บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [5-6-12] Part 3 "หน้า 4"
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [5-6-12] Part 3 "หน้า 4"  (อ่าน 26982 ครั้ง)

ออฟไลน์ CarToonMiZa

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +820/-41
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [9-4-12]
«ตอบ #60 เมื่อ10-04-2012 20:41:53 »

เตรียมตัวเตรียมใจ
ซดมาม่า :L1:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [10-4-12] Part 2
«ตอบ #61 เมื่อ10-04-2012 20:44:00 »

บ้านพักอลเวง 2 diary is  โดย staying power

ติ้ง ต่อง ต้อง ต่อง ต่อง ตอง ต้อง ต่อง

เสียงออดคาบสุดท้ายดังขึ้นมาพร้อมกับนักเรียนในทุกระดับชั้น ค่อยทยอยเดินออกมา
สีหน้าที่แช่มชื่นของแต่ละคนแสดงให้เห็นภาระที่ต้องแบกในแต่ละวันได้หมดลง บางกลุ่ม
รีบวิ่งลงไปจองสนามเตะบอล บางคนก็เร่งรีบที่จะกลับบ้าน

ต่อก ต่อก ต่อก ต่อก

เสียงฝีเท้าของผมเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยลงบันไดของอาคาร 1 ที่อยู่ด้านหลังสุดของโรงเรียน
เดินย่ำต้อกอย่างเชื่องช้า จนมาหยุดยืนอยู่ที่ตรงหน้าพระพุทธรูปที่อยู่ด้านข้างหอประชุม
เท้าผมเดินตรงเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้ หยุดมองได้ซักพัก จึงค่อยทอดตัวลงนั่ง สองมือผม
ประนมพร้อมกับกราบลงกับพื้น

ตลอด 6 ปีที่ผมได้พักพิงในโรงเรียนนี้มา มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องคิดมาก มีความทุกข์
และทุกครั้ง เมื่อมาถึงที่สุดแล้ว ผมก็มักพาตัวเองเข้ามานั่งพักอาศัยอยู่บริเวณนี้ แม้ว่ามันจะไม่ได้
ช่วยให้ปัญหามันคลี่คลายลง แต่มันก็ช่วยทำให้จิตใจค่อยผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง

ผมค่อยยกศีรษะที่ก้มลงไปกราบท่านขึ้นมา นักเรียนหลายคนเดินผ่านด้านข้างผมไป
บางคนหันมามองแล้วก็เดินผ่าน ผมดันตัวเองไปนั่งพิงกับเสาด้านข้าง พลางถอนหายใจ
ความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้ปวดมวนท้อง มันเริ่มแผ่ครอบคลุมความรู้สึกมาตั้งแต่เช้า
สิ่งที่ผมเคยฝังมันเอาไว้ บัดนี้มีใครบางคนขุดมันขึ้นมา ใครคนนั้นที่ผมคิดว่าทำให้ผม
ลืมสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้แล้ว

อาจเป็นเพราะหน้าฝน ทำให้บรรยากาศเริ่มมืดเร็วกว่าปกติ ความอึมครึมในใจมันช่าง
มากมายเหมือนกับพายุที่เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ หยดน้ำหยดนึงร่วงลงมาโดนที่ข้างแก้ม
มันไม่ใช่น้ำฝนที่ตกลงมาจากฟากฟ้า

ผมกำลังร้องไห้ ?

กะ… กำลังร้องไห้ให้กับคนในอดีตบางคน คนที่เป็นรักแรก ของผม ?

“โอ้ต …. - - - ไอ้โอ้ตตตตตตต”

ผมหันหน้าไปทางต้นเสียง ไม่รีบที่จะปาดเครื่องหมายที่แสดงความอ่อนแอออกไป
เห็นไอ้ท็อปยืนเรียกอยู่อีกฟากของหอประชุม

“ว่าไง”

“วันนี้จะไปดูซ้อมลีดด้วยกันป่าว ถ้าไปก็ไปกะกู” ไอ้ท็อปบอกพลางกวักมือเร่ง
เห็นน้องโค้ก แล้วก็ปริ้นเดินมาด้วยกัน..

ผมรู้สึกขัดหูขัดตาโดยไม่ทราบสาเหตุ

“เดี๋ยวค่อยไปวันอื่นแล้วกัน วันนี้กูยังทำธุระไม่เสร็จ” ผมอ้างไปแบบนั้น
เพราะต้องการที่จะจัดการกับความรู้สึกแย่แบบนี้ให้หมดไปก่อน มันไม่ดีเลย ที่เราจะพกพา
อารมณ์ที่ไม่ปกติของเราเอง ไปทำงานอะไรก็แล้วแต่ที่มีคนอื่นร่วมรับผิดชอบด้วย

ผมเห็นปริ้นเอาของฝากโค้กไว้ แล้วก็เดินถือสมุดที่คุ้นตาเดินมาหา

“ว่าไง …” ผมยิ้มให้สุดที่รักแล้วก็เอามือยีหัวตามแบบฉบับที่ผมชอบทำกับปริ้น

“ง่ะ ทำไมชอบเล่นหัวอยู่เรื่อยเลยหนิ ” ปริ้นมันต่อว่า แต่ความรู้สึกลึกในใจบอก
กับผมว่า ปริ้นมันไม่โกรธผมหรอกที่ทำแบบนี้

“ขยันซ้อมล่ะ เดี๋ยววันหลังจะตามไปดู ทำไม่ดีโดนแน่” ผมทำเป็นขู่ ปริ้นมัน
ก็ทำหน้ากวนๆตามประสา แล้วก็กลับทำหน้าจริงจังขึ้นมาในทันที

“คะ คือ รูปที่ให้โอ้ตดูเมื่อเช้าอ่ะ เราเจอมันอยู่ในสมุดเล่มนี้” ปริ้นมันทำหน้า
เศร้าสารภาพออกมา

ผมรู้สึกมึนตึงไปชั่วขณะเมื่อเห็นว่าสมุดนั่นเป็นไดอารี่ที่เขียนไว้เมื่อประมาณ 2 ปีก่อน
แต่ก่อนที่จะได้ถามอะไรไปมากกว่านี้ ปริ้นก็อาศัยจังหวะบอกทำให้ผมใจชื้นขึ้นเล็กน้อย

“- - - แต่ปริ้นยังไม่ได้อ่านอะไรหรอกนะ จริงๆ” มันทำหน้ากระเง้ากระงอด
ผมมองเข้าไปในตาของปริ้น ก็รู้สึกได้ว่า มันไม่ใช่สายตาของการโกหก ก็เลยได้แต่แสร้งยิ้ม

“อือ ถ้าจะอ่านก็อ่านได้ มันไม่ได้มีอะไรหรอก ” ผมปดออกไป ปริ้นสายตาเปลี่ยนไป
เล็กน้อยเหมือนจะไม่เชื่อ แต่สายตานั่นก็แสดงแค่แว่บเดียว ก่อนที่จะขอตัวตามไอ้ท็อปกับ
โค้กซึ่งเดินจูงมอไซต์ไปล่วงหน้าแล้ว

เมื่อเห็นปริ้นเดินลับตาไป จึงค่อยหย่อนตัวลงกับพื้นหินอ่อนเย็นเฉียบอีกครั้ง มือผมลูบที่
หน้าอกแล้วค่อยๆหยิบรูปถ่ายที่ปริ้นให้เมื่อตอนเช้าออกมาด้วยความทนุถนอม

ทนุถนอม ?!

ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ

มีรอยยิ้มเกิดขึ้นที่มุมปากเล็กๆ ทำไมผมต้องทนุถนอมอดีตถึงเพียงนี้นะ ผมคิดในใจ
พร้อมกับเปิดสมุดเพื่อที่จะเอามันเก็บไว้ที่เดิม

สายลมอ่อนๆ พัดมา แรงพอที่จะทำให้หน้ากระดาษเปิดพลิกไปจนถึงหน้าสุดท้าย จนผมได้
เห็นสิ่งที่ตัวเองเขียนขึ้นไว้เมื่อ 2 ปีก่อน

“รักตลอดไป ..”

คำๆนี้ ทำให้จิตใจผมเริ่มล่องลอยหวนให้นึกถึงวันวานที่มีทั้งความสุข ความสนุกสนาน
ความเศร้า แล้วก็ความผิดหวัง

“ปิง … ทำไมกูถึงลืมมึงไม่ได้ซะที ”

ความว้าวุ่นในใจเริ่มก่อตัวเสมือนมรุสุมขนาดเขื่อง พร้อมที่จะพัดพาเอาอดีตให้ฟื้นขึ้นมา

* * * * * * * * * * * *

ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด 

ปั้งงงง !? แคร๊ก

“…………………….”

หวา !! แย่แล้ว ... ผมคิดถึงในใจ หลังจากได้สติว่าเผลอเขวี้ยงนาฬิกาปลุกเข้าให้
กับฝาบ้าน พร้อมกับดันตัวเองขึ้นมาจากการหลับใหลอย่างขี้เกียจ

เช้าวันแรกของการเปิดเทอม โรคสุดฮิตของนักเรียนทุกคนของเช้าวันแรก ดูเหมือนไข้ขึ้น
นิดหน่อย ปวดเมื่อยตัว ตาลืมไม่ค่อยขึ้นถึงขั้นปิดทุกๆนาที และล้มตัวลงนอนอีก 5 นาที ...
ขออีก 10 นาทีน่า อีก .....

เฮ้ย สายแล้ว !!!

ผมยันตัวขึ้นจากที่นอนอีกครั้ง หันไปหานาฬิกา ดูเหมือนมันแตกเป็นเสี่ยงจากแรงกระแทก
หันไปหยิบนาฬิกาข้อมือ

7.30 !?

ผมรีบกระวีกระวาดแต่งองค์ ถึงแม้ว่าเสื้อผ้า จะถูกรีดไว้ตั้งแต่ตอนหัวค่ำเมื่อวาน ก็แทบไม่
ช่วยให้ผมรอดพ้นจากการต้องเข้าโรงเรียนสายเลย สุดท้ายผมก็เหมือนทุกคน ที่เมื่อเข้าสาย
ก็ต้องมานั่งแตกแดดหัวแดง อีกฝั่งนึงจากเสาธง จนเมื่ออาจารย์พูดเสร็จนั่นแหละ ถึงจะได้หมด
เวณหมดกรรม และก็รู้ๆกันอยู่ เช้าวันแรกของการเปิดเทอม ทุกคนที่มีตำแหน่งในโรงเรียน
ไล่มาตั้งแต่ ผอ. ผู้ช่วยผ่ายบริหาร ธุรการ วิชาการ ปกครอง อ.หมวดโน้น หมวดนี้

“แม่ - ง พูดกันอยู่นั่นแหละ” ผมสบถ เสื้อที่พึ่งรีดมาตั้งแต่เช้า ตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ

“อ้าว มาสายด้วยเหรอเรา” อาจารย์ที่ผมสนิทคนนึงเข้ามาทักผม

“ฮ่ะ ฮ่ะ” ผมหัวเราะแห้งๆ “เมื่อคืนดูเออ .. หนังสือดึกไปหน่อยน่ะครับ”

พูดไปก็เหมือนดูถูกตัวเองแหะ ไม่บ่อยนักหรอกที่ผมต้องมานั่งอาบเหงื่อต่างน้ำแบบนี้
จริงแล้วใครๆก็เห็นว่าผมเป็นเด็กเรียนด้วยกันทั้งนั้น แต่ผมได้เกรดดีต่างจากคนอื่นนิด
หน่อยเอง ผมไม่ค่อยชอบให้ใครเรียกว่าเป็นเด็กเรียนหรอก อึดอัดจะตายหอง แต่ข้อดี
ของการที่ใครๆก็มองผมว่าเป็นเด็กเรียน เวลาโดนลงโทษ ผมจึงเหมือนมีอภิสิทธิ์อยู่หน่อยๆ
ไม่เหมือนพวกที่ถูกขนานนามว่า เด็กเก(เร)

“เออ เป็นไงว่ะ วันนี้มาสายได้ โอ้ต” “ เพื่อนผมถามเมื่อแยกแถว

“ดูบอลดึก” ผมพูดพลางหาวหวอด

“แหม กูก็ดู ไม่เห็นสายเหมือนมึงนี่”

“.. บ้านมึงมีทั้งพ่อ แม่ ป้า น้า อา อะไรมึงอยู่หมด นี่ นี่ บ้านกูอะ 3 คนนะมึง”
ผมบ่นให้ฟัง

“อ้าวแล้วแม่มึงไม่ปลุกล่ะ”

“เออ เมื่อก่อนก็ปลุกเว้ย แต่พักหลัง แกขี้เกียจมั้ง เนี่ย กูบอกให้เค้าปลุกกูหน่อยเดียว
ว่าไงรู้ป่ะ ... เค้าบอกว่ากูโตจนอยู่ม ปลาย เป็นควาย ลุกเองได้แล้ว”

“เออ จริง ... ” ว่าแล้วเพื่อนผมก็ทำท่ามาปัดไหล่ผม

“ทำไรของมึง” ผมถาม

“อ้าว ก็ปัดนกเอี้ยงให้อยู่นี่ไง” มันว่าพลางวิ่งหลบผม ซึ่งตามเตะมันอย่างสุดแค้น

“หลอกด่ากูเหรอ”

ไม่รู้เป็นอะไร วันแรกผมก็ต้องมีงานทำซะแยะเยอะ วันนี้ผมต้องเป็นเวรเซ็นสมุดรายชื่อ
ที่ห้องปกครองตอนเย็นซะด้วย ถึงผมจะไม่ได้มีอะไรกับห้องปกครองเหมือนอย่างพวกเด็กเก
ก็เหอะ แต่บรรยากาศมาคุแบบนั้น มีใครอยากจะไปอยู่มั่งละท่าน

เฟี้ยววววว เปี้ยยยยยยยยยะ

ผมสะดุ้งโหย่งเมื่อได้ยินเสียวหวดไม้เรียวลงบนเนื้อแน่นๆ ของใครคนนึงอยู่

- โอ้ ถ้าก้นผมโดนไม้นั่นเข้า คงถ่ายไม่ออกไปหลายวัน - ผมคิด

“วันหลังอย่าคิดโดนเรียน (กำแพง) อีก ไม่งั้นจะหาว่าไม่เตือน” อ.ปกครองที่เป็น
คนหวดบอกตามหลัง ไอ้คนนั้นมันก็เดินผ่านผมไป

- อ้อ ไอ้เหี้ยนี่เอง - ผมนึก มันก็อยู่ชั้นเดียวกับผม แต่อยู่ห้องท้ายๆเลยตอนอยู่
ม. ต้น ผมไม่ได้มีโอกาสได้คุยกับมันซักเท่าไร เพราะมันต่างขั้วกันอยู่แล้ว หึหึ
(หัวเราะอะไร ??)

รู้สึกว่าผมจะจ้องมันนานเกินไปหน่อย จนรู้สึกตัว

“มึงมองอะไรวะ”

“ขอโทษที” ผมบอกแล้วจึงไปที่โต๊ะเขียนรายชื่อ

ผมก้มหน้าลงไปเขียน แต่ความรู้สึกก็สัมผัสได้ถึงสายตาใครบางคนที่มองมาจากหน้าประตู
ห้องปกครอง

ไอ้เจ้านั่น มันยังยืนมองผมอยู่... จนนานเข้าผมทนไม่ได้จึงเดินไปเปิดประตูคุยกับมันว่า
จะเอายังไง

“มีอะไรเหรอเปล่าครับ” ผมถามแบบสุภาพโคตรๆ ทั้งที่ในใจอยากจะบอกว่า หน้ากูเหมือน
พ่อมึงเหรอ ?

“เมื่อกี้มึงมองกูอะ มึงอยากมีเรื่องใช่ม่ะ” ซวยแล้วผม ไอ้นี่มันจะหาเรื่องเรอะ นี่หน้า
ห้องปกครองนะ....

“มึงสมน้ำหน้ากูใช่ป่ะ” มันยังโบ่ยผมไม่เลิก

“ทำไมมึงไม่ตอบวะ มีปากป่าว” มันขู่ผมอีกระลอก

“เราไม่ได้คิดแบบนั้น” ผมตอบแบบขอไปที

“ขอร้องไม่ต้องมาสุภาพกะกูเลย !! v อ้าว กูสุภาพก็ผิดอีก

“มึงชื่ออะไร” มันถามผม

“……………..”

“กูถามว่ามึงชื่ออะไร” ผมรีบเดินถอยตัวออกห่างแต่มันเร็วกว่าดึงคอเสื้อผม

“กูถามก็ตอบดิ จะไปไหนวะ”

“โอ้ต” ผมตอบ

มันกระหยิ่มนิดหน่อย

“ชื่อแม่งโหลวะ”

คำๆนี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกดูแคลนยังไงชอบกล แต่ก็ยังทำเฉยไว้ คิดในใจว่า ไงก็ไม่โง่
เหมือนมึงหรอก

“ไปได้ยัง” ผมถามมัน

“อะไรนะ มึงกล้าไล่กูเหรอ !! ” มันทำท่าจะชกผม

“ไม่ใช่ๆ เราหมายถึงว่า เราอะ ไปได้เหรอยัง” โอ้ ทำไมผมถึงพูดแบบนี้นะ

มันทำท่าเหมือนจะขำ ทำให้ผมชักฉุนกับความหงอของตัวเอง...

“เออ ไปได้แล้ว” มันว่า

ผมพยักหน้า แล้วรีบเดินจะไป มันก็มากระชากเสื้อข้างหลังผมอีก

“กูชื่อ เต้ย จำชื่อกูให้ดีๆ แล้วทีหลังอย่ามองกูแบบนั้นอีกนะ กูไม่ชอบ” มันส่งผมก่อน
จะเดินผิวปากเดินจากไป

“ไอ้เต้ย ตั้งแต่วันนี้ไปมึงกะกูเป็นศัตรูกัน” ผมตั้งปณิธานไว้เงียบๆในใจ


* * * * * * * * * * * *

หลังจากเปิดเทอมมาได้หลายอาทิตย์ ผมก็ไม่ได้เจอหน้าไอ้เต้นอะไรนั่นอีกเลย และถึงเจอก็
ไม่ได้เฉียดมาใกล้กัน จนผมเกือบลืมมันไปแล้ว 

“ เรื่องนี้กูคงช่วยอะไรมึงไม่ได้หรอกไอ้ปิง” ผมกล่าวปฏิเสธเสียงแข็งกับคนๆนึง

“ ทำไมวะ แค่ลงเล่นให้กูหน่อยเดียวเอง ครั้งนี้ครั้งเดียวละเพื่อน” ไอ้ปิงอ้อนวอนผม

จริงๆแล้วผมอยากจะช่วยมันใจแทบขาด แต่ไอ้กีฬง กีฬาอะไรเทือกนี้ ผมไม่ค่อยถนัดเอา
ซะเลย ผมเป็นพวกใช้สมองซะด้วย แถมวันนี้ มันยังดึงดันให้ผมช่วยลงแข่งบาสให้ทีมมัน
อีกตะหาก เพราะเพื่อนในทีมมันเจ็บ

“ กูเล่นไม่เก่งจริงๆ มึงก็รู้นี่หว่า” ผมพยายามหาเหตุผล ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริงแหละ

“ กูรู้ แต่มันไม่มีใครแล้วจริงๆนะเว้ย ไม่งั้นกูจะมาขอมึงเหรอไง” มันบอก

อ้าว ตกลงกูจะดีใจหรือเสียใจดีเนี่ย แต่ผมก็ยังยืนกรานคำตอบเดิม

“ กูไม่เอาหรอก”

“ คือมึงเข้าใจป่ะ กูแค่อยากให้ตัวเล่นมันครบแค่นั้นเอง มึงลงสนามไป ไม่ต้องทำอะไรเลย
มึงวิ่งหลบได้ตามใจชอบเลย โอเคป่ะ” ไอ้ปิงยื่นข้อเสนอให้ผม แต่เมื่อเห็นไม่ค่อยถูกใจเท่าไร
ข้อเสนอต่อมาคือ...

“ แค่มึงลงให้กู เย็นนี้กูเลี้ยงหมูกระทะมึง” มันยืนมาอีกข้อเสนอ พร้อมยืนมือมาเตรียมทำ
สัญญา

ผมคิดอยู่แว่บนึง ก่อนจะจับมือมันตอบ

“ โอเค เพื่อน” ไม่ค่อยเห็นแก่กินเลยผม

“ไม่มีเสื้อที่ตัวใหญ่กว่านี้เหรอวะ” ผมบ่น เพราะเสื้อที่ได้มา มันไซ้เล็กกว่าผมพอสมควรเลย

“ เออ โทษทีหว่ะ กูลืมไปว่าไอ้วินมันตัวเล็กอะ ใส่ของกูละกัน” มันยื่นเสื้อให้ผม

“ ซักมั่งป่าววะ โคตรเหม็นตืดเลย”

“เด๋วปั้ด” มันทำมือจะมาซัดผม

“ กูพูดเล่น” ว่าแล้วก็จัดการสวมเสื้อ ใส่กางเกงเสร็จสรรพ เตรียมลงสนาม วันนี้นักเรียน
มาดูกันเยอะจัง ทั้งรุ่นเดียวกัน รุ่นพี่ รุ่นน้อง ผมชักเริ่มปอดแล้วดิ รู้สึกได้ว่าขาสั่นพับๆ

“ กูไม่เคยเล่นแล้วคนดูมากขนาดนี้หว่ะ ไอ้ปิง” ผมกระซิบให้เพื่อนฟัง

“ เอาเหอะน่า มึงก็คิดว่าเป็นนก เป็นกาไปเหอะ เด๋วก็ชิน” ไอ้ปิงว่า

“ เออ แล้วมึงไม่ต้องมากะจะโชว์สาวเลยนะ กูจะพยายามบอกพวกไอ้ท็อป ไอ้วินว่าไม่
ต้องส่งมาให้มึง หรือว่า ถ้ามึงได้ลูกแล้วเนี่ย มึงก็รีบโยนต่อให้คนอื่นเลย เข้าใจป่าว”

มันบอกแผนการ

“ มึงเก่งแต่ทฤษฎี แต่วันนี้มึงต้องปฏิบัติแล้วนะไอ้โอ้ต” เพื่อนรักบอกผม

“ กูจะพยายามหว่ะ” ผมตอบ ก่อนจะได้ยินสัญญาณให้ลงสนาม

- เป็นไงเป็นกันว่ะ - ผมภาวนาในใจ ขณะที่ยืนเรียงแถวหันหน้าประสานกัน พวกมันก็
ตัวไม่ได้ใหญ่อะไรไปกว่าผมมากนัก เพียงแต่ว่าความบึกผมสู้ไม่ได้เท่านั้น สายตาผมก็มองข้าม
ไปด้านหลัง เห็นต่ายกับเพื่อนสาวๆนั่งเชียร์อยู่ข้างสนาม ผมกวาดสายตาไปรอบเพื่อหาทางหนี
ทีไล่ไว้ก่อนล่วงหน้า

อี๊ ... ผมรู้สึกจุกเล็กๆ เมื่อเห็นไอ้เต้ยนั่งอยู่ในเต้นพักนักกีฬา

มันอยู่ทีมนี้ด้วยเหรอไงวะ ดูท่าทางมันยังไม่เห็นผม แต่ตอนนี้ไม่เห็น แต่อีกไม่กี่วินาที มันคง
เห็นผมแน่ ..... แต่

- ถึงมันจะเห็นผมแล้วจะเป็นอะไรละ- ผมคิดพลางเรียกสมาธิให้กลับคืนมา

-ไม่ได้มีเรื่องอะไรกันซะหน่อยนี่หว่า- คิดได้ดังนั้น ก็ทำให้ผมโล่งใจขึ้นติ๊ดนึง

ปี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด.....

เฮ เฮ ............

ซวบ

เฮ

การแข่งขันเริ่มไปได้อย่างราบรื่น ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้แต่แรก ผมก็ทำตามแผนที่วางไว้
ซึ่งก็ทำให้พวกมันไม่ได้สนใจอะไรผมมากเท่าไร เพราะได้ลูก ก็โยนอย่างเดียว วิ่งทางโน้นที
ทางนี้ที เรื่องวิ่งผมถนัด หึหึหึ

จนพวกมันคงคิดว่า ประกบไอ้เหี้ยนี่ไปคงไม่มีอะไรดีขึ้นมา ก็นับได้ว่า แผนที่ไอ้ปิงบอกไว้
ก็ใช้ได้ด้วยดี จนจบควอเตอร์แรก ทีมพวกผมนำอยู่ 5-6 แต้ม

“ ดีโอ้ต” เพื่อนในทีมชมผม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะชมไปทำบ้าอะไร ยังชู๊ตไม่ได้ซักลูก

“ แต่กูรู้สึกว่าพวกมันจะจับทางได้แล้วหวะ ว่าเราเล่นแบบไหนอะ” หนึ่งในสมาชิกบอก

“แล้วแม่-งมันตามประกบกูตลอดเลยอะ โคตรเหนื่อยเลย” ไอ้ท็อปว่า แต่ผมดูมันแล้ว
มันจะเหนื่อยน้อยกว่านี้ ท่ามันไม่ทำโชว์ออฟอยู่ แต่ก็ได้ผล สาวๆกรี๊ดอย่างใจนึก
(ไม่รู้เพราะว่าเบื่อมันหรือว่าชื่นชมจริง)

“ เออ กูก็ว่างั้นแหละ” ไอ้ปิงบอก “งั้นต้องเปลี่ยนแผน” ว่าแล้วมันก็จ้องมาที่ผมกัน

“ หมายความว่าไง” ผมถาม

“ โอ้ต มึงต้องทำอะไรมากกว่าโยนลูกแล้ว” ว่าพลางตบบ่าผม

“เฮ้ย อย่าทำหน้าแบบนั้นดิ” มันบอกเมื่อเห็นผมหน้าจ๋อยขึ้นมา

“ มึงอยู่ใกล้ๆไอ้วินไว้ ใต้แป้นอะ ถ้ามันส่งมาแล้วเห็นโอกาสดี มึงก็จัดการเลย กูรู้ว่า มึงอะทำได้ ”

“ มึงรู้ได้ไง”

“เอาเหอะ กูเชื่อใจ” มันพูดทำตาเป็นประกาย ผมรู้จักมันมาตั้งแต่ตอนอยู่ ม.1 แล้วล่ะ
แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน แต่ก็ถือว่าสนิทกันมากพอควร ตอนที่ได้รู้ว่าได้มาอยู่ห้องเดียว
กันในระดับ ม. ปลาย ผมก็แอบดีใจเล็กน้อยถึงปานกลาง

“ เอาตามนี้ละกัน” ไอ้ปิงสรุป

และแล้วการแข่งควอเตอร์ 2 ก็เริ่มขึ้น

ปี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด.....

เฮ เฮ ............ เฮ

ดูเหมือนว่าแผนที่เตรียมไว้จะได้ผลนิดหน่อย เพราะผมได้โอกาสรับลูกจากไอ้วิน ทันทีที่จับ
ลูกได้ผมก็รีบเล็งไปที่ห่วงทันที และก็ ...

ซวบบบ .....

2 แต้มแรกของผมครับ 2 แต้มที่ทำให้ผมมีกำลังใจมากขึ้น รู้สึกสนุกกับเกมส์มากขึ้น

นั่นสิ เมื่อเราได้ทำประโยชน์กับทีมได้อย่างแท้จริง ได้เห็นว่า เราก็มีความสามารถเหมือนกัน
เลือดในตัวผมก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที

เกมส์ตอนนี้ผลัดกันรุกกันรับ (แข่งบาสนะครับ อย่าคิดเรื่องอื่น ขอที) แต่ทีมเราก็ยังนำอยู่
1 แต้ม ถ้าเราเสียลูกนี้ไป ก็แปลว่า เราก็ต้องเป็นฝ่ายตามแทน และแล้ว สิ่งที่ไม่คาดคิดก็บังเกิด

ไอ้ทีมโน้นมันเปลี่ยนตัวครับ มันก็ไม่ค่อยเท่าไร เพราะก็เปลี่ยนมาหลายคนแล้ว แต่ไอ้คนนี้นี่แหละ
เป็นคนที่ผมตั้งปณิธานไว้ในห้องปกครอง ไอ้เต้ย !! นี่แหละ มันลงมาแล้ว

ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองเหรอเปล่า ว่าเห็นมันยิ้มที่มุมปากนิดหน่อย เหมือนกะว่า เวลาของกูมาถึงแล้ว

ปี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด.....

เสียงสัญญาณดังขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่ผมกำลังรับลูกเตรียมชู้ต ...

พลั๊ก .........

“อั๊กก ”

ผมรู้สึกเจ็บที่ชายโครงสุดๆ เพราะ ไอ้เต้ยนี่ล่ะ มันเข้ามากระแทกผมเต็มแรง เหมือนจะจงใจซะงั้น
จนผมนอนลงไปจุกอยู่กับพื้น ถึงแม้ว่าจะฟาวส์ แต่ผมก็ชู้ตลูกไม่ลง เพราะมันเจ็บชายโครงมากๆ

ผมมองหน้ามัน มันก็ทำเป็นไม่สนใจ

และแล้ว เมื่อเริ่มเกมส์อีกครั้ง ไม่ทันถึง 2 นาที ผมก็โดนอีก คราวนี้มันเอาตัวมากระแทกกับ
ตัวผมจังๆ ทั้งที่ตัวมันก็พอๆกับผม แต่อย่างที่บอก ความบึ๊กมันปานหมีควาย ผมจะไปมีแรงต้าน
ไหวได้ไง ก็ถึงกับล้มลุกคลุกคลาน คราวนี้มันมองหน้าผมแบบว่าหาเรื่องเลยอะ ผมก็ …. ไอ้สัด
แต่อีกใจนึงก็เตือนไว้

- มึงสู้มันไม่ได้แน่ อย่านะมึง - คิดได้ผมก็พยายามทำเป็นไม่สนใจ

- มึงชนได้ชนไป - จนมันทำแบบนี้กับผมไปเกือบ 10 ที ฟาวส์ไม่รู้กี่รอบ ตัวผมก็ชักช้ำใน
แล้วซิ แต่ก็ดีกำไรทีมผม ได้ชู้ตเอาคะแนนฟรีๆ ผมรู้สึกได้แล้วว่ามันเหมือนกับลงมาหาเรื่องผมเลย
นะเนี่ย เพื่อนๆในทีมมันก็ชักไม่พอใจกับตัวไอ้เต้ยแล้ว แต่ทำไมไม่ยักเปลี่ยนออกก็ไม่รู้เว้ย

จนมาครั้งสุดท้ายนี้ ......

ระหว่างที่มันพยายามแย่งลูกไปจากผม แม้จะรู้ว่าไม่ดี แต่ก็เป็นโอกาสของผม

พลั๊ก .................

“ อ๊อกกกกก ” ผมกระแทกศอกไปใต้ลิ้นปี่ไอ้เต้ยนั่นเต็มแรง

ปี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด.....

“ มันอะไรกันนักหนาวะไอ้คู่นี้ ” กรรมการบ่นเสียงดัง

ผมทำหน้าสะใจ ที่ได้แก้แค้นคืน ไม่รู้หรอกว่ามันทำหน้ายังไง แต่หลังจากนั้นไม่กี่นาที ก็หมดเวลา
สรุปทีมผมชนะไปฉิวเฉียด 51 – 48 สบายใจชะมัดยาด

“ เบาๆ ปิง กูเจ็บ ” ผมบอกไอ้เพื่อนตัวการที่นั่งนวดให้ผมอยู่ อาการช้ำในที่เกิดจากการเล่นบาส
คงไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะมันบีบไปตรงไหน ก็ปวดตรงนั้น 

“ โอ้ยยยยยย !? ” ผมร้องเสียงหลง เมื่อมันมานวดตรงที่ศอกไอ้เต้ยมันกระแทกพอดี

“ พอแล้ว มึงไม่ต้องมานวดกูแล้ว ” พร้อมกับผลักไสมันออกไปห่างๆ มองไปเห็นไอ้ปิงทำหน้าปั้นยาก

“ ไอ้โอ้ต มึงนี่เรื่องมากเจงๆเลย นวดยามันก็ปวดหน่อยดิวะ ไม่ทนแบบนี้มันจะหายมั้ยเนี่ย ”
ว่าแล้วมันก็ทำท่าจะเข้ามาทำผมอีก

“ นี่ มึงไม่ต้องเข้ามาเลยนะ ” ผมถอยตัวหนีมัน ...

“ มึงจะหนีกูทำไมวะ กูไม่ได้จับมึงปล้ำนะว้อย ” มันพูดทีเล่นทีจริง

“ สัดนี่ กูก็ไม่ได้คิดแบบนั้น ” ผมบอก

“ อ้อ กูรู้แล้ว มึงจะเก็บรอยช้ำในไปให้เมียมึงนวดใช่ป่ะ หึหึ แล้วก็ไม่บอกกู ” ไอ้ปิงแซว

“ เมียป๊ะ มึงดิ เดี๋ยวกูต่อยลืมเตี้ยเลย ” ผมขู่ไปแบบนั้นแหละ ถ้าต่อยจริงๆผมคงแพ้ เพราะถึงปิงมันเตี้ย
กว่าผมก็ไม่มาก

“ กูบอกว่ากูไม่ได้ชอบมัน มึงก็ไม่เชื่อกู ”

ไอ้ปิงเข้ามานั่งกอดคอผม

“ อ้าว ก็ไม่เห็นมึงจะปฏิเสธเค้านี่หว่า ”

“ มึงก็รู้ว่ากูปฏิเสธคนไม่เป็น จะให้กูทำไงล่ะ ” พูดเสร็จผมก็นั่งเงียบ เค้าที่ผมกับปิงพูดถึงอยู่นี่
คือเพื่อนที่อยู่อีกห้องนึง แล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน พึ่งมาบอกชอบผมทำเอาโดนแซวไปทั้งวัน จากวันนั้น
ผู้หญิงที่ชื่อ เมย์ ก็เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ทั้งที่ผมออกจะรำคาญด้วยซ้ำ แต่ผมก็ยังทำตัวเฉยๆ
เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยหวังว่า ท่าทีที่เฉยเมยจะทำให้คุณเธอเลิกตามซะที

“ โอ้ต มึงทำไม่เป็น มึงก็ต้องหัดทำ เรื่องแบบนี้ ถ้าปล่อยไว้มันจะเข้าใจผิดไปเรื่อยๆนะ
ว่ามึงก็ชอบมันจริงๆ ”

“ กูรู้ แต่ ..... ” ผมพูดอะไรไม่ออก ไอ้ปิงดูเหมือนจะรู้ว่าผมคิดยังไง รู้ว่าผมไม่กล้าพอที่จะปฏิเสธ
ความรู้สึกดีๆ ของคนๆนึงไป

เสียงปิงถอนหายใจ

“ ถ้างั้นมึงก็คิดซะว่า รักคนที่เค้ารักเรา อะดีที่สุด ” ไอ้ปิงว่า

“ถ้าเค้ารักมึงจริง ไม่นานเวลาจะทำให้มึงรักเค้าเองล่ะ ” ไอ้ปิงบอก ผมแปลกใจจริงๆที่วันนี้มัน
พูดซะเน่าแบบนี้

“ปิง มึงคิดว่าเวลา ทำให้ความรู้สึกคนเปลี่ยนได้เหรอ ?”

“กูก็ไม่รู้ … ”

“ รักเค้าข้างเดียว มันเจ็บปวดนะเว้ย ” มันพูดแล้วยิ้มให้ผม “ เพราะฉะนั้น มึงพยายามอย่า
ให้ใครรักมึงข้างเดียวมากไปกว่านี้ เข้าใจป่ะ ”

ผมไม่ค่อยเข้าใจความหมายที่มันพูดมากนัก แต่ก็รับคำมันไว้

“ เออ มึงพูดให้กูฟังอีกทีได้ป่าว แบบแปลไทยเป็นไทยอะมึง กูยังไม่ค่อยเข้าใจ ” ผมถาม

“ กูไม่พูดแล้ว ของดีมีหนเดียวเว้ย ” มันพูดแบบฉุนๆใส่ แล้วก็ลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้า

“ เออ ขอบใจหว่ะ ที่แนะนำกู เวลากูมีปัญหาก็มีแต่มึง ที่อยู่ข้างๆกู ” ผมพูดแบบซาบซึ้งสุดๆ

“ มึงพูดอะไรนะ เมื่อกี้กูใส่เสื้ออยู่ฟังไม่ถนัด ” มันถาม

“ ของดีมีหนเดียวเหมือนกันโว้ย ” ผมแกล้งมันคืน

“ ปากดีนะมึงเนี่ย เดี๋ยวกู .... ” มันเอาข้อมือปิดปากไว้ทัน เลยไม่ได้ยินที่มันพูดเมื่อกี้

“ อะไร ปากกูดีแล้วจะทำไรกู ”

“ จะต่อยปากมึงไง ไอ้เชี่ย ” ว่าแล้วมันก็วิ่งไล่จะต่อยผม ผมก็วิ่งหนีซิครับ ใครจะยืนอยู่ให้ต่อยล่ะ ...

* * * * * * * * * * * *

รุ่งขึ้น ผมตื่นแต่เช้าด้วยอาการเพลียสุดขีด พร้อมกับรอยฟกช้ำ มันปวดไปหมดทั้งตัวเลย 

โอ้ยย !? ผมพยายามก้าวขาออกจากเตียง ชาตินี้จะไม่เล่นบาสแบบซาดิสแล้ว

วันนี้กว่าผมจะอาบน้ำ แต่งตัวเสร็จ เรียกได้ว่าระบมไปทั้งตัว ช่างเป็นเช้าที่รันทดอย่างแรง
แน่นอนสภาพร่างกาย ความเพลีย ทำให้ผมนั่งรถเกือบเลยโรงเรียนซะงั้นล่ะ

“มาสายอีกแล้วเหรอเรา ”อาจารย์เวรทักผม

ผมยิ้มแห้งๆ ก่อนเดินไปเซ็นชื่อมาสาย และไหนๆก็เข้าคาบ 1 ไม่ทันแล้ว ผมก็เลยถือโอกาส
โดดซะเลย โดยไปนั่งเล่นอยู่ในห้องสมุด สวรรค์น้อยๆของผม ไม่มีที่ไหนในโรงเรียนที่ผม
จะชอบเท่าห้องนี้ ไม่ใช่เพราะมีหนังสือเยอะอย่างเดียวหรอก มันมีแอร์ และที่สำคัญมันเงียบ
ด้วย ผมชอบที่เงียบๆครับ เพราะมันช่วยทำให้ผมคิดอะไรอะไรได้หลายอย่าง ได้กลับมามอง
ตัวเอง แต่ที่สำคัญวันนี้ผมมาเพื่องีบหลับโดยเฉพาะฮะ ^^; เพลียมาก

แล้วผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เลยรีบเดินไปตามล็อกเก็บหนังสือ

ผมมองหาหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ชอบอ่านอยู่บ่อยๆ ผมวางไว้ชั้นในสุด เพื่อที่คนอื่นจะได้หา
ไม่เจอ ฮ่ะ ฮ่ะ

“ อยู่นี่เอง ” ผมเอามือปัดฝุ่นที่หนังสือ เนื่องอ่านตั้งแต่ม. 3 ผ่านตั้งเทอมนึง แต่ก็ยังอ่านไม่จบซะที...

ว่าแล้วผมก็ไปนั่งที่โต๊ะว่าง พร้อมกับเปิดหนังสืออ่าน ไม่ทันไร ด้วยความเพลียหรืออะไรก็ตาม
ตาผมชักหรี่ลง หรี่ลง แล้วก็ปิดในที่สุด

………..ZzzzzzzzzzzzzzzzzzzzZzzzzzzzzzzzzzzzzz

………………………Zzzzzzzzzzzzzzzz

พลั๊กก ... !??

อุ๊ก !!

ผมรู้สึกตัวอีกทีก็เห็นตัวเองไปนอนกองอยู่บนพื้นห้อง

“ อะไรวะเนี่ย ” ความสะลึมสลือ ทำให้มองไม่เห็นไอ้ตัวการที่มันดันผมให้ตกจากเก้าอี้

“ 5 5 5 มึงหาใครอยู่เหรอ ” ไอ้เชี่ยเต้ยนี่เอง

“ ทำอะไรของนายวะ ” ผมพูดด้วยความโกรธ ปนง่วง

“ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย เข้ามาก็เห็นมึงกองอยู่บนพื้นแล้วนะ อย่าโทษกันเด๊ะ
มันไม่มีหลักฐานว่ากูทำมึงนะ ” ไอ้เต้ยตอบทำหน้ากวนตีน

ในเมื่อมาไม้นี้ ผมก็เถียงมันไม่ออก แต่ทำเสียงฮึดฮัดเดินออกจากห้องสมุดไป
โดยผมเห็นไอ้เต้ยมันก็เดินตามออกมาด้วย

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [10-4-12] Part 2
«ตอบ #62 เมื่อ10-04-2012 20:45:25 »


“ ตามมาทำไม ”ผมถาม

“ ใครตามวะ จะไปโรงอาหารต่างหาก ถอยๆ ” ว่าแล้วมันก็เดินมาผลักอกผมให้หลีกทาง
กวนตีนจริงๆ แม่งเอ้ย ซักวัน ซักวัน !!!

ปิ้ง ป่อง ปอง ป่อง ป่อง ปอง ป้อง ป่อง

อ่า เสียงออดเข้าคาบ 2 ซะที ผมรีบเดินหิ้วกระเป๋าเข้าห้องเรียนด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิด

“ ไง โดดไปไหนวะ แต่เช้า ” ไอ้ปิงเข้ามาทักผม

“ ไปหาที่งีบมาหว่ะ แต่ดวงซวยเจอหมาเข้า ” ผมบอกเพื่อนเกลอ

“ ใครวะ ”

“ มึงรู้จักไอ้เต้ยที่อยู่ห้อง 9 ป่าวล่ะ วันก่อนกูไปมองหน้ามันเท่านั้นแหละ
จากนั้นมันก็ตามมารังควานกูตลอดเลย ซวย ”

ปิงหัวเราะ “ เออ เพื่อนกูเองแหละ ”

ได้ยินดังนั้นผมก็ทำหน้าเหวอ

“ อ้อ มึงคบคนแบบนี้เหรอ จะได้รู้ไว้ ” ผมกัด

“ เฮ้ย มันก็ไม่มีอะไรหรอก วันๆก็กวนตีนเค้าไปเรื่อยเปื่อยอะ แต่เนื้อแท้มันเป็นคนดีนะ
เออ กูหมายถึงว่า อย่างน้อยที่สุดอะ น้อยยยย น้อยมั๊กมากกก” ไอ้ปิงเหมือนจะปกป้องเพื่อน

“ เออ ช่างมึงเหอะ แต่กูดูจากการกระทำของมันที่ทำกะกู มากกว่าฟังจากคนอื่นหว่ะ
ว่ามันเป็นคนยังไง ” ผมบอก

“ อ้าว แล้วมึงเห็นกูเป็นคนอื่นเหรอไง ”ไอ้ปิงถามผมอย่างฉุนๆ

“ แหม มึงก็รู้ว่า กูไม่ได้หมายความว่ายังงั้นซะหน่อย มึงอะ เพื่อน LOVE กูเลยนะ ”
ผมค่อนขอด

“ พอเหอะ กูรู้ว่ากูอะ ไม่สำคัญเท่าน้องเมย์ อะไรนั่นของมึงหรอก ไม่ต้องมาชื่นชมให้เปลืองน้ำลาย ”

“ไอ้นี่ พูดเรื่องนี้อีกแล้ว ” ผมว่ามัน แต่พูดยังไม่ทันขาดคำ เจ้าของชื่อก็เดินเข้ามาหาเราทั้งสอง

ไอ้ปิงกระซิบกับผม “ แม่-ง ... ตายยาก แค่พูดชื่อก็มาเลย ไม่ต้องจุดธูปเชิญ ”

“ ไอ้ปิง แกนินทาไรชั้นยะ ” เมย์เดินเข้ามาพูดกับเพื่อนผม

ผมยิ้ม แล้วกำลังจะบอก แต่ไอ้ปิงเอามือมาอุดปากผมไว้ “ ป่าว ไม่ได้นินทาไร
เลยนะเจ๊ ”

“ อ้าว นายก็ไปดิ ช้านมีเรื่องคุยกับโอ้ต ” ว่าแล้วเธอก็ทำท่ากระมิดกระเมี้ยน ซึ่งผมไม่รู้เป็นอะไร
เวลาที่เมย์ชอบพูดยานคาง มันทำให้รู้สึก รู้สึก …..


“ มีอะไรจะคุยกะเราเหรอ ” ผมถาม

“ โอ้ตจะไป English Camp ด้วยกันป่าว เมย์อยากให้โอ้ตไปนะ จะได้ไปเที่ยวด้วยกัน ”

“ อืม ” ผมทำท่าเกาหัว “ ไม่รู้เหมือนกัน ยังไม่ได้คิดอะไรเลยเนี่ย แต่ก็คง ... ”

ผมกำลังจะบอกว่าคงไม่ไป แต่น้องเมย์เค้าส่งสายตารัญจวนใส่ซะก่อน จึงพูดอะไรไม่ออก

“ ก็ ... คงคิดอีกทีนะ ” ผมกระออมกระแอมตอบ

“ ฮู้ย ไปนะโอ้ต เมย์อยากให้โอ้ตไปด้วยจริงๆอะ” เมย์ยังคงอ้อนวอนผม

“ เราว่า ค่อยคุยกันอีกทีดีป่าว เดี๋ยวเราเข้าเรียนไม่ทันนะ วิชาลีลาศด้วย ” ผมบอก
เพราะวันนี้ดูเหมือนจะท่ายาก

“ ก็ได้ๆ แต่สัญญานะว่าจะไป” เมย์รวบรัด (ฆ่า) ตัดตอน

“ อืมๆ” ผมตอบแบบขอไปที พลางเดินจะเข้าห้อง

“ไอ้โอ้ต เร็วๆ จารย์ มาแล้ว” ปิงวิ่งมาบอกผม เมย์ก็เดินมาคล้องแขนผม ตอนนั้นไม่รู้ทำไม
ใจผมก็ไม่อยากให้ปิงมาเห็นภาพผมกะเมย์ควงกันอยู่เลย ผมเลยดันมือเค้าออกไป จนเมย์
ทำหน้าไม่พอใจ

แล้วนี่คาบว่างเหรอ ผมถาม

ก็ป่าว แต่เมย์อยากเห็นโอ้ตเต้นลีลาศ เธอพูดพลางยิ้มเฉ่ง

-ไม่นะ- ผมคิดในใจ

เราว่าไปเรียนเหอะ เราไม่ชอบคนชอบโดดเรียน ผมว่า ไม่ได้นึกถึงตัวเองว่าตอนเช้ากูก็พึ่งกระทำการณ์นั้นมาหยกๆ

เมย์ทำหน้างอยิ่งกว่าเดิม แล้วก็เดินบิดจากผมไป

“ อ้าวทำไมพูดกับเค้าแบบนั้นละ ” ไอ้ปิงถามผม “เด๋วเค้าเสียใจนะ”

“ กู ไม่ชอบ ” ผมหันไปบอกไอ้ปิงด้วยน้ำเสียงโกรธๆ เหมือนกะว่า มึงนี่ไม่เข้าใจความรู้สึกกูเลยนะ

“ เอ้าๆๆๆๆ เข้าแถว จัดแถวเป็นวงกลมนะ ผู้ชายอยู่วงนอก ผู้หญิงอยู่วงใน” เสียงอาจารย์ตะโกนด้วยเสียง
แปดหลอด และด้วยความที่มีผู้ชายมากเกินไป ทำให้ไอ้ปิงต้องไปอยู่วงใน

ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ

หัวเราะเหี้ยไร

ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“ ทำไมกูต้องอยู่ข้างในด้วยวะ โอ้ตเปลี่ยนที่กะกูที ”

“ ไม่เอา กูเต้นแบบผู้หญิงไม่เป็นนี่หว่า” ผมว่า “เอาน่า หมดคาบนี้ไป ก็รอดแล้ว” ผมล้อมัน

“ จำไว้นะมึง ” ไอ้ปิงบ่นกระปอดกระแปด แล้วยืนก้มหน้ารับกรรม ...ที่มันล้อผมไว้ตะกี้

“เอ้า ตรงนั้นนะ เข้าที่” จารย์บอก พลางตบมือให้จังหวะเปิดเพลง

(ถ้าอยากฟังเพลงโปรดก๊อปไป url ดังกล่าวไปวางหน้าต่างใหม่นะครับ www.swn.ac.th/ost.swf )

ปิงมันค่อยๆเลื่อนมือมาแตะไว้ที่บ่า ส่วนผมก็เอามือไปวางไว้ที่เอวมัน ฮ่ะ ฮ่ะ ตลกดี

ก่อนที่เราสองคนเอามือที่ว่างอยู่จับเข้าหากัน สายตาของผมกับปิงก็มาชนกันอย่างช่วยไม่ได้

“ เฮ้ย !! อย่าเกาะกูแบบนั้นปิง” ผมบอกมันพร้อมทำท่าจักกระเดี๋ยม 

“ คิดว่าอยากเกาะมึงเหรอไง ” มันว่า พลางพาหมุนตัวนึงรอบ

“ เป็นไง กูเต้นใช้ได้ม่ะ ” มันชมตัวเอง

“ โห มึงเต้นเป็นหญิงได้เก่งมากเลย ” ผมกระซิบใกล้ๆหูมันในระหว่างเต้น

“เด๋วจะโดนใช่น้อย ไอ้โอ้ต” มันว่า ทำหน้าแดง พอดีกับเสียงเพลงหยุดลงพอดี

“ วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อน อาทิตย์หน้าจับคู่กันมาเลยนะ จะสอบแล้ว ” อาจารย์บอก
พวกเราก่อนจะปล่อยหมดคาบ

“ วันนี้ซวยชิบเป๋ง ” ปิงมันบ่นงึมงำ

“ กูนึกว่ามึงจะชอบซะอีก ” ผมแซวมันอารมณ์ครื้นเครง

“ เหม่ มึงทำพูดดี …. เออ ว่าแต่ มึงจะไปแคมป์ป่ะ ”

“ ยังไม่รู้ มันอีกนาน ตั้งเทอมหน้าโน่น ” ผมบอก

* * * * * * * * * * * *

อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านพ้นวิกฤติการณ์ทางการสอบของเทอม 1 ผ่านไปได้อย่าง
หวุดหวิด โดยมีไอ้ปิงได้คะแนนเกือบรั้งท้ายเพื่อน ผมก็ถือโอกาสเตือนมันเป็นครั้งที่
100 กว่าๆ 

“ มึงควรจะตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้นะเว้ย ” ผมเฝ้าเตือนมันตั้งแต่ก่อนสอบ จนเปิด
เทอมใหม่แล้ว ก็ยังพูดอยู่คำเดิม

“ กูจะพยายาม ” แล้วมันก็พูดประโยคเดิมเหมือนเมื่อเทอมที่แล้วเด๊ะ

สิ่งที่แปลกไปของเทอมนี้ นอกจากอากาศที่หนาวเย็นเร็วกว่าปกติแล้ว ยังมีอาจารย์ปกครอง
คนใหม่เข้ามาคนหนึ่ง ซึ่งจากนี้ไป อาจารย์สุดโหดคนนี้จะทำให้ชีวิตของนักเรียนที่แสนสงบสุข ….
เปลี่ยนไป

“ กูไม่ชอบรองฯปกครองคนใหม่เลยฟระ โอ้ต - -”

“เค้าทำอะไรมึงเหรอ ? ”

“ตั้งแต่เข้ามาก็ออกกฎบ้าบออะไรเยอะแยะ ชอบสั่งโน่นสั่งนี่”

“เค้ามาใช้มึงเหรอไง ? ”

“อะไรวะ โอ้ต … มึงไม่เข้าข้างเลยนี่หว่า” เสียงมันชักฉุน ผมพอจะรู้สาเหตุที่ปิงมันไม่ค่อย
ชอบรองฯคนใหม่ เพราะว่าเค้าจะทำโทษคนมาสายด้วยการให้ใส่เหมือนเสื้อวินมอไซต์ แล้วก็ติด
ป้าย “ผมมาสาย” บำเพ็ญประโยชน์ทั่วโรงเรียนในคาบแรก แล้วไอ้ปิงก็เป็นพวกเจ้าชายสาย
เสมอน่ะซิ …

“มึงก็หัดมาให้เร็วๆซิ จะได้ไม่ต้องใส่เสื้อวิน” ผมพูดขำๆ

“เออ ไม่ใช่เรื่องนี้เรื่องเดียวหรอก” มันพูดแก้ตัว เพื่อนๆกูนะ ก็บ่นไม่ชอบยายนี่ทุกคนล่ะ

อ๋อ สงสัยเพื่อนแสนดีทีทำแหกกฎโรงเรียนทุกข้ออะไรพวกนี้ป่าว ผมพูดประชดแรงไปนิด
จนดูปิงมันหน้าเจือนไปเล็กน้อย

“ แล้วมันคือเพื่อนพวกไหนหว่า ? ” ผมก็ถึงบางอ้อว่า ตอนที่ผมกำลังว่าเมื่อกี้นี้ พวกไอ้เต้ย
มันเดินมาด้านหลังพอดี แล้วก็คงได้ยินที่ผมพูดนั่นล่ะ แล้วดูท่าทางมันจะรู้ว่าผมกำลังจะว่ามัน

“ ก็พวกมึ - - โอ้ย ” ผมร้อง เพราะไอ้ปิงเอาฝ่าเท้ามาเหยียบเต็มแรง

“ พวกโน้น ” ไอ้ปิงมันทำท่าชี้นกชี้ไม้

“ก็ … แล้วไป ” ไอ้เต้ยบอก แต่สายตามันยังคงแสดงความเคืองอยู่ ผมก็ทำหน้าไม่ค่อยพอใจ
มันนิดหน่อย ก่อนจะพยายามเดินเลี่ยงออกไป แต่ปิงกะไอ้เต้ย มันก็ยังคุยอะไรกันอยู่

“ เฮ้ย ปิง เข้าคาบมานานแล้วนะมึง รีบไปเหอะ เดี๋ยวโดน ” ผมเร่ง

“ เออๆ รอแป้บ กูคุยกับมันก่อน ” แล้วมันก็เดินไป ซุบซิบกันไป ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่า
มันคุยไรกัน แต่ไว้ค่อยถามไอ้ปิงทีหลัง แต่ …

“ เธอ 3 คนตรงนั้นน่ะ ทำไมไม่เข้าห้องเรียน มานี่ซิ ” เสียงอาจารย์ที่ผมไม่ค่อยคุ้นหูนัก
(เพราะไม่ค่อยมีเรื่องอะไรกะแก) แต่เหมือนว่าไอ้เต้ยกับปิงจะรู้จักดี พวกเราหันกลับมาต้นเสียง
เจออาจารย์หญิงคนนึง เจ๊อาจารย์คนใหม่นั่นเอง ซวยแล้วผม

“ พวกเธอรู้มั้ย นี่มันคาบอะไรแล้ว และที่สำคัญที่โรงเรียนนี้ ไม่อนุญาตให้เด็กทั้ง ม.ต้น ม.ปลาย
ออกมาเดินเรี่ยราด โดยเฉพาะตอนเข้าคาบเรียนแล้ว ” เธอพูดต่อไปด้วยเสียงอันแหลมปี้ด จนผมชัก
รู้สึกรำคาญ

ดูเหมือนไอ้เต้ยจะไม่ค่อยสะทกสะท้านเท่าไรกับคำพูดของเจ๊แก ผิดกับผมกะไอ้ปิงที่ยืนก้มหน้านิ่งฟัง
คำเทศนา จนเหมือนว่าจะสะใจแล้ว

“ ถ้าชั้นยังเห็นว่าพวกเธอยังยืนยืนด้อมๆมองๆอะไรในขณะที่คนอื่นเค้าเรียนหนังสือกันอยู่นะ ได้เจอ
กันแน่เสียเวลามากพอแล้ว ไป - - ”

“ ก็ที่เสียเวลาเพราะต้องฟังใครบ่นล่ะ ” เต้ยพูดแทรกขึ้นมาในประโยคสุดท้าย จนผมรู้สึกว่ามันเป็น
การราดน้ำมันบนกองไฟชัดๆ

อาจารย์คนใหม่อี้งไปพักนึง รวมทั้งผมกับปิงด้วย เพราะว่านอกจากเถียงเค้าไปแล้ว ไอ้เต้ยมันยังจ้องหน้า
อาจารย์เค้าแบบท้าทายอีกต่างหาก

แบบนี้มันโยนระเบิดแถมขี้เข้าไปด้วยนี่หว่า ?

“ ไอ้ – ตู๊ดๆ - เมื่อวานสิ่งที่สั่งสอนไปที่ห้องปกครอง คงจะไม่ได้แทรกซึมลงสมองเลยซิ ” อาจารย์
ตะโกนด้วยความโกรธลั่นถนน พลางหันมาทางผมสองคน

“ เธอสองคนไปได้แล้ว - - - ส่วนเธอ ตามไปห้องปกครอง เดี๋ยวนี้ .. ”
พูดเสร็จก็เดินหันหลังเข้าห้องไป

“ มึงไม่น่าพูดแบบนั้นกับเค้า ” ปิงบอกเต้ยที่ยังทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“ โดนแบบนี้ยังทำหน้าแบบนั้นอีกนะ ” ผมพูดลอยๆ แต่ดูท่าทางมันจะสนใจ

“ ทำไมล่ะ กูพูดเรื่องจริงมั้ยล่ะ ถ้าเค้าไม่มัวบ่นยืดอยู่แบบนี้ ก็ได้เข้าเรียนกันแล้ว ”
มันพูดกับไอ้ปิงเสร็จ แล้วก็หันมาทางผม

“ ที่พูดแบบนั้น เป็นห่วงเหรอ ” มันทำหน้าแบบกวนตีนใส่ผมอีก พลางเดินกะหย่อง
กระแหย่งไปที่ตึกเรียน

“ อ้าว ไอ้เต้ย ห้องปกครองอยู่ทางนี้ ” ปิงเตือน

ไอ้เต้ยหันมาทางผมสองคน แล้วเอามือแตะปาก เชิงให้พวกผมเงียบไว้ แล้วจะดีเอง

วันรุ่งขึ้นไม่แปลกที่ผมจะได้ยินเสียงเรียกไอ้เต้ยตามระเบียบ ระหว่างทำกิจกรรมเคารพธงชาติ
และก็เห็นไอ้แสบเดินเข้าไปที่ห้องปกครอง โดยมี อาจารย์ใหม่ เดินยิ้มอย่างมีชัยตามหลังไป

“ กูไม่ชอบขี้หน้าวะ ” ไอ้ปิงบอกกับผม ขณะที่เรากำลังเดินเข้าเรียน

รู้มั้ย ยายป้านั่นเค้าจะยุบชมรมยูโดแล้วด้วย ” ไอ้ปิงทำหน้านิ่ว

“ เอ๋ .. !? ทำไม ”

“ เพราะเค้ารู้ว่าไอ้เต้ย มันเป็นรองฯชมรมอะดิ - - หยุดทำหน้าประหลาดใจแบบนั้นซะ
ทีเถอะ ขอที” ไอ้ปิงบอกผม

“ ไอ้เต้ยเนี่ยนะ” ผมถาม

“ อืมดิ ไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับว่า มีสติปัญญาอย่างเดียวนี่หว่า เค้าดูที่ความสามารถ”
ไอ้ปิงบ่นใส่ผม

“ เหรอ ” ผมว่าอย่างไม่ค่อยใส่ใจเท่าไร “ ยุบก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ”

ไอ้ปิงหันมาหาผมด้วยสีหน้าโกรธๆ “ มึงจำไม่ได้ใช่ม่ะ … กูก็อยู่ชมรมนี้ด้วย (โว้ย) ”

แล้ววันนั้นทั้งวัน มันไม่เข้ามาคุยกับผมอีกเลย …

* * * * * * * * * * * *

“ โอ้ต เนี่ยเค้าให้ไปลงชื่อคนที่จะไปแคมป์กันแล้วนะ ” เมย์เดินมาบอกผม ตั้งแต่ปล่อยแถว
วันนี้เป็นวันแรกที่เปิดให้ลงชื่อไปแคมป์ที่ประจวบฯ

ผมทำสีหน้าอ้ำอึ้งเล็กน้อย แล้วหันไปมองเพื่อนรัก ที่ทำหน้าตาว่า ไปเหอะ

“ ขอเราคิดดูอีกหน่อยได้มั้ย ” ผมว่า สีหน้าแสดงถึงความไม่อยากไปที่สุด

“ ไม่ได้แล้วโอ้ต” เธอแห้วใส่ผม รอนานกว่านี้ เดี๋ยวคนก็เต็มกันพอดี

“ โอ้ตสัญญากับเราไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะไปด้วย” เธอทำเสียงอ่อน จนผมเห็นว่าไม่มี
ทางเลี่ยง

“ไปก็ไป ” ผมพูดแบบสั่วๆ “ แต่มึงต้องไปกะกูด้วยนะไอ้ปิง” ผมรีบหันไปลากมันมา

ไอ้ปิงทำหน้าตาเหลอหลาชี้มือไปที่หน้ามัน

“ เกี่ยวไรกะกูอะ กูไม่ได้อยาก - - ” ผมรีบเอามือไปอุดปาก พลางบอกเมย์

“ งั้นเมย์ไปใส่ชื่อเรา กะปิงได้เลยนะ ” ผมบอกพร้อมกับกดล็อกคอไอ้ปิง ไม่ให้พูดอะไรไปพลาง

เมย์ดูท่าทางหน้างอนิดหน่อย เพราะเธอคงไม่อยากให้เพื่อนผมไปด้วยเท่าไร แต่ก็ทำตามที่บอก
เมื่อผมยืนยันว่า จะไม่ไปไหนถ้าไอ้ปิงไม่ไปกับผมด้วย

“ มึงก็รู้ว่ากูไม่ค่อยมีตังค์ ” ไอ้ปิงแห้วใส่ผม “แล้วกูต้องอ่านหนังสืออีกนะ ”

“ มึงตอแหลมาก คิดเหรอว่าจะมีใครเชื่อว่ามึงจะอ่านหนังสือ” ผมบ่นกับมัน “ ถ้ากูไปกูก็ต้อง
ไปนอนกะไอ้คนไม่สนิทดิ กูไม่ชอบ”

“ มึงก็นอนคนเดียวดิ เดี๋ยวเมย์มันมุดเข้าเต้นมึง กูขี้เกียจออกไปนอนที่อื่น”

“ มุดป้ามึงดิ ” ผมชักเคืองที่มันล้อผมกับเมย์บ่อยไปแล้ว

“ ไปคราวนี้ กูจะบอกเมย์ว่ากูไม่ได้ชอบเค้า ” ผมบอกด้วยความมาดมั่น

ไอ้ปิงผิวปากเบาๆ แล้วพูดเหมือนกับคำว่า แล้วกูจะคอยดู

เหมือนกับว่าวันเวลาที่ไม่อยากให้มันถึง มันมักถึงก่อนที่เราจะรู้ตัวเสมอ วันก่อนออกเดินทางไป
แคมป์ ผมรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็ก เพราะยังไม่ได้เตรียมข้าวของอะไรเลย ไอ้ปิงซะอีกที่ดูเหมือนจะ
เตรียมพร้อมกว่าผม จนเมื่อผมพูดว่า ยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย พร้อมกับถามมันว่าจะเอาอะไรไปดี
มันก็ทำหน้าปั้นยาก พร้อมกับจดอะไร
ขยุกขยุกใส่มือผม ผมตั้งหน้าอ่าน

“ มึงจะให้กูเอาถุงยางไปทำไมวะ ” ผมบอกอย่างเคืองๆ

“ เอากันไปไว้ก่อนไงมึง เผื่อว่ามันจะมีอะไร - - ”

“ มันไม่มีอะไรทั้งนั้นละ ” ผมพูดตัดบท

“ มึงไม่เอาไป แต่กูเอาไปนะ เผื่อฟลุค แล้วไงเจอกันพรุ่งนี้ ”

“ เออ …” ผมว่า

เช้ามืดวันรุ่งขึ้น ผมตื่นนอนด้วยความเพลียจัด อาจเป็นเพราะผมเกือบไม่ได้นอนเลยเมื่อคืน
เพราะมัวแต่กังวลอะไรบ้าบอ ซึ่งเป็นนิสัยผมก่อนจะเดินทางไปไหนเสมอๆ

“แม่ผมไปนะครับ” ผมพูดพลางยกมือไหว้

“ไปไหว้คุณท่านบนเรือนก่อนไปนะโอ้ต ”

“ครับ” ผมรับคำ แล้วก็รีบวิ่งขึ้นไปบนเรือนใหญ่ กว่าจะได้รับการประสาตพรเสร็จก็นานโข

พอมาถึงโรงเรียนปั๊บ ก็ต้องขึ้นเรียนก่อนครับ เพราะว่ารถไฟจะออกตอนเที่ยง ตอนเช้าว่าง ก็เลย
ต้องให้ขึ้นเรียน ทั้งหมดทั้งมวลเป็นคำสั่งการของเจ๊รองฯปกครองนั่นแหละ

ถึงเวลาเที่ยง ก็มีประกาศให้นักเรียนที่จะไปเข้าค่ายลงมาเข้าแถว เพื่อเตรียมตัว เดิน ไปที่สถานีรถไฟ
พูดไม่ผิดหรอกครับ เดินไปจริงๆ หนนี้เราเดินทางโดยรถไฟ เพราะว่ามันสะดวกกว่า แล้วก็ได้
อรรรสด้วยครับ ส่วนสถานีรถไฟกับโรงเรียน ก็ไม่ห่างกันมากมาย ประมาณ กิโล สองกิโล ส่วน
ไอ้ปิงมันโดดคาบเช้า พึ่งเดินหอบของเข้ามาในโรงเรียนกับไอ้เต้ย เพื่อมาเช็คชื่อก่อน

“ นี่ไปแค่ 2 คืนนะ มึงจะย้ายบ้านเหรอ ” ไอ้ปิงแซวผมเมื่อเห็นผมหิ้วของเยอะกว่ามัน
นิดหน่อยเอง

“ ถ้ามึงหนาว ไม่ต้องมาขอผ้าห่มกูเลยนะ ” ผมชักสีหน้า

ตุ๊บบบบบ

มีใครมาตบหลังผมอย่างแรง จนต้องงหันกลับไปกำลังจะซักหมัด

“ดี จะย้ายบ้านไปอยู่ประจวบฯเหรอไง ” ไอ้ – เต้ย – เข้ามาทักผม โอ้ว นี่ผมอุตสาห์มาเที่ยว
ต่างจังหวัดแล้ว
มันยังตามมาราวีไปด้วยเหรอเนี่ย !?

หึหึ มันหัวเราะพอใจในท่าที

รองฯ ก็ไปด้วยนะเฟ้ย มันว่าพลางชี้นิ้วไปที่เด็กนักเรียนที่กำลังแบกสัมภาระมากมายของรองฯ
ปกครองขึ้นรถ (รองฯมีรถของโรงเรียนไปส่งที่สถานี) ก่อนท่านจะก้าวขึ้นบนรถ ก็กล่าวโอวาท
ซักเล็กน้อย

“ หวังว่า พวกเจ้าปัญหาทั้งหลาย คงไม่ก่อเรื่องอะไรให้เสื่อมเสียชื่อเสียงอีกล่ะ ไม่อย่างนั้น …. ”
เธอเว้นช่วงทีนึง

“ จะโทษว่าโหดร้ายไม่ได้นะ ” พูดเสร็จก็หันหลังกลับไป ไอ้เต้ยทำท่าเหมือนจะแกล้งถีบหลัง แต่เมื่อ
ท่านรู้สึกผิดปกติ หันกลับมา ไอ้เต้ยก็กลับไปในท่าเตรียมพร้อมเหมือนเดิมเรียบร้อย

เราใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมงในการเดินไปที่สถานี รวมถึงจัดแถวเพื่อเตรียมรอขบวนรถไฟที่กำลังจะมาถึง
เมื่อเด็กนักเรียนขึ้นรถไฟด้วยความรีบร้อนเป็นที่เรียบร้อย ก็ออกเดินทาง จากอำเภอเมือง ผ่านอำเภอ
ต่างๆของจังหวัด ผ่านชะอำบ้านผม แล้วก็เรื่อยมาจนถึงสถานีหัวหิน … สถานีนี้เอง พวกผมเกือบตกรถไฟ
เพราะรีบสั่งผัดไท แล้วยื่นตัวออกนอกรถขณะเริ่มแล่น

“ เกือบตายแล้วมั้ยกู เพราะความอยากกินแท้ๆ - - ไอ้เต้ย มึงไม่ต้องมาแย่งกูเลย ” ปิงว่าพลาง
ถองไอ้เต้ยไปไกลๆ ผัดไท

สนิทกันจังนะพวกมึงเนี่ย ผมคิดในใจ หูก็ฟังซาวอเบ้าส์ที่เอาด้วย สายตาก็ทำทีมองออกไปทาง
หน้าต่างรถ พอเห็นพวกมันคุยเล่นหัวอะไรกันเฮฮา ก็อดอยากจะร่วมแจมไม่ได้ ถ้าไม่มีไอ้เต้ยล่ะ
ก็ ……

พอมาถึงสถานีนึง ก็มียายคนนึงเดินเข้ามาในตู้ของพวกผม

“ ยายๆ จะไปไหนเหรอครับ ” ผมถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นแกเริ่มกระวนกระวาย

จนเมื่อรู้ว่ายายผู้น่าสงสารขึ้นรถขบวนผิด โชคยังดีที่รถยังไม่ออก เพียงแต่ยังหาตู้ที่จะต้องขึ้น
นั้นไม่เจอ

“ ยาย เดี๋ยวไปกับผมดีกว่า ” เต้ยว่า พลางลุกขึ้นจูงเหมือนหิ้วยายลงจากขบวน

“ เฮ้ย ไอ้เต้ย รถไฟจะออกแล้วนะเว้ย ” ไอ้ปิงเตือน พลางทำหน้าไม่สบายใจ

“ เออ กูไปแป็บเดียว เด๋วมา มึงบอกอาจารย์ด้วยล่ะกัน ” ว่าแล้วก็เดินหายไปเลย

* * * * * * * * * * * *


ปู้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน ....... 

เสียงหวูดรถไฟร้องออกมา พร้อมกับใจที่กระวนกระวายของผมสองคน (จริงๆก็คือไอ้ปิงคนเดียว)
ถ้ามันกลับมาไม่ทันจะทำยังไง ถ้าอาจารย์รู้เข้า ทั้งๆที่มีกฎไม่ให้นักเรียนลงจากรถไฟ อะไรจะเกิดขึ้น

“ โอ้ต กูว่ากูลงไปตามมันดีกว่า” ปิงมันทนไม่ได้พูดขึ้นมา พร้อมทำท่าจะลง

“ เฮ้ย อย่านะเว้ย “ ผมรีบห้าม “ ถ้าไปอีกคนแล้ว เกิดสวนกันจะว่าไงวะ รออยู่นี่แหละ ”

“ แต่ระ รถ ไฟมันจะออกแล้วนะ “ ปิงบอก “ อย่างน้อย กูว่าไปบอกอาจารย์ก่อนดีป่ะ เผื่อว่า - - ”

“ รู้สึกว่านักเรียนกลุ่มนี้จะก่อเรื่องอีกแล้วซินะ ” เสียงแหลมปี้ดดังขึ้นด้านหลังผม เป็นใครไปไม่ได้
นอกจาก เจ๊รองฯสุดโหด ผมยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเค้าชอบมายุ่งกับพวกไอ้เต้ยนัก

“ ไหนว่ามาซิ ใครก่อเรื่องอะไร - - ”

“ ไม่มีใครก่อเรื่องอะไรเลยครับ ” ไอ้ปิงชิงพูดขึ้นก่อน คนอื่นๆที่อยู่ในตู้ก็พยักหน้าเป็นเชิงรู้กัน

สายตาอาจารย์หรี่ลงอย่างเห็นได้ชัด ว่าไม่เชื่อคำพูดของเพื่อนผม พลางกวาดสายตาไปรอบตู้โดยสาร

“ นาย - ติ๊ด - ไม่อยู่ ” เธอพูดเสียงดัง เหมือนจะจ้องจับผิดไอ้เต้ยอยู่ก่อนแล้ว

“ มันไปไหน !? ” อาจารย์ถามย้ำ

พวกเรามองหน้ากันเลิ่กลั่ก ภายในตู้เกิดความตึงเครียดขึ้นทันที

“ เออ มันไปหาเพื่อนตู้อื่นครับ ” ผมบอก

“ไม่ได้แจ้งเหรอว่า ในระหว่างเดินทาง ไม่ให้ใครก็ตามย้ายก้นออกจากตู้ของตัวเอง ” ว่าพลาง
หันมามองผม ซึ่งกำลังจะอ้าปากเถียง “ หรือว่าเธอมีอะไรจะบอก “

“ เออ ... ไม่มีอะไรครับ ” ผมตอบ แต่สายตาผมยังคงจ้องมองเธอด้วยความโกรธ ผม
เชื่อว่าถ้าผมบอกความจริงว่าไอ้เต้ยพาคนแก่ที่พลัดหลงมาขึ้นตู้เราไปส่ง คงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่
จะไม่ให้อาจารย์ไร้เหตุผลคนนี้ลงโทษมัน

“ แล้วมันไปไหน ” อาจารย์หน้าคางคกยังคงถามย้ำ

“ ก็บอกว่าเค้าไปหาเพื่อนตู้อื่นไง - -” ผมตอบเสียงขุ่น “ - - ครับ”

อาจารย์มองหน้าผมที่ทำเสียงแบบนั้นใส่

“ เธอรู้มั้ยว่าการโกหก เพื่อปกป้องเพื่อนเนี่ย โทษที่ได้รับมันก็มากพอๆกันนะ ” เธอขู่

“ แต่ถ้าไม่ได้ทำ ทำไมผมต้องใส่ใจด้วยล่ะครับ ” ผมตอบ พลางรู้สึกไม่ค่อยเชื่อตัวเองที่กล้า
เถียงอาจารย์ไร้สาระคนนี้

“ ถูกต้องแล้วเพื่อนเอ๋ยยย .. ” เสียงไอ้เต้ยดังขึ้นมา พร้อมกับตัวมันกำลังเดินมาจากตู้ด้านหน้า

“ เห็นไหมครับ อาจารย์ บอกแล้วว่ามันไปตู้อื่นมา ” ไอ้ปิงพูดขึ้นสำทับ

“ ใครให้เธอเดินไปตู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ” เธอถามด้วยอารมณ์ออกจะโกรธๆ เมื่อรู้สึกว่า
ตนเองจนมุม

“ ก็จะขออนุญาตใครละครับ ก็ในตู้ก็มีแต่นักเรียน ไม่มีอาจารย์คุมซะหน่อย ” ไอ้เต้ยบอกเสียงใส

ริมฝีปากอาจารย์กลายเป็นเส้นบางๆ พร้อมกับถามคำถามสุดท้าย

“ แล้วเธอมีธุระจำเป็นอะไรถึงต้อง ฝ่าฝืนคำสั่ง !! ” เธอถามเสียงแหลมปี้ด เหมือนกับต้องการ
เอาความผิดให้ได้

“ ของส่วนตัวครับ ” ไอ้เต้ยตอบหน้ากวนตีน “ ผมคิดว่า อาจารย์คงเข้าใจคำว่า – ส่วนตัว-
นะครับ ”

ริมฝีปากอาจารย์บิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ พร้อมกับความรู้สึกสะใจของนักเรียนที่ได้ยิน

“ แล้วเก็บคำตอบของแก ไปพูดให้หัวหน้าระดับฟังแล้วกัน ” ว่าพลางเดินลงส้น
กลับไป เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเธอสะกดอารมณ์ไว้ไม่อยู่ถึงขั้นเรียกนักเรียนว่า –แก- แต่ความ
รู้สึกสะใจในชัยชนะของพวกเราทำให้ไม่ได้แคร์หยาบคายคำนั้นเท่าไร

“ ยายเป็นไงมั่งไอ้เต้ย ” ปิงถาม

“ ส.บ.ม.ย.ห. กูระดับไหนแล้ว ” ไอ้เต้ยคุยโว

“ แล้วก็ทำให้คนอื่นเกือบเดือดร้อนด้วยนะ ” ผมบอก พลางเดินไปนั่ง

ไอ้เต้ยทำเป็นไม่ได้ยินที่ผมพูด พลางเดินไปคุยกับไอ้ปิง พร้อมกับหันมามองผมเป็นระยะๆ
เป็นอันแน่นอนแล้วว่า สิ่งที่ผมเถียงกับอาจารย์ไปเมื่อครู่นี้ ไอ้เต้ยมันได้ยินมาตลอด

ผมกลับมาคิดว่า กูไม่น่าไปปกป้องกันคนห่าแบบนี้เลย ให้ตายซิ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [10-4-12] Part 2
«ตอบ #63 เมื่อ10-04-2012 20:52:19 »

*****************************************************************************
ไม่เสียใจที่รักเธอ ของสุเมธ  & เดอะปั๋ง
http://www.youtube.com/v/CYckmfra_aQ?version=3&hl=th_TH
******************************************************************************

บรรยากาศกลับสู่ความสงบอีกครั้ง พร้อมกับเสียงหวูดรถไฟ ที่เริ่มเคลื่อนที่ พาเราไปสู่จุดหมาย ...

“มึงสองคนอะ เคยฟันหญิงมามั่งป่ะ” อยู่ๆไอ้เต้ยก็พ่นคำถามไร้สาระออกมาให้ผมกับไอ้ปิงตอบ
ระหว่างที่เราสามคนกำลังนั่งรถไฟผ่านสถานีหัวหิน

“เหอะ มึงคิดไงถามแบบนี้วะ”

“ไม่มีอะไรจะคุยแล้วเหรอไง - - ” ผมกำลังจะแขวะมัน แต่ไอ้ปิงมันดันสะกิดผมไว้ก่อน

“กูยังไม่เคย” ไอ้ปิงบอก ส่วนผมส่ายหน้าแทนคำตอบ

“โห พวกมึงอะ อ่อนหว่ะ” ว่าพลางลุกขึ้นยืน เหมือนจะโชว์พาวฯ “ม.ปลาย แล้วนะพวกมึงอะ
ยังจะเก็บความบริสุทธิ์กันไว้อีกเหรอวะ” ได้ทีมันรีบข่มใหญ่

“มึงพูดแบบนี้แสดงว่ามึงลองมาแล้วอะดิ” ไอ้ปิงถามแบบอยากรู้อยากเห็นสุดๆ

ไอ้เต้ยทำหน้าตากวนตีนแทนคำตอบ พลางยกนิ้วโป้งขึ้นมา “ครั้งแรกอะ หยั่งงี้เลยมึงเอ้ย .... ”

“มันยังไงวะ ไอ้หยั่งงี้ของมึงเนี่ย ”

“ไอ้เชี่ยปิง จะให้กูพูดได้ไง มึงต้องลองเองเว้ย มันถึงจะเข้าใจ”

“กูได้ยินมาว่า ครั้งแรกของผู้ชาย มันก็เจ็บเหมือนกัน แล้วมันจริงป่าววะ” ไอ้ปิงยังคงใคร่รู้ต่อ

“เฮ้ย จ่ง เจ็บห่าไร ไม่เห็นมันเจ็บไรเลย” ไอ้เต้ยตอบแบบอวดรู้ “กูอะ เสียวอย่างเดียวโว้ย”

“อ้าว เหรอวะ”

“เออ แต่กูเคยลองเสียวอีกแบบนะเว้ย มันส์กว่าอีกว่ะ” ไอ้เต้ยพูดพลางลูบมือไปมา จ้องหน้า
ไอ้ปิง

“อะไรวะที่มึงว่าเสียวกว่าเอาเมียมึงเนี่ย”

“ปิง มึงจะเอาคำพูดเพ้อเจ้อไปใส่หัวมึงทำไมวะ กูว่ามันตอแหลชัวว์” ผมด่ามัน

“อะไรนะ !! มึงว่ากูตอแหลเหรอเนี่ย” ไอ้เต้ยทำท่าจะเอาเรื่องผม

“มึงอิจฉากูใช่ม้า ... มึงไม่เคยเรื่องแบบนี้ เลยชอบจับผิดกูเนี่ย”

“กูไม่เคยคิดจะยุ่งเรื่องของมึงเลยนะ” คราวนี้ผมลุกไปยืนประจันหน้ากับมันบ้าง
(เอาซิมึง กูก็สู้คนนะ)

“เฮ้ย พวกมึงสองคนอะ จะทะเลาะกันทำซากไรวะ เพื่อนกันทั้งนั้น” ไอ้ปิงเป็นกรรมการ
แยกเราสองคนให้ออกห่างกัน

“ถ้ามึงขืนต่อยกันตรงนี้นะ เด๋วแม่มึงก็ได้มาเฉ่งเอาหรอก เรื่องเมื่อกี้ยังไม่ทันไรเลยมึง...ไอ้เต้ย”
ว่าแล้วมันก็หันไปว่าอริผม ผมก็ยิ้มเย้ยไอ้เต้ยซะเลย

“มึงด้วยโอ้ต ” มันหันมาด่าผมอีกคน

“นี่มึงจะว่ากูด้วยเหรอ” ผมถาม

“มึงอะ ชอบไปยั่ว กวนประสาทมัน กูขอเหอะ เลิกซะทีได้ป่ะ” มันว่าแกมขอร้องผม

“เฮ้ย พวกมึงเสียงดังกันจัง เตรียมเก็บของกันได้แล้วโว้ย จะถึงสถานีหน้าแล้ว” ไอ้ท็อปที่อยู่อีก
ตู้นึง วิ่งมาบอกพวกเรา และในเมื่อรถไฟหยุดสนิทที่สถานี ผมก็รีบกุลีกุจอก้มลงหยิบกระเป๋าลง
จากรถ ไอ้เต้ยคงเห็นผมงุ่มง่ามอยู่ จึงได้เข้ามาชนข้างหลังผม

“ไอ้นี่ หาเรื่องกูอีกแล้วนะ” ผมสบถออกไป พร้อมกับพยายามทรงตัวยืนขึ้น

“เฮ้ย พวกมึงอะ รีบๆเดินลงดิวะ อย่าขวางทางอยู่” ไอ้พวกที่ยังไม่ได้ลงรถไฟบ่นใส่ผมสองคน
ที่ทำท่าจะออกศึกกันอีกแล้ว

“เออ ลงแล้ว” ผมก็ต่อแถวพวกเดินลงมา ไอ้เต้ยก็เข้ามาต่อข้างหลังผม ไม่มาต่อเปล่า ดันเบียด
เข้ามาอีก

“มึงจะดันมาทำไมวะ” ผมเริ่มไม่พอใจมัน เพราะมันไม่ยอมเลิกซะที และมันก็ยังดันๆเข้ามาจน
ผมไปติดกับไอ้คนข้างหน้า

“มึง - - จะ - - ดัน - - มา - - ทำ - - ห่า - - อะ - - เฮ้ยยย”

มันดันมาจนผมก้าวพลาดตกจากบันไดรถไฟมากองอยู่กับพื้นสถานี

“อุ๊กก ... ” เสียงผมร้อง และ

“แอ๊กกกก ... ” แล้วก็ต้องร้องอีกครั้ง เมื่อร่างไอ้เต้ยหล่นลงมาทับผม

“ไอ้รัญ ตัวมึงโคตรนิ่มเลยหว่ะ กูหล่นลงมาเลยไม่เจ็บอะ ”ไอ้เชี่ย มันพูดจีบปากจีบคอเฉยเลย
ทั้งๆที่ตัวมันทับผมอยู่ มันแกล้งผมอีกแล้ว ไอ้สัด

ผมพยายามจะลุกขึ้น เพราะความอายเริ่มถาโถมเข้ามาในจิตใจแล้ว แต่ด้วยแรงกดทับของไอ้เต้ย
ทำให้ยกตัวขึ้นได้นิดเดียว และไม่ทันคาดคิด !! ในขณะที่มันยังไม่ได้ลุกจากที่ทับผมอยู่
แว่บเดียวก็ขยับปากมันมาขบที่ต้นคอจนผมสะดุ้ง แล้วมันก็ฝากคำพูดเอาไว้

“ชอบยั่วกูดีนัก อย่าให้กูจับได้นะมึง ไม่รอดแน่ !! ” แล้วมันก็ลุกออกจากตัวผม

“อ้าว มึงลงไปกองทำไมอยู่ตรงนั้นอะ” ไอ้ปิงเดินเข้ามาหา พร้อมกับส่งมือให้ผมจับ
พยุงตัวขึ้นมา ผมลูบที่คอเบาๆ ไอ้เต้ยหลังจากที่ลุกขึ้นแล้วก็เดินไปสมทบกับที่ห้องของมัน

“ทะเลาะกันอีกเด๊ะเนี่ย” ไอ้ปิงว่า

“ทะเลาะกันเหมือนผัวเมียกันเลยนะมึงสองคนเนี่ย”

“มึงเก็บปากไว้แตกหน้าหนาวดีกว่า ... ไอ้ปิง มึงเข้าข้างแต่เพือนมึง ไม่เคยเข้าข้างกูเลย ”
ผมด่า มันพลางกับทำท่าไม่พอใจอย่างแรง เดินไปขึ้นรถสองแถวเพื่อเดินทางต่อ

* * * * * * * * * * * *

มีเพลงเปิดประกอบฮะ สนใจก็ก๊อป url นี้ปายเปิดอีกหน้าต่างโลด โหลดนานนินึงนะคับประมาณ
600 กว่า k www.swn.ac.th/be.swf

*******************



กว่าจะถึงแคมป์ ชาวคณะยังต้องเดินเลาะเขาไปอีกนึงลูก ก่อนจะถึงบริเวณที่พัก (ไอ้ปิงปลอบว่า
ให้นึกว่า นี่กำลังซ้อมย่อย ตอนไปเข้าค่ายร.ด.) ตอนเราไปเป็นช่วงกลางเดือนธันวาพอดี
ประกอบกับแดดที่ไม่ร้อนมาก ทำให้การเดินทางเป็นไปได้โดยไม่มีใครเป็นลม (จะมีก็แต่อาจารย์
เน่าๆ บางคนที่บ่นตลอดการเดินทางและสาบานว่า ครั้งหน้าหรือครั้งไหนก็จะไม่มาอีกแล้ว
ทำให้เด็กๆยินดีปรีดาอย่างยิ่ง) 

“เฮ้ย ทะเลสวยจังหว่ะ ดูเด๊ะ ” ปิงชี้ไปที่อาณาเขตที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา สีเทาของท้องฟ้าใน
ฤดูหนาว ตัดกับสีน้ำทะเล พร้อมกับเกลียวคลื่นกำลังม้วนเข้ามาหาฝั่ง

“กูเห็นแล้ว” ผมตอบกลับ พลางสูดอากาศเข้าเต็มปอด ในเมืองไม่มีทางที่จะได้รับความรู้สึก
แบบนี้แน่นอน

“ข้างหน้ามีทะเล ข้างหลังมีภูเขา สุดยอดเลยอะ” ถ้าใครเคยไปหาดประจวบ มีอยู่สถานที่นึง
ที่เป็นแบบนี้ ถูกกกก ผมหมายถึงถ้ำพญานครนั่นเอง

“มึงพูดเหมือนกับว่า มึงไม่เคยมาทะเลงั้นแหละ ปิง” ผมค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งกับพื้นทราย

“มึงก็เว่อร์ไป กูแค่ชอบทะเลเป็นพิเศษก็เท่านั่นแหละ” ว่าแล้ว มันก็วิ่งไป หัวเราะไปที่ริม
ชายหาด แล้วก็ก้มลงไปเก็บอะไรซักอย่างขึ้นมาดู แล้วก็เอามาแนบหู พร้อมกุลีกุจอเข้ามาหาผม

“อะนี่” มันยืนเปลือกหอยอันใหญ่ให้ผม

“หอย ?? ” ผมกำลังสงสัยว่ามันเอามาให้ทำไม

“มึงลองเอาแนบหูดิวะ - - ไม่ใช่แนบแบบนั้น มานี่ กูถือให้” ว่าแล้วมันก็เอา (เปลือก)
หอยมาแนบที่หูผม

“คราวนี้มึงก็ลองหลับตาดู”

“หลับตาแล้วจะดูได้ไง ไอ้บ้า”

“เด๋วกูต่อยสลบ เออ มึงหลับตาเร็วเด๊ะ” อะ ผมก็ลองหลับตา

“มึงได้ยินเสียงอะไรม่ะ ... ” มันถามผม

“ กำลังฟังอยู่” ผมบอกมัน พลางจับมือมันให้แนบ(เปลือก)หอยให้ชิด จนมืออุ่นๆ ของ
มันมาจับแก้มผม

“เสียงอะไรกูก็บอกไม่ถูกเหมือนกันหว่ะ แต่กูรู้สึก .... อืมม” ผมพยายามอธิบายเสียง
ที่ได้ยิน

ผมยืนหลับตาซักพักโดยมีไอ้ปิงซึ่งกำลังถือเปลือกหอยแนบหูผมอยู่ข้างๆ …เวลาในขณะนั้นเหมือน
กับหยุดลงชั่วขณะ เหลือเพียงเสียงคลื่นที่เข้ามากระทบฝั่ง เสียงลมหายใจของผม และเสียงลมหายใจ
ของไอ้ปิง อะไรบางอย่างที่ก่อตัวอยู่ในส่วนลึกของผมกำลังกระซิบบอกบางสิ่ง ผมสะดุ้งลืมตาขึ้นมา
เมื่อปิงชักมือกลับ แล้วบอกกับผม

“แม่กูบอกว่า มันเป็นเสียงของทะเล มึงฟังซิ เหมือนมึงได้ยินเสียงคลื่นป่าว ”

มันยิ้มเมื่อผมทำหน้างงกับคำว่า เสียงของทะเล

“มึงไม่ต้องทำหน้างั้นหรอก กูก็บอกไม่ถูกว่า มันแปลว่าอะไรอะนะ แต่ถ้าลองเอาเปลือกหอยมา
ฟังแบบนี้.. ”แล้วมันก็ทำท่าฟัง แล้วหลับตา

“กูก็จะได้ยินเสียงของทะเล” มันยิ้มแบบเขินๆ เมื่อผมจ้องมัน

“โห โรแมนติก”

“กูก็เป็นของกูแบบนี้มานานแล้ว มึงไม่รู้เหรอไง” มันบอกผมเหมือนกับว่ามันกำลัง - -

“แล้วก็ขี้น้อยใจด้วยนะมึงอะ ทำไมกูจะไม่รู้” ผมยิ้มแซวมัน

“คา-รวย มึงอะ ก็รู้แต่ข้อเสียของกูทั้งนั้นแหละ ไอ้โอ้ต”

“ก็มึงน่าจะดีใจนะ ที่กูรู้ข้อเสียของมึงแล้วคบกะมึง ไม่ใช่เพราะว่าเห็นแต่ข้อดีจึงคบมึงอะ ”

ผมบอกพลางคว้าสัมภาระ วิ่งไปที่แคมป์ หลังจากได้ยินเสียงอาจารย์เรียกรวมพล เพื่อทำกิจกรรมกัน
ในคืนนี้

กิจกรรมภายในแคมป์คืนแรก หลังจากที่แบ่งที่พักให้พวกผู้ชาย นอนในเต้น และผู้หญิงได้นอนใน
บ้านพักแล้ว (ลำเอียงโคดๆ) ก็ตามมาด้วยการกินข้าวเย็น และมาลงท้ายที่กลางสนาม พร้อมกับ
อากาศที่พอเริ่มดึก ก็ยิ่งหนาว

“โอ้ต มีเรื่องคุยด้วยหน่อย” ปิงวิ่งมากระซิบกับผม (ผมกะมันไม่ได้อยู่กลุ่มซึ่งแบ่งเป็นประเทศๆ
เดียวกัน)

“นี่ มึงพูดภาษาอังกฤษซิ เดี๋ยวอาจารย์เค้ามาหักคะแนนกลุ่มกูหรอก” ผมบอกอย่างเคืองๆ

“ภาษาไทยนี่แหละมึง” ไอ้ปิงพูดไปหอบไป

“มึงจะทำอะไรก็ทำไปเลยละกัน ตอนนี้กูกำลังยุ่งกับกลุ่มกูไม่เห็นเหรอไง” ว่าพลางชี้ไปในกลุ่มซึ่ง
มีคนอยู่ประมาณ 9-10 คน กำลังขะมักเขม้นเตรียมคนขึ้นไปประกวดบนเวที

“เออ ตามใจมึงแล้วกัน อย่ามาว่ากูทีหลังละกันมึง” แล้วมันก็วิ่งกลับกลุ่มตัวเอง

กิจกรรมในคืนนั้นเป็นไปด้วยความสนุกสนาน นอกจากการประกวดมิสเตอร์หรือว่ามิสซิสประจำ
ประเทศนั้นแล้ว ยังได้มีโอกาสเห็นความสามารถแปลกๆของเพื่อนร่วมก๊วนอีกหลายคน เกมส์การ
แทนตัวเองโดยให้ผู้ชายมีค่าเท่ากับ 1 บาท และหญิงเท่ากับ 50 สตางค์ ถึงแม้จะเป็นเกมส์รุ่นป้า
ซึ่งมีทุกยุคทุกสมัย แต่ก็ทำให้กิจกรรมในคืนนี้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

“ไง มีแต่หญิงรุมแย่งตัวนะมึง” ปิงวิ่งมาหาผมในช่วงที่ปล่อยให้นักเรียนเข้านอน “ได้ข่าวว่าเมย์
ไม่ปล่อยมึงเลยนี่หว่า” มันกระเซ้าผม

“เออ แค่เกมส์มึงอย่าคิดมาก ยังไงกูก็จะบอกเลิกกับเค้าอยู่แล้วแหละ” ผมบอกด้วยเสียงไม่ค่อย
แน่ใจ

“แน่ใจเหรอ ว่ามึงจะกล้าบอกจริงๆ” ไอ้ปิงมองตาผมเหมือนจะรู้ว่าคิดอะไรอยู่

“แน่ดิวะ”

“มึงก็เล่นตัวจังเลยนะ มีคนมาชอบก็รับๆเค้าไปเหอะ เด๋วก็จะแห้วเหมือนกูนี่หรอก - -
อีกอย่างตอนนี้มึงก็ยังไม่มีคนที่ชอบอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” ไอ้ปิงถามผม

“……. ” ผมอึ้งไปซักพักนึง ก่อนจะตอบไปเล่นๆ

“มึงรู้ได้ไงว่ากูยังไม่มีคนที่ชอบฮ่ะ”

ไม่รู้ทำไมพอผมพูดประโยคนั้นออกไป ไอ้ปิงทำเหมือนท่าทางจะน้อยใจผมอีกแล้ว

“ทำไมมึงทำท่าจะงอนกูอีกแล้วละนั่นอะ” ผมถามด้วยความแปลกใจ “อ๋อ มึงงอนที่กู
ไปชอบใครแล้ว ไม่บอกมึงใช่ป่ะ โหเรื่องแค่นี้เองอะ” ผมยังสนุกที่ได้อำมันต่อว่ามีคนที่
ชอบอยู่แล้ว

“ป่าวทำไมกูต้องงอนมึงด้วยอะ มึงจะไปมีใครที่ไหนคนใหม่ก็เรื่องของมึงดิ กูเกี่ยวไรกะมึงอะ”
น่านมาเป็นชุดเลยครับมันพูดมาเป็นชุดเลย

“เฮ้ย กูไม่ได้หมา - -” ผมกำลังจะพูดว่าไม่ได้หมายความว่างั้น มึงเข้าใจผิด มันก็ได้
หลบผมกลับไปที่เต้นท์นอนซะแล้ว และก่อนที่มันจะเข้าใจผิดไปใหญ่ ผมก็ตัดสินใจรีบ
สารภาพว่าผมอำมันจะดีกว่า

“เฮ้ย มึงเข้ามาในเต้นท์กูได้ไงอะ ” ผมตกใจที่อยู่ๆก็เห็นไอ้เต้ยมานั่งหน้าใสอยู่ในเต้นท์
ผมกะไอ้เต้ย (ซึ่งมันนอนคุมโปงไม่รับรู้อะไรไปแล้ว)

“อ้าว ปิงมันไม่ได้บอกเหรอไง ว่าเต้ยจะนอนที่นี่อะ” มันพูดพลางหาวหวอด คำพูดแทน
ตัวเองว่าเต้ยพอมันพูดออกมาแล้วเสนียดจะขึ้นหูผมพิลึก มันลืมกินยาเขย่าขวดป่าววะเนี่ย

“กูไม่ให้มึงนอนในนี้นะ” ผมรีบไปกระชากผ้าห่มหลังจากที่มันเตรียมลงนอน

“ทำไมใจร้ายกะเค้าจังอะ ตะเอง” เวรกรรม ผมได้ยินคำแสลงรูหูนั่นอีกแล้ว

“มึงอย่ามากวนตีนกูนะไอ้เต้ย กูบอกว่าให้มึงไปนอนที่อื่น” ผมยืนกรานคำเดิม แล้ว
เสียงไอ้ปิงก็ดังขึ้น…

“มึงนอนที่นี่แหละเต้ย” ผมได้ยินเสียงปิงบอก

“ทำไมมึงทำแบบนี้อะ” ผมชักเคืองเพื่อนรักของผมซะแล้ว

“ก็กูไปบอกมึงแล้ว มึงก็บอกว่าตามใจกูไม่ใช่เหรอไง” มันพูดโดยไม่มองหน้าผม

“มึงนอนที่นี่แหละไอ้เต้ย ใครไม่อยากนอนก็ไปนอนที่อื่นละกัน”

โอ้ยย … เชื่อป่ะ ไอ้ปิงพูดคำนี้ออกมา ความโกรธผมขึ้นไปจุกที่คอ อารมณ์ผมตอนนี้
มันเต็มที่พร้อมที่จะปล่อยออกมาแล้วมันก็ ตูม…….ในหัวกลายเป็นความมึนชาความ
รู้สึกน้อยใจเหมือนกับเด็กที่ไม่มีใครเข้าข้างกลับเกิดขึ้นกับผมโดยไม่รู้ตัว แล้วสิ่งที่ตาม
มาที่เรียกว่า – อาการประชด- ก็เกิดขึ้นกับผม

“เออมึงนอนกันให้มีความสุขละกัน กูไปนอนที่อื่นก็ได้ คับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยากโว้ย
ไอ้เหี้ยเอ้ย” ผมด่าในสิ่งที่ไม่สมควรจะด่าออกมา แต่อารมณ์ตอนนั้นมันยากที่จะเก็บอยู่
ไม่พูดปล่าวผมรีบเข้าไปคว้าเป้แล้วเดินออกมาทันที เพราะรู้สึกว่าตาผมเริ่มแดงเพราะ
ไอ้น้ำตาบ้าๆมันชักปริ่มขอบตาแล้ว ผมจะไม่มีวันยอมให้ใครเห็นว่าอ่อนแอเพราะเรื่อง
ขี้ปะติ๋วพรรณนี้หรอก

ผมเดินออกจากเต้นท์ได้พักนึง มือไอ้ปิงก็โผล่มาล็อกคอผมไว้แล้วพยายามลากกลับไปที่เก่า

“มึงทำเหี้ยอะไรวะ กูไม่อยากนอนเต้นท์เดียวกะมึงเข้าใจมั้ย” ผมกัดฟันพูดพอให้มันได้ยิน
และก็ไม่เข้าใจว่าที่พูดไปมันมาจากใจเหรอเปล่า แต่มันก็ไม่สนใจหรือพูดอะไร ตั้งหน้าตั้งตา
ลากผมกลับอย่างเดียว

“บอกให้ปล่อยกูไอ้ปิง” ผมพูดอีกครั้งค่อนข้างดังพร้อมกับพยายามดันตัวให้หลุดจากล็อก
แต่ยิ่งดันมันก็ยิ่งเพิ่มแรงรัดมากขึ้นจนผมชักหายใจไม่ออก แล้วมันก็ตัดสินใจปล่อยผม
เมื่อมาถึงหน้าเต้นท์

“มึงเกลียดกูเหรอ” มันถามผมเบาๆ

“…………”

“มึงเกลียดกู โกรธกูเพราะเรื่องเท่านี้เองเหรอ”

“…………”

“ตอนที่กูจะบอกมึงมึงก็ไม่สนใจกู ให้กูคิดเอง แล้วมาตอนนี้ - -” เสียงมันตอนนี้
กลายเป็นเสียงสะอื้นชัดเจน

“มึงยังจะมาโกรธกูอีกเหรอไง มะ มันจะมากไปแล้วนะมึง แล้วมึงยังจะมาประชดกูแบบ
นี้อีก กูก็มีความรู้สึกนะไอ้โอ้ต”

ก้อนสะอึกกลับขึ้นมาที่คอผมอีกครั้ง ใช่ผมกำลังใส่อารมณ์กับเพื่อนของผม กำลังทำในสิ่งที่
ไร้สาระ ประชดบ้าๆบอๆ แล้วตอนนี้ยังจะทำให้เพื่อนรักของผมเสียใจในการกระทำของผมอีก

“กะ กู” ผมเอ่ยคำด้วยความลำบากยากเย็นคำว่า ทิฐิ ยังคงค้ำคอผมอยู่ แต่แล้ว...

“กูขอโทษปิง” พร้อมกับเข้าไปกอดมันไว้ (แบบมิตรภาพ) มันก็กอดผมกลับ
(แบบมิตรภาพ) กูขอโทษนะที่ทำเรื่องงี่เง่าแบบนี้อะ”

ปิงผละจากผมแล้วพูดขึ้นมา

“กูรู้ว่ามึงไม่ใช่คนแบบนั้น กูถึงออกมาง้อมึงนี่ไง”

“นี่มึงมา ง้อ กูงั้นเหรอไง กูไม่ใช่ - -”

“เพื่อนกันก็ง้อกันได้มึง อย่าคิดมากเด๊ะ” ไอ้ปิงรีบพูดแก้ตัว ตอนนี้ความหวั่นไหวชัก
เกิดขึ้นในใจผมยังไงบอกไม่ถูก แค่ความห่วงใยความรู้สึกเพื่อนรักของผมคนนี้ มันดู
มากมายจนพิเศษไปกว่าคนอื่นจนรู้สึกได้

“สรุปว่ามึงนอนได้ใช่ป่ะ”

“ก็คงได้” ผมตอบ

ผมก้าวเข้ามาในเต้นท์อีกครั้ง ก็เห็นไอ้เต้ยนั่งหน้าสล่อนอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยน

“ปิงมึงนอนริมด้านโน้นนะ กูนอนริมขวาเอง” แน่ะมันเป็นใครมาจัดแจงที่นอนคนอื่นเค้าวะ

“แล้วทำไมกูต้องนอนกลางด้วย” ผมตอบฉุนๆแต่เพราะรับปากกะไอ้ปิงแล้วว่าจะไม่มีเรื่อง ..

ผมลงนอนได้ซักพัก แสงไฟกลางสนามปิดลง ความมืดก็เข้ามาทุกพื้นที่เช่นเดียวกับความ
หนาวยะเยือกของเดือนธันวาคม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-04-2012 20:56:31 โดย Poes »

ออฟไลน์ drasil

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1690
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +95/-1
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [10-4-12] Part 2
«ตอบ #64 เมื่อ10-04-2012 23:28:20 »

สนุกดีค่ะ
รอคอยตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [10-4-12] Part 2
«ตอบ #65 เมื่อ11-04-2012 10:10:56 »

เต้ยมันจะเล่นอะไร พิเรนๆอีกป่าวเนี่ย

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [10-4-12] Part 2
«ตอบ #66 เมื่อ11-04-2012 10:33:55 »

ต้มน้ำรอใส่เส้น เครื่องปรุง
มาม่ากันซะให้พอ 5555

โจ๊กกุ้ง

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [10-4-12] Part 2
«ตอบ #67 เมื่อ11-04-2012 12:33:29 »

เต้ยแกอย่าทำอะไรโอ้ตของชั้นนะ :m16:

KAME

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [10-4-12] Part 2
«ตอบ #68 เมื่อ12-04-2012 23:37:54 »

รอร้องไห้
อ่านตอนจบแล้ว มาอ่านตอนนี้ กลัวปิง หว๊ะแม่ง
มาม่า พร้อมเสริฟ ค๊าฟ ฟ ฟ ๆ

ออฟไลน์ CarToonMiZa

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +820/-41
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [10-4-12] Part 2
«ตอบ #69 เมื่อ17-04-2012 14:30:09 »

รอรับทุกสถานการณ์ :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [10-4-12] Part 2
« ตอบ #69 เมื่อ: 17-04-2012 14:30:09 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ milkshake✰

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [10-4-12] Part 2
«ตอบ #70 เมื่อ17-04-2012 15:15:17 »

เห้ยทำไมเราเพิ่งเห็นเนี่ย T T'
อยากจะกรีดร้องออกมาเป็นภาษาต่างด้าวจริงๆ
จำได้ว่าเคยตะลุยอ่านอยู่หลายคืนติด 555555555
อ่านไปเครียดไป จนพาลใส่เพื่อนไปหลายรอบ
แต่เพื่อนมันคงชิน เราอินกับนิยายมากเกินไป  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [17-4-12] Part 2
«ตอบ #71 เมื่อ18-04-2012 14:17:51 »

ต้องขอโทษด้วยที่บอกจะลงทุกวัน ช่วงที่หายไป คนโพส ติดภารกิจสอบ เพิ่งสอบเสร็จไปเมื่อวาน ต่อไปก็จะมาลงได้ทุกวันเหมือนเดิมจ้า

มาอ่านต่อกันเลย
------------------------------------------
ผมลงนอนได้ซักพัก แสงไฟกลางสนามปิดลง ความมืดก็เข้ามาทุกพื้นที่เช่นเดียว
กับความหนาวยะเยือกของเดือนธันวาคม โชคดีที่แม่เตือนให้เอาผ้าห่มมาด้วย
ถึงแม้ว่าตอนเดินทางจะลำบากซักหน่อย แต่ตอนนอนก็จะอุ่นสบายกว่าชาวบ้านเค้า 

“ปิง จะเอาผ้าห่มป่าว ” ผมกระซิบ

“ไม่เป็นไรอะ มึงห่มไปเหอะ” มันบอกผม “กูมีมาเหมือนกันแต่ผืนเล็กหน่อย” มันว่า
ผมก็ตามใจมัน นอนกันไปได้พักใหญ่ จนเกือบจะเคลิ้มๆอยู่แล้ว เท้าเต้ยมันก็มาชนกับ
เท้าผมโดยที่คิดว่ามันคงไม่ได้ตั้งใจ

- เท้าเย็นชิบ –

ผมหันไปทางมัน ด้วยความที่สายตาชินกับความมืดแล้ว เห็นมันขดตัวงอหลับอยู่ได้ยินเสียง
กรนเบาๆ พร้อมกับตัวที่สั่นน้อยๆ ผมตัดสินใจเขย่าตัวเรียกให้มันเข้ามาห่มผ้ากับผมก็ได้ มัน
สลึมสลือหัน มา

“อืมมม … ขอบใจ” แล้วก็เขยิบตัวเข้ามาซุกในผ้าห่ม

“เฮ้ย อย่ามากอดแบบนี้”

แต่มันไม่ได้ยินเสียงเพราะได้ยินแค่เสียงงึมงำ ฟังไม่รู้ภาษาของมัน จนทำให้ต้องปล่อยเลยตามเลย
รุ่งเช้าตื่นมาค่อยถีบมันออกจากผ้าห่มก็ยังทัน ผมคิดในใจแล้วก็หลับไปในที่สุด …

* * * * * * * * * * * *


ประโยคที่ว่าหนาวจนจับขั้วหัวใจ ผมเคยได้ยินคำนี้มาหลายหนแล้ว แต่เพิ่งมาประสบเอง
ก็เช้ามืดของอีกวันหนึ่ง ขนาดว่าห่มผ้าแล้วยังหนาวขนาดนี้ หลังคาเต้นท์มีน้ำค้างเกาะอยู่
เต็มไปหมดเหมือนกับพึ่งผ่านฝนตกหนักมา ว่าแต่ว่าปิงมันหายไปไหนนะ 

ผมยกข้อมือดูนาฬิกาบอกเวลาตี 4 ครึ่ง

ไอ้เต้ยยังนอนหันหน้ามาทางผมอยู่ สงสัยจริงๆว่ามันไม่เปลี่ยนท่านอนเลยเหรอไง คิดอะไร
ไปเรื่อยเปื่อยผมก็พลิกตัวตะแคงข้างให้ เห็นหน้ามันแล้วยังหงุดหงิดไม่หาย มันเป็นต้นเหตุ
ให้ผมกะปิงทะเลาะกันแท้ๆ ทำไมมันต้องมายุ่งย่ามกับผมด้วยนะ ไม่เข้าใจ …

“ฮือออ อืมม” เสียงครางเบาๆของมันยิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิดซ้ำซ้อน พร้อมกับเสียงขยับของคน
ที่อยู่ด้านหลัง

“อะ..!! ” ตัวผมสะดุ้งนิดหน่อยเมื่อรู้สึกว่าไอ้เต้ยมันขยับตัวเข้ามาแนบชิดด้านหลังจนสัมผัส
ได้ถึงเสียงลมหายใจที่กำลังรดต้นคอ

ผมกำลังตัดสินใจว่าจะทำเงียบต่อไปหรือว่าจะหันไปผลักมันให้ออกไปดี เพราะคิดว่ามันคง
ละเมอหันมา แต่ไม่ใช่หยั่งงั้นนะซิ เมื่อรู้สึกว่ามันเอามือมาเขย่าไหล่ผมเบาๆ

“จะทำไรของมันฟะ” ผมคิดในใจ เมื่อเห็นว่าผมไม่ขยับเขยื้อน มือมันก็เริ่มแทรกเข้ามาทางแขน
ผมทั้งสองข้าง จนตอนนี้มันเหมือนกะว่ามันกอดผมเข้าไปเต็มๆ

ประสาทของผมตอนนี้เริ่มมึนชานิดหน่อย รู้สึกร่างกายชักร้อนผะผ่าวขึ้น ผมไม่เข้าใจตัวเอง
ว่าทำไมยังปล่อยให้ศัตรูอย่างมันนอนกอดอยู่ได้

“อือออ” ผมได้ยินเสียงมันถอนหายใจ พร้อมกับขยับตัวเข้ามาแนบด้านหลังจนชิดตัวผม
แขนมันชักกอดผมแน่นขึ้น แน่นขึ้น และมะ…มัน มัน (เสียงสั่นเพราะตื่นเติ้น) มันกำลัง
เลิ้กเสื้อผมขึ้นมา พร้อมกับบรรจงลูบหน้าท้องผมเบาๆ แล้วค่อยๆไล้ขึ้นมาเรื่อยจนมันเกือบ
จะถึงหน้าอกอยู่แล้ว

“จะ จะ จะ จะ จะ ทำอะไรเนี่ย” ผมเหมือนจะพูดออกไปแต่ไม่ได้พูด ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้หรอกนะ
ว่าไอ้ที่กำลังโดนทำเนี่ยมันคืออะไร แต่ความรู้สึกตอนนั้น มันเหมือนกะอยากรู้อยากลองมากกว่า

ผมกำลังจะโดนไอ้เต้ยลักหลับ … (เหรอเนี่ย)

ไอ้เต้ยยังคงไม่หยุดลุกล้ำอาณาเขตส่วนตัวของผม และที่แน่ๆตอนนี้อาการอารมณ์กระเจิง
ก็เกิดขึ้นกับผมเช่นกัน ผมยังคงนอนนิ่ง แต่ที่ควบคุมไม่ได้คือลมหายใจของผมที่มันชัก
เริ่มแรงขึ้น แรงขึ้น พร้อมกับอุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้นตามลำดับการลูบของมัน

“อ่าาา …” เสียงมันมาครางอยู่ข้างหู เมื่อมันขยับตัวแนบกับตัวผมอีกครั้ง จนคราวนี้ผมรู้สึกถึง
อะไรบางอย่างที่แข็งเป็นท่อนมาทิ่มที่ก้นผม

“อ่า โอ้ต ” คราวนี้มันครางพร้อมกับเรียกชื่อผม

“อะ อือ” เสียงครางมันชักรุนแรงกว่าเดิม พร้อมกับเอาไอ้น้องชายมันถูอยู่ข้างหลังผม แรงกอด
มันตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นแรงรัดซะมากกว่า จนชักอึดอัด.. มันยังคงบดเบียดไอ้นั่นของมันแบบ
ค่อยเป็นค่อยไป ผมละจะทำไงได้นอกจากนอนนิ่งรับชะตากรรมอย่างเดียว

–ขึ้นหลังเสือแล้วลงมาไม่ได้-

ผมคิด จนในที่สุด …

“อือออ โอ้ต กูโคดเสียวเลยอะ กูรู้ว่า มึงตื่นแล้วใช่ป่ะ” เสียงไอ้เต้ยพูดประมาณว่ามันจับได้
เอาละซิคับ คราวนี้ผมทั้งอึ้งทั้งอาย ผมเริ่มดิ้นไม่ยอมมันแล้ว

“มึงดิ้นทำไมอะ” ไอ้เต้ยพูดพลางกอดฟัดผมไปพลาง

“ปะ ปล่อยกูนะเต้ย” ผมร้องไปดิ้นไป

“เมื่อกี้มึงยังนอนให้กูสำรวจเลย แล้วนะ นี่ - - เฮ้ย มึงอย่าดิ้นดิ”

มันไม่ยอมปล่อย

“กูไม่ใช่ .. ไม่เอาแล้ว บอกให้ปล่อยไง”

แซก .. แซก ..

“เฮ้ย ไอ้เชี่ยมีคนมา” ผมบอกมันเมื่อได้ยินเสียงเดิน ได้ผลไอ้เต้ยรีบปล่อยผมทันที
พอดีกับที่ไอ้ปิงโผล่หน้าเข้ามาในเต้นท์นอน

“อ้าว มึงตื่นกันแล้วเหรอ” มันว่า

“มึงไปไหนมา” ผมถามเสียงตะกุกตะกัก ทำหน้าให้ปกติที่สุด

“ไปดูของดีมาอะ” มันตอบ เอ๊ะ มึงนี่อย่ามาตอบสองแง่สองง่าม

“กูไปดูด้วย” ว่าแล้วก่อนที่ไอ้เต้ยมันจะพูดอะไรผมก็รีบดันให้ไอ้ปิงพาผมไปดูของดี
ของมันข้างนอก

* * * * * * * * * * * *


“เฮ้ย ปิง ของดีที่มึงว่านี่อะไรวะ” ผมถามหลังจากที่เดินมาจนเกือบถึงชายทะเลอยู่แล้ว
ที่สำคัญมันมืดมากๆเลย

“เออ ตามมาเหอะน่า - - ระวังสะดุด เดินระวังหน่อยดิวะ โอ้ต” ปิงเตือนผม

“กูมองไม่ค่อยเห็นนี่หว่า ใครจะตาดีเหมือนมึงล่ะ” ผมว่า พร้อมกับเดินช้าลง

“เดินช้าแบบนี้เด๋วก็หายไปหมด” ว่าแล้วมันก็เปลี่ยนมาจูงมือผม ลากให้เดินเร็วขึ้น

“ชะ ช้าๆก็ได้ กูยังไม่หายตื่นเต้นเลย” ผมลืมตัวโพล่งออกไป

“ตื่นเต้นไร” ไอ้ปิงหันมาถามผม มือมันยังกำมือผมแน่น

“ป่าว ไม่มีไร กูแค่เหนื่อย”

ปิงพาผมเดินเข้ามาใกล้ชายทะเลเดินมาถึงโขดหินก้อนนึง

“มึงก้มไปดูตรงแอ่งตรงนั้นเด๊ะ”

ผมมองไปตรงที่มันว่า พลันก็เห็นแสงสีน้ำเงินเป็นประกาย อยู่ตรงพื้นทรายที่มีน้ำทะเลขังอยู่

“เฮ้ย อะไรวะ ” ผมถามด้วยความตื่นเต้น แล้วยื่นมือไปสัมผัส แต่เมื่อโดนพวกมันก็แตกกระจาย
กันไป

“ไม่รู้เหมือนกัน” ไอ้ปิงว่า พลางกอบทรายให้พอมีพื้นที่ให้ไอ้กลุ่มแสงประหลาดถูกยกขึ้นมา
ส่องใกล้ๆได้

“เออ แปลกอะ มีแสงด้วย” ผมเพ่งมองด้วยความฉงน

“แล้วมึงคิดว่ามันคือไรวะ มึงอย่าบอกนะว่ามีใครมาปล่อยอสุจิเรืองแสงแถวนี้อะ”

“มึงนี่ชักบ้ากามขึ้นทุกวันนะไอ้โอ้ต คิดได้ไงวะ กูว่ากูปล่อยให้มึงอยู่กับไอ้เต้ยมาก
ไปป่าว” มันทำหน้าหยะแหยง

“กูพูดเล่น”

“โอ้ยยยยย โคดเมื่อยเลยหว่ะ” ผมพูดพลางเอนตัวลงนอนกับโขดหิน สายตาก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ที่มืดมิด

“ปิง ปิง มึงมองบนฟ้าซิ” ผมเรียกมันซึ่งกะลังพะวนอยู่กับสัตว์เรื่องแสงอะไรของมัน

“โห ..... ” มันอุทาน

สิ่งที่ผมเห็นคือความคุ้มค่าที่ได้ตื่นขึ้นมายามฟ้าไม่สางแบบนี้ หมู่ดาวกระจัดกระจายอยู่
เต็มท้องฟ้า ทั้งน้อยใหญ่ กลุ่มดาวส่องสว่างในคืนเดือนมืดช่างสวยงามอย่างบอกไม่ถูกเลย

“เขยิบไปหน่อย ให้กูนั่งมั่ง” ว่าแล้วมันก็ปีนขึ้นมานั่งบนหัวผมซึ่งนอนดูดาวอยู่อย่างประทับใจ
อากาศตอนเช้ามันก็ยังหนาวอยู่ เพียงแต่ผมลืมไปชั่วขณะ เมื่อลมทะเลพัดเข้ามาอีกระลอก
ผมก็ชักสั่น

“หนาวเหรอ” ปิงถามผมในขณะที่สายตามันก็นั่งมองขึ้นไปข้างบนฟ้า แล้วผมก็รู้สึกได้ว่ามันเอามือ
มากุมมือผมไว้อีกครั้ง ผมทำท่าชักกลับ แต่มันก็ไม่ยอม ก็เลยปล่อยไป... มันเป็นครั้งที่อบอุ่นกว่าครั้งไหน
ลองคิดดูซิคับ

อากาศหนาว ริมทะเล ดาวเต็มท้องฟ้า มืออุ่นๆกำลัง 2 เมื่อโมเลกุลความโรแมนติก
ครบสมบูรณ์แบบนี้ มีเหรอที่จะไม่ทำให้เคลิ้ม แต่แล้ว...

“โอ้ต กูมีอะไรจะบอก” อยู่ๆ ปิงมันก็พูดขึ้นมา

ตึก ตึก ตึก .... ผมเงียบรอฟัง แต่หัวใจผมเริ่มเต้นไม่เป็นจังหว่ะ

ไอ้ปิงชี้ไปที่ดาวกลุ่มใหญ่กลุ่มนึง พลางว่า

“มึงรู้ป่ะ ว่าดาวนั่นมันชื่อว่าไร”

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ เพราะถ้าพูดออกไปคงเสียงสั่นแน่เลย (ตอนนั้นเรื่องความรักยังเบบี้)

“อืม ... ” มันเงียบ เหมือนกำลังใช้ความพยายามจะพูดออกมา แต่มันไม่ออกซะที

”แล้วมันชื่อว่าไรล่ะ” ผมถามเมื่อมันไม่ยอมพูดไรซะที

“เออ ... กูก็ไม่รู้เหมือนกันหว่ะ ไม่งั้นจะถามมึงเหรอ” -_- ! มันตอบ

โพล๊ะ ....

“แล้วมึงจาถามทำแป๊ะอะไรวะ” ผมชักเคือง เมื่อมันไม่ได้พูดเรื่องที่ผมคิดเอาไว้ แต่ดันเล่นมุขควาย
ออกมาแทน

“เออ แต่กูว่านะ ไอ้ดาวกลุ่มเนี้ย มันไม่ค่อยเห็นกันหรอกนะเว้ย” มันเห็นผมฉุนก็เลยกลับเข้าเรื่องใหม่
ด้วยท่าทีขึงขัง

” อะไร ทำไมอีกละ” ผมดีใจที่มันจะเข้าเรื่องอีกที

“อืม ... เออ - - เพราะว่าที่เห็นได้เนี่ย มึงนอนทำมุมอาซิมุสพอดีอะดิ เลยเห็นพอดีเลยอะ ” O_o

โห คราวนี้มันมาแนววิทยาศาสตร์นะ ไอ้หอก !!

“ เออ ทีหลังมึงอยากเห็นอีก คราวหน้ามึงอย่าลืมเอาแผนที่ดาว มาหามุมอาซิมุสเชี่ยของมึงด้วยนะ
ไอ้บ้า - - กูว่ากูกลับดีกว่า ปวดหัวหว่ะ” ผมนี่งี่เง่าจริงๆ คิดว่ามันจะพูดอะไรออกมาซะที ไร้สาระ

“เด๋วเด๊ะ ดูเป็นเพื่อนอีกแป็บนะ หาดูไม่ได้ง่ายๆนะ ... ”

เรานั่งๆนอนๆดูดาวซักพัก จนพระอาทิตย์ของวันใหม่เริ่มเห็นขอบลางๆ จึงตัดสินใจเดิน
กลับบริเวณที่พัก ตอนนี้นักเรียนเริ่มทยอยกันออกมาล้างหน้าแปรงฟันกันแล้ว

“อะ” ผมพึ่งรู้สึกตัวว่า มือผมยังจับมือไอ้ปิงอยู่ จึงรีบชักกลับ หางตาผมเห็นมันยิ้มที่มุมปาก

“แหม แค่จับมือแค่นี่ ทำเป็นเล่นตัว ” มันแซวผม

“อ้าว มึงไม่กลัวเค้าหาว่าเป็นคู่เกย์กันเหรอไง” ผมอธิบาย

ไอ้ปิงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เดินกลับเข้าเต้นท์ไปเอาอุปกรณ์ล้างหน้า

“อ้าว ทำไมไม่เข้าไปเอาแปรงอะ จะหมักเชื้อโรคเหรอไง ”

“เออ เข้าซิ กำลังจะเข้า ” ผมละล่ำละลักตอบ ค่อยๆแหวกผ้าเข้าไป แล้วก็เจอไอ้เต้ย
ยังนอนห่มผ้าห่มผมอยู่ ปิงเดินไปห้องน้ำไม่คอยผมเลย

ผมค่อยๆหยิบของอย่างเงียบที่สุดไม่อยากให้ไอ้เต้ยมันตื่น แต่เหมือนกับว่ามันคอยผมอยู่งั้นล่ะ

“เฮ้ย มึงอะ ปล่อยให้กูอารมณ์ค้างแบบนี้ได้ไงวะ” มันบอกผมแบบไม่ค่อยพอใจ

“แม่ง ถ้ามึงเงี่ยนนักก็ไปชักว่าวเองซิวะ มือมึงก็มี” ผมบอกแบบอารมณ์เสีย

“กูอยากให้ช่วยกูหนิ” มันพูดเสียงอ้อน

ผมรีบส่ายหัว ปฏิเสธพัลวัน “มึงจะบ้าเหรอไอ้เต้ย มึงเห็นกูเป็นไรวะ”

“กูก็เห็นมึงเป็นคนน่ารักอะดิ ”

โหย มันพูดแค่นั้น ผมรู้สึกหน้าร้อนว่าบบบ มันชมผมทำไมต้องเขินด้วยเนี่ย
อารามตกใจผมเลยถามมันไป

“มะ มึงเป็นเกย์เหรอวะ ”

“ปกติกูชอบผู้หญิงหว่ะ แต่ก็มีบางที กูก็ เอ่อ ... มีอะไรกะผู้ชายก็ได้ ” มันพูดพลางส่งสายตาหื่นกาม
มาทางผม

“เฮ้ย มึงอย่ามาบ้านะ กูไม่เล่นด้วยหรอก” ผมว่าพลางลนลานรีบพุ่งออกมาจากเต้นท์ทันที

* * * * * * * * * * * *


“มึงเป็นไร โอ้ต”

“เฮือก ...!? ” ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีมือใครมากระชากหัวผมขึ้นมาในขณะล้างหน้าอยู่

“เป็นอะไรไป” ปิงมันดึงขึ้นมานั่นเอง สงสัยผมคงจะแช่ล้างหน้านานไปหน่อย
จนมันคิดว่าผมจะฆ่าตัวตายในห้องอาบน้ำ

“ฮึ .. ป่าว ไม่ได้เป็นไร” ผมสั่นหัวไล่คำพูดที่พึ่งได้ยินมาจากปากเต้ย

“รีบไปเหอะ เค้าออกไปกันหมดแล้ว

“ป่าวแล้วทำไมหน้าซีดอะ” ปิงมันเริ่มสังเกตอาการที่ผิดไปของผม พลางยื่นมือมาจับหัวผม
ไปทาบที่หน้าผากมัน

“เอ ตัวก็ไม่ร้อนนี่หว่า” มันพูดจนผมได้กลิ่นลมหายใจหอมที่พึ่งแปรงฟันมาหยกๆ

“เฮ้ย ทำไม ปล่อย” ผมตกใจพยายามดันหัวตัวเองให้หลุดจากมือ

“วิธีวัดไข้แบบได้ผลเว้ย - - อยู่นิ่งๆ ดิ เห็นมั้ยอะ ตัวแม่งร้อนแล้ว ไม่สบายแน่มึง”

มันพยายามกดหน้าผมให้ชิดที่สุด ไม่อยากจะบอกว่าที่มันร้อนอะ เพราะแกอะแหละ...
แล้วมันก็ปล่อยหัวผมไป

“ที่เต้นท์มียาแก้ปวดหัวอะ กินเม็ดนึงนะ” มันบอกผม

“ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ได้เป็นอะไร” ผมท้วงมัน เพราะไม่ได้ปวดหัวจริงๆ

“มึงนี่ดื้อจัง ทำตัวงอแงอยู่ได้”

“งอแงอะไรอะ ก็กูไม่ได้ปว.. - -”

“ก็ – บอก – ให้ – กิน – ไง” มันพูดใส่ผมเสียงดัง ทำไมต้องตะคอกด้วยวะแค่นี้เองงะ
ผมทำหน้าบูดใส่มัน แล้วเดินออกจากห้องน้ำมาที่เต้นท์ ก็ปรากฏว่าเต้ยมันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

ผมมุดเข้ามาในเต้นท์ก็ได้ยินเสียงนกหวีดเตือนให้เข้าแถวที่สนามแล้ว ปิงมันก็เข้าตามมาแล้วก็งุดๆ
หยิบยาให้ผมกินเม็ดนึง

“ไม่สบายขึ้นมาจะมาโทษ หาว่ากูชวนออกไปเดินกินน้ำค้างแต่เช้า” มันพูดอ้อมแอ้มยกเหตุผล
ซะโน่นเลย

ผมหยิบมากินแล้วก็รีบวิ่งมาที่กองของตัวเอง พอดีกับครูควบคุมแถวก็กำลังจะประกาศกำหนดการ
ที่เราจะต้องทำกันในวันนี้

“วันนี้ 8 โมงจะปล่อยให้ไปทานข้าวกันนะ .. ”

จากนั้นกลับมารวมกันตรงนี้ตอน 9 โมง เตรียมเข้าฐานแต่ละฐาน ... ต่อจากนั้นอาจารย์ก็
พล่ามแล้วอธิบายเวลาที่ต้องใช้ทำกิจกรรมแต่ละฐาน เรื่อยไปจนกว่าจะเสร็จก็ บ่าย 2 พอดี

“หลังจากเข้าฐานเสร็จ จะปล่อยอิสระให้ซ้อมการแสดงรอบกองไฟคืนนี้ นะ ตอนนี้
ข้าวเช้าพร้อมแล้ว เข้าแถวให้เรียบร้อย ....” อาจารย์พูดเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่จะปล่อยให้
พวกเราไปอิ่มกับมื้อเช้า

“หนาวเนอะโอ้ต” เมย์ซึ่งผมพึ่งจะได้คุยกับเธอก็เช้านี้เอง โชคดีที่เราไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกัน
เธอเลยไม่ได้มาวอแวผมเท่าไร

“อืม หนาว” ผมพูดเสียงแข็ง อย่างที่บอกเหตุผลที่มาเข้าค่ายครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะบอกไม่ให้เธอ
มาคิดกับผมเป็นแฟนอีก

“เนี่ย ใส่เสื้อกันหนาวกันทุกคนเลย บรรยากาศเหมือนอยู่ต่างประเทศเลยเนอะ ... ” เธอบอก
พร้อมกับนั่งลงตรงเก้าอี้ยาวด้านหน้าผม ส่วนเพื่อนเธอ 2 -3 คน นั่งอยู่ถัดออกไปหน่อยนึง

“โห จินตนาการล้ำเลยนะแม่คุณ” ปิงซึ่งเดินเข้ามานั่งข้างๆพอดี พูดขึ้น

“ต่างประเทศนี่ เขมร หรือ พม่า อะ” ผมเกือบสำลักกับข้าว

ปิงมันทำหน้ากวนส้นใส่เมย์

“อ๋อ แต่เราว่าอะ อย่างคุณเมย์อะ ลา - - ”

มันยังพูดไม่ทันจบก็ต้องรีบลุกออกไป เพราะเห็นหมัดของเมย์ลอยมาแต่ไกล โหดเหลือหลาย

“ มันก็พูดเล่นไปงั้นแหละ” ผมแก้ต่างให้เพื่อน

“โอ้ตไม่ต้องเข้าข้างเพื่อนตัวเองเลยนะ” เมย์ทำท่าทางไม่พอใจผม ซึ่งก็พอเข้าใจ

“เราไม่ค่อยชอบปิงเลยนะ จะบอกให้” เธอพูดเสียงเริ่มมีอารมณ์

“ทำไมโอ้ตถึงไปคบกับคนพวกนี้ได้นะ” เมย์ถอนหายใจ

“คนพวกนี้ หมายถึงอะไรเมย์” ผมชักเริ่มไม่พอใจบ้าง

“ก็อย่างไอ้ปิง แล้วยังมีไอ้เต้ยอีกคนนะซิ โอ้ตไปคบกับคนพวกนี้มันจะดีเหรอ”

เธอพูดเหมือนจะสอน

“เมย์รู้จักปิงมันดีจริงๆเหรอไง มันเป็นเพื่อนสนิทของโอ้ตมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทำ - -”

เมย์รีบพูดขัดขึ้นมา

“ไม่ใช่ว่าที่เค้ามาคบกับโอ้ตเพราะว่า เค้าจะได้มีที่พึ่งเวลาทำงานหรอกเหรอ ”

“ทำไมเมย์ดูถูกเพื่อนเราแบบนี้ล่ะ” ผมขึ้นเสียงใส่

“อย่างน้อยโอ้ตก็คิดเหมือนกันว่า เมย์ ดูถูกไม่ได้ดูผิดไปเท่าไรใช่มั้ยล่ะ”
เมย์เถียงใส่ผมอย่างไม่ลดลาวาศอก

“เมย์” เสียงผมชักเหลืออดกับคำพูดของเธอ จนข้างๆเริ่มสนใจกับบทสนทนาของเรา

“เราจะคบกับใครมันเรื่องอะไรของเมย์ด้วยล่ะ พูดแบบนี้มันดูถูกเรามากเลยนะ
ถ้าเมย์คิดว่าพวกมันไม่ดี เราก็ต้องไม่ดีเหมือนมันนะแหละ ใช่มั้ยล่ะ ”

“เมย์ถึงได้เป็นห่วงโอ้ตนี่ไง” เธอก็เริ่มเอาสีข้างเข้าถู

“ถ้าโอ้ตยังขืนคบกับพวกนี้อยู่คิดว่าจะมีอนาคตเหรอเปล่าละ”

ผมไม่อยากเชื่อตัวเองเลยว่า เมย์จะเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายได้ถึงขนาดนี้ การที่คนเราแสดง
อะไรออกมาภายนอกนั้น มันไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นแบบนั้นเสมอไป ผมเชื่อแบบนั้น และตอนนี้
ผมก็มั่นใจว่าสิ่งที่ผมเชื่อนั้นมันถูกต้อง

“หยุด – พูด เลิกพูดเหอะ” ผมตะคอกใส่เธอเต็มเสียง

และดูเหมือนว่าเธอจะทนไม่ไหวเหมือนกัน ลุกขึ้นยืน พร้อมกับกล่าวเสียงดัง

“เมย์ไม่เข้าใจว่าทำไมโอ้ตถึงเห็นเพื่อนแบบนั้นสำคัญกว่าแฟนตัวเองนะ”

ได้ยินคำนี้ ความอดทนที่มีอยู่ของผมก็ทลายลง ผมลุกพลวดขึ้นมาประจันหน้า

“แล้วเราเป็นแฟนเมย์ตั้งแต่เมื่อไรกัน มีแต่เมย์นั่นแหละ ที่ตามเราตลอดไม่ใช่เหรอไง”
ผมโพล่งออกไปแบบไม่เกรงใจใครแล้วตอนนี้

เงียบชั่วครู่กันทั้งโรงอาหาร อายคับ ผมว่าเธออายมาก ผมเห็นตัวเธอสั่น ความรู้สึกผม
เหมือนกับถูกปลดปล่อยออกมา

เพี้ยยยยะ ........

เธอใช้ฝ่ามือพิฆาตลงบนแก้มผมแบบเน้นๆ เสียงแบบดังกังวานเลยล่ะ

……………………. ........

ตอนนี้ความโกรธผมพุ่งขึ้นมาอีกแล้ว แถมมากกว่าเดิม ผมยกแขนตัวเองขึ้นเต็มเหนี่ยว
พร้อมจะพุ่งไปที่หน้าเธอเป็นการตอบแทน

“เฮ้ย อย่าโอ้ต” ปิงมันวื่งเข้ามาจับตัวผมไว้ได้ก่อนที่ผมจะตบเธอคืน

“ปล่อยกูไอ้ปิง” ผมยังพยายามยื้อกับปิงเพื่อจะแก้แค้นให้ได้ ปิงพยายามลากผมออกมา
ให้ห่างจากที่เกิดเหตุ แต่เพื่อนเธอสองสามคนซึ่งเห็นว่าผมกำลังจะทำร้ายเธอกับเดิน
เข้ามาหวังจะตบผมซ้ำ (ทำไมเวลาทีเพื่อนตัวเองทำคนอื่นถึงไม่ยอมห้ามก็ไม่รู้มัน)

ผมยังไม่ทันตั้งตัวที่เพื่อนเมย์สองคนที่เดินเข้ามา ไอ้เต้ยมันโผล่เข้ามาขวางข้างหน้าเอาไว้

“พวกมึงเข้ามาอีกก้าว กูกระทืบจมดิน แน่จริงเข้ามา ”

ได้ผลพวกเจ้าหล่อนถึงกับชะงัก ก็ตัวไอ้เต้ยอย่างกับควาย นักบาสโรงเรียนนี่นะ

“ไอ้เต้ยพอ อาจารย์เดินมาโน่นแล้ว” ปิงตะโกนบอกก่อนที่เต้ยมันจะทำอะไรไปมากกว่านี้
และแล้วเหตุการณ์ก็สิ้นสุดลงด้วยเวลาอันรวดเร็ว พวกครูต้องเรียกพวกผมและพวกเมย์ไป
คุยกันอยู่นาน จนได้ข้อยุติว่าจะไม่เอาเรื่องกัน ถึงแม้จะดูไม่ค่อยแฟร์ก็เหอะ แต่ก็ถือว่าการ
เลิกของผมกับเธอจบลงเร็วกว่าที่คาดไว้ ไม่ซิ ผมไม่เคยคิดอะไรกับเค้าตั้งแต่แรก ไม่เรียก
ว่าเลิกกันซิ

“โห แดงเลยหว่ะ” ปิงบอกผมในขณะที่เอาผ้าชุบน้ำประคบให้

“อะ โอ้ย โอ้ย เจ็บ ไอ้ปิง ไอ้แรงควาย แข่งบาสครั้งก่อนก็ทีแล้วนะ บอกให้เบาๆ” ผมโอดครวญ

“จริงด้วยอะ เป็นปื้นเลย ไอ้โอ้ต” คราวนี้เต้ยส่งเสียงสำทับ

“โดนผุ้หญิงตบแบบนี้ถือว่าผ่านได้ใบรับรองเกียรติคุณเลยนะโว้ย” มันว่า

“หยุดๆ อย่ามาชื่นชมแบบนี้ กูขอ” ผมว่า พลางปัดมือไอ้ปิงออก เพราะมันไม่ยอมเอาออก
จากหน้าผมซะที

“อยู่เฉยๆ ดิวะ” ปิงดุผม แล้วค่อยประคบอีกรอบนึง ผมไม่รู้ตาฝาดเหรอเปล่า เมื่อเห็นสายตา
ไอ้เต้ยมันมองผมสองคนแบบแปลกๆไงก็ไม่รู้

“งั้นเด๋วกูกลับเข้ากลุ่มก่อนละกัน พวกมึงก็รีบเข้าละ อย่ามาอ้อยอิ่งอยู่” มันพูดเสียงหงอยๆ
แล้ววิ่งไปที่ฐาน

“มึงเห็นแล้วใช่ป่ะ ว่าไอ้เต้ยมันก็ไม่ได้เป็นคนเลวอะไรอะ” ปิงบอกผม
ซึ่งผมก็คิดยังงั้นแล้วละตอนนี้

“แต่มันมีข้อเสียอยู่อย่างนึง” ผมบอก

“อะไรวะ”

“ข้อเสียของมันก็คือ มันไม่ใช่คนดีไง”

หลังจากที่พวกเราจบภารกิจตะลุยฐานภาคบ่ายเสร็จสิ้น ผมเดินมาเจอกับมันตรงบริเวณชายหาด
ห่างจากโขดหินที่เห็นพลายเรืองแสงเมื่อเช้าไม่มาก พวกเด็กนักเรียนส่วนใหญ่เลือกจะเดินเล่น
บริเวณชายหาดมากกว่าจะลงเล่นน้ำทั้งที่อากาศหนาวขนาดนี้

“ขอโทษนะ ที่ต้องเป็นต้นเหตุให้ต้องเลิกกับเมย์” ปิงบอกกับผม

“จะขอโทษเรื่องอะไร มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับมึงซะหน่อย” ผมทรุดตัวลงนั่งบนพื้นทรายขาวสะอาด
แล้วก็เริ่มโกยทรายมาก่อเป็นปราสาท

“ทะเลาะกันเรื่องที่มึงมาคบกูไม่ใช่เหรอไง กูรู้” มันบอกเสียงเบา สายตายังคงจับจ้องไปที่
เส้นสุดขอบฟ้า

ผมมองมันแล้วถอนหายใจ

“แล้วมึงเป็นแบบที่เค้าว่าจริงเหรอเปล่าล่ะ - - ที่เค้าบอกว่ามึงคบกูเพราะอยากให้กูฉุดมึง
เรื่องเรียนน่ะ”

มันหันมาแล้วจ้องผม สายตามันมีแววน้อยใจที่ผมยังถามย้ำเรื่องนี้อยู่

“กูไม่รู้ว่ามึงคิดยังไง ไม่ได้อยากให้มึงเชื่อในคำพูดของกู” มันเว้นช่วงพูด

“แต่การกระทำที่ผ่านมา มันจะพิสูจน์ทุกอย่างเอง” มันว่าพลางสูดหายใจลึก

“- - ว่ากูรักมึงแค่ไหน...”

ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินคำพูดของปิง สมองผมเริ่มประมวลผลออกมาว่า รัก ที่มันหมายถึง
คือความรักแบบไหน แต่ก่อนที่จะเอ่ยปากถาม คำตอบก็ปรากฏออกมา เมื่อมันค่อยโน้มตัว
เอามือมาลูบที่หน้าผม รอยมือจางๆยังคงประทับอยู่ที่แก้ม แต่ตอนนี้ผมไม่รู้สึกเจ็บแล้ว

“ปิง -” ผมกำลังจะกล่าวอะไรออกไป แต่ก็ต้องเงียบเมื่อดวงตากลมสีน้ำตาลเข้ามาใกล้
สายตาผมมากขึ้น แล้วก็รู้สึกร้อนผ่าว เมื่อเพื่อนรักของผมประทับจูบที่แก้มอย่างนุ่มนวล
ขนของผมลุกซู่เมื่อสัมผัสถึงความสากของลิ้นไอ้ปิงที่อยู่ที่ข้างแก้ม แล้วค่อยๆเลียเรื่อยมา
จนถึงริมฝีปากผม แล้วจู่ๆมันก็ผละออกไปนั่งก้มหน้าก้มตา เหมือนพึ่งทำอะไรผิดมหันต์ลงไป

“ปิง” ผมเรียกชื่อเสียงเบา มันเงยหน้าขึ้นมาด้วยแววตาหวาดวิตก

“โอ้ต กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจ - - เอ้ย คือ กูตั้งใจที่จะทำ เฮ้ย ไม่ใช่ ไม่ใช่” มันโบกมือวุ่นไปหมด
เหมือนกำลังสับสนและหาทางอธิบายไม่ถูก

ผมยังคงนั่งนิ่งเงียบเหมือนเดิม รู้สึกสับสนเหมือนกัน ที่อยู่ๆ เพื่อนรักรู้สึกแบบเดียวกับที่ผม
รู้สึกกับมัน ตั้งตัวไม่ติดงั้นเหรอไง ... ??

ไม่ใช่ ใจจริง ผมรู้สึกเสียใจมากกว่า ผมไม่ได้อยากให้มันมาเป็นแบบผม รู้สึกแบบเดียวกันเลย
ความรู้สึกที่ผมต้องเก็บกดมาโดยตลอด โดยเฉพาะกับไอ้ปิง ผมไม่อยากคิดว่า มันก็ต้องเก็บความ
รู้สึกแบบเดียวกัน ความรู้สึกที่ไม่แน่ใจว่า ถ้าบอกให้อีกฝ่ายรู้แล้ว ผลจะออกมาเป็นยังไง ...

แต่ตอนนี้ มันแสดงชัดเจนแล้ว .... ว่ามันรู้สึกยังไงกับผม แล้วผมล่ะ รู้สึกยังไงกับมันกันแน่

“กูขอโทษที่ทำให้มึงต้องลำบากใจ” ไอ้ปิงเอ่ยคำขอโทษมาเป็นครั้งที่ 3

“ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมกูถึงรักมึงแบบนี้ได้” มันก้มหน้างุดบอกผมเสียงสั่น

“กูอยากบอกกับมึงมาตลอด กูอึดอัด อึดอัดที่อยู่ใกล้ อึดอัดที่กูเป็นได้แค่เพื่อนเท่านั้น”

เสียงมันสั่นมากขึ้นทุกที ผมเห็นตามันแดงๆ ซึ่งไม่ต่างอะไรจากผมเท่าไร

“ไอ้ปิง คือ กู - -” ผมกำลังจะบอกมัน แต่มันก็ผลุนผลันวิ่งหนีผมไปก่อน

“โอ้ต ลืมเรื่องที่กูพูดให้หมด กูขอร้อง ไม่ต้องบอกอะไรกูทั้งนั้น” มันตะโกนบอกผม

“มะ มันพูดง่ายนี่ มึงมาสารภาพรักกะกู แล้วจูบกู แล้วจะให้กูลืมเนี่ยนะ ง่ายตายห่าเลย ”

ผมมองดูรอบตัวแล้ว โชคดีที่ไม่มีใครเห็นผมกับไอ้ปิงสารภาพรักกันแน่นอนแล้ว
ก็รีบจ้ำกลับทันที แต่ผมก็เห็นไอ้เต้ยวิ่งนำไอ้ปิงกับพวกอีก 2-3 คนลงเล่นน้ำทะเลอย่างบ้าคลั่ง
ปกติปิงมันไม่ได้เป็นคนชอบโหวกเหวกโวยวายเท่าไร แต่ในช่วงที่มันเล่นน้ำเนี่ย ดูท่ามันเอา
เรื่องเหมือนกัน เหมือนกับว่าต้องการทำอะไรบ้าๆกลบเกลื่อนเรื่องน่าอายเมื่อกี้ก็เป็นได้


* * * * * * * * * * * *

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [17-4-12] Part 2
«ตอบ #72 เมื่อ18-04-2012 14:21:32 »

หลังจากกินข้าวเย็นเรียบร้อยแล้ว แต่ละกลุ่มก็เตรียมตัวการแสดงในคืนนี้ สมาธิผมไม่อยู่
กับเนื้อกับตัวเอาเสียเลย ไม่รู้ว่าปิงมันจะเหมือนกับผมเหรอเปล่า

จนกระทั่งถึงตากลุ่มมันแสดง ดูท่าทางมันจะได้เป็นตัวเอกของเรื่องซะด้วย

“Sinderla And the Miracle worker”

“เอ๋ ซินเดอเรล่า กับ รุกขเทวดา เหรอวะ” คนคิดแม่งครีเอตสุด

การเดินเรื่องก็สไตย์เดิมๆ แต่พอถึงตอนเจ้าชายออกตามหารองเท้าแก้วที่นางซินฯสะดุดตอไม้แล้ว
เกือกดันกระเด็นตกน้ำไปเนี่ยซิ

ไอ้ปิงก็ออกมาในบทของรุกขเทวดาประจำบ่อน้ำ ตอนแรกมันหยิบรองเท้าคัทชูออกมาให้เลือกดู
ว่าใช่ข้างที่ตกลงไปเหรอไม่ ต่อมาก็เป็นรองเท้าบูท รองเท้าฟองน้ำ และรองเท้าแก้วตามลำดับ

แต่เรื่องจบลงแบบสุดกร่อย เมื่อเจ้าชายดันไปเลือกรองเท้าฟองน้ำให้นางซินฯ ด้วยเหตุผลที่ว่า
ใส่ง่ายดีและตกก็ไม่แตกด้วย

นางซินฯตบหน้าเจ้าชายหนึ่งที แล้วก็โดดลงบ่อน้ำ ไปเป็นเมียของรุกขเทวดาแทน
เป็นอันจบเรื่อง แต่ตอนจบนี่ซิ มีฉากที่เจ้ารุกขเทวดาต้องหอมแก้มนางซินฯทีนึง ซึ่ง
ไอ้คนที่แสดงเป็นนางซินฯเนี่ย เป็นเกือบถึงดาวเด่นของโรงเรียนเลยล่ะ

หอมลงฟอดนึง เสียงกรี๊ดก็ดังทีนึง

“แสดงกันถึงกึ๋นน่าดูเลยซินั่นนะ” ผมพึมพำด้วยความรู้สึกไม่พอใจอย่างบอกไม่ถูก

พอหอมกันเสร็จ สายตาไอ้ปิงเหลือบมาทางผมทันที เหมือนจะดูว่าผมมองมันอยู่เหรอเปล่า
ดังนั้นผมจึงรีบหลบตาไปในบัดดล

จากนั้นก็เป็นตาของกลุ่มไอ้เต้ย และกลุ่มผมปิดท้าย การแสดงรอบกองไฟในคืนนี้จบลง
ด้วยการเต้นกันสะบัดจนถึงเกือบเที่ยงคืน จึงแยกย้ายกันเต้นท์ใครเต้นท์ คืนนี้ไอ้เต้ยก็ยัง
ไม่วายมานอนเต้นท์ผม

“กูไม่ทำอะไรมึงหรอก วางใจเหอะคืนนี้ ง่วง ปวดหัว” เต้ยบอกผม

“มึงลองมาโดนตัวกูดิ กูถีบกระเด็นแน่” ผมขู่มัน

“พ่อเนื้อทอง โดนนิดโดนหน่อยไม่ได้ แล้วอย่าทำเป็นแกล้งหลับอีกก็แล้วกันนะ” มันแซวผม
พลางวิ่งจู้ดไปแปรงฟันก่อนนอนที่ห้องน้ำ เป็นจังหว่ะที่ปิงมันเปิดเต้นท์เข้ามาพอดี เราสองคน
สบตากันแว่บนึง แล้วก็ต่างคนต่างเงียบ จัดแจงที่นอนตนไป ผมรู้สึกว่าบรรยากาศอึดอัดเหลือเกิน
จนผมต้องพูดอะไรแล้ว

“ปิง” “โอ้ต”

อ้าว ดันเผอิญเรียกพร้อมกันอีกตะหาก (เน่าจิงจิ้งงง)

“มึงพูดก่อน” ผมบอก พลางหันหน้าไปทางอื่น

“อ้าว มึงแหละ จะพูดไรก็พูด” มันย้อนผม แล้วก็หันหน้าไปอีกทาง เป็นว่าตอนนี้เราหันหลัง
ให้กันทำไมก็ไม่รู้

“คะ คือ อืมมม .... ” ผมพยายามอ้าปากพ่นคำพูดออกมา แต่ละคำมันช่างยากเย็นเหลือหลาย

“ระ เรื่องเมื่อเย็น ”

“ระ เรื่องเมื่อเย็น” ไอ้ปิงทวนคำพูด

“วะ วะ ว่าไง” สีหน้ามันดูซีดๆไงก็ไม่รู้

“อืม .... ” ผมเงียบกริบ

“กะ ก็บอกแล้วไง ว่า หะ ให้ลืมให้หมด” มันบอกเสียงสั่น

ผมหันไปหามันด้วยความเคือง

“มึงจะให้กูลืมได้ไงอะ มึงมาจูบกู ”

ผมเห็นมันทำท่าจุ๊ปากให้พูดเบาๆ

“แล้วมึงมาบอกรักกู ”

มันทำท่าจะปิดปากผม

“แล้วจะให้ลืมง่ายๆกันแบบนี้เหรอไง”

“กะ กูไม่อยากให้มึงคิดมากอะ” มันพูดเสียงแหบ “ไม่อยากให้มึงรู้สึกไม่ดีกับกู”

ผมมองดูแววตาสีน้ำตาลของมันที่ออกแนวซีดลงไปบ้าง แล้วก็ทำเป็นมองไปทางอื่น

“กูก็ ..... อึ๊ก”

“ก็....” ผมก้มหน้า

“ไม่ได้โกรธอะไรซะหน่อย” ผมพยายามพูดเสียงเบาที่สุด แต่ไอ้ปิงก็ได้ยิน

“มึงไม่โกรธกูจริงๆเหรอ”

ปิงรีบดึงตัวผมเข้าไปกอดแบบลืมตัว ผมตกใจนะเนี่ย

“ตกลงเป็นแฟนกับเราแล้วใช่ป่าว” มันเปลี่ยนสรรพนามเรียกผมซะแล้ว ไอ้นี่

“ไอ้ห่า กูไม่ได้หมายความว่างั้นซะหน่อย อย่าคิดไปไกลขนาดนั้น” ผมเตือนมันอายๆ

“อ้าว ถ้ามึงไม่โกรธกู ก็แสดงว่า มึงก็ต้องมีใจให้กูบ้างซิ ไม่งั้นเป็นใครก็ต้องโกรธ
ถ้าเค้าไม่เล่นด้วยง่ะ” มันบอกเหตุผล

“ขอเวลาซักพักก่อนได้มั้ยเล่า” ผมบอกเสียงเครียด

“แล้วก็ปล่อยกูได้แล้ว เด๋วไอ้เต้ยมาเห็นเข้าจะเป็น - - เฮ้ยเดี๋ยว ตัวมึงร้อนนี่หว่า”

ผมก็ว่ามันรู้สึกร้อนอะไร

“เออ จริงด้วย” มันบอกพลางพ่นลมหายใจร้อนๆออกจากตัว

ผมไปจับหน้าผากมัน ก็รู้แล้วว่า ไข้ขึ้นสูงแน่คืนนี้ ยิ่งอากาศหนาวๆอยู่ด้วย

“แล้วเสือกไปเล่นน้ำทะเลนะมึง” ผมว่าพลางหยิบกระปุกยาให้มันกิน

“แค่มึงไม่โกรธกู แค่ไข้แค่นี้อะ สบายมาก” แหม ปากหวานเชียวนะไอ้ตูด

“เอาเหอะ กูไม่โกรธหรอก มึงรีบนอนหลับดีกว่า จะได้ดีขึ้น เดี๋ยวกูรอไอ้เต้ยกลับเข้ามาเอง
อะ มึงเอาผ้าห่มกูไปห่ม” ผมว่าพลางยกผ้าให้มัน

“ห่มด้วยกันไม่ได้เหรอ” มันอ้อนผม นี่ๆ ยังไม่ทันไรเลยนะมึง อย่ามาด่วนจะได้กู

“ไม่อะ กูไม่อยากติดไข้มึง - - รีบๆนอนเร็ว” ผมว่าพลางกดตัวมันลงไปกับที่นอน
แล้วก็ดึงผ้าห่มมาห่มให้มัน

“ปิดที่คอไว้ จะได้อุ่น” ผมบอก แล้วรีบๆหลับนะ

“เค้าบอกว่า ถ้าจะให้หายเร็วๆอะ ต้องหอมแก้มคนป่วยก่อนนอน- -” มันบอกผม

“อืม นะ มึงอยากจูบหมัดกูมั้ยละ หายแน่ ..... ” ผมว่ามัน ได้ผลดูเหมือนว่า
มันนอนหลับตาปี๋เลย ซักพักผมก็ได้ยินเสียงกรน ผมมองหน้ามัน

“น่ารักขนาดนี้เลยเหรอว่ะ ไอ้ปิง มึงเนี่ย” ผมพึมพำ แล้วก้มลงไปหอมแก้มมันทีนึง

“หอมแล้วก็หายเร็วๆนะมึง”

ผมกำลังจัดหมอนเตรียมตัวจะนอน ก็เอะใจว่าทำไมไอ้เต้ยมันไม่ยอมเข้ามาซะที ก็เลย
เปิดเต้นท์โผล่หน้าออกมาดู

“เฮ้ย มานอนอะไรข้างนอกวะ” ผมตกใจที่เห็นมันมานั่งคุดคู้อยู่นอกเต้นท์ นี่ไม่รู้มานั่งนาน
แค่ไหนแล้ว ผมก็ไม่ได้คิด แล้วก็รีบลากมันเข้ามา

“เต้ยๆ ตื่น ” ผมพูดพลางตบหน้ามันเบาๆ

“หือ ... ว่าไง” มันพยายามลืมตา “กูปวดหัวหว่ะ โอ้ต ”

“กินยาเหรอยัง”

มันบอกว่าเมื่อกี้วิ่งไปขอยาที่อาจารย์มาแล้ว พอเดินมาถึงหน้าเต้นท์ก็หมดแรง ล้มไปกองเลย

“เฮ้ย เป็นไข้อีกคนแล้วไง” ผมว่าพลางจับตัวมันอีกคน คราวนี้มันร้อนกว่าไอ้ปิงอีก

“มึงนอนนี่เลย แล้วห่มผ้าซะ”

“อีกคนเหรอ” มันทวนคำถาม

“เออ ไอ้ปิงก็ไข้ขึ้นเหมือนมึงอะ ดีสม เสือกเล่นน้ำจนได้เรื่องเลยเป็นไง” ผมว่ามัน
พลางจะเดินออกไปข้างนอก

“จะไปไหน”

“เรื่องของกูอะ มึงนอนเหอะ เด๋วจะตายซะก่อน” ผมว่า พลางมุดออกไป เจตนาผมจะไป
ขอกระป๋องใส่น้ำ กับผ้าขนหนูจากอาจารย์มาเช็ดตัวให้พวกมันนะแหละ ขืนเป็นแบบนี้ไม่ไหว
แน่ โดยเฉพาะไอ้เต้ย เป็นมากโขเลย หาเรื่องให้กูไม่ได้นอนอีกละ พวกมึงเนี่ย....

ความไม่แน่นอน คือ ความแน่นอน หลายครั้งที่ผมสงสัย บางสิ่งซึ่งมันต้องสมควรเป็นไปตามนั่น
กลับตรงกันข้าม การที่ปิงมาบอกชอบผม ทั้งที่คนอย่างมันสามารถหาผู้หญิงดีๆซักคนนึงมาเป็น
คู่ชีวิตได้ แต่มันกลับเลือกผม ... มันเป็นเพราะอะไร ??

อย่าว่าแต่ความคิดของคนอื่นเลย แม้แต่ความความรู้สึกของผมในตอนนี้ ก็ยังเดาไม่ออก ผมกำลัง
ดำดิ่งสู่ก้นบึ้งของความสับสน ในห้วงความคิดนั้น ผมเห็นตัวเองกำลังปลดโซ่ตรวน โซ่ซึ่งพันธนาการ
ความรู้สึกที่แท้จริงอย่างช้าๆ แล้วผมก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเข้าแคมป์ที่ค่อนข้างทุลักทุเลที่สุดครั้งนึง จะอะไรซะอีก ก็ไอ้เพื่อนร่วม
เต้นท์ของผมสองตัวดันมาไม่สบายพร้อมกันทีเดียว หน้าที่พยาบาลจึงตกเป็นของผมอย่างช่วยไม่ได้

ผมยันตัวขึ้นมาด้วยความอ่อนเพลีย เสียงกรนเบาจากไอ้คนป่วย 2 คนที่ผมดูแลเมื่อคืน อาการคงดีขึ้น
แต่สิ่งที่ดูขัดใจมากที่สุดตอนนี้ จนรู้สึกอยากจะชกไอ้คนนอนก็ภาพที่ ไอ้เชี่ยเต้ยมันนอนกอดไอ้ปิง
ของผม (ตั้งแต่เมื่อไร) อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่ทันไรอาการหึงผมก็เกิดอีกแล้วเหรอเนี่ย ไม่นับเรื่อง
เมื่อคืนที่มันไปหอมแก้มดาว รร.อีก

ติ๊ก ... ติ๊ก ... ติ๊ก

ผมนั่งอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงนาฬิกาที่กำลังเดิน

ความรู้สึก กำลังตีกันพัลวันในหัว

ผมหันไปมองหน้าปิง มันยังคงนอนหลับสบาย เนิ่นนานเท่าไรไม่ทราบ แต่ตอนนี้
ผมรวบรวมความกล้า และได้ตัดสินใจยอมรับความรู้สึกของเพื่อนรักของผม ... ซะที

* * * * * * * * * * * *

“เป็นไง ดีขึ้นมั่งป่าว” ผมถามปิงในระหว่างที่ออกกำลังตอนเช้า

“อือ ไม่ดีขึ้นได้ไง ก็มีพยาบาลดีขนาดนี้อะ” มันว่า

“แถมใครก็ไม่รู้ .. มาแอบหอมแก้มอีก งี้ไม่หายได้งไง”

“งั้นมึงก็ละเมอแล้วล่ะ ใครจะมาหอมมึง” ผมแกล้งหันหน้าไปทางอื่น รู้สึกเหมือนโดน
จับได้ยังไงก็ไม่รู้

“เหรอ .. เราจะเชื่อหว่ะ” มันพูดแล้วยิ้มที่มันคิดว่าหล่อสุดแล้วของมันมาทางผม

“มึงอย่ามายิ้มแบบนี้กะกูได้ม่ะ ขนลุก” ผมแสดงท่าทางหยะแหยงใส่มัน

“แล้วทำไมต้องมาพูดเราๆ นายๆ กะกูด้วยวะ พูดแบบเดิมเหอะ เป็นไรของมึงเนี่ย
ตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ” ผมบอกมันเพราะรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยกับสิ่งที่มันพูดกับผม แต่กับ
คนอื่นก็เห็นมันพูดเหมือนเดิม

หลังจากเลิกกิจกรรมตอนเช้า ก็เหลือเวลาอีกนิดหน่อยก่อนจะถึงเวลาอาหารเช้า ไอ้ปิง
ก็ชวนผมเดินเล่นแถวชายหาดเป็นการส่งท้ายก่อนกลับ

“ก็ตอนนี้กับเมื่อก่อนมันเหมือนกันที่ไหนเล่า” ไอ้ปิงเดินไปบอกไป

“แล้วมันไม่เหมือนกันยังไงฟะ”

“กะ ก็ ... ”

มันมองหน้าผมแดง แล้วทำสายตาเรียกร้องอะไรบางอย่าง

“ก็ตอนนี้ เอ่อ เอ่อ ปิงบอกความรู้สึกของปิงให้ เอ่อ โอ้ตรู้แล้วนิ ว่ารู้สึกไง”

ดูท่าทางมันก็ยังไม่ค่อยชินกับการพูดดีๆอย่างนี้เท่าไรเหมือนกัน

“เอ่อ ก็รู้แล้ว” ผมอ้อมแอ้มตอบ

“ละ แล้วไง” สายตามันดูคาดคั้นคำตอบผมยิ่งกว่าเดิม

“ไม่รู้ .. ” ผมตอบอย่างเฉยเมย

“งี้ได้งายยยอะ .... ” ดูมันท่าทางจะผิดหวังกับคำตอบ

“ก็จะงี้ล่ะ”

“ไม่ - ได้” แน่ะมันชักขึ้นเสียงกะผม ไอ้ผมก็โรคจิตชอบแกล้งคนอยู่แล้ว

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ มันสิทธิของกูไม่ใช่เหรอไง ที่จะชอบใครหรือไม่ชอบใครก็ได้”
ผมยังคงแกล้งปากแข็ง

“อ้าว พูดงี้ก็สวยเด๊ะ ขี้โกงนี่หว่า ... ” ไอ้ปิงชักมีอารมณ์

กลับกลายเป็นว่าเถียงกันไปเถียงกัน เมื่อเห็นว่ามันชักเริ่มโกรธแล้ว ผมได้ทีเลยเอา
มือโกยทรายเต็มฝ่ามือ ปาไปที่ตัวไอ้ปิง แต่พลาดไปหน่อย

ฝุบบ อ่า เต็มหน้ามันเลย

“โห เถียงไม่ขึ้นแล้วเล่นแบบนี้เหรอ ด้ายยยยย” มันตบะแตก แล้วสงครามย่อยๆก็เกิดขึ้น
ที่ริมหาดนั่นเอง

“แฮ่ก แฮ่ก ”

“มึงอะ ปามาได้ งี้ต้องไปอาบน้ำใหม่อีกแล้วอะ แม่งยิ่งหนาวๆอยู่” ผมต่อว่ามัน

“อ้าว แล้วใครเริ่มก่อนล่ะโว้ย” มันชี้หน้าทั้งๆที่รู้ว่า ผมไม่ค่อยชอบให้ใครมาชี้หน้า
ผมเลยปัดออก แต่มันได้ทีคว้ามือผมไว้แทน

“เฮ้ย ปล่อย” ผมพยายามดึงมือออก

“เด๋วก่อนดิ” มันบอกผมพลางส่งสายตาขี้อ้อนเป็นประกายมาทางผมอีกแล้ว ผลให้สายตา
ผมหลบไปทางอื่นโดยอัตโนมัติ

“แน่ะ คนเราถ้าไม่รู้สึกอะไรกัน เค้าไม่หลบตากันหรอก”

ผมไม่พูดไม่จา พยายามดึงมือกลับอย่างเดียว

“ฟังปิงนะ ... ” ปิงพูดพลางสูดลมหายใจลึก

“เราจะพูดแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว .. แล้วปิงจะไม่พูดเรื่องนี้อีก ไม่คอยถามอีก”

ผมหันกลับไปมองหน้ามันอีกรอบ พลางนึกในใจว่าอย่ามาเล่นมุข
มุมอาซิมุสอีกนะมึง

ปิงมองหน้าผมซักพัก มองตาผม และเหมือนจะมองทะลุเข้ามาในจิตใจ

“ปิง ระ .. รักโอ้ตนะ ไม่ใช่แค่ชอบเฉยๆ ... ”

คราวนี้จังๆต่อหน้าต่อตา ผมรู้สึกหูตัวเองแดงอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
แม้วันมามาก (เฮ้ย ไม่ใช่)

“.. ไม่ว่าโอ้ตจะรู้สึกยังไงก็แล้วแต่ คิดให้ดีก่อนจะบอกเรานะ...”

“ ไม่ต้องสงสาร...”

“ไม่ต้องเห็นใจ...” ปิงจับมือผมแน่นมากกว่าที่เคยจับครั้งไหนๆ

“เพราะปิงไม่อยากได้ความรู้สึกพวกนั้นจากโอ้ต ... ”

ปิงพูดไปมือสั่นไปเบาๆ เค้าพยายามควบคุมเต็มที่แล้ว ผมรู้สึกได้

“ปิงทำได้แค่เดินมามอบความรักให้โอ้ต แล้วจะยืนอยู่เฉยๆ เพื่อรอรับมันจากโอ้ต ...
ปิงบอกทุกอย่างที่อยากจะบอกแล้ว ที่เหลือก็ ... ”

“ที่เหลือ ก็แล้วแต่โอ้ต …”

ผมยกมือขึ้นไปปิดปากไอ้ปิง พร้อมกับน้ำตาที่เอ่อท้น

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ปิง ที่จริง กูตัดสินใจเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” ผมบอกเสียงสั่นเครือ
เหมือนกับคนที่อยู่ตรงหน้า

“หมายความว่า ... ” ไอ้ปิงทำหน้าสลด

ผมเห็นหน้าจ๋อยของมันแล้ว ก็ยิ้มกลับไปให้ มันเป็นยิ้มที่จริงใจที่สุดที่จะให้คนๆนึงได้

“การถูกคนๆนึงรัก มันมีความสุขนะ ... แต่การให้ความรักนั้นกลับคืนไป มันมีความสุข
กว่ามากเลย ว่ามั้ย ... ไอ้ปิง” ผมกล่าวสิ่งที่ได้ตัดสินใจลงไป

ต่อจากนี้ สิ่งที่ผมได้ทำลงไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ....ผมจะไม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไป
แต่ในความเป็นจริง ในอีกมุมนึง ในห้วงรัก การถูกรักมันสุขใจ การมอบความรักมันอิ่มเอม
และคนที่ได้รับการปฏิเสธ มันทรมาน

บนรถไฟ ตลอดการเดินทางกลับกรุงเทพฯ แม้ความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจจะยังฝังลึกอยู่ในตัว
แต่เมื่อผมเห็นไอ้เต้ย ซึ่งนั่งคุยกับปิงอยู่ข้างๆ พร้อมกับพวกเพื่อนอีกหลายคน ผมอดไม่ได้
ที่จะคิดถึงคำพูดของมันในคืนนั้น ท่าทีของมันเหมือนจะชอบผม แต่ถ้าคิดอีกแบบ มันก็ไม่ใช่
ไอ้เต้ยต้องการทดสอบอะไรผมบางอย่างเหรอเปล่า และถ้ามันชอบผมขึ้นมาจริงๆ ถ้ามันเล่าเรื่อง
ที่มันทำเมื่อคืนก่อนให้ปิงฟัง อะไรจะเกิดขึ้น

“ปิง ตั้งแต่มึงกลับมาจากประจวบฯนี่ มีความสุขอะไรนักหนาวะ”

ไอ้ท็อปบอกขึ้นมา ในระหว่างกินข้าวในโรงอาหารวันจันทร์

“เอ่อ กูว่างั้นแหละ วันๆเอาแต่นั่งยิ้มแป้นแล้น” เพื่อนอีกคนนึงสำทับ พลางหันมาถามความเห็นผม

“มึงรู้ป่ะ ว่ามันเป็นไรวะ โอ้ต ”

“เฮ้ย กูไม่รู้ อย่ามาถาม” ผมรู้สึกตื่นตูมเป็นพิเศษยังไงไม่ทราบ นี่ถ้าพวกมันรู้ว่าผมกับไอ้ปิงคบกัน
ฉันแฟนแล้ว ไม่อยากจะคิด ...

“มันก็บ้างี้มานานแล้วไม่ใช่เหรอไง” พวกเราหันกลับไปที่ต้นเสียง เห็นไอ้เต้ยเดินถือข้าวมันไก่
เดินมานั่งที่โต๊ะของพวกเรา

“ไอ้เต้ยไอ้เหี้ย ถึงกูจะบ้า ก็บ้ารักเว้ยยยย” ไอ้ปิงตอบเสียงดังกังวาน

วี้ดดดดวิ้วววว

กูจะอ๊วก

เสียงผิวปากและเสียงด่าส่งของพวกที่โต๊ะดังขึ้นทันที เมื่อมันพ่นเอาสิ่งเลี่ยนๆออกมาจากปาก
และท่ามกลางเสียงผิวปากของพวกนั้น มีเสียง “ไอ้เหี้ย” ของผมผสมอยู่ด้วย เพียงแต่มันเบา
พวกเลยไม่ได้ยิน

“แหม ไอ้ปิง ปากดีนะมึง” เต้ยยิ้มหันไปหามัน เหมือนจะคาดคั้นว่า ไอ้คำว่าบ้ารักของมันหมายความ
ว่าไง

“ไหนบอกกูมาเด๊ะ ว่ามึงไปเจออะไรดีๆในค่ายวะ หน้าถึงบานเป็นจานดาวเทียมแบบเนี้ย”

“มึงอยากรู้ไปทำไมวะ ”

“เพื่อนสุข พวกกูก็อยากรู้มั่งอะดิ” มันว่าไปโน่นเลย ผมพยายามมองตาไอ้ปิงประมาณว่า
ถ้าพูดมึงตายด้วยมือกูแน่

“เออ จะว่าไป ไปค่ายกลับมากูก็ได้เจออะไรดีๆ เหมือนกันหว่ะ” ไอ้เต้ยบอกปิง แล้วหันมาทางผม
แสยะยิ้มเป็นนัยๆ

- อุ๊ก ... ซวยแล้วกู - ผมคิดในใจ

“เออๆ กูบอกก็ได้ .... คือกูไปค่ายครั้งนี้ กูได้แฟนกลับมาด้วยเว้ยยยยย” ปิงมันพูดแบบอวดๆ
แค่นี้ก็ทำให้ผมสำลักน้ำไปเรียบร้อยแล้ว

วี้ดดดดวิ้วววว เสียงผิวปากของพวกดังขึ้นอีกระลอก จนไอ้โต๊ะข้างๆ มันเริ่มส่งเสียงประนาม
แล้วสารพัดคำถามก็ถาโถมใส่ไอ้ปิงทันที และเป็นโชคดีของผม เพราะว่ามันไม่หลุดปากว่าแฟน
ที่ได้กลับมาของมันคือใคร

เฮ้ย พรุ่งนี้มีรายงานชีวะนะมึง เตรียมรายงานกันยังวะ ผมรีบเปลี่ยนเรื่องคุย

………………….

ก็มึงทำไงโอ้ต

สัด บ้านกูก็อยู่ไกล ไม่ใกล้เหมือนพวกมึงนะ

เด๋วพรุ่งนี้ปิงมาช่วย ไอ้ปิงบอกผม พวกไอ้ท็อปออกจะงงๆนิดหน่อยว่าทำไมอยุ่ๆไอ้ปิง
ก็มาพูดดีกับผม เพราะแต่ก่อน ก็พูดกูๆมึงๆกันประจำ

ผมเหลือบไปสังเกตไอ้เต้ย พอปิงบอกไปว่าได้แฟนกลับมา จากนั้นจนกินเสร็จ ไอ้เต้ยไม่พูดกับใคร
แม้แต่คนเดียว และคิดว่ามันพอจะรู้แล้ว ว่าแฟนของปิงที่พูดถึง หมายถึงผมนั่นเอง

“กูอิ่มแระ ไปก่อนนะ” พูดเสร็จมันก็กระแทกจานลงบนโต๊ะ

“ใครมีน้ำใจเก็บให้กูหน่อย” พูดเสร็จมันก็เดินพลวดๆ ออกจากโรงอาหารไปเลย

ผมมองหน้าปิง เห็นมันสบตากับผมเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง และหลังจากที่จบการเรียนในวันจันทร์
เราต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน โดยผมไม่ได้เห็นไอ้เต้ยอีกตลอดทั้งวัน คืนนั้นปิงโทรมาหาผม

“โทรมาทำไมวะ พึ่งเจอกันทั้งวัน” ผมบอก

“อ้าว ก็โทรมาหาแฟนมันผิดตรงไหนอะ” ไอ้ปิงหยอดคำหวานเน่าๆออกมา

“นี่ๆ เวลามึงมีแฟนนี่ มึงเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังตีนแบบนี้ทุกคนเปล่าวะ” ผมแกล้งถาม

“เปล่าซะหน่อย เคยมีแฟนซะที่ไหนกันเล่า ... ” มันแก้ตัว

“ก็มีโอ้ตคนแรกนี่แหละ”

“แหวะ แหวะ” ผมทำเสียงล้อมัน

“แหวะราย แพ้ท้องเหรอไง ยังไม่ทันมีไรกันเลย แค่มองตา ก็ ... ”

“หยุดๆ พอเลยมึง คิดอกุศล เออ กูมีเรื่องถาม” ผมรีบวกเข้าเรื่อง

“นี่ ขอไรอย่างนึงได้ป่ะ เป็นแฟนกันแล้วอะ พูดกันให้สมกับเป็นแฟนกันหน่อย
เด๊ะ อย่าพูด กู – มึง ... ”

“กูจะพูดแบบนี้ จะทำไม จะเลิกก็ได้นะ” ผมบอกอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า

“ขี้โกงอะ ... ”

“ไอ้ปิง กูมีเรื่องจะถาม มึงตอบมาตรงๆนะ” ผมรีบบอกก่อนจะเสียเวลามากกว่านี้

“อือ มีเรื่องไร”

“คือ เรื่อง เรื่อง ไอ้เต้ยน่ะ คือ ... ”

“อ่อ เมื่อกลางวันใช่ป่ะ อืม ... อย่าคิดมากนะ เด๋วเราจัดการเอง”

“จะจัดการอะไร” ผมละล่ำละลักถาม เพราะไม่รู้ว่ามันพูดเรื่องเดียวกะที่ผมรู้เหรอปล่าว

“เอาเหอะ ไม่ต้องห่วงอะ เด๋วปิงจัดการเอง ไอ้เต้ยมันก็เพื่อนปิง อืม แล้วมันก็เป็นเพื่อนโอ้ตด้วย
ไม่มีปัญหาหรอก”

“เดี๋ยวซิ จะจัดการอะไร” ผมชักเป็นห่วง

“น่า ไปนอนได้แล้ว ดึกแล้ว แค่นี้ก่อนนะ แล้วเจอกันที่โรงเรียน”

ผมยังไม่ทันได้รู้ว่ามันจะจัดการอะไร ก็วางหูไปซะแล้ว แน่นอน คืนนั้นผมนอนไม่หลับ
ไม่รู้ว่าเรื่องที่จะจัดการของมันเนี่ย มันเรื่องเดียวกะที่ผมจะบอกเหรอเปล่า ไอ้เต้ยมันจะพูด
อะไรเหรอเปล่า .... ใจจริง ผมไม่อยากให้ไอ้เต้ยเสียใจเลย ผมไม่น่าไปให้ความหวังอะไรเล็กๆ
น้อยๆเมื่อคืนนั้น มันจะคิดว่าผมมีใจให้มันเหรอเปล่าหนอ

* * * * * * * * * * * *


เช้าวันต่อมา ผมรีบตื่นแต่เช้า เพราะว่าต้องรีบไปจัดห้องเตรียมนำเสนองาน

“เฮ่อ ไอ้ปิงเอ้ย กูนัดกูโมง แม่งไม่เคยมาตามนัด ให้กูทำคนเดียว ผมบ่นไปเตรียมงานไปคนเดียว”

“เฮ้ย .... ”

ผมตกใจสุดขีดเมื่อรู้สึกว่ามีใครมาอยู่ข้างหลัง

ผมกำลังจะหันไป แต่ไม่ทันเมื่อไอ้คนที่ว่ามันจับผมเข้าที่ด้านหลัง ผมพยายามดิ้น แต่ก็ไม่หลุด
ซักพัก ผมได้กลิ่นลมหายใจที่คุ้นเคยเข้า คล้ายๆกับตอนไปเข้าค่าย

“ไอ้เต้ย ปล่อย” ผมบอก

“รู้ด้วยเหรอ ว่าเป็นกู” มันพูดใกล้ๆหูผม

“ปล่อย เดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้า” ผมพยายามพูดกับมันดีๆ เพราะถ้ามีคนเข้ามาเห็นเข้า เป็นเรื่องแน่

“ทำไมเหรอ กลัวไอ้ปิงมันมาเห็นเข้าเหรอไง” มันพูดแทงใจผม

“เห็นว่าเป็นแฟนกันแล้วนี่นา”

“ไม่ใช่ซะหน่อย เข้าใจผิด” ผมโกหกคำโตออกไป แล้วมันก็เป็นคำพูดที่ไม่ควรเอ่ยให้ไอ้เต้ย
ได้ยินซะด้วย

ไอ้เต้ยได้ยินเท่านั้น มันก็ไม่พูดอะไร แต่ค่อยๆมาไซร้ต้นคอ ผมขนลุกซู่ มันจะล่อกันตอนเช้า
แบบนี้เลยเหรอไง ผมพยายามดิ้น แต่เมื่อเห็นว่าไม่เป็นผล จึงอยู่เฉยๆ รอให้มันเบื่อไปเอง ใจจริง
ตอนนี้ผมไม่ได้มีอารมณ์แบบนั้นกับไอ้เต้ยเลย เพียงแต่รู้สึกผิดกับมันเท่านั้นเอง

เมื่อเห็นว่าผมไม่ขัดขืนอะไร มันก็พลิกตัวผมให้หันไปหามัน

“ทำไมไม่ขัดขืนวะ” มันพูดเสียงแข็งกับผม จนเริ่มงงกับคำพูดของมัน

“มึงรู้สึกยังไงกันแน่ ไอ้โอ้ต” มันด่าผมแล้วก็ผลักอย่างแรงจนผมไปกองกับพื้น

“มึงพูดอะไรไอ้เต้ย กูไม่เข้าใจ”

“มึงไม่เข้าใจเหรอ” มันหลิวตาดูถูกผม

“มึงรู้สึกยังไงกับไอ้ปิงกันแน่ บอกกูมา”

เมื่อมันเล่นถามเรื่องส่วนตัวแบบนี้ ผมก็ชักเคือง

“กูจะรู้สึกยังไงกับใคร แล้วมันเรื่องอะไรของมึง ไอ้เต้ย โอ้ย !! - - ” ผมพยายามจะลุกขึ้นมา
แต่ก็โดนมันผลักลงไปกองอีก

สายตามันมองผมอย่างโกรธเคือง

“มึงคบกับไอ้ปิงเป็นแฟนแล้วไม่ใช่เหรอไง”

“เออ กูเป็นแล้วยังไง” ผมโพล่งออกไปด้วยความโกรธเช่นกัน

ผมเห็นเต้ยยืนนิ่ง มือกำแน่น ตอนนี้ผมกลัวมันจริงๆ ไม่รู้เพราะอะไร แต่ความรู้สึกประหม่า
และหวั่นเกรงเกิดขึ้นอย่างไม่ทันรู้ตัว

แล้วหน้าผมก็สัมผัสถึงของเหลวใส หยดลงมา

1 หยด …

2 หยด ...

ไอ้เต้ยกำลังร้องไห้ จากเสียงสะอื้นเบาๆ แต่ผมรู้สึกได้ถึงความเสียใจอย่างรุนแรง ทำเอาผมใจเสีย
แม้มันจะรู้อยู่แล้ว ว่าผมคบกับปิง แต่เมื่อได้รับการยืนยันแบบนี้ เป็นใครก็ต้องเสียใจ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [17-4-12] Part 2
«ตอบ #73 เมื่อ18-04-2012 14:23:58 »

“ไอ้ ... เต้ย ” ผมค่อยๆเรียกมัน ทั้งที่ยืนค้ำหัวอยู่

“ตอบกูมา โอ้ต มึงรู้สึกยังไงกับปิงมันกันแน่ ” มันถามผมเสียงเบา แต่หนักแน่น

“กะ กู .... ”

“อย่ามาอ้ำอึ้งกับกูนะ” มันตะคอกใส่

ผมไม่ยอมตอบอะไรมันทั้งนั้น น้ำตาไอ้เต้ยหยดลงมาโดนผมอีกครั้ง

“มึงคบกะไอ้ปิง ..แล้วมึงยังปล่อยให้กูทำอะไร ....- - ทำกับมึง ” ไอ้เต้ยยังพูดไม่จบ
แต่ผมรู้ว่าจะพูดอะไร

“กูไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับมึงนะ ไอ้เต้ย กูแค่ .... ”

“มึงไม่ต้องแก้ตัว .. กูไม่อยากฟัง แค่นี้ก็พอรู้อะไรบางอย่างแล้ว ว่ามึงน่ะยังรักไอ้ปิงได้ไม่เท่ากับ
ที่มันรักมึงหรอก”

ผมนิ่งอึ้ง สิ่งที่ผมสงสัยมันค่อยๆชัดเจนมากขึ้น

“จำไว้นะ ถ้ามึงยังทำตัวแบบนี้ต่อไป ... ” มันก้มลงมาต่ำ

“กูก็ยังมีสิทธิ จำไว้ ... ” เต้ยมันพูดพร้อมกับกัดลงบนบ่าผมจนเจ็บ

“ไอ้เต้ย มึงทำอะไรโอ้ต” ผมได้ยินเสียงปิงดังขึ้นมาจากหน้าประตู

เต้ยหันหน้าไปหาต้นเสียง พร้อมกับโดนหมัดไอ้ปิงสวนเข้ามาเต็มๆ จนผมได้ยินเสียง พลั๊ก

“ปิง อย่า ... พอได้แล้ว” ผมรีบห้ามไอ้ปิงเมื่อเห็นว่ามันกำลังจะต่อยไอ้เต้ยเป็นหมัดที่ 2 แล้ว
มันก็ยังยอมโดนต่อยอยู่ได้

“จำที่กูพูดไว้นะ ไอ้โอ้ต” เต้ยบอกผมก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องไป ข้าวของในห้องตอนนี้
กระจัดกระจายจนผมกับปิงต้องมานั่งเก็บใหม่

“ไอ้เหี้ยนั่นมันทำอะไรโอ้ต” ปิงถามผมด้วยความเป็นห่วง

ผมสั่นหน้า แล้วมองปิงด้วยความรู้สึกน้อยใจ ปนลำบากใจ

“ปิง ... มึงน่าจะบอกกูนะ” ผมพูดออกมาด้วยความยากเย็น ปิงไม่มองผมเหมือนจะหลบสายตา

“มึง ... รู้ใช่มั้ย ....................”

ปิงนั่งนิ่งเงียบ มือแทบไม่กระดิก

“…. ว่าไอ้เต้ยมันชอบมึง” ผมถามปิงทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

บางครั้งความรักก็เข้ามาหาเราเพื่อให้เราได้เรียนรู้ มิใช้ให้เราครอบครอง ...ไม่ผิดหากจะ
รักคนมีเจ้าของ แต่จะผิดหากเข้าไปทำหน้าที่ซ้อนคนอีกคน ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้กำลังทำ
หน้าที่ซ้อนกับใคร แต่สิ่งนึงที่ผมรู้สึกได้และทำให้เจ็บปวด ผมคงไม่ได้แย่งปิงมาจากไอ้เต้ยใช่มั้ย ....

* * * * * * * * * * * *

เมื่อก่อนผมมักคิดว่าตัวเองต้องเป็นคนมีปัญหาอะไรบางอย่างแน่นอน ทำไมผมถึงไม่เคยคิด
เรื่องจะมีคนรัก มีแฟนอะไรทำนองนี้กับเค้าเลย สมัยม.ต้น ผมต้องพยายามปรับตัวเข้ากับเพื่อน
ใหม่ สังคมใหม่ที่กว้างขึ้นกว่าเมื่อประถม ผมสนุกสนานกับการได้นั่งเล่นเกมส์เพลสเตชั่น
ได้เล่นบอลกับเพื่อน(ในบางครั้ง) มา ม.ปลาย ความที่ผมโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น การที่จะมานั่ง
เล่นเกมส์เหมือนก่อนคงจะไม่ดี ผมจึงต้องตั้งหน้าตั้งตา และตั้งใจเรียน พร้อมกับปรับตัวอีกครั้ง
เพื่อให้เข้ากับสังคมที่โตขึ้น

แต่สิ่งที่ผมยังคงอยู่ คือการได้อยู่กับพวกเพื่อนฝูง ได้เฮฮา สนุกสนาน และได้เที่ยวมากขึ้น
แน่นอนผมก็ยังไม่เคยได้สัมผัสกับความรู้สึกของการมีความรัก ต่างจากเพื่อนๆหลายคน
ที่จะเข้ามาจ้อเรื่องเด็กใหม่ที่อยากจีบ เข้ามาอวดเมื่อได้เป็นแฟน และเข้ามา ฟูมฟายเมื่อต้องเลิกกัน
หลายต่อหลายคน ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ... ผมยังเคยคิด ในวัยมัธยมนี้คงไม่มีโอกาสได้รู้จักคำว่ารักหรอก
ว่ามันเป็นแบบไหน

แต่แล้ววันนึง ผมก็ได้รับความรักโดยไม่ทันตั้งตัว และที่ไม่คาดคิด คนๆนั้นเค้าอยู่ข้างกายผมตลอด 4 ปี
ที่ได้รู้จักมันมา ถึงแม้ว่าจะพึ่งได้มาอยู่ใกล้ชิดกันก็ตาม ผมน่าที่จะสดชื่น รับความรู้สึกนั้น
มาด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยม แต่ตอนนี้ ... ผมกลับรู้สึกอึดอัดขึ้นมา เมื่อรู้ว่าการที่ผมตอบรับ
ความรักนั้นมา จะทำให้คนอีกคนนึงเจ็บปวด ...

ตั้งแต่เมื่อเช้า วันนี้ผมเรียนไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย หรือถ้าพูดให้ถูก มันไม่มีสมาธิจะเรียนมากกว่า
ในตอนกลางวัน ผมไม่ได้ลงมากินข้าวที่โรงอาหาร ด้วยเหตุผลว่า ผมไม่อยากเจอหน้าไอ้เต้ยอีก
จนโรงเรียนเลิก ผมก็รีบเดินจ้ำออกจากโรงเรียน โดยมีปิงเดินกึ่งวิ่งตามมาแต่ไกล

“โอ้ต .. ” ผมได้ยินเสียงปิงเรียก แต่เสียงนั้นฟังเหมือนจะห่างไกลเหลือเกิน

“เป็นอะไร ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว” ปิงถามด้วยความเป็นห่วง คงจะเห็นว่าตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นมาเมื่อตอนเช้า
ผมกลับกลายเป็นโอ้ตเหมือนเมื่อสมัยตอนที่เข้ามาโรงเรียนนี้ใหม่ๆ ที่เอาแต่นั่งซื่อเซ่อ ไม่พูดไม่จากับ
เพื่อน เงียบขรึม

“ไม่ได้เป็นอะไร” ผมตอบเสียงเรียบ ในใจซ่อนความครุกรุ่นอะไรบางอย่างเอาไว้

“ไม่ได้เป็นอะไร แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” ปิงยังคงเซ้าซี้ผม พร้อมกับเข้ามายืนชิดตัวผมมากขึ้น
แต่ยิ่งเข้ามา ผมก็ยิ่งเอาตัวออกห่าง จนมันรำคาญเลยคว้าคอผมกอดไว้

“ทำอะไรวะ ปล่อย” ผมพูดพอให้ปิงได้ยิน ไม่อยากให้เสียงดังจนคนอื่นที่รอรถโดยสารกลับอยู่ได้ยิน

“แค่กอดคอเฉยๆ ไม่มีใครสงสัยหรอกน่า” ปิงหันมาบอกผม

“ทำไมต้องทำท่าทางไม่พอใจแบบนี้ด้วยล่ะ ”

ผมไม่ยอมพูดอะไรออกมา เอาแต่ชะเง้อมองดูรถกลับบ้านอย่างเดียว

“หึง – ล่ะ - ซิ” ปิงพูดขึ้นมา 3 พยางค์ แทงใจผมนักเชียว

“นั่นแน่ แล้วมาปากแข็ง ไม่ยอมพูดยอมจากับเค้า ที่แท้ก็ หึง นี่เอง” ปิงว่าพลางหัวเราะคิกคัก
แล้วก็ต้องหยุดไปเมื่อผมหันหน้าไปมองมัน

“พูดบ้าอะไรอยู่ได้วะ ”

ผมว่าพลางดึงมือมันที่กอดคอออก เพราะเห็นรถปอ 2 สีส้มวิ่งมาแต่ไกล

ปิงเห็นดังนั้นจึงคว้าแขน ดึงผมไว้ไม่ยอมให้ไป

“อะไรอีก เดี๋ยวกูขึ้นรถไม่ทันคนอื่นเค้า ”

“ไปหาอะไรกินกับเราหน่อยดิ แป็บเดียวเท่านั้นแหละ” ปิงส่งสายตาอ้อนวอนผม
อีกนึงระลอก ทำให้ผมจำเป็นต้องเดินตามมันไปแบบเงียบๆ

ปิงมันพามาที่ร้านขนมปัง เนยสด หน้าโรงเรียน

ปิงเดินนำหน้าไปหาที่นั่งในร้าน ซึ่งปกติแล้ว ถ้าเป็นตอนเย็นๆแบบนี้ ไม่ค่อยจะมีที่นั่ง
เท่าไรหรอก แต่วันนี้โชคดี หลังจากที่สั่งขนมปังเนยนม กับ นมสด เรียบร้อยแล้ว ปิงมัน
ก็เริ่มชวนผมคุย ผมก็เอ่อๆ อ่าๆ ไปตามนั้น ก็คนมันไม่มีกระจิตกระใจจะคุยอะไรนี่หว่า

“นี่ เมื่อไรจะเลิกโมโหหึงปิงซะที” มันพูดขึ้นมาหลังจากที่เห็นผมนั่งกินอยู่อย่างเดียว
ไม่พูดไม่จา

“ใครโมโหหึงฟ่ะ” ผมพูดเคืองๆ

“งั้นทำไม .... ” ปิงพูดพลางใช้สมองคิด

“งั้นเหรอว่า ... โอ้ตก็ชอบไอ้เต้ยมัน ถึงทำหน้าหงิกแบบนี้อยู่ทั้งวันแบบนี้ ”

ปิงคาดคั้นผม สีหน้าเปลี่ยนเป็นเอาจริงเอาจังขึ้นมาทันใด

“ป่าววววว” ผมร้องเสียงหลง จนโต๊ะข้างๆหันมามอง

ไอ้ปิงทำหน้าโล่งอก กลับมายิ้มได้แบบเก่า

“แล้วทำไมโอ้ตต้องมานั่งกลุ้มใจด้วยอะ ไอ้คนที่ต้องกลุ้มอะ นั่งอยู่ตรงนี้
เนี้ยะ” ปิงพูดพลางพยักหน้าไปมา

“คนรูปหล่อเนื้อหอมก็เงี้ย มีแต่คนรัก”

“ไอ้บ้า พูดได้ไม่อายปากเลยนะมึง” ผมพูดไป ขำไป

“555 ยิ้มได้ซะทีนะแฟนเรา มัวแต่นั่งหน้างอ ไม่หน้ารักเลยน้า” ปิงยิ้ม
แล้วยื่นมือมาหยิกแก้มผมอย่างรวดเร็ว

“ทำไรวะ เดี๋ยวคนอื่นเห็น” ผมพูดอย่างตกใจ เพราะคนในร้านก็ไม่ใช่น้อยๆ

“หยิบเศษอะไรที่ติดหน้าออกให้ตะหาก” มันแก้ตัว

“อย่ามาแก้ตัว จะมีอะไรมาติดหน้าได้ไง” ผมบอก

“ก็เสี้ยวหัวใจของปิงอะ มันกระเด็นไปติดที่หน้าไง” มันพูดพลางหัวเราะ ที่พูดประโยค
ชวนหดหู่ออกมาได้

“แหวะ กูจะอ๊วก แสดงว่าที่บอกว่ารักหมดกูหมดหัวใจเนี่ย ก็ไม่จริงเด๊ะ เห็นมีแค่เสี้ยวเดียวเนี่ย”
ผมบอก

“โอ๊ ม่ายใช่ ม่ายใช่ หัวใจปิง ให้โอ้ตหมดแล้วรู้ป่าว” มันพูดพลางหั่นขนมปังจนป่นคาจานไป
หน้าก็แดงไป

“แต่หัวใจมันมีหลายห้องไม่ใช่เหรอไง” ผมพูดประชดขึ้นมา

“ห้องไหนมีไอ้เต้ยซ่อนอยู่ล่ะ”

“อะไรเนี่ย ทำไมต้องพูดถึงคนอื่นด้วยล่ะเนี่ย” ปิงมองผมด้วยสายตาขุ่นเคือง

“คนที่เค้าชอบเนี่ยนะ เรียกว่าคนอื่น”

“อ๋อ รู้แล้ว ที่ทำหน้าซังกะตายอยู่ทั้งวันนี่ เพราะหวงว่าปิงจะไปชอบไอ้เต้ยอีกคนล่ะซิ”
ปิงบอกเหมือนรู้ทันผม

ผมนั่งเงียบ พลางหันหน้าไปดูทางอื่น

“ฟังนะ ถ้าปิงชอบไอ้เต้ยอะ ป่านนี้ปิงเป็นแฟนมันไปตั้งนานแล้ว ไม่รอให้ใครบางคนมาพูด
กระทบกระแทก ประชดประชันอยู่แบบนี้หรอกนะ - - แล้วเวลาคนพูดด้วยอะ หันมามองเด้”

ผมยอมหันไปหามัน

“กู - - -”

“ถ้าไม่พูดดีๆกับเราอะ จับจูบกลางร้านแน่” ไอ้ปิงสวนกลับมาก่อนที่ผมจะด่ามัน

“เอ่อ ก็ได้ ... แล้วนายไม่สงสารมันเหรอไง”

ปิงยกแก้วนมขึ้นมาดื่ม แล้วถอนหายใจ

“ความสงสาร มันก็เปลี่ยนเป็นความรักไม่ได้หรอก” ปิงบอกผม สีหน้าขมขื่น

“โอ้ตรู้มั้ย วันที่เต้ยมันบอกชอบปิงน่ะ ปิงเสียใจแค่ไหน”

ปิงทำหน้าเศร้าขึ้นมาจริงๆ ผมเลยเอื้อมไปจับมือเอาไว้

“ขอโทษนะ เราขอโทษ” ผมไม่สามารถสรรหาคำอื่นใดมาพูดได้อีกต่อไป

ปิงมองหน้าผม แล้วยิ้ม “โอ้ตเป็นผู้ชายคนแรกที่เรารักนะ ... .. แล้ว- - -”

“แล้ว ... อะไร” ผมมองหน้ามันเขินๆ

“แล้ว ... นายจะเป็นคนสุดท้ายที่เรามอบความรักให้ ”

“ปิง อนาคตมันเป็นสิ่งไม่แน่นอนหรอก ซักวันเราจะต้องแยกย้ายกัน ไม่ใช่เหรอไง”

ปิงทำคิดอยู่แว่บนึง ก่อนจะบอกผม

“ต่อไปข้างหน้า มันจะเป็นยังไงก็ช่างเหอะ ขอแค่วันนี้ ... เราแค่เชื่อใจซึ่งกันและกันก็พอ ”

ปิงบอกผมพลางเอามืออีกข้างกุมมือผมไว้อย่างแนบแน่น เป็นครั้งแรกที่ผมยิ้มได้
ผมยิ้มด้วยความรู้สึกที่แท้จริง ความรู้สึกที่ไม่ต้องปิดบังหัวใจตัวเองอีกต่อไป หัวใจที่มี
คนช่วยเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป ...

* * * * * * * * * * * *


“เฮ้ออออ จบม.4 ซ้าที” ปิงเดินเข้ามาทักผมในวันสุดท้ายของการเรียนการสอน 

“อือ แล้วไงอะ” ผมถามด้วยความแปลกใจ

“วันพวกไอ้ท็อปบอกว่า จะไปกินหมูกระทะกัน ไปป่ะ” ผมมองปิง แล้วก็ตอบตกลง

“สัญญาแล้วนะ”

“เออ รู้แล้ว งั้นเดี๋ยวเอาสมุดเซ็นไปเก็บห้องปกครองล่ะกัน ” ว่าแล้วผมก็วิ่งไปผ่านหอประชุม
ก็เจอใครบางคนที่เหมือนจะดักรอผมอยู่นานแล้ว

“ว่าไง” ไอ้เต้ยเป็นคนทักผมก่อน

ผมตกใจพอควรกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของมัน แต่ก็พยักหน้ากลับไป

“ทำธุระเสร็จแล้ว มาหาที่หลังหอประชุมหน่อย มีเรื่องคุยด้วย” มันบอกผม พอดีกับที่ปิงวิ่งตาม
เข้ามาพอดี ไอ้เต้ยก็เดินเลี่ยงออกไป

“มันมาหาเรื่องอะไรกับโอ้ตอีกเหรอเปล่า” ปิงถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดมาก” ผมบอกปิงพลางตบไหล่เบาๆ จากนั้นก็เอาสมุดเซ็นไปเก็บ แล้วก็
เซ็นอะไรอีกนิดหน่อย

“ไปถ่ายรูปกับเพื่อนๆกันป่ะ” ปิงเดินเข้ามาทำท่าจะจูงผม

“เฮ้ย ไม่ต้อง .. เออ คือ เดี๋ยวเราไปหาอาจารย์ก่อนแป็บนึง เดี๋ยวตามไป ปิงไปก่อนเหอะ” ผมบอกมัน

“อาจารย์คนไหนอะ เดี๋ยวปิงไปด้วย” ปิงทำท่าจะตามผมไปให้ได้ จนผมต้องงัดกลยุทธพูดจาหว่าน
ล้อมสารพัด จนมันให้เวลาผม 20 นาที ผมรับคำ แล้วก็รีบไปที่นัดหมายทันที

“ทำไมนานจังวะ” เต้ยหันมาว่าผมพลางชี้ไปที่นาฬิกาข้อมือ

“ไม่ต้องมาว่า มีเรื่องอะไรจะพูดก็พูดมา กูมีเวลาน้อย” ผมบอกอารมณ์เสียๆ

“เออเนอะ คนเรามันมีแฟนแล้ว ก็ต้องเอาเวลาให้แฟนหมดล่ะ” ไอ้เต้ยเริ่มกวนประสาทผม

“ถ้าจะเรียกมาจะพูดแดกดันกันแบบนี้ กูไปล่ะนะ” ผมว่าพลางหันหลังกลับ ไอ้เต้ยมันก็รีบ
ดึงเสื้อผมไว้

“เฮ้ย เดี๋ยวดิ แหม พูดแค่นี้ทำเป็น .... - - เออ จะพูดล่ะ” มันว่าพลางทำท่าทางเหมือนจะกล่าว
สุนทรพจน์ บรรยากาศมาคุในตอนแรกเริ่มจางหายไป แต่ผมก็ยังไม่วางใจ เมื่อมันหันมาทำ
สีหน้าจริงจัง

“สองสามวันที่ผ่านมา กูพยายามโทรฯไปหาไอ้ปิง - - ”

“อือ”

“แต่มันก็ไม่เสือกรับโทรฯกูเลย - - ”

“เออ”

“กูพยายามโทรหามันจนมันรับสาย กูถามว่า ทำไมมันถึงไม่ยอมรับโทรฯกู - - ”

“อืม”

“รู้ม่ะ มันว่ากูว่าไง - -”

ผมสั่นหน้า ก็ใครมันจะรู้ฟ่ะ ถามแปลกๆ ไอ้นี่

“มันบอกว่า มันคิดว่ากูเป็นคนมีเหตุผลพอ มันไม่นึกว่ากูจะมาหาเรื่องมึง ไม่นึกว่า
กูจะใช้กำลังกับเพื่อนได้ - - โดยเฉพาะกะมึง” มันชี้มาที่ตัวผม

เต้ยหยุดพูด พลางทำหน้าเศร้าๆ

“เชื่อม่ะ มันพูดแค่นั้น กูก็นั่งร้องไห้กับมัน - - คนหยั่งกูเนี่ย” เต้ยเริ่มