัดมันไม่ได้จริงๆ ที่มันชอบโวยวาย

“ชอบไรเมิงพูดดีๆนะไอ้ปริ้น” มันพูดแล้วก็ค่อยๆลุกขึ้นมา เห็นเป็นวัตถุสีเงินวาวหล่นอยู่ตรงที่คิวนั่งทับ มันกำลังจะหยิบขึ้นมาดู แต่โค้กมันก็ตะโกนห้ามไว้ก่อน

“พี่ปริ้น พี่ คิว มันดูคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหนป่าววะ” มันทำหน้าเหมือนกะลังใช้หัวอย่างหนัก

“เออ ก็ว่างั้น” ผมสำทับ

“อ่ออออ กรุนึกออกแล้ว” ไอ้คิวโพล่งออกมา พร้อมกับทำหน้าซีดๆ “ม่ะ เหมือ … เหมือนกะไอ้ตะขอที่อยู่ที่บนตัวไอ้พี่ม่อนไง” มันสบตากะโค้ก แล้วหันมามองผมทีละคน

“เมิงแน่ใจนะคิว” ผมถาม

“กะ ก็เหมือนอ่ะ แต่กรุว่า ของแบบนี้ ไอ้ตะขอแบบนี้ มันก็คงมีเหมือนๆกันบนเกาะอ่ะ ”

ระหว่างที่ผมกะลังออกความเห็นอยู่กะคิว โค้กมันก็เดินเข้าไปในบ้าน พร้อมกับใช้เศษผ้าห่อตะขอชิ้นนี้เอาไว้

“เก็บไว้ก่อนดีกว่าพี่ ถ้าตำรวจมาเห็นเข้า ผมว่าคงจะสงสัยพวกเราแน่ๆอ่ะ มาเที่ยวแล้วมีไอ้ของอย่างงี้มาอยู่แถวบ้านได้ไง ” มันพูดเสร็จก็จัดการห่อไว้อย่างดี

สามหนุ่มมองหน้ากันเลิกลั่ก เหมือนกับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นกันอย่างไร พอดีกับพี่โจ้มาเรียกให้ไปหาที่บ้าน เมื่อเดินมาถึงก็เจอพวกพี่สิด กับไอ้สิงห์ยืนรออยู่ด้วยแล้ว

“พอดีพี่สิดเค้าจะไปส่งของที่หาดริ้น พ่อกะแม่ก็เลยให้พี่ชวนพวกเราไปนั่งรถเที่ยวด้วยอ่ะ จะไปด้วยเปล่า” พี่โจ้ถามความเห็น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเพื่อนในกลุ่มพึ่งเสียชีวิตไปเหรอเปล่า วันนี้ไอ้สิงห์ดูเงียบหงอย ไม่กวนตีน หรือดูซ่าแบบเมื่อวานนี้ ดูไอ้คิวมันอยากไป ผมกะไอ้โค้กก็เลยไปด้วย เพราะเห็นเค้าบอกว่า หาดที่ว่าเนี่ย ฝรั่งโป๊ตรึมาๆ โอ่วๆ (บ้ากาม)

พอไปถึงก็จริงครับ นมเป็นนม เหอๆ ถ้าผมไม่ได้เป็นแบบนี้ก็เลยรู้สึกว่า เฉยๆอ่ะ แต่ก็ตะลึงๆพอสมควรเหมือนกัน แต่อากาศแบบนี้แล้วคลื่นลมก็ยังแรงอยู่ ก็เลยไม่ค่อยมีคนมาเล่นน้ำเท่าไร มีแต่คนมานอนอาบแดด (ซึ่งก็ไม่ค่อยมี)อยู่บ้าง แต่หาดทรายแถวนี้เรียกว่าขาว แล้วก็ละเอียดมากๆ ได้สัมผัสแล้วอยากจะลงไปนอนเกลือกกลิ้งจริงๆ

“นี่ถ้าไม่มีพายุเข้า ไม่มีเรื่องเมื่อคืน ป่านนี้คงสนุกสนานกันขนาดไหนก็ม่ะรู้ เฮ้อ” ไอ้คิวบ่น เป็นรอบที่ล้านแปด

“อือ ถ้าไม่มีพายุเข้า ป่านนี้พวกไอ้โอ้ตคงกำลังขึ้นเรือมาหาอยู่แล้วเชียว” ผมคิดในใจ อยู่ที่นี่โอ้ตมันก็โทรเข้ามายากอยู่แล้ว ยิ่งมีพายุแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

“งั้นตอนเที่ยงหาไรกินกันแถวนี้แล้วกันนะ” พี่สิดบอก ตอนเที่ยงนี้เราก็เลยมานั่งกินเปลี่ยนบรรยากาศ อย่างที่บอกคับ ตั้งแต่มาเนี่ย ไอ้สิงห์มันไม่พูดไม่จาอะไรเลยทั้งสิ้น จริงๆแล้วพี่สิดก็ดูเฉาๆไปเหมือนกัน บรรยากาศในการกินเลยดูมาคุไปชอบกล

“เออ ลืมถามเลย เมื่อเช้าได้กินไรมากันเหรอยังล่ะ เห็นแต่ไอ้คิวมันกินคนเดียวนิ ” พี่โจ้ถามผมสองคน

“อ่อ กินแล้วครับ พอดีช่วยป้าดาเค้าขนของกลับบ้านอ่ะคับ ก็เลยไปกินที่บ้านป้าเค้า” โค้กมันบอก

“ป้าดา ป้าดา” พี่โจ้ดูเหมือนจะจากเกาะไปเรียนนานก็เลยนึกไม่ออกว่าดาไหนแน่ๆ

“ป้าดา ที่เป็น เออ ที่เป็น แม่พี่มุกไงคับ” ผมบอกไปโดยไม่ทันได้คิดอะไร เสียงไอ้สิงห์สำลักข้าวที่กำลังเคี้ยวอยู่อย่างไม่มีมารยาท

“อ่ะ อ่อๆ” พี่โจ้พยักหน้าเป็นเชิงนึกออก “ แล้วป้าแกดูสบายดีเหรอ”

“ก็เหมือนจะสบายดีล่ะครับ แต่ดูแกเหงา - - -” ผมยังคุยไม่จบ เสียงพี่สิดกระแทกแก้วน้ำเสียงดัง เหมือนอยากให้ผมหยุดพูดอะไรอย่างงั้น

“รีบๆกินจะได้รีบๆกลับเถอะ อย่ามัวแต่คุยกันอยู่ พี่ยังต้องไปขนปลาไปส่งอีกหลายที่” พี่สิดว่า เหมือนหงุดหงิดซะงั้น

“เป็นอะไรของเค้าวะ” คิวมันบ่นพึมพำๆ แบบไม่สบอารมณ์


***************************


งานฟูลมูนปาร์ตี้ดูจะเงียบเหงากว่าทุกครั้งที่จัดมา เมื่อออกไปยืนที่ริมหาดหน้าบ้านพัก เดินไปด้านขวามือเกือบจะสุดพื้นที่หาด จะเป็นพื้นที่ของพวกรีสอร์ตของนักธุรกิจ ตรงจุดนี้แหละที่มีงานฟูลมูน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติแทบทั้งสิ้น บรรยากาศในงานคราวนี้มีการจุดคบเพลิง แล้วก็สุมไฟเป็นกองเพลิงขนาดใหญ่หลายจุด

“กรุว่านะ ต้องมีพวกอัพยาด้วยแน่เลย เมิงดูอีผู้หญิงคนนั้นดิ” ไอ้คิวว่าพลางชี้ให้ดูแหม่มสาวคนนึงที่กำลังดิ้นเป็นกุ้งเต้นด้วยความเมามันส์ เนื้อตัวแดงซ่าน แทบจะทุกคนต่างถือแก้วเหล้า บางคนก็เป็นขวด ดิ้นกันด้วยความเมามันส์

“เฮ้ย ไปเต้นกัน” ไอ้คิวชวนผม

“เหอะ กุเต้นม่ะเป็น” ผมปฏิเสธ แล้วก็ดันให้ไอ้โค้กไปเต้นเป็นเพื่อนแทน ดูมันก็ชอบแนวนี้เหมือนกันเลยไปด้วยกันได้

ผมได้แต่หาน้ำพั้นแถวนั้นกิน (กรุดูสำอางไปม่ะ) สายตาก็เหล่หนุ่มแถวนั้นไปเรื่อยๆ ด้วยความเมามันส์เช่นเดียวกัน หุหุ

อุ๊ … หล่อชิบบบหายยยยยยยยยยย มีหนุ่มฝรั่งคนนึงคับ กะลังเต้นๆ ดริ้งๆไปด้วย ตาคมมากๆ ผมแทบละลาย หุห

อ๊ะ … คนนั้นๆๆ ก็น่ารัก แต่ทำไมตัวโคตรใหญ่แบบนั้นวะ อึ้ย..

โอ๊ะ … ไอ้ตัวเล็กๆเตี้ยๆนั่นใครวะ คุ้นๆ อ่ะ ไอ้สิงห์นี่หว่า มาด้อมๆมองๆไรแถวนี้วะ ? ผมสังเกตเห็นท่าทางมันไม่เหมือนคนมาเที่ยวธรรมดา ดูหลุกหลิกชอบกล เลยค่อยๆเดินตามไป แต่ตามไปได้พักเดียวเท่านั้นก็คลาดสายตา

-แม่ม !! ไปไหนแล้วฟร่ะ ผมคิดแบบหงุดหงิด แต่ก็มาเจอไอ้โค้กในสภาพเมาแอ๋ซะงั้น กะลังถูกอีผู้หญิงคนนึงก้อล้อก้อติกอยู่

ดูท่าทางมันจะถูกใจอีคนนี้เหลือเกิน เพราะผมเห็นมือไม้มันพัลวันนัวเนียไปทั่วตัว ฝ่ายผู้หญิงแมร่งก็ไม่เบาคับ กอดคอไอ้โค้ก ส่วนที่เป็นโนตมก็เบียดแนบเข้ากะตัวไอ้โค้กแบบไม่มีพื้นที่ว่าง

ผมเห็นแบบนั้นรู้สึกไม่พอใจแปลกๆ แต่ก็คิดว่า แมร่ง มรึงเด็กม ปลายนะ

“เฮ้ย โค้ก เมาขนาดนี้กลับได้แล้ว” ผมเดินไปสะกิดมันก่อน ดูท่าทางมันไม่สนใจเลย

“ไอ้โค้กจะกลับไม่กลับเนี่ย เด๋วกรุกลับแล้วนะ” ผมเอ็ดมันเสียงดังกว่าเดิม เสียงเพลงในงานแมร่งเปิดดังสนั่นไปหมด คราวนี้อีผู้หญิงซึ่งพอมองมาใกล้ๆแล้วเนี่ย คงเป็นนักท่องเที่ยวคนไทยนี่แหละ ดูมันไม่ค่อยสบอารมณ์กะผมแล้ว เลยเดินเอาจะเอามือมาปัดมือผมออกอย่างแรง

“อ่ะ ทำงี้กะกุ ได้เสียละมึง” ผมเลยเดินไปกระชากตัวไอ้โค้กออกมาจากการโอบกอดของอีผู้หญิงคนนั้นด้วยความรวดเร็ว ไอ้โค้กเสียการทรงตัวเลยล้มตึงไปบนพื้นทราย ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะเดินมาจิกตัวไอ้โค้กให้ลุกขึ้น ผมก็เอาตัวเข้าไปขวางไว้ก่อน

“ไอ้เชี่ย มันเป็นผัวมึงเหรอไง ขัดกูอยู่ได้” อีนั่นแผดเสียงใส่ผมอย่างดัง ทำเอาผมหน้าชาไปนิด

-เออ ขอโทษครับ อย่ามายุ่งกับเพื่อนผมเลย มันเมาแล้ว- ผมคิดในใจที่จะพูดตอบกลับไปแบบนี้ แต่ปากผมไวกว่าความคิด

“สัดด อย่ามาแรดกับเพื่อนกูนะ คิดว่าเป็นผู้หญิงแล้วกูจะต่อยไม่ได้เหรอ” ผมพูดไปทำท่ากำหมัดจะต่อย แต่มีคนมาแยกผมกะมันออกไปก่อน พอดีกะไอ้คิวซึ่งไม่ค่อยยี่หร่ะกับการแดกเหล้าเท่าไรมาพาผมกะไอ้โค้กซึ่งเมาแอ๋ กลับที่พัก

“ดูแมร่งเมาดิ เฮ้อ เกือบเสียความบริสุทธ์ให้คนม่ะรู้จักแล้วม่ะล่ะไอ้โค้ก” ผมบ่นให้ไอ้คิวที่กำลังยิ้มกริ่มห่าไรม่ะรู้ฟัง

“โอ่ เป็นห่วงเป็นยายยยย” มันแซว

“เอ๋า ก็น้องนี่หว่า” ผมพูดไม่สบตามัน

“เหรอออออออออออ ถ้าไม่ไปขัดไรมันเนี่ย ไม่แน่ป่านนี้มันอาจได้เมียแล้วก็ได้นา ไปขัดฟามสุขมันเป่าวะ” ไอ้คิวมันยังพูดไม่จบ

“เออ ช่าย กรุเสือกเองแหละ ทำมายวะ” ผมชักยัวะ เลยเดินออกมาข้างนอกบ้าน เสียงไอ้คิวตะโกนให้มาช่วยเช็ดอ๊วกไอ้โค้กดังออกมา แต่ผมม่ะสนหรอก ชิส์

กองไฟที่สุมอยู่ทั่วบริเวณที่จัดงานมันสูงแล้วก็สว่างพอที่จะมองเห็นจากที่พวกผมพักกันอยู่ หลังเที่ยงคืนงานคงใกล้จะเลิกกันซะที เสียงปะทุของไม้ที่เป็นเชื้อเพลิง พร้อมกับประกายไฟที่กระเด็นออกมา เปาะแปะๆ อาจจะทำให้ใครบางคนชอบอกชอบใจ เพราะว่าบางสิ่งบางอย่างที่เอาเป็นเชื้อเพื่อให้กองไฟส่องสว่างอยู่นั้น ไม่ได้มีแต่เพียงใบไม้หรือกองฟืนเท่านั้น แต่มีร่างกายของใครบางคนกำลังมอดไหม้อยู่ในกองไฟกองนึงภายในงานนั้นด้วย

คลื่นนนนนนนนนนน ซ่า …….

เสียงคลื่นซัดเข้ามากระทบกับชายหาด เช้าวันที่สามของการที่พวกผมสามคนมาถึงเกาะแห่งนี้ ดูเหมือนว่ามรสุมจะผ่านพ้นเกาะไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท้องฟ้าในเช้าวันนี้ดูเหมือนจะสดใสขึ้น คลื่นลมในทะเลสงบลง เรือประมงบางลำเริ่มจะออกไปหาปลากันตามวิถีชีวิตปกติ แต่ดูเหมือนจะมีเหตุการณ์ที่ไม่เป็นปกติอยู่เรื่องนึง บริเวณชายหาดที่เป็นสถานที่จัดงานฟูลมูนปาร์ตี้เมื่อคืนที่ผ่านมา พบร่างกายของคนคนนึงโดนเผาไหม้เกรียม สภาพศพดำเป็นตอตะโก เจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าน่าจะโดนจับมาแล้วจุดไฟเผาหลังเที่ยงคืน และเนื่องด้วยภายในงานก็มีการจัดกองไฟอยู่รอบๆแล้ว จึงไม่มีคนสังเกต และเสียงดนตรีที่เปิดสนั่นหวั่นไหว จึงไม่มีใครคาดคิดว่า จะมีการใช้กองไฟเหล่านี้ เป็นเครื่องมือในการฆาตรกรรม

สิ่งที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจถึงกับอึ้ง แล้วก็สยอดสยองก็คือ สภาพของศพที่นอกจากจะดำม่ะเมี่ยมแล้ว ร่างกายแต่ละส่วนยังโดนหั่นเป็นชิ้นเฉกเช่นเดียวกับศพที่โดนแขวนไว้บนต้นหว้าเมื่อคืนก่อน กลิ่นเนื้อที่โดนย่างยังคงลอยตลบอบอวลอยู่ภายในบริเวณนั้น ถ้าจะเปรียบการฆาตรกรรมคราวที่แล้วเหมือนหุ่นกระบอกโดนแขวนเอาไว้ การฆ่าในครั้งนี้ก็เหมือนเอาหุ่นกระบอกที่ไร้ประโยชน์แล้วมาเผาไฟทิ้งเพื่อไม่ให้เหลือซากนั่นก็ไม่ผิด

.
.


ผมรู้สึกว่ามีมือนุ่มๆมาสัมผัสที่ใบหน้า ถึงแม้จะแผ่วเบา แต่ทำให้ผมค่อยๆรู้สึกตัว แต่ก็ยังหลับตาสลึมสลือเหมือนอยู่ในห้วงฝัน

“ โอ้ต …” ผมเผลอครางชื่อโอ้ตขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว มือที่สัมผัสใบหน้าผมหยุดกึก

Zzzzzzzzzzz Zzzzzzzzzzz

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22


“ พี่ปริ้น พี่ปริ้น ” ผมถูกเขย่าตัวให้ตื่นขึ้นมา ไม่ใช่ใครที่ไหนไอ้โค้กนั้นเอง ผมไม่เข้าใจว่าทำไมมันไม่ปลุกไอ้คิวที่นอนแอ้งแม้งข้างๆผมก่อนนะ

“ ฮือ ว่าไง ” ผมรู้สึกว่ายังนอนไม่ได้เต็มที่

“ มีคนถูกฆ่าอีกแล้วคับ ” โค้กมันพูด

“ห่ะ ว่าไรนะ ” ผมทะลึ่งตัวพลวดขึ้นมาจากที่นอน

ผมตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงเอะอะโว้ยวายอยู่ข้างนอกตรงหาด “ ตำรวจเค้าจะสอบปากคำเราอีกรอบคับ ” โค้กบอกน้ำเสียงแสดงถึงความกังวลอย่างมาก

“ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วยเนี่ย ” ผมพูดพลางเกาหัวแกรกๆ

หลังจากที่ทำการปลุกไอ้คิวอย่างยากลำบากแล้ว ก็รีบแต่งตัวเดินออกไปดูเหตุการณ์บริเวณหาดที่จัดงานฟูลมูนเมื่อคืนนี้ กองไฟบางกองยังคงมีเสียงแตกเปรี้ยะๆ แสดงว่ายังไม่ดับสนิทดีอยู่ มีกองไฟอยู่กองนึงที่มีชาวบ้านพากันมุงดู พร้อมกับเสียงพึมพำเซงแซ่ไปทั่วบริเวณ

กลิ่นเนื้อไหม้ยังคงตลบอบอวล ทั้งๆที่ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณชายหาดแท้ๆ ดูเหมือนว่าศพที่ถูกฆาตรกรรมจะโดนเคลื่อนย้ายไปที่วัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังคงมีตำรวจบางคนเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุอยู่ ผมสังเกตเห็นว่า 1 ในนั้นคือตำรวจหนุ่มที่มาสอบปากคำพวกเราเมื่อวานนี้ ใกล้ๆกันพี่สิดยืนคุยหน้าตาเคร่งเครียดอยู่ พอพวกพี่เค้าเห็นพวกผม ก็เลยเดินออกมา

“ ไง ” พี่สิดทักพวกผม

“ หวัดดีคับ ” ผมทักทายพี่เค้าไป

“ แย่หน่อยนะ ตั้งแต่มาเที่ยวนี่เกิดเรื่องไม่ดีทั้งนั้นเลย ” พี่สิดแสดงความเห็นใจพวกผมที่ต้องมาเจอเรื่องแย่ๆแบบนี้ ทั้งๆที่มาเที่ยวพักผ่อนแท้ๆ

พี่สิดบอกพลางตบบ่าโค้กเบาๆแล้วก็เดินเลยออกไปที่รถที่ขับมา

“ นั่นดิ ว่าแต่ ใครเหรอครับ ” ไอ้คิวโพล่งถามตำรวจหนุ่มที่กำลังเดินผ่านขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ยังพิสูจน์ไม่ได้หรอกน้อง โดนเผาดำเป็นตอตะโกแบบนี้ ตำรวจหนุ่มส่ายหน้า พลางบ่นว่าสารวัตรก็มีธุระต้องออกจากเกาะไปแท้ๆ แล้วนี้แบบนี้จะทำยังไงกันต่อ พวกผมก็ถึงบางอ้อว่า ตาตำรวจที่ดูแก่ๆม่ะวานที่สอบปากคำพวกผมมะวานเป็นสารวัตรนี่เอง

“ แล้วไม่มีเบาะแสคนร้ายบ้างเหรอคับจ่า ” โค้กตัดสินใจถามสิ่งที่มันอยากรู้ ตำรวจหนุ่มมองหน้าแล้วก็ถอนหายใจ

“ มีสิ ” ตำรวจหนุ่มบอกแล้วก็หยิบกระเป๋าสตางค์เก่าๆใบนึงออกมา มีกระเป๋าตกอยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่ได้ถูกเผาไปด้วย “ แล้วอีกอย่างผมก็เป็นแค่หมวดยังไม่ได้เป็น - - - เฮ้ย .. ”

ไอ้โค้กถือวิสาสะคว้ากระเป๋าใบนั้นมาเปิดดูด้วยความรวดเร็ว จนตำรวจหนุ่มต้องรีบแย่งกลับคืนมา

“ เฮ้ย เราทำแบบนี้ได้ไง เดี๋ยวลายนิ้วมือก็ติดบนของกลางหรอก ” เจ้าตัวบ่นแล้วก็รีบเดินออกห่างพวกผมด้วยความหงุดหงิด

“ เด๋วพี่ พี่จะบอกว่า ศพที่โดนเผานี่คือพี่สิงห์เหรอ ”

ผมกะไอ้คิวอ้าปากค้างด้วยความตกใจ หมายความว่าไง กระเป๋าตังค์ที่เจออยู่นี่เป็นของพี่สิงห์งั้นเหรอ วันก่อนพี่ม่อนโดนฆ่า มาม่ะวานก็พี่สิงห์ ซึ่งเป็นคนที่พวกผมรู้จักทั้งนั้น คิดดูแล้วก็ไม่แปลกที่ตำรวจต้องสงสัยแล้วก็อยากสอบปากคำอีกรอบ อีกทั้งจุดนี้ม่ะวานพวกผมก็เดินออกมาเที่ยวงานฟูลมูนด้วย

“ ไม่ใช่หรอก สิงห์มันตัวใหญ่กว่านี้ ศพไม่ใช่สิงห์หรอก สิดมันมาดูแล้วคิดว่าไม่น่าจะใช่ แต่คงต้องตรวจสอบอีกที ตำรวจหนุ่มบอกด้วยความรำคาญ แล้วก็รีบเดินหนีไปขึ้นรถ ”

ผมเดินมาถามโค้ก

“ กระเป๋านั้นของใครอ่ะ ”

“ กระเป๋านั้นของพี่สิงห์แน่ๆ ผมเปิดดูเมื่อกี้ที่บัตรประชาชนไม่ได้ไหม้ไปด้วย เป็นรูปพี่เค้าอ่ะ ”

“ งั้นก็หมายความว่า… ถ้าพิสูจน์แล้วศพม่ะใช่ไอ้พี่สิงห์จริงๆ ก็แปลว่า ไอ้พี่สิงห์เป็นคนฆ่าอะดิ งั้นม่ะคืน ไอ้พี่สิงห์ก็ต้องฆ่าพี่ม่อนด้วยดิ ดูสภาพแล้วมันคนฆ่าคนเดียวกันชัดๆ ” ไอ้คิวออกความเห็น

“ คิดงั้นเหรอวะ ” ผมถามไอ้คิว

“ แล้วเมิงคิดว่ามันจะเป็นอะไรไปได้อีก มีหลักฐานตกอยู่ในที่เกิดเหตุ ” คิวมันมองหน้าผม เหมือนกะมันก็ม่ะค่อยเชื่อว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้

“ พี่คิวคิดว่า ถ้าพี่สิงห์เป็นฆาตรกรที่ฆ่าพี่ม่อนเมื่อคืน แล้วยังมาฆ่าใครอีกคนก็ไม่รู้ด้วยวิธีที่ยุ่งยากแบบนี้ จะประมาททำหลักฐานที่จะมัดตัวเองตกได้ง่ายขนาดนี้อะนะ ”

โค้กพูดขึ้นมา แล้วก็เงียบเหมือนกำลังใช้ความคิดอะไรบางอย่าง

“ โค้ก ถ้าเป็นอย่างที่เมิงว่าจริงๆนะ ป่านนี้ กรุก็คิดว่าไอ้พี่สิงห์ ก็คงไม่มีชีวิตอยู่ตอนนี้ล่ะวะ ” คิวมันบอกพลางมองหน้าไอ้โค้กที่พยักหน้าเห็นด้วย ผมมองหน้าตามไอ้สองคนนี้

“ กูก็ไม่เข้าใจ ว่ามึงสองคนจะทำตัวเป็นนักสืบทำบ้าไรวะ ”

***************************
บ่ายวันนั้น ผมทั้งสามคนก็ต้องถ่อไปให้ปากคำ โดยมีพี่โจ้พามาพร้อมกับความหงุดหงิดที่บังเกิดขึ้นกับพี่เค้า ผมก็เข้าใจนะว่าพี่เค้าก็คงไม่ชอบใจที่ตำรวจจะมาสงสัยอะไรพวกเรามากมาย

ตกบ่ายวันนั้นก็ยังไม่สามารถระบุเจ้าของศพได้ว่าเป็นใคร เพราะว่าบนเกาะไม่มีเจ้าหน้าที่ แล้วก็อุปกรณ์ในการตรวจชิ้นเนื้อได้ คงต้องรอให้พายุสงบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แล้วก็เป็นไปตามที่พวกเราคาดเอาไว้ ตำรวจได้กระจายกำลัง(ที่มีอยู่น้อยนิด) รวมถึงชาวบ้านในละแวกเดียวกัน ออกตามหาตัวสิงห์กันจ้าละหวั่น แต่ก็ไม่มีใครเจอตัว พวกผมสามคนก็ต้องนั่งๆนอนๆ อยู่ในบ้านพักกันโดยไม่รู้จะทำอะไร ได้แต่รอฟังข่าวที่มาจาก พ่อแม่ของพี่โจ้ เท่านั้น

“ กูว่าป่านนี้ไอ้พี่สิงห์ไม่หนีออกจากเกาะไปแล้วล่ะ ” คิวมันพ่นสิ่งที่ไม่อยากได้ยินออกมา

“ มึงคิดว่าเค้าจะหนีไปได้ไงวะ จะหนีขึ้นเรือข้ามฟากมันก็ปิดเพราะว่ามีพายุ ” ผมเถียงมัน

“ โห ไอ้ปริ้น มันเป็นชาวประมงนะ ทำไมมันจะไม่มีเรือวะ ” มันเถียงกลับมา

“ ถ้าเรือมันหายออกไปซักลำ ป่านนี้เค้าก็คงรู้กันแล้วล่ะ ว่าหนีไปทางเรือ ไม่ออกตามหาทั่วเกาะกันแบบนี้หรอก ”

ไอ้คิวทำหน้าเหมือนเถียงไม่ออก

“ งั้นป่านนี้ก็คงตายห่าที่ไหนซักแห่งแล้วล่ะ ” มันพูดเสร็จก็ล้มตัวนอนเอกขเนก

“ ผมก็ว่างั้นล่ะ ” โค้กซึ่งนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ พูดขึ้นมา

คลื่นนนน คลื่นนนนนนนน

เสียงฟ้าคำรามมาแต่ไกลทำให้รู้แล้วว่า ค่ำๆจะต้องมาฝนตกมาห่าใหญ่แน่นอน

หยั่งงี้โอ้ตมันจะมาได้ม่ะไรวะ กรุคิดถึงรู้เป่า ผมคิดในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นั่งรอให้ถึงเวลาที่พายุมันจะเงียบสงบไปเอง

สักพัก น้องจ๋าก็วิ่งกระหืดกระหอบมาโผล่ที่หน้าต่างบ้าน

“ พี่ๆ คะ จ๋าจะเอาปลาหมึกไปให้ป้าดา แล้วก็จะไปซื้อของที่ตลาด พวกพี่ๆจะฝากซื้ออะไรมั้ยคะ ? ” จ๋าก็ยังทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีของพวกผมเสมอ

“ ไม่อ่ะคับ - - อ่ะ โค้กจะไปไหน ” ผมตอบปฏิเสธน้องเค้าไป แล้วก็หันไปมองไอ้โค้กที่ลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไปนอกบ้าน

“ อยู่ในบ้านอุดอู้อ่ะพี่ เด๋วผมว่าจะเดินไปเป็นเพื่อนน้องเค้าหน่อย มันจะเย็นแล้วอ่ะ ” โค้กมันบอก แล้วก็สวมรองเท้า ผมแอบมองแบบจับผิดว่า ไอ้โค้กมันสนใจน้องพี่โจ้เหรอเป่าวะ แต่คิดอีกทีก็ช่างมัน หันไปหาไอ้คิว ว่าจะคุยด้วย มันก็เสือกนอนหลับไปอีกแล้ว นอนได้ทั้งวันไอ้นี่ -*-

1 ชั่วโมงผ่านไป เม็ดฝนเริ่มตกลงมาเปาะแปะๆ จนกระทั่งหนักขึ้น หวนให้นึกถึงวันที่พวกผมมาถึงกันในวันแรก ด้วยความที่ไม่มีอะไรทำ ก็เลยหันไปค้นๆของในเป้โค้กมัน กะจะยืมวอร์คแมนมันมาฟัง

“ อ่ะ ! ”

มือผมไปสัมผัสกะห่อผ้าอะไรซักอย่างในกระเป๋ามันก็เลยหยิบขึ้นมาดู ปรากฏว่า เป็นตะขอที่หล่นอยู่ในบ้าน คืนวันที่เจอศพพี่ม่อนนะหล่ะ ผมค่อยๆจับมันระวังไม่ให้มือไปโดนตะขอ เหตุการณ์ที่พี่ม่อนโดนห้อยไว้บนต้นไม้ กลับมาหาผมอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมพยายามนึกว่าตะขอที่เกี่ยวกับอวัยวะของศพมันเหมือนกับอันนี้เหรอเป่า … บอกว่าให้ทิ้งไป ไอ้โค้กก็ยังแอบเก็บไว้อีกเหรอเนี่ย ยังคิดไรไม่ทันได้ พี่โจ้ก็วิ่งกางร่มหน้าตาตื่นขึ้นมา ไอ้คิวถึงกะสะดุ้งตื่นเสียงแก

“ เฮ้ย .. เฮ้ย ตื่น รู้แล้วว้อย ว่าใครเป็นคนฆ่าพี่ม่อน ” พี่โจ้ถึงจะมีร่มมา แต่อารามรีบร้อน เนื้อตัวก็เปียกปอนไปหมด

“ ครายเป็นคนทำอ่ะ ” คิวซึ่งยังเหมือนอยู่ในภวังค์ถาม

“ ไอ้สิงห์ ! ” พี่โจ้พูดขึ้นแบบกระอักกระอ่วน

ก็พวกเค้าเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกันม่ะใช่เหรอไงวะ แล้วทำไมถึงต้องมาฆ่ามาแกงกันด้วย อ้าว … แล้วศพม่ะคืนก็ม่ะใช่ของพี่สิงห์อะดิ แล้วมันคือใครกันวะ ? สิ่งที่ผมคิดในหัวตอนนี้ทำให้รู้สึกสับสนมากมาย

“ แล้วพี่สิงห์มันสารภาพเหรอ แล้วตอนนี้มันอยู่ไหนอ่ะ ทำไมมันสารภาพง่ายจัง ” ผมถามพี่โจ้เป็นชุด

“ เจอมันที่ท้ายหมู่บ้านโน่น ” พี่โจ้พูดด้วยเสียงตื่นกลัว

“ เอ๋ .. หมายความว่าไง ” ผมถามย้ำ

“ มีคนไปเจอมันผูกคอตายอยู่ที่ต้นไม้ท้ายหมู่บ้านโน่น พร้อมกับจดหมายสารภาพ ”

“ ฮ่ะ ฆ่าตัวตาย !! ” ผมกะไอ้คิวพูดขึ้นเสียงดังพร้อมกันด้วยความคาดไม่ถึง

“ ทะ ทะ ทะ ทำไมอ่ะ ”

“ ในจดหมายมันอธิบายวิธีการฆ่าไอ้ม่อนละเอียดยิบ แล้วก็ไอ้คนที่โดนเผาเมื่อคืน ก็เป็นสารวัตรที่บอกว่าจะออกไปทำธุระที่เกาะเมื่อวาน ” คนที่มาตอบข้อสงสัยพวกผมเดินเข้ามาในบ้านตั้งแต่ตอนไหนม่ะรู้จนผม ไอ้คิว พี่โจ้สะดุ้งโหย่ง พี่สิดเดินเข้ามาตัวเปียกโชกเหมือนกัน หน้าตาดูเคร่งเครียด แล้วก็เหมือนจะร้องไห้

“ สารวัตร ! ทำไมสิงห์มันต้องฆ่าสารวัตรล่ะพี่สิด ” พี่โจ้ซึ่งดูเหมือนจะพอรู้จักกะสิงห์ที่เป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ถามด้วยความไม่อยากเชื่อ

“ ดูเหมือนว่าสารวัตรจะสงสัยมันว่าเป็นคนฆ่าไอ้ม่อนนะซิ พอเห็นว่าจะออกไปทำธุระในตัวเมืองก็เลยจัดการเก็บซะเลย ” พี่สิดอธิบายเนื้อหาในจดหมายที่พบอยู่ในกระเป๋าเสื้อโปโล ว่าสิงห์มันแค้นแล้วก็ไม่พอใจพี่ม่อน มาตั้งนานแล้ว มีหลายครั้งที่ทะเลาะกันเรื่องงาน หรือเรื่องส่วนตัว เรื่องผู้หญิงหลายๆอย่าง ที่มันฆ่าสารวัตรก็เพราะว่าดันไปสืบรู้ว่ามันเป็นคนร้าย ก็เลยจัดการเผาซะ อย่างน้อย กว่าจะรู้ว่าใครเป็นศพ มันก็คงหนีไปได้ไกลแล้ว แต่ไม่นึกว่าพายุมันจะเข้าหลายวันแบบนี้ อีกทั้งทำกระเป๋าตกไว้อีก ไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง จึงเลือกฆ่าตัวเองตายซะงั้น

“ ไม่น่าเล้ย เพื่อนกูทั้งนั้น ไอ้สิงห์ก็ไม่น่าคิดอะไรสั้นๆแบบนี้ ถึงว่าเมื่อคืนนี้ มาชวนแดกเหล้าตั้งแต่หัวค่ำเลย ” พี่สิดบ่นให้พวกผมได้ยิน

“ โห พี่ ดีนะที่ไอ้พี่สิงห์มันไม่จัดการพี่อีกคนอ่ะ ” คิวพูดแบบทึ่งๆที่รู้ว่าก่อนหน้าที่สิงห์มันจะปฏิบัติการเอาสารวัตรไปเผา ยังมีอารมณ์มากินเหล้าอยู่อีก สงสัยแดกเพื่อย้อมใจมั้ง

“ เออดิ แต่พอตอนเที่ยงคืนหน่อยๆ มันก็กลับบ้าน สงสัยหลังจากนั้นหล่ะ ” พี่สิดบอก

“ เอ๊ะ … ” ผมเผลอครางออกมาเหมือนนึกอะไรออก พี่โจ้หันมาทางผมแป็บนึง แล้วก็เดินไปส่งพี่สิดที่บอกว่าต้องกลับไปจัดการทั้งงานศพสิงห์อีกคน สายฝนยังคงกระหน่ำตกแบบไม่ลืมหูลืมตา ผมเลยเดินกางร่มไปส่งพี่สิดที่รถ พอดีกับจ๋ากะไอ้โค้กเดินสวนมาพอดี โค้กมันเห็นพี่สิด รู้สึกว่ามันตกใจนิดหน่อย

“ ไปไหนของมึงมานานมากเลยโค้ก ไปทำไรน้องเค้ามาล่ะซิ ” ผมกระซิบถามมัน

“ ป่าว จะบ้าเรอะคิดไรเนี่ยพี่ ” โค้กมันบอกแบบไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยืนรอผมส่งพี่สิด ก่อนจะไปพี่สิดเปิดหน้าต่างแล้วก็ไขกระจกพอให้ผมได้ยินเสียงแก แต่ก็ไม่ชัด

“ เค้าพูดไรของเค้าวะ ” ผมหันหน้าไปถามโค้ก แล้วก็ยื่นหัวไปฟังในรถ ปรากฏว่าแกบอกว่า พรุ่งนี้ให้บอกที่บ้านพี่โจ้ ว่าจะวานให้ช่วยงานศพที่วัดหน่อย เพราะดูเหมือนจะขาดคน ผมก็ตอบตกลง แล้วก็ชวนไอ้โค้กจะเข้าบ้าน แต่มันก็ยื่นอึ้งทั้งๆที่กางร่มอยู่

“ เป็นไรมึงเนี่ยโค้ก ” ผมเขย่าตัวมันจากเบาไปจนแรง มันยืนแข็งค้างตาแป๋ว จนผมเห็นว่ามันไม่ขยับก็เลยไปตบหน้ามันเบาๆ

“ เฮ้ย .. ”

“ อะ อะไร มาตบหน้าผมทะไมเนี่ย ” มันได้สติลูบแก้มเบาๆ แล้วก็เลยชวนกันเดินเข้ามาในบ้าน พี่โจ้กลับไปบ้านตัวเองแล้วก็เหลือแต่ไอ้คิวนั่งคนเดียว พอเห็นพวกผม มันก็บ่นอีกว่าหายไปไหนมาปล่อยให้มันอยู่คนเดียวอีกแล้ว

“ รู้เรื่องแล้วใช่เป่า ” ผมถามโค้ก มันก็พยักหน้า แถมมันบอกว่า มันเดินไปดูกะน้องจ๋ามาเห็นกะตาแล้วด้วย โห ดูมันอัพเดท

“ ทีนี้ก็หมดเรื่องซะที เฮ้ออ น่ากลัวชิบหาย ” คิวบอกแบบโล่งอก “ กรุยังนึกเลยว่ายังจับคนร้ายม่ะได้นี่ สงสัยกรุอาจจะโดนฆ่าไปด้วย ดีนะ ”

“ พี่ ผมว่า - - ” โค้กมันเหมือนจะพูดไรบางอย่าง

“ ว่าไร” ผมถามด้วยความสงสัย “ ตั้งแต่ม่ะกี้ที่เมิงยืนอึ้งก็ด้วย มีอะไรโค้ก ”

“ ผมว่า คนร้าย ไม่ใช่สิงห์ ” มันพูดพึมพำหันหน้าไปทางอื่น

“ เมิงบ้าป่ะ ไอ้โค้ก อย่าเพ้อเจ้อดิ หลักฐานทุกอย่างมันก็บอกอย่างงั้นอยู่แล้ว เมิงจะมา - - ”

“ เพ่คิว ไอ้กระเป๋าตังค์ที่ตกอยู่อ่ะ ถ้าฆาตรกรมันต้องการจะใส่ร้ายสิงห์มันก็ทำได้อยู่แล้วล่ะ ” ไอ้โค้กเถียง

“ แล้วจดหมายล่ะ ได้ยินว่า มันก็เป็นลายมือของสิงห์มันจริงๆม่ะใช่เหรอ ” ผมพูดบ้าง ทั้งๆใจจริงผมก็ตะหงิดๆล่ะว่า ทำไมเหตุผลแค่ไม่ชอบหน้า แค้นเรื่องงานแค่นี้ ถึงกับต้องมาวางแผนวิปริตขนาดนี้เชียวเหรอ

“ เท่าที่ผมได้ยินหมวดเค้าอ่านอ่ะ ในจดหมายไม่ได้บอกว่าระบุว่า สิงห์เป็นคนทำนะครับ มีแต่คำแทนตัวเองว่า ผม ผม ผม ทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้น - - - ” โค้กมันยังพูดไม่จบไอ้คิวก็เถียงกลับมา เหมือนเบื่อเรื่องนี้เต็มทน

“ เมิงจะบอกว่า ไอ้สิงห์มันโดนผีสั่งให้เขียนจดหมายสารภาพเหรอไง คนบ้าอะไรจะทำ แล้วถ้ารู้ว่าคนร้ายมันฆ่ายังไง ทำไมไม่ไปบอกตำรวจล่ะวะ จะได้ไม่โดนฆ่า ”

ไอ้โค้กถอนหายใจ

“ พี่คิว พี่ปริ้น เมื่อกี้ตอนผมแวะไปบ้านป้าดากับจ๋า - - อย่าหาว่าผมเสียมารยาทเลยนะคับ ผมก็ดูของอะไรไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะพวกหุ่นอะไรที่พี่มุกเค้าชอบเนี่ย ”

ผมกะไอ้คิวฟังโค้กมันพูด แล้วก็เหมือนจะถามเป็นนัยๆว่า “แล้วไง”

“หุ่นบางตัวก็มีแผ่นกระดาษแปะข้อความไว้ ว่าใครเป็นคนให้ พี่มุกไม่ได้ซื้อของพวกนี้มาเองทุกอันหรอก”

“แล้วไง แล้วมันเกี่ยวไรกะพี่มุกที่ตายไปแล้วด้วยวะ !? ” คิวมันดูเหมือนจะเหลืออดที่โค้กมันไม่พูดให้กระจ่างซะที

“ส่วนใหญ่แล้ว รู้สึกว่า พี่สิด จะเป็นคนซื้อหุ่นพวกนี้ให้พี่มุก”

“เอ๊ะ” ผมครางออกมา แล้วก็เก็ทว่าโค้กมันคิดไรอยู่ ไอ้คิวก็เหมือนกัน แต่ดูเหมือนจะไม่เชื่อ

“เมิงบ้าไปแล้ว กรุไม่คิดว่ามันเกี่ยวกันหรอก”

“พี่สิดกับพี่มุกเคยคบกันเป็นแฟนด้วยครับ” โค้กมันบอกในสิ่งที่มันรู้ในที่สุด “ผมถามป้าดา เพราะว่าสงสัยว่าทำไมหุ่นแต่ละตัวมีชื่อพี่สิดทั้งนั้น”

“อ๊ะ” ผมสะอึก แต่ไอ้โค้กก็เล่าต่อ

“แต่พี่สิดกับพี่มุกไม่ได้แต่งงานกันหรอก เพราะว่าพี่มุกจะไปแต่งงานกับพี่ม่อนแทน”

“เอ๋” คราวนี้เป็นคิวที่พ่นเสียงออกมา

“เรื่องมันเป็นยังไงวะ กรุชักมึนแล้วดิ ถ้าเค้ากำลังจะแต่งงานจะพี่ม่อน แล้ว แล้ว แล้ว - - -” คิวมันดูเหมือนจะคิดออก

“เมิงจะบอกว่า พี่สิดเป็นคนฆ่าพี่ม่อนเพื่อแก้แค้นเหรอวะ แล้วไอ้สิงห์อ่ะทำไม - -” คิวมันพูดไม่ออก

“ผมว่าสิงห์มันคงร่วมมือกับพี่ม่อนทำอะไรซักอย่าง พี่สิดก็เลยจัดการไปด้วย ส่วนที่ต้องฆ่าสารวัตร ก็คงเป็นเพราะว่าสารวัตรคงจะรู้ว่าใครเป็นคนร้ายน่ะล่ะ ”

“เด๋วๆ ที่พูดมาเนี่ย มึงคิดเองทั้งนั้นเลยนี่หว่า มันไม่มีหลักฐานอะไรเลยนะว้อย ไม่มีหลักฐานว่าพี่สิดเป็นคนฆ่าพี่ม่อน เมิงอย่าลืมดิ เมิงจำได้เป่า เค้าจะไปฆ่าพี่ม่อนตอนไหน หลังจากเจอที่ท่าเรือ แล้วก็ข้ามมาที่เกาะเนี่ย พี่สิด พี่ม่อน ก็อยู่กันครบ แล้วเมิงจะมาบอกว่า เค้ามาหั่นในเกาะเนี่ยนะ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด อย่าลืมดิ พี่ม่อนลงเรือ พร้อมๆกับเรา (คิดว่า) แล้วจากนั้นพี่สิด ก็อยู่กับพวกเรามาตลอด มากินเหล้าที่บ้านพี่โจ้ แล้วก็กลับบ้านไปไม่ถึงชั่วโมง ก็เจอศพไอ้พี่ม่อนแขวนอยู่บนต้นไม้ ยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน”

ผมอยากจะเชื่อที่โค้กมันพูด แต่ผมก็พยายามลำดับเหตุการณ์แล้วก็ข้อแก้ต่างของพี่สิด ที่มีทั้งหลักฐาน ทั้งพยานบุคคล

“เรื่องที่ฆ่าพี่ม่อน ไม่ได้ฆ่าบนเกาะนี่หรอกคับ พี่ปริ้น” โค้กบอกผมใจเย็น

“เอ๋ ” ผมกะไอ้คิวครางออกมาพร้อมกันอีกแล้ว

“ถ้าพี่สิดจัดการกับศพพี่ม่อนที่อื่น ที่ม่ะใช่บนเกาะนี้ ในวันที่เราเดินทางมาล่ะคับ ? ”


ผมมองหน้าคิว แล้วมันก็หันหน้าไปทางโค้กอีกทีนึง

ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่ฟังไอ้โค้กมัน

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
**************************************************************************************************
ไม่เสียใจที่รักเธอ ของสุเมธ  & เดอะปั๋ง
[wma=300,50]http://www.switchpod.com/users/keepidea/ไม่เสียใจที่รักเธอ.MP3[/wma]
**************************************************************************************************


วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีที่สดใสมากขึ้น พายุได้เคลื่อนผ่านพ้นเกาะไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข่าวดีที่ได้ในเช้าวันที่สี่คือ โอ้ตโทรมาบอกว่า พรุ่งนี้มันจะได้เรือมาซะที อาไรว้า นี่กว่าจะเจอมันก็ต้องวันพรุ่งนี้เหรอเนี่ย … แต่ก็ม่ะเป็นไร ค่ำนี้ มีบางอย่างที่พวกผมต้องทำกัน เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ว่า ใครเป็นฆาตรกรกันแน่

ตลอดทั้งวัน วัดที่เป็นที่เก็บศพทั้งสามกำลังจะมีการสวดตั้งอภิธรรมเป็นวันแรก หลังจากที่ตลอดสามวันที่ผ่านมา มีการฆ่ากันถึงสามศพ ชาวบ้านต่างมาช่วยกันคนล่ะไม้คนล่ะมือ ถึงแม้ว่า ทั้งพี่ม่อน สิงห์มันจะเป็นคนที่ไม่ชอบของชาวบ้านเท่าไร แถมครอบครัวก็ไม่มีอีก แต่คนแถวนี้ก็เต็มใจที่จะช่วย ผมสามคนก็เช่นกัน

“แน่ใจเป่าวะ ไอ้โค้ก ถ้าไม่เป็นอย่างที่มึงบอกเนี่ย พวกกรุอาจจะโดนซิ่งเข้าคุกฐานหมิ่นประมาทได้เลยนะ”

“55 กลัวเหรอพี่ปริ้น” มันยังมีหน้ามาถาม จากนั้นมันก็จ้องหน้าผมแบบจริงจัง โคตรเท่ห์เรย

“พี่ม่ะเชื่อผมเหรอคับ” มันพูดไปแล้วก็จ้องตาผมแป๋ว จนต้องหลบสายตา

“เมิงมาจีบห่าไรกันตอนนี้เนี่ย ม่ะได้ดูสถานการณ์เรย”

“จีบพ่องมึงดิ” ผมบ่น


***************************


ดวงอาทิตย์ตกดินไปไม่นาน บรรยากาศรอบๆวัด มีเพียงคนที่รู้จักของสองคนนั่น แล้วก็เจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนมาดูแลเท่านั้น ส่วนศพของสารวัตรจะมีการทำพิธีตอนหลัง เพราะต้องมีขั้นตอนอะไรอีกเยอะ

ภายในบ้านพักของพวกผม กลับมาเงาร่างของใครบางคนเดินเข้ามาเงียบๆ เจ้าตัวคงคิดว่า คนที่อยู่ในบ้านไปที่วัดกันหมด จากนั้นจึงส่องไฟฉายหาอะไรบางอย่าง

“ห่าเอ้ย อยู่ในวะ กูว่ามันหายไปอันนึง น่าจะอยู่แถวนี้นี่หว่า” เจ้าตัวบ่นไปหาบางอย่างไป

กริ๊ก

เสียงสวิตเปิดไฟ พร้อมกับแสงสว่างสาดส่องไปทั่วห้อง ดูเหมือนเจ้าตัวจะตกใจเหมือนกัน

“หาไรอยู่เหรอคับพี่สิด ” โค้กค่อยๆเดินเข้าไปในบ้านที่พี่สิดกำลังส่องไฟหาของบางอย่างอยู่

“เออ เออ … พี่ว่า เมื่อคืนตอนที่เข้ามาที่บ้านนี้ จะทำแหวนตกที่นี่อ่ะ หาไงก็หาไม่เจอ” พี่สิดพูดเหมือนแก้ตัว แถมทำท่าทางลุกลี้ลุกล้นไม่สมกับเป็นแกเลย

“พี่ใส่แหวนด้วยเหรอคับ ผมไม่ยักสังเกต” ไอ้โค้กถาม พี่สิดหันมามองโค้กมันสายตาไม่เป็นมิตรขึ้นมาทันที เหมือนจะรู้ว่า ไอ้โค้กกลับมาเพราะรู้ว่าพี่สิดมาที่นี่

“แหวนที่พี่บอกทำตกเนี่ย เป็นแหวนแต่งงานเหรอครับ” โค้กมันพูดเหมือนจะยั่วให้พี่สิดโกดมากขึ้น ซึ่งก็ได้ผล ดูท่าทางและสายตาของคนๆนี้ในตอนนี้แล้วเหมือนกับเปลี่ยนเป็นคนล่ะคน

“ผมว่าพี่ทำไอ้นี่ตกไว้มากกว่ามั้ง” โค้กมันพูดขึ้นมาพร้อมกับชูตะขอเกี่ยว ขึ้นมา พี่สิดมองตาค้าง

“มึงอยากจะพูดอะไร ไอ้เด็กบ้า” น้ำเสียงและสรรพนามบอกถึงอารมณ์ที่เริ่มประทุของพี่สิด ไอ้โค้กกลืนน้ำลายนึงอึ๊ก แล้วก็กลั้นใจพูดออกไป

“พี่สิดเป็นคนฆ่าพี่ม่อน สารวัตร แล้วก็สิงห์ใช่มั้ยครับ ” ไอ้โค้กมันถามโต้งๆไปซะอย่างงั้น

“5555555” เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของชายที่อยู่ตรงหน้าของไอ้โค้กทำให้มันรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาแบบบอกไม่ถูก ซักพัก ใบหน้าพี่สิดก็กลับมาเป็นแบบเดิม ไม่มีอารมณ์โกดเหลือให้เห็น

“พูดอะไรออกมาระวังปากมั่งนะไอ้หนู อย่าคิดว่าเป็นเด็กแล้วจะเข้าคุกไม่ได้ พูดแบบนี้แจ้งข้อหาหมิ่นประมาทได้เลยนะโว้ย”

“พี่หลอกให้สิงห์เขียนจดหมายลาตายสารภาพว่าตัวเองเป็นฆาตรกร ฆ่าทั้งพี่ม่อน ทั้งสารวัตร” โค้กมันพูดต่อไปแบบไม่หยุด พี่สิดมองหน้าไอ้โค้ก พลางยิ้มกริ่ม

“มึงคิดว่า ไอ้โง่หน้าไหนจะเขียนจดหมายลาตายให้ตัวเองวะ ” พี่สิดพูดพลางเริ่มขยับเท้าเข้ามา

เป็นทีไอ้โค้กยิ้มบ้าง

“สิงห์มันไม่รู้ซะหน่อย ว่าจดหมายที่เขียนอ่ะ มีไว้สำหรับมัน”

ดูเหมือนว่าจะมีอะไรทำให้ใบหน้าของสิดกระตุกเล็กๆ แต่ก็ยังมีรอยยิ้มอยู่ในที

“พี่บอกว่าคืนที่สิงห์ตาย มันไปกินเหล้ากับพี่ใช่ป่าว พี่อาจจะพูดอะไรซักอย่าง เกลี้ยกล่อม บังคับ หรือทำทีสารภาพว่าพี่สิดเป็นคนร้ายต่อหน้าสิงห์ก็ได้ พี่ขอให้สิงห์เขียนจดหมายลาตาย สารภาพทุกอย่างที่ทำลงไป ซึ่งก็เป็นเรื่องที่พี่โม้ขึ้นมา สิงห์มันก็เออออ ก็จริง ถ้าเป็นคนปกติ ก็คงไม่มีใครยอมเขียนจดหมายนั่นแน่ๆ เพราะลายมือมันพิสูจน์กันได้ แต่ถ้าเหล้าเข้าปาก หรือไม่ก็โดนบังคับ หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของสิงห์ก็เหอะ พี่ก็ทำให้เค้าเขียนได้ - - ”


“หึ พูดเป็นตุเป็นตะ ที่พูดมามีหลักฐานเหรอเปล่าล่ะ ว่ากูเป็นคนบังคับให้มันเขียน ฮ้า ” พี่สิดตวาดเสียงดัง ไอ้โค้กถอยหลังไปก้าวนึง แต่ก็ยังดูมั่นคงกับความรู้สึกตัวเอง

“มันไม่มีหลักฐานก็จริง แต่สิ่งที่พี่พูดมันขัดแย้งกับสิ่งที่ผมเห็น ” ผมเดินตามเข้ามาในบ้านเผอิญหน้ากับพี่สิดอีกคน

“อะไร มึงด้วยอีกคนเหรอไอ้เด็กต่างถิ่น” พี่สิดเห็นผมเดินเข้ามา

“พี่บอกว่า สิงห์กะพี่นั่งกินเหล้ากันจนถึงเที่ยงคืนใช่มั้ย ผมได้ยินพี่พูดเมื่อคืน” ผมถามเหมือนจะท้าต่อยซะอย่างงั้น

“อะ เออ” พี่สิดตอบเหมือนจะไม่ค่อยแน่ใจ แต่ก็ยังจ้องหน้าพวกผมสองคนเขม็ง ตอนนี้ถ้าพี่แกจะจัดการทำไรกะผมสองคนย่อมไม่รอดแน่ๆ ถึงมีกันสองคน แต่ก็ไม่ได้เป็นข้อได้เปรียบอะไรเลย

“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ” ผมพูดขึ้นมา

“มึงว่าไรนะ” พี่สิดถามผมเสียงแปร่ง

“พี่บอกว่า พี่กินเหล้ากะสิงห์ตั้งแต่หัวค่ำ ยันเที่ยงคืนก็ออกไป แต่ผมเห็นสิงห์มันมาด้อมๆมองๆแถวๆงานตอนสี่ทุ่มนะ”

สิดยืนนิ่งไม่พูดอะไรออกมา แต่สายตากลับแฝงด้วยความเกรี้ยวกราดอีกครั้ง

“กูจะจำเวลาผิดไปมั่งไม่ได้เหรอไงวะ” เสียงที่ตะคอกกลับมานั้น เหมือนเป็นเสียงที่จะหลบเลี่ยงความผิดมากกว่า

“แล้วกูจะไปฆ่าไอ้สิงห์ไอ้ม่อนทำไมกัน แล้วก็สารวัตรนั่นอีก กูจะทำไปทำไม ”

“เรื่องของเรื่องทั้งหมด ก็เพราะเรื่องพี่มุก ถูกใช่มั้ย” โค้กบอกในสิ่งที่ทำให้พี่สิดหน้าซีดเผือด

“พะ พวกมึง …” เสียงพี่สิดขาดไป แต่กลับมาด้วยเสียงหัวเราะที่เย็นยะเยือก

“หึหึหึ มึงพูดบ้าๆ กูจะไปฆ่าไอ้ม่อนได้ตอนไหน ทุกคนก็เห็นว่ากูอยู่ที่ไหน จนกูกลับบ้านไป ไอ้ม่อนมันก็เป็นศพ มึงคิดว่ากูจะไปฆ่ามันตอนไหน ? ” สิดพูดขึ้นมา พร้อมกับขยับตัวเข้ามาหาเราสองคนมากขึ้น ผมสังเกตเห็นความผิดปกติ แต่ดูเหมือนไอ้โค้กจะตั้งหน้าตั้งตาเผยความจริงมากกว่าเลยไม่เห็น

ผมเอาแขนไปสะกิดกับมันนิดหน่อย แต่มันก็ไม่รู้สึก

“ชั่วโมงเดียว อาจจะทำไม่ได้ แต่ถ้ามีเวลาสามสี่ชั่วโมงก็เหลือเฟือ” โค้กมันว่า ผมก็หันไปมองมันด้วยความแปลกใจ เมื่อคืน มันยังไม่ได้บอกผมเรื่องข้อแก้ต่างข้อนี้ของพี่สิดหรอก

พี่สิดมองหน้าไอ้โค้กเงียบ เหมือนจะอยากรู้ว่าไอ้โค้กมันรู้ดีแค่ไหน ระยะห่างระหว่างพวกเรากะพี่สิดดูเหมือนจะเหลือน้อยลงเต็มที

“ดูเหมือนว่าถ้าข้อแก้ต่างข้อนี้มันหมดไป พี่ก็คงยอมรับใช่มั้ย ว่าพี่เป็นคนทำจริงๆ ”

“ไอ้เด็กเหี้ยเอ้ย !!! ” สิ้นเสียงเท่านั้นแหละ พี่สิดก็กระโจนเข้ามาที่ไอ้โค้กทันที ดูเหมือนว่าไอ้โค้กก็ไม่ทันสังเกต ทำให้โดนตะคลุบตัวไปนอนแอ้งแม่งบนพื้น

“เฮ้ย ไอ้เชี่ย ทำไรเพื่อนกู” ผมตะโกนอย่างตกใจ เมื่อเห็นไอ้พี่สิดตะบันหมัดเข้าไปที่หน้าไอ้โค้กทีนึงแล้ว ผมวิ่งเข้าไปหมายจะใช้เท้าเตะเต็มแรง แต่ดูเหมือนมันจะเห็นก่อนหลบไปได้ทัน ทำให้ผมเสียศูนย์ถ่วงเล็กน้อย ไอ้พี่สิดวิ่งพลวดเข้ามากระแทกตัวผมล้มไปนอนหมดท่าบนพื้นอีกคน พี่สิดย่างสามขุมเข้าไปหาไอ้โค้ก

“พูดมากดีใช่มั้ยไอ้เด็กเหี้ย เดี๋ยวกูจะทำให้มึงพูดไม่ได้อีก” ไอ้พี่สิดพูดพลางง้างขาจะเตะไอ้โค้ก แต่มันพลิกตัวหลบได้ทัน ฉับพลันกับประตูบ้านก็ถูกกระแทกเปิดออก พี่หมวดคนที่จัดการคดีวันก่อน ใส่ชุดครึ่งท่อนโผล่พลวดเข้ามาล็อกตัวพี่สิดไว้ได้ก่อน มีไอ้คิว พี่โจ้ วิ่งเข้ามาติดๆ

“ปล่อยนะหมวด ทำไมหมวดมาจับข้าแบบนี้ ต้องจับไอ้เด็กเหี้ยนี่ซิ มันใส่ร้ายผมนะ”

“เฮ้ย มึงใจเย็นๆซิไอ้สิด ถ้ามึงไม่ได้ทำอย่างที่น้องเค้าบอกแล้วมึงจะโกดทำบ้าอะไร” หมวดสวนกลับเข้าไปทำให้พี่สิดสะอึกขึ้นมา ไอ้คิวพยุงตัวผมขึ้นมา (ผมด่ามันเบาๆว่าทำไมไม่เข้ามาเร็วกว่านี้วะ แอบฟังกันอยู่ตั้งนาน แสด)

“พูดอะไรนะ หมวด” พี่สิดร้องเสียงหลง หมวดเชื่อไอ้เด็กพวกนี้มันกล่าวหาข้างั้นเหรอ

“ฟังพวกน้องมันพูดให้จบก่อน แล้วค่อยฟ้องหมิ่นฯก็ไม่สายไปหรอก” พี่หมวดฯพูดขึ้นมาแล้วก็หันไปทางไอ้โค้ก

“เอ้า จะอธิบายยังไงว่ามา ถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริงเนี่ย โดนเค้าฟ้องติดคุกหัวต่อแน่”

ไอ้โค้กมันเหมือนจะยิ้มสะใจนิดนึงก่อนจะเริ่มอธิบายในสิ่งที่มันเห็น

“พี่สิดไม่ได้ฆ่าพี่ม่อนบนเกาะนี่หรอกครับ แต่พี่สิดจัดการพี่ม่อนที่ท่าเรือ ระหว่างที่เรารอเรือข้ามฟากมากันอยู่ ”

ไม่บอกก็ต้องรู้ว่า ทุกคนยกเว้นพี่สิดกับไอ้โค้ก ที่ดูเหมือนจะตกตะลึง

“หึ ไอ้โง่ มึงก็เห็นตอนที่อยู่บนเรือ ไอ้ม่อนมันก็นั่งมาในรถ หรือว่ามึงคิดว่ากูฆ่ามันแล้วก็เอาตัวไปใส่ในรถเหรอไง แบบนั้นตอนขนออกมา คนเค้าก็เห็นกันหมดแล้ว” พี่สิดหัวเราะเยอะไอ้โค้ก แต่ดูเหมือนมันจะไม่สะทกสะท้าน (ไอ้คิวกระซิบบอกผมเสียงสั่นว่า โอ้ย กรุหมดกัน ต้องเข้าคุกแน่ๆ)

“ใช่พวกผมเห็นพี่ม่อน ในรถอ่ะนะ แล้วพี่ก็ไม่ได้ฆ่าพี่ม่อนบนเรือแน่ๆ” ไอ้โค้กสารภาพ

“แต่ที่พวกผมเห็นอ่ะ พวกผมเห็นแค่หัว ที่ติดอยู่กับพนักพิงแค่นั้น ” โค้กมันพูดเน้นบางคำ ผมถึงกะสะอึก

“ไอ้น้องๆ พูดอะไรออกมานะ ” พี่หมวดหันมาหาไอ้โค้ก พลางทำหน้าตาเหมือนจะไม่เชื่อ

“พี่สิดต้องการให้พวกผมเห็น - - เอ หรือไม่ก็ตาม แค่ใครก็ตามที่ผ่านไปตอนนั้นเห็นว่า พี่ม่อนอยู่ในรถพี่สิดแน่ๆ เพื่อยื่นยันว่าพี่ม่อนหายไปหลังจากที่กลับมาถึงเกาะแล้ว” โค้กมันหยุดพูดแป็บนึง

“ผมจำได้ว่า พี่ทำทีเป็นเข้าไปถามว่าพี่ม่อน แต่ก็บอกว่าพี่ม่อนหลับอยู่ อีกอย่างฟิล์มที่ติดที่กระจกรถมันก็มืดมากๆ พี่คงจะใช้ลูกโป่งทำเป็นตัวแล้วก็เอาผ้าห่มคลุมให้แค่หัวที่มัดหลวมๆอยู่กับพนักพิงยื่นออกมา แค่นี้ พวกเราก็คิดว่า พี่ม่อนตอนนั้นอยู่ในรถพี่จริงๆ”

“เมิงกำลังจะบอกว่า ที่เราเห็นในรถนั่น มันคือแค่หัวของพี่ม่อนเหรอวะ โค้ก” คิวถามเสียงหลง เพราะมันก็เห็นอยู่ โค้กมันพยักหน้าตอบ

“ทีนี้ ถ้าเหลือแค่ส่วนหัว หลังจากที่พวกผมเดินออกไปแล้ว พี่ก็แค่หยิบหัวพี่ม่อนลอดผ่านกระจกแล้วก็เก็บไว้ในกระเป๋าใบไหนซักใบของพี่ที่อยู่ท้ายรถก็ได้ ส่วนตัวที่เป็นลูกโป่งยิ่งทำลายหลักฐานได้สบาย”

พี่หมวดฟังไอ้โค้กอธิบายเป็นฉากๆ ก่อนที่จะหันหน้าเหมือนจะถามกับพี่สิด

“หมวด อย่าไปเชื่อมันนะ ถ้าข้าตัดหัวมา แล้วตัวมันจะหายไปได้ยังไง 55 อย่าลืมซิ ตอนที่มันแขวนอยู่บนต้นไม้ มันก็อยู่ครบไม่ใช่เหรอไง”

“พี่อย่าลืมซิ .. ท้ายรถของพี่อ่ะมีอะไร” โค้กมันเหมือนจะรู้ทุกอย่าง สิ้นเสียง ไอ้พี่สิดก็เงียบ ไม่พูดอะไรอีก

“ท้ายเป็นลังที่ใส่ปลา พวกพี่บอกว่า เอามาขาย ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ลังมันคงโล่ง ถ้าแค่ชิ้นส่วนของคนที่โดนตัด คงยัดเข้าไปในลังได้แน่ แล้วก็คิดว่า คราบเลือดพี่ม่อน ก็ยังมีอยู่ในลังแน่ๆครับ”

“เลือดคนกับเลือดปลายังไงก็ดูไม่ออกอยู่แล้วใช่ม่ะ อืมม แบบนี้นี่เอง ” พี่หมวดพูดเหมือนจะเชื่อในสิ่งที่ไอ้โค้กอธิบาย

“เหตุผลที่พี่ต้องทำศพให้เหมือนกับหุ่นกระบอก ก็เพราะว่า ถ้าแค่เอาตะขอเกี่ยวเข้ากับส่วนตัว มันก็จะประกอบเข้ากันได้ง่ายนั้นล่ะ พอมาถึงศพสารวัตร ซึ่งไม่ได้มีอยู่ในแผนการของพี่ พี่ฆ่าสารวัตรเพราะว่าเริ่มสงสัยในตัวพี่ แล้วก็รู้ว่ามาสารวัตรต้องออกจากเกาะไปทำธุระ ยิ่งทำให้ยืดเวลาให้การตรวจสอบทำลายหลักฐานมากขึ้น อีกอย่าง ศพที่เผาไฟแล้วอ่ะ การจะหั่นเป็นท่อนๆ มันง่ายกว่าตอนสดๆมากนักล่ะ ” โค้กมันอธิบายเป็นฉากๆ ในขณะที่พี่สิดกลับนิ่งเงียบไม่พูดอะไร

“หลังจากนั้น พี่สิดก็จัดการล่อให้สิงห์มันมาหาพี่ แล้วก็จัดการบังคับมันเขียนจดหมาย แล้วก็ฆ่าทีหลัง นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าพี่ทำ” มันพูดจบก็มองแน่วไปที่ร่างพี่สิดที่ยังยืนก้มหน้าเงียบเชียบ

“แต่พี่ก็ทำพลาด โค้กมันยื่นตะขอขึ้นมาให้กับหมวด วันที่พี่จะเอาศพพี่ม่อนไปแขวน พี่เข้ามาหาพวกผมที่บ้าน ไม่รู้ว่าจะมาดูพวกผมเหรอเปล่า ว่าอยู่ในบ้านไม่ได้เพ่นพ่านที่ไหน พี่ไม่เห็นพวกผม ก็เลยทำทีเป็นเปิดไฟในบ้าน พี่ปริ้นเห็นไฟเปิดอยู่ก็เลยรีบกลับ แต่พี่ก็ทำไอ้นี่ตกเอาไว้”

“มึงจะแก้ตัวอะไร มึงบอกมา ไอ้สิด” พี่หมวดค่อยๆพูดเสียงหวาดหวั่น มึงจะพูดว่าไม่จริง มึงก็รีบพูดขึ้นมา

พี่สิดเงยหน้าขึ้น ไม่มีท่าทีจะโกรธเกรี้ยวเหมือนตอนแรก พร้อมกับยิ้มที่มุมปาก

“มึงแค้นไอ้ม่อนที่ไปแต่งงานกับมุกเหรอ ใช่มั้ย ไอ้สิด” พี่หมวดถาม

“ห่ะ ห่ะ มันสมควรแล้ว สมควรแล้ว” พี่สิดพูดพึมพำเบาๆ แต่พอจับใจความได้

“จะ เรื่องจริงเหรอเนี่ย ไอ้สิด มึง - - หรือว่ามึง มึง ที่มุกตาย ที่ฆ่าตัวตาย มึงก็เป็นคน - - ”

“อย่าพูดบ้าๆนะหมวด ไม่งั้นข้าเอาตาย” พี่สิดตะคอกใส่หมวดถึงกับสะดุ้ง

“ที่มันสมควรตาย ก็แค่ไอ้สัดม่อน ไอ้สิงห์ แล้วก็ไอ้สารวัตรเฮงซวยนั่นต่างหาก สมควรแล้ว ห่ะ ห่ะ” พี่สิดเหมือนกับพูดกับตัวเองไปมา

“ที่มุกต้องฆ่าตัวตายก็เพราะไอ้พวกสารเลวนั่นต่างหาก” พี่สิดพูดเสียงเจ็บแค้น

“มึงหมายความว่ายังไง” หมวดถามเสียงหลง

“คุณมุกไม่ได้โดนมึงฆ่าเหรอ แล้วเค้ากำลังจะแต่งงานแล้วแท้ๆ ทำไมถึง - -”

“ก็เพราะว่า มุกไม่ได้อยากแต่งงานกับไอ้เดนนรก ไอ้ม่อนนั่นไง พี่สิดตะโกนใส่ด้วยความเจ็บแค้น” พลางทรุดตัวลงกับพื้น

“ไอ้เหี้ย ม่อน มัน มัน มันขมขื่นมุก ไอ้สิงห์ก็ร่วมด้วย - - ”

สิ่งที่ได้ยินทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นช็อกกันเป็นแถบๆ

“มุกเค้ามาบอกข้าทีหลัง แล้วก็บอกว่า ไปแจ้งความกับไอ้สารวัตรเหี้ยคนนี้แล้วมันก็ทำเฉย มารู้ทีหลังว่ามันสนิทกับไอ้ม่อน - -”

พี่สิดเริ่มเล่าเสียงสะอื้น

“- - หลังจากนั้น ไอ้ม่อนก็ขู่ว่า ถ้าไม่แต่งงานกับมัน มันจะเอาเรื่องไปโพทนาให้หมด มุกเค้าถึงได้ยอม ยอมไอ้เลวนั้น แล้ว … แล้ว มุกก็” พี่สิดไม่พูดอะไรต่อ มีแต่เพียงน้ำตาที่ค่อยๆไหลหยดลงบนพื้น


***************************


พายุร้ายได้ผ่านพ้นเกาะไปแล้ว เหลือแต่เพียงเศษซากความเสียหายที่ยังคงมีให้เห็นทั่วทั้งเกาะ ไม่นานสิ่งเหล่านั้นมันก็จะค่อยๆถูกฟื้นฟูให้กลับมาเป็นแบบเดิม เพียงแต่จิตใจของคนที่เหมือนโดนพายุของความเคียดแค้นโหมซัดเข้ามา เมื่อถึงเวลาที่ความเกลียดชังหมดไป สิ่งที่เหลืออยู่ กลับเป็นเพียงความว่างเปล่า … ไม่มีทั้งความหวัง ความฝัน หรือความรู้สึกที่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

.
.

เหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดี อาจจะเป็นเพราะอย่างงี้ล่ะมั้ง ทำให้คืนนี้ผมหลับตาลงได้แบบไม่ต้องกังวลอะไรซะที


“ZzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzZzzzz”

“เอ๊ะ …” ผมรู้สึกตัวเพราะรู้สึกว่าอากาศภายในบ้านเริ่มจะร้อนขึ้นจนรู้สึกเหนียวตัว พร้อมกับส่ายหัวด้วยความงงๆนิดหน่อย ตามสไตล์คนพึ่งตื่นนอน ก็รู้เอาว่า ตอนนี้มันบ่ายโมงกว่าแล้วนี่หว่า หันไปข้างๆ เห็นไอ้คิวนอนหงาย เอ้เตไม่ตื่นอยู่เหมือนกัน แต่โค้กมันไม่อยู่แล้ว

ผมเกาหัวแกร๊กๆ แล้วก็เดินเข้าห้องน้ำ ทำธุระจนเสร็จ ก็เดินออกมา ไม่เห็นรถกระบะ พี่โจ้คงไปรับพวกพี่ต่ายแล้วล่ะมั้ง ผมคิดในใจ พร้อมกับเสียดายเล็กๆ ว่าไม่น่าจะตื่นสาย (บ่าย) เลย ว่าจะไปรับไอ้โอ้ตซะหน่อย

“เฮ้อ …” ผมถอนหายใจ

ความรู้สึกปนเปไป ดีใจที่จะได้เจอโอ้ตมันซะที ตั้งแต่คบกันมา ผมยังไม่เคยห่างกับมันได้ถึงสามสี่วันแบบนี้เลย ไม่อยากจะคิดตอนมันไปเรียนที่ มช.

“เฮ้อ ..” ผมถอนหายใจอีกที แล้วก็เดินออกไปนั่งเล่นที่ชายหาดหน้าบ้านพัก ใกล้ๆนั้นมีต้นไม้ชายทะเลอยู่หลายต้น ผมเลือกต้นนึงแล้วก็โหนตัวขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้เตี้ยๆ แล้วก็ทอดสายตาไปที่ทะเล

ผมควรจาอารมณ์ดีใช่เป่า … ผมจะได้เจอโอ้ตแล้วนี่นา

สายตาที่มองไปข้างหน้า ทำให้รู้สึกว่า มันกว้างใหญ่ แล้วมันก็อ้างว้างเหลือเกิน

คิดอะไรเพลินๆ ไปนานเท่าไรก็ไม่รู้ ก็มีมือมาจี้เอวข้างหลัง ดีนะที่มือกรุไวพอควร เกือบตกต้นไม้แล้วม่ะล่ะ

“ เฮ้ยย … เชี่ย ”

ผมสบถ พร้อมกับหันไปหาที่ต้นตอ แต่พอเห็นหน้าคนแกล้งแล้วผมโกรธม่ะลงวะ

“ ไอ้โอ้ต .. เดี๊ยะเหอะ ”

โอ้ตมันใส่หมวกยืนยิ้มแป้นแล้น ข้างหลังก็สะพายเป้ซะเท่เชียว มองท่าทางผมแล้วก็ยิ้มเยาะซะงั้น ด้านหลังผมเห็นพี่ๆ บางคนค่อยๆเดินเข้าไปเอาของเก็บในบ้าน พร้อมกับเสียงเจี้ยวจ๊าวกันเลยทีเดียว

ใจจริงเห็นหน้ามันนะ ผมแทบจะวิ่งเข้าไปกอดมัน แต่ต้องเก็บอาการนิดนึง เด๋วมันรู้ว่าผมคิดถึง แล้วจะโดนล้อ

“ ตกไป คอหักตายจะทำไงวะเนี่ย รู้อยู่ว่าบ้าจี้ ” ผมพูดไปก็พยายามไม่มองหน้ามัน แปลกแฮะๆ แค่ไม่เจอมันแค่สามสี่วัน กลับรู้สึกเหมือนไม่ได้เจอกันมาหลายปีอย่างงั้นแหละ แถมพอได้เจอมันก็เขินแบบบอกไม่ถูก

กรุเขินอาไรวะเนี้ยย

“ ตกมา โอ้ตก็ยืนรับอยู่นี่ไง ” มันพูดไม่อายฟ้าดิน … ขนาดผมได้ยินเสียงมันข้างหลัง ยังรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงอ่ะ

“ พูดไร โคตรเน่า..” ผมแกล้งทำม่ะรู้ม่ะชี้ แต่ในใจเขินชิบหาย “ แล้วนั่นไม่เอากระปงกระเป๋าไปเก็บเหรอไง ”

“ โห่ ก็รีบมาอยากเจอปริ้นนี่นา ” พูดงี้อีก “ เห้อออ ” ไอ้โอ้ตมันแกล้งทำถอนหายใจ

“ ลงมาได้แล้ว มันพูดเสร็จก็เอื้อมมือมาให้ผมจับ ” จะได้ลงง่ายๆ

“ ม่ะต้องๆ ลงเองได้ ” ผมพูดเสร็จ ก็กระโดดลงจากต้นไม้ แต่รู้สึกจะผิดท่าไปหน่อย ก้นเลยจ้ำเบ้ากับพื้นเต็มๆ

“ แอ๊กก ….”

โอ้ตมันค่อยๆเดินมาดูน้ำหน้าผมชัด

“ เป็นไง ” พูดเสร็จมันก็ทำหน้ายิ้มๆ แล้วก็ยื่นมือพยุงตัวให้ผมลุกขึ้น

“ ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นทราย ” ผมพูดดีไปงั้นแหละ แต่ในใจก็เจ็บอยู่หน่อยๆ

“ นี่แหละ ต้องให้ช่วยอยู่เสมอเลยน้า ” มันพูดเสร็จแล้วก็หันมามองผม แล้วก็เอามือมาขยี้หัวผมด้วยความมันเขี้ยว

“ เออ ทีหลังม่ะอยากช่วยก็ม่ะต้องช่วยหรอก ” ผมแกล้งงอนมันอ่ะ แต่ก็โกดอยู่หน่อยๆเหมือนกัน

“ ไปอยู่สมุยกันตั้งหลายวัน ม่ะมีบอกเลยนะ ”

“ เหอะๆ ก็ตัวเองแหละ ตอนเค้าคุยกัน ก็เดินไปไหนกันก็ไม่รู้ ” โอ้ตมันเถียงผมคับ

“ เออๆๆ ผิดเองแหละ ” ผมพูดเสร็จ ก็ปัดมือมันออก

“ เป็นไรอีกเนี่ย ”

“ เป่า ”

“ ปริ้น ..!! ”

“ ก็ไม่ได้เป็นราย ” ผมพูดเสร็จก็ค่อยๆมองหน้ามัน เออ รู้สึกว่าตัวเองผิดเต็มๆอ่ะ งอนงี่เง่าอีกแระ

เรายังไม่ทันพูดไรกัน ไอ้พี่ท็อปก็เดินเข้ามาก่อนซะงั้น

“ เอ่า เป็นไงปริ้น มาอยู่ก่อน ได้เล่นน้ำทุกวันเลยดิ สนุกม่ะ ”

“ สนุกกะผีดิพี่ ” ผมพูดเชิงล้อเล่น

“ อ่า เป็นซะงั้น ” แล้วพวกพี่ๆก็เดินมาแถวๆหาดกันสามสี่คนเลย บางคนก็โผวิ่งลงทะเลไปสนุกสนาน หันมาอีกที อ้าว โอ้ตมันหายไปไหนแล้วม่ะรู้

เวนแระ โอ้ตมันงอนผมซะแหล่ว

รู้สึกตัวได้ยังงั้น ก็เลยรีบเดินเข้าไปในบ้าน เพราะคิดว่ามันต้องเอาของไปเก็บแหละ ก็เจอมันนั่งจัดของอยู่ข้างในแหละครับ

ผมค่อยๆเดินเข้าไปหา แบบดูท่าทีมันก่อน มันก็คงดูเหมือนรู้ล่ะว่าผมเดินเข้ามา แต่ก็ทำไม่สนใจ หันไปคุยกะพี่อีกคนนึงที่กะลังนอนอยู่ ทำเป็นไม่สนใจผมเลย

อ่า ชัดเลย มันโกรธผมแน่ๆ

เป็นแบบนี้ ผมก็เดินป้วนเปี้ยน อยู่แถวนั้นอ่ะคับ โอ้ตก็หาเรื่องคุยกะคนโน้นทีคนนี้ที ไม่ยอมให้ผมเข้าไปใกล้รัศมีเลย จนผมชักเริ่มเซ็งแล้ว

“ พี่ปริ้น ไปเล่นน้ำป่ะ ” มาทีนี่ยังไม่ได้ลงเลย โค้กเดินมาชวนผม ดูท่าทางมันก็คงอยากเล่นเต็มที่แล้วอ่ะ

“ อ่ะ เด๋วดีกว่าวะ มันยังร้อนอยู่เลย เด๋วกรุดำ ”

“ ไรมึงวะ กัวดำเหรอ ” ไอ้คิว ซึ่งดูพึ่งตื่นได้ซักพัก พูดแขวะ แล้วมันกะไอ้โค้กก็จับตัวผมลากออกไปข้างนอก

1
.
.
.

2
.
.
.

3
.
.
.


ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
ตู้มมมมม

เสียงตัวผมกระแทกกับน้ำทะเลคับ กินน้ำไปหลายอึกเลยทีเดียว ด้วยความที่ขี้เกียจง้อไอ้โอ้ตมันแล้ว ก็เลยมาเล่นน้ำกะไอ้สองตัวนี่เลย ก็ดีเหมือนกัน หึหึ

ก็ตามประสาคับ ช่วงแรกๆเล่นกันไปก็ปล้ำกันไปปล้ำกันมา ลำพังไอ้คิวอ่ะไม่เท่าไรคับ เพราะว่ามันมาจับตัว มาอะไรกับผมก็ชิวๆ เพราะว่า ม่ะมีอารมณ์กะมันแระ (มั้ง) แต่กะไอ้โค้กนี่ดิ ดันใส่เสื้อยืดขาว กางเกงบอลลงทะเล

อ๊ากก ..

ไม่ต้องบอกคับ ก็เห็นอะไรต่อมิอาไร ตัวมันก็ใหญ่ใช่ย่อย เป็นลำเป็นดุ้นอ่ะ เหอๆ แล้วเวลามาโดนทีก็นะ เป้ามันก็ชอบมาถูด้านหลังผม

ไอ้เด็กเวน …

หลังๆเลยเปลี่ยนไปเล่นลิงชิงบอล ในน้ำ กับพวกพี่ๆเค้าดีกว่าคับ ทั้งเหนื่อย ทั้งสนุก จนผมลืมไปเลยว่า ไม่เห็นไอ้โอ้ตมันลงมาเล่นเลย

เล่นเสร็จก็ทยอยกันขึ้นไปล้างหน้าล่างตัว อาบน้ำคับ ตอนเย็นพวกพี่ๆก็ช่วยกันเอาหมูที่ซื้อมาเสียบไม้ แล้วก็มาย่างกัน

อร่อยโคตร ! ความรู้สึกตอนนี้มันต่างกันกับที่มาอยู่กันแค่สามตัวอย่างลิบลับ

ไปๆมาๆ ผมก็ยังไม่ได้ไปง้อไอ้โอ้ตมันซะทีครับ วันนั้น แต่ผมก็เห็นมันคุยหนุกหนานกับพวกเพื่อนๆตามปกติ มันไม่ปกติอยู่อย่างเดียวคือ มันไม่ยอมเดินมาคุยกะผมเลย

แต่ตอนนั้นผมก็คิดว่า คงไม่เป็นไรหรอก ไว้หาโอกาสดีๆล่ะกัน ตอนนี้คนเยอะ เด๋วเค้าจะสงสัยหมด เหอๆ
คืนนั้นก็ต่างคนต่างหลับครับ โอ้ตมันดันเลือกที่นอนคนล่ะซีกโลกกับที่ผมนอนเลย

กำ สงสัยจะ go so big ซะแล้ว

.
***************************

.

บะ โบล่วววววววว (เสียงหมาหอน)

เกือบจะตีสองแล้วครับ แต่ผมก็ยังนอนไม่หลับ รู้สึกกระสับกระส่ายยังไงชอบกล ทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้ไงวะ ทั้งๆที่จะได้มีโอกาสได้สนุก ได้เที่ยวกะโอ้ตทั้งที แถมยังอาจจะอีกนานเลยกว่าจะได้มากันแบบนี้ ทำไมกรุถึงทำตัวแบบนี้ว้า

ยิ่งคิด ผมก็ยิ่งโมโหตัวเอง ที่ยังทำตัวแล้วก็นิสัยเป็นเด็กแบบนี้

สวบบบ

มีเงาใครบางคนลุกออกไปข้างนอก ด้วยความที่คืนนี้ไม่ได้มืดมาก แล้วก็เป็นทิศเดียวกันกับที่โอ้ตมันนอนอยู่ ทำให้ผมพอจะคาดเดาได้ว่า เป็นมันแน่นอนที่ลุกออกไป ผมก็ค่อยๆย่องลุกตามไป คนอื่นๆก็หลับกันหมดแล้วล่ะครับ เพราะว่าวันนี้ก็เดินทางมากันเหนื่อย เล่นน้ำก็เหนื่อย นอนกันระเกะระกะเลยทีเดียว

ผมเห็นมันเดินออกไปนั่งที่กิ่งไม้ที่ผมไปนั่งเมื่อตอนกลางวันตรงหาด ก็เลยเดินตามมันออกไป มันคงไม่รู้ตัวหรอกครับ เพราะว่าเดินบนทราย มันไม่มีเสียงไง ผมก็เลยเดินมาอยู่ข้างหลังมัน แต่ก็ยังไม่ได้พูดไรหรอกนะ

โอ้ย ผมได้แต่มองมันจากข้างหลังครับ ไม่กล้าเข้าไปสะกิดคุย เห็นแผ่นหลังกว้างของมันแล้ว ผมแทบอยากจะเข้าไปซุกกอด ผมยืนอยู่นาน จนมันเมื่อย ก็เลยเปลี่ยนท่านั่ง แล้วก็ดันมาป๊ะหน้ากับผมพอดี ทั้งผมทั้งมันต่างก็อึ้งอ่ะ

แล้วมันก็ทำหันหน้ากลับไปนั่งต่อ ไม่พูดไร

เออ ในเมื่อมันรู้ว่าผมมาแล้ว ก็ง่ายกว่าเดิมนิดหน่อย ก็เลยเอื้อมมือไปจับที่เอวมัน (ไม่กล้าจี้มันเด๋วเคืองกว่าเดิม)

“ ขี้นไปนั่งด้วยได้เปล่า ” ผมถามมัน

“……”

มันไม่พูดไร ผมก็เลยถือวิสาสะปีนไปนั่งกะมัน ปีนยากนิดหน่อยเพราะกิ่งมันต้องรับน้ำหนักเพิ่มไปอีกคน

“ โอ้ต .. อย่าโกรธเค้าเลยนะ ขอโทด ” กว่าผมจะคิดได้ว่าผมควรจะแทนตัวเองว่าไง ก็อายสัด ไม่เคยคิดว่าต้องมาพูดแทนตัวเองว่าเค้าเลยว้อยย แต่เอาวะ !! ดูน่ารักสุดแระ แล้วก็ค่อยๆเอามือไปจับมือมันมากุมไว้

“ เค้าก็แค่อยากให้โอ้ตใส่ใจเค้าแค่นั้นแหละ ” ผมพูดเสร็จก็เอาหน้าไปพิงกับที่ไหล่มัน (โปรดระวัง ทำบนต้นไม้อาจจะตกมาได้)

แล้วมันก็พูดมาคำแรก

“ แล้วที่โอ้ตทำมานี่ โอ้ตไม่ได้ใส่ใจปริ้นเลยใช่ป่ะ ”

“ ก็ .. ม่ะช่ายอ่ะ ก็เค้ามันงี่เง่าเองล่ะ ขอโทดนะ นะ ” ผมพูดไปก็ไม่ได้มองหน้ามันหรอกครับ แล้วก็ค่อยๆยกนิ้วก้อยขึ้นมา

“ ดีกันนะ นะ ”

โอ้ตมันก็ไม่ได้พูดไรครับ แต่ก็เอานิ้วก้อยมันมาเกี่ยวกันกับนิ้วผมไว้ เหอๆ แค่นี้ผมก็โล่งใจ พร้อมกับหน้าบานแล้วล่ะ

แล้วโอ้ตมันก็เอามือมาจับหน้าผมไว้ให้หันไปมองมัน

“ ปริ้น โอ้ตอยากให้ปริ้นรู้นะครับ ว่าโอ้ตรักปริ้นมากแค่ไหน ” พูดเสร็จ มันก็ยื่นหน้ามาประกบปากกับผม !

“ เอ้ย ..” ผมยังไม่ทันตั้งตัว ไม่คิดว่ามันจะใจร้อนขนาดนี้ แต่ก็ไม่ทันแล้วล่ะ โอ้ตมันเปลี่ยนจากจูบเป็นค่อยๆดูดปากผมจากด้านบน แล้วก็เปลี่ยนมาด้านล่างคับ แล้วก็เปลี่ยนมาดูดลิ้นผมช้าๆ

“ อ๋อยยยยย ..” ตัวผมสั่นเลยเสียความควบคุม พลัดตกลงมาเป็นรอบที่สอง ไอ้โอ้ตมันก็เลยตกลงมาด้วย

“ อุ๊บ …… แอ๊กกก ”

“ โอ้ยยย … เจ็บบบ ”

“ อ้าว ไหนเมื่อตอนกลางวันบอกว่าไม่เจ็บนี่นา ” โอ้ตมันแซวผม

“ ก็นั้นมันลงมาคนเดียวนี่หว่า ไม่ได้ตกมาแล้วโดนทับแบบเน้ ” ผมพูดแล้วก็พยายามดันตัวไอ้โอ้ตที่มันทับผมให้ลุกขึ้น แต่มันก็ไม่ยอมลงจากตัวผมอ่ะ

“ อ่ะ ลุกดิ จาไปนอนแล้ว ” ผมส่งเสียง

“ ปริ้นอยากเข้าไปนอนข้างในเหรอ คนเยอะแยะ ” โอ้ตมันพูดเหมือนบอกความนัยอะไรบางอย่าง

“ อ่า แล้วจะให้นอนตรงทรายนี่เหรอไง ” ผมถามแบบไม่ได้เอาจริงจัง

“ เดี๋ยวนะ ” มันยิ้มก่อนที่จะรีบผุดลุกวิ่งเข้าไปในบ้าน จริงๆระหว่างบ้านกับที่ผมตกมาใต้ต้นไม้มันก็ห่างกันประมาณ ยี่สิบสามสิบเมตรได้แหละ แล้วตอนนั้นตีสองแล้ว ซักพัก โอ้ตมันก็วิ่งกลับออกมา พร้อมกับเสื่อผื่นนึง

“ เฮ้ย จานอนตรงนี้เจงอ่ะ ”

“ จริงซิ ในบ้านร้อนจะตาย นอนกันเข้าไปได้ไง ปูเสื่อนอนตรงนี้แหละ เย็นดี ” ว่าแล้วมันก็จัดการปูเสื่อเสร็จสรรพ เอาหินมาวางทับสี่มุมไม่ให้ปลิว ลมทะเลพัดโครมๆ คนรอบคอยอย่างมันก็เอาผ้าห่มมาด้วยผื่นนึง

“ ผืนเดียว ? ” ผมถาม

“ ก็ห่มด้วยกันไง ” พูดเสร็จมันก็พลิกตัวผมให้นอนหงาย แล้วก็ขึ้นมาทับตัวผมเหมือนเดิม

“ มาต่อม่ะกี้มา ” .. โอ้ตมานพูดน่าทะเล้น

“เหะ จะบ้าเหรอ นี่มันริมทะเลนะว้อย ”

“ ป่านนี้แล้ว .. ม่ะ ไม่มีใคร ม่ะ มาเห็นหรอก ” มันพูดไปเสียงก็สั่นไป แล้วผมก็โดนมันจุ๊บเข้าที่ปากอีกเหมือนเคย


เอาวะ เป็นไงเป็นกัน เปลี่ยนบรรยากาศ !!!

ลมทะเลพัดเข้ามา เย็นมาก โอ้ตมันก็กอดผมไว้ ปากก็ดูดปากผมไปเรื่อยอ่ะ ตอนนี้ผมตัวสั่งระริกระริก เหมือนลูกไก่ในกำมือมันแระ ว่าเข้านั่น ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่โอ้ตมันดูหงี่เป็นพิเศษอ่ะ ปากก็จูบไป ด้านล่างมันก็มาถูไถผมจน แข็งกันทั้งสองคน เสียวโคตร

ทั้งถูกันทั้งนัวเนียกันไปมา ตอนนี้ไฟราคะลุกจนควบคุมไม่อยู่แระคับ เหอๆ โอ้ตมันจัดการถอดเสื้อผมโยนไปทิศไหนไม่รู้ แล้วก็ค่อยๆแก้กางเกงตัวเองออก เคมันแข็งตั้งตะหง่าน จนผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อก

“ อมให้หน่อยดิ ” โอ้ตมันพูดเสียงสั่นกระเส่า สงสัยจะอยากจัด ผมทนไม่ไหวครับที่มันสั่งผมแบบนี้ ก็เลยรีบคว้าเจี้ยวมันเข้าปากทันที แล้วก็ด้วยความที่ไม่ค่อยจะได้อะไรกันเท่าไร รู้สึกว่าฟันผมก็ไปครูดกับเคมันหลายที แต่มันก็ไม่ได้บ่นอะไรครับ ผมได้ยินแต่เสียง ซี้ดของมัน มือมันนี่ก็มาจับหัวผมโยกแทนแล้วอ่ะ

กรุเมื่อยนะโว้ย

“ ซี้ดดดด ปริ้น โอ้ตเสียวจังหว่ะ ” ก็ต้องเสียวดิ กรุอุตสาห์ใช้ลิ้นให้ขนาดนี้ ม่ะใช่มันผมไม่ทำให้หรอกนะ(มั้ง) ผมก็อารมณ์ขึ้นจนไม่ไหวแล้ว เลยจัดการช้อนเจ้าบอลแฝดไอ้โอ้ตมาดูดเข้าไปในปากทีละลูก คราวนี้ไอ้โอ้ตร้องครางอู้เลยครับ เหอๆ ผมจัดการพลิกตัวมันให้กลับมานอนหงายแทน แล้วก็จัดการสนองมันซะ (หลังๆดูหนังโป๊บ่อย ทฤษฏีแน่นปั๊ก)

ไอ้โอ้ตมันเสียวจนขนมันลุกทั่วตัวตอนที่ผมเอามือลูบไปที่แขนมัน ปากก็ยังคงสนุกกะน้องชายมัน ปกติผมไม่สันดานแบบนี้นี่หว่า สงสัยบรรยากาศพาไป แฮะๆ ผมหยุดการกระทำของตัวเองแป๊บนึง เงยหน้ามาดูมัน หุหุ หมดสภาพหนุ่มหล่อเมืองคนดุเลยคับ ตรงปลายเคมันมีน้ำใสๆไหลย้อย ลงมาเป็นสาย โอ้ตมันเห็นผมหยุดกระทำการ ก็เลยเงยหน้ามองผมตาเยิ้ม กรุรู้นะเมิงคิดไรไอ้โอ้ต เพราะว่ามือมันสั่นระริกๆ ทำท่าจะกดหัวผมให้จัดการต่อให้ได้เลย

ผมก็ไม่ปฏิเสธครับ จัดการดูดเลียต่ออย่างเมามันส์ แล้วก็ไม่ลืมเอามือไปเล่นไข่มันด้วย ไอ้โอ้ตบิดตัวเร่าๆ แล้วผมก็นึกอยากลองอะไรบางอย่าง มืออีกมือที่ว่างอยู่ ก็เลยไปแหย่ตูดโอ้ตเล่นคับ เอาน้ำหล่อลื่นที่ปลายเคมันนี่แหละ ค่อยๆแยงเข้าไปทีละนิดๆ ม่ะให้มันรู้สึกตัวคับ

โห ตอดชิบ อยากแล้วดิกรุ

ปากผมเล่นข้างหน้า แต่หัวผมคิดแล้วล่ะว่าวันนี้ผมจะต้องเล่นข้างหลังโอ้ตมันคืนให้ได้ เพราะทุกครั้งที่มีไรกัน
มันชักแล้วก็ดูดให้ผมอย่างเดียว ม่ะยอมให้ผมรุกมันบ้างเลย คราวนี้แหละ !

ผมลองแหย่ลึกลงไปเกือบครึ่งข้อครับ คราวนี้ไอ้โอ้ตมันร้อง โอ่ะ ผมก็รีบเนียนๆ ค่อยๆถอนออกมา แล้วก็ดูดเจี้ยวมานแรงขึ้น มันก็กลับไปครางเหมือนเดิม แต่ผมว่ามันอึดชิบเป๋งเลย น้ำม่ะยอมแตกซะทีวะ ผมก็พยายามดูดมันเร็วขึ้น แล้วก็ไม่ลืมเอานิ้วควานไปรอบๆก้นมัน ให้มันผ่อนคลาย จนสามารถเอานิ้วเข้าไปได้เกือบนิ้วนึงแล้วครับ

โอ้ตมันตัวสั่นเลย

“ อ่ะ ซี้ดดดด ปริ้น อย่าแหย่เข้าไปซิ ” มันพูดแล้วก็พยายามจะลุกขึ้นมาครับ แต่ผมก็ดันมันให้นอนลง

“ โอ้ตคับ ” ผมหยุดการใช้ปากให้มันแล้วก็ขึ้นมาคร่อมตัวมันแทน แต่มือผมก็ยังเอื้อมไปชักให้มันอยู่ เด๋วมันหายเสียวจะอด

“ โอ้ต ” ผมพูดเสียงหวาน โอ้ตมันก็ยิ้มแหยงๆ ให้ เหมือนกับรู้ว่าผมจะขออะไร

“ โอ้ตรักปริ้นใช่เป่า ”

“ อะ อือ อ่า ” มันทั้งรับปาก ทั้งส่งเสียงเสียว

“ ปริ้นขอเอาโอ้ตได้ป่ะ “ ผมพูดแบบหน้าด้านๆแบบนี้เลยฮะ ม่ะไหวแล้วคับ แข็งจะระเบิดอยู่แล้ว

หน้าโอ้ตซีดเลยคับ ยิ้มให้ผมแบบบอกไม่ถูก

“ ปริ้น โอ้ตว่า - - ” ผมม่ะยอมให้มันพูดจบคับ โน้มตัวลงไปดูดปากกะมัน มือก็สาวหนักขึ้น แล้วก็เลื่อนเอาลมหายใจอุ่นๆไปเป่าข้างหูมัน

“ โอ้ต ปริ้นขอโอ้ตนะ ” เหอๆ มาไม้นี้เข้า โอ้ตมันก็ต้องจำยอมผมโดยดี มันพยักหน้าน้อยๆ เป็นอันว่ายินยอม (เป็นเมียผมซะที)

ผมรีบเลื่อนตัวลงไปจัดการกับหนอนน้อยของโอ้ตต่อให้กลับมาผงาดเป็นมังกรยักษ์อีกรอบ แต่คราวนี้ ผมดันสะโพกให้มันยกสูงขึ้นด้วย เห็นรูสวรรค์รำไรชัดเจนกว่าม่ะกี้

ผมทำใจอยู่แป็บนึง เพราะมะเคยเลียคับ เลยเอาลิ้นแผล่บไปนึงทีก่อน

เออ ม่ะมีกลิ่นหว่ะ สงสัยมันเตรียมตัวมาให้ผมเอาเป่าวะ (คิดเล่นๆ) พอเห็นว่ามันปลอดกลิ่นผมก็จัดการลงลิ้นเต็มที่อ่ะ เพราะไม่อยากให้โอ้ตมันเจ็บกะครั้งแรกของมัน หึหึ

“ อึ๊กก อึ๊กกก ” ผมลงลิ้นแต่ละที โอ้ตมันก็ร้องทีนึง ไม่รู้ว่ามันเสียวหรืออะไร ร้องแปลกๆ เหอๆ ระหว่างที่จัดการกะช่วงล่างของมัน ผมก็ค่อยๆถอดกางเกงตัวเองบ้างคับ ยากลำบากนิดหน่อยเพราะว่า มันชูชัน แต่แป๊บเดียว เกงผมก็ลงไปกองข้างๆกะเสื่อ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
คราวนี้ผมตั้งใจบรรเลงลิ้นอย่างเต็มที่ครับ มือผมก็จัดการชักให้โอ้ตไปเรื่อยๆ ม่ะให้มันตื่นตกใจคับ ขนโอ้ตมันลุกกว่าม่ะกี้อีก ผมว่าพร้อมแล้วล่ะ(มั้ง) ก็เลยลองเอานิ้วแหย่ไปทีละนึง เหมือนกะที่มันเคยทำให้ผมทุกครั้ง มันคงม่ะคิดว่า วันนี้สิ่งที่มานทำ มันจะย้อนมาหาตัวเอง นิ้วแรกผ่านไป โอ้ตมันก็บ่นเลยครับ ว่าเจ็บ โหย เคกรุใหญ่ก่านิ้วนี้หลายเท่านัก อย่าพึ่งบ่นเซ่ะ

พอนิ้วแรกผมไปได้ ตอนนี้ผมก็ใจจดจ่อ จัดการเพิ่มนิ้วไปอีกนิ้วนึงครับ คราวนี้โอ้ตมานร้องซี้ดดดซ้าดด ปน โอ้ย อ๊อก ไปตามเรื่อง เหอๆ พอนิ้วที่สองเข้าไปได้ คราวนี้ตูดโอ้ตมันตอดใหญ่เลยคับ นิ้วผมจะขาดเป่าวะ ผมค่อยๆควานนิ้วไปมา ให้รูมันขยาย แล้วก็เอื้อมไปจับเคโอ้ต โอ่ ยังแข็งปั๊กอยู่เลยครับ ใช่ได้ แสดงว่ามานก็มีอารมณ์เหมือนกัน แบบนี้คงโอเคแล้วล่ะ

ผมจัดการเอานิ้วออก แล้วก็ยกขาโอ้ตให้ขึ้นมาพาดบ่า ตื่นเต้นสัดๆคับ ครั้งแรกเลยนี่หว่า ผมชะโงกหน้าไปมองเห็นโอ้ตมันมองหน้าผมแบบแปลกๆ ผมก็ยิ้มให้มานทีนึง แล้วก็เอื้อมมือไปจับมือให้มันจัดการชักเองก่อน แล้วก็จัดการจับเคตัวเอง ค่อยๆยัดเข้าไปที่รูสวรรค์รำไรทีละนิดๆ ผมรู้สึกได้ว่าโอ้ตมันตัวเกร็งขึ้นเรื่อยๆ มือมันข้างนึงก็ชักไปเบาๆ อีกมือนี่กางเยียดไปนอกเสื่อกำทรายเข้าเต็มๆ ตอนนั้นผมลืมไปครับว่า ผมกะลังเยกะไอ้โอ้ตสดๆนี่หว่า แต่ม่ะเป็นไรมั้ง เพราะมันไม่มั่วกะใครแน่ๆ ( ลป. เด็กดีไม่ควรเอาอย่าง)

ผมรู้สึกว่ากว่าที่ส่วนหัวจะผ่านเข้าไปได้มันยากเย็นมหาศาล แล้วตูดโอ้ตมันก็แน่นมากครับ เข้าไปได้แต่ละทีก็ตอดแทบน้ำแตก โอ้ตมันหายใจติดๆขัดๆคราง อื้อ อ่า ไปตามเรื่อง ตอนนั้ผมรู้สึกว่าถ้าปล่อยไว้แบบนี้ กรุน้ำแตกแน่นอนเลยตัดสินใจ จับสะโพกโอ้ต แล้วก็ดันตัวเองแบบสุดแรงอ่ะคับ ทีเดียวป๊าบบบ มิดด้าม โอ้ตมันหยุดครางเลยครับ

“ อ๊ากกกกก ”

มันร้องดังมากจนผมตกใจรีบเอามือไปปิดปากมัน

“ โอ้ย เจ็บนะว้อยปริ้นนนน ”

“ ขะ ขอโทด แต่ปริ้นโคตรเสียวเลยโอ้ต ซี้ดดดดด ” มันเสียวจริงๆครับ ตอนที่เข้าไปหมดแม๊กเนี่ย ภายในตัวโอ้ตมันร้อนมาก แถมตอดแบบสุดๆอีกตะหาก ผมรอให้มันหายใจหายคอ แล้วก็ค่อยๆกระดกเอวไปเรื่อยๆ โอ้ตมันก็บ่นเจ็บไปเจ็บมา ปนครางครับ แปลกว้อย บ่นว่าเจ็บแต่เคแมร่งแข็งเป๊กไม่เห็นหดเลยนี่หว่า กรุงง เหอๆ ตอนนี้พอเริ่มเข้าที่ ผมก็ปัดมือโอ้ตที่เคมันออก แล้วก็จัดการรูดให้มันแทน ให้มานนอนรับความเสียวเฉยๆ (ทั้งหน้าและหลัง)

คราวนี้โอ้ตมันคงชินแล้วล่ะ มันก็ไม่บ่นเจ็บแล้วครับ ร้องครางอย่างเดียว เห็นแล้วน่าฟัดชะมัด ผมเลยก้มลงไปไซร้คอมัน ก้นก็กระดกไปเรื่อยๆครับ เออ คราวนี้มันมีเด้งรับด้วยอ่ะ สงสัยจะชอบ อิอิ

ผมกระแทกไปได้ซักพัก ก็รู้สึกว่าจะไม่ไหวแล้วครับ ก็เลยบอกโอ้ต มันก็เปลี่ยนมาชักของตัวเองเอง ผมก็จัดการกระแทกอย่างเดียวครับ จนได้ยินเสียงโอ้ตมันครางดังมากเลย ดีนะที่มันไม่มีคน มือข้างที่ว่างอยู่ก็ขยุ้มพื้นทรายไปเต็มๆ เหมือนกะจะหาหลักยึด แล้วก็ร้อง อ๊อกกก มา น้ำขาวขุ่นก็กระฉูดออกมาเต็มหน้าท้อง เลยไปถึงหน้าอกของมันเลย โห ผมเห็นแล้วก็ไม่ไหวแล้วครับ จับสะโพกแน่นขึ้น แล้วก็กระแทกไปเต็มๆแม๊กอีกสองสามที ก็ไปรอดครับ แตกตาม แต่ดันเอาออกมาไม่ทันครับ เลยเข้าไปในตัวโอ้ตมันหมดเลย

พอเสร็จเท่านั้นแหละ ผมหมดแรงข้าวต้มเลยครับ เหนื่อยกว่าให้โอ้ตทำให้อีกอ่ะ แต่ก็โคตรมันส์เลย หลังจากค่อยๆถอนออกจากตัวมันแล้ว ก็ก้มลงไปจูบปลอบขวัญโอ้ตทีนึง แล้วก็เสยผมที่ปิดหน้าผากมันให้ เหงื่อมานแตกพลักเลย ทั้งๆที่ลมพัดโครมๆ

“ เจ็บมากเป่า ”

โอ้ตมันก็สั่นหน้า “ ไม่ค่อยเท่าไรอ่ะ ” แล้วมันก็ยิ้ม โน้มตัวผมไปจูบอีกที

“ งั้นคราวหน้าเอาอีกนะ ” ผมยิ้มแบบได้ใจ ไอ้โอ้ตรีบร้องว๊ากออกมาเลยว่า คราวหน้าเป็นตามันบ้างครับ ซะงั้นอ่ะกรุ ผมกะมันก็นอนนัวเนียไม่อายฟ้าดินกันพักนึงแล้วก็รีบจัดการลงทะเลแล้วก็รีบเข้าไปอาบน้ำทีละคน แล้วก็ออกมานอนข้างนอกต่อ (คราวนี้นอนจริงๆนะ)

“ พรุ่งนี้จาตื่นไหวม่ะนี่ เหนื่อยโคตรๆเลยอ่ะ โอ้ต ” ผมบอก แล้วก็นอนหนุนที่อกมัน

“ ถ้ารู้ว่าเหนื่อย เดี๋ยวคราวหลังโอ้ตก็ทำให้ตลอดดีกว่า จะได้ไม่เหนื่อย ” มันพูดแล้วก็เอามือลูบหัวผมไปมา เพลินจังวะ

“ โอ้ต …”

“ ฮื้อ ”

“ ไม่ไปเชียงใหม่ไม่ได้เหรอ ” ในที่สุดผมก็พูดความรู้สึกจริงๆออกมา ผมรักมันมากจริงๆ จนไม่รู้ว่าถ้ามันหายไปจากชีวิต ผมจะเป็นยังไง

“ ….. ”

“ โอ้ตรู้เป่า แค่โอ้ตไม่อยู่แค่สามสี่วัน มันทรมานแค่ไหนอ่ะ ” ผมพูดไปแล้วก็ลูบท้องมันไป (ผมนอนตะแคง ไม่ได้หันหน้าไปหามัน เพราะเด๋วมันจะเห็นว่าผมกะลังร้องไห้)

“ โอ้ตก็เหงาเหมือนกัน ” โอ้ตพูดขึ้นมา

“ ถ้าโอ้ตไปเรียน โอ้ตก็คงคิดถึงปริ้นมากเหมือนกัน ไม่ซิ ต้องคิดถึงแทบบ้าแน่ๆ ” ผมได้ยินมันพูดแค่นี้ น้ำตามันก็เริ่มไหลอีกแล้วอ่ะ ขี้แยจังกรุ

“ อือ งั้นก็ไม่ต้องไปดิ เอนฯใหม่ก็หมดเรื่อง อย่างโอ้ตอ่ะ ต้องเอนฯได้อยู่แล้ว ” ผมพูดโดยพยายามไม่ให้มีเสียงสะอื้นออกมาให้รู้ว่าร้องไห้

โอ้ตเอามือลูบหัวผมอีกรอบ ผมว่ามันรู้แหละว่าผมร้องไห้ เพราะว่าน้ำตามันก็ไหลไปโดนหน้าอกมันแหง่มๆ

“ โอ้ตอยากไปเรียนจริงๆนะ โอ้ตอยากไปตามหาฝันบางอย่างที่โอ้ตยังไม่ได้ทำ ”

“ โอ้ตมีฝันอะไรที่เชียงใหม่เหรอ ” ผมถาม แล้วก็ไม่ได้มองหน้าโอ้ตเหมือนเดิม

“ ไว้ให้ถึงวันนั้นก่อนแล้วโอ้ตจะบอกปริ้นคนแรกเลย ” โอ้ตมันพูดแล้วก็หยุดลูบหัวผม กลับจับหัวผมหันมานอนหงายบนหน้าอกมันแทน

“ ร้องไห้จริงๆด้วย ไอ้เด็กขี้แยเอ้ย ”

“ อือ ก็ใช่ดิ เค้าก็ต้องให้โอ้ตช่วยทุกเรื่องล่ะ อยากให้โอ้ตอยู่กับเค้า อยากให้โอ้ตไม่ทิ้งเค้าไปไหนอ่ะ ไม่รู้เหรอไง ” ผมพูดไปน้ำตาไหลไป ไม่คิดจะปิดมันแล้ว

“ แล้วถ้าโอ้ต ถ้าโอ้ตทิ้งเค้าไปอ่ะ แล้วไปเจอใครคนใหม่ … แล้วเค้าจะเหลือใครอ่ะ ” ผมพูดแบบไม่อายปากอ่ะ ผมอยากจะรั้งโอ้ตไว้จริงๆ แม้จะรู้ว่า เมื่อโอ้ตมันตัดสินใจอะไรแล้ว มันไม่เคยเปลี่ยนใจ แต่ผมก็อยากที่จะได้พูดบ้าง

โอ้ตมันไม่พูดไร จนผมค่อยๆหยุดสะอื้นไปเอง แล้วมันก็เอามือมาจับมือผมไว้ยกมาวางที่หน้าอกมัน แล้วก็ค่อยๆฮัมเพลงขึ้นมา


.
.
.


ฝากหัวใจให้กันเอาไว้ก่อน ที่เราจะต้องห่างเหินไป

เผื่อว่าเราลำบากอยู่หนใด หัวใจก็ยังมีคนดูแล

อาจจะมีบางคราว เราพบใครใหม่

เกิดหวั่นไหวไปตามประสาคนไกลกัน

แต่เรายังมีใจ กันไว้ไม่หวาดหวั่น

จะไม่เหลือดวงใจที่คิดเผื่อใคร

สิ่งที่ฉันต้องการก็คือ ให้เราคอยดูเสมอ

หากเราเผลอลืมไป แล้วดวงใจจะหาย

หมั่นคอยดูแลและรักษาดวงใจ

เก็บเอาไว้จนวันที่ฉันเคียงคู่เธอ

“ โอ้ตคิดว่า ปริ้นดูแลตัวเองได้ แล้วก็ได้ดีด้วย อาจจะไม่ได้เจอกัน อาจจะได้คุยกันน้อยลง แต่โอ้ต … ”

โอ้ตดึงตัวผมให้ไปมองหน้ามัน

“ โอ้ต อยากให้ปริ้นรู้ว่า หัวใจของโอ้ต ฝากไว้กับปริ้นแล้วนะ แล้วมันจะอยู่กับปริ้น จนกว่าปริ้นจะทิ้งมัน ” โอ้ตพูดชัดถ้อยชัดคำ ทั้งๆที่น้ำตาของโอ้ตไหลเหมือนกับผม

“ โอ้ตฝากมันไว้กับปริ้นนะ แล้วโอ้ตจะกลับมารับมันคืน ” พูดเสร็จ โอ้ตมันก็สวมกอดผมแน่น เรากอดกันนับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้ ผมอยากกอดมันไว้ให้นานที่สุด ผมไม่รู้ว่าอนาคตรจะเป็นยังไง ไม่รู้ว่าความรักของเรามันจะไปได้ถึงแค่ไหน ผมรู้แค่เพียงว่า วันนี้ มีใครคนนึงฝากสิ่งที่สำคัญที่สุดของเค้าไว้กับผม แล้วผมก็จะต้องรักษาสิ่งนั้นไว้ จนกว่าจะถึงวันที่กลับมารับมัน … กลับมาหาความรักของเราอีกครั้งนึง

.
.
..
.
..........................................TBC..................................................

ออฟไลน์ IZE

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-3
อ๊ากกกกกกกกกกกกกมาแล้วๆๆๆๆๆ ถึงตอนนี้ทีไรหลอนมันทุกทีสินะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
รีบๆมาต่อน๊า :3123:

ออฟไลน์ Forget_Me_Not

  • ความศรัทธา ความหวัง และรักแท้ ™
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 282
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-13
ขอความกรุณานะครับ  ใครที่เคยอ่านแล้วอย่าสปอเลยครับขอร้อง :monkeysad:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
โค้กเป็นโคนันป่ะเนี่ย เหมือนนักสืบมากเลยอ่ะ 5555


artit

  • บุคคลทั่วไป
อ้างถึง
ศพของพี่ม่อนถูกนำลงมาจากการพันธนาการบนต้นหว้าด้วยฝีมือชาวบ้านใกล้ๆ แล้วจึงถูกนำไปไว้ชั่วคราวที่วัดละแวกนั้น
วันที่ 5เดือน 6 ลงซ้ำรึเปล่าน้อ? ^^   :L1: :L1: :L1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-06-2012 08:52:10 โดย artit »

ออฟไลน์ CarToonMiZa

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +820/-41

ออฟไลน์ JoKeR

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อีโอ้ต สตอ เดี๋ยวทุบให้

สงสาร ปริ้นนนนนนนนนนนนนน สู้ๆๆๆน๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586

หายไปหลายวันแล้วนะ  อิอิ

kakashiget

  • บุคคลทั่วไป
เฉลยเลยดีมะ ใบ้นิดนึงละกันเดี่ยวไม่หนุก ปริ้นลงเลยกับโค้ก ส่วนโอต........... ตอนนี้จะเฉลยในภาค2 ถ้าผมจำไม่ผิดนะเพราะอ่านมานานมากแล้ว ทำไม พระเอกไม่ใช่โอต แล้วทำไมถึงเป็นโค้กได้ละลุ้นๆๆๆๆเพราะความเข้าใจผิดและจิตใจที่โลเลของทั้ง2ฝ่าย อุ๊บส์ o18 o18เฉลยเยอะไป ไปดีกว่า :z2: :z2: :z2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด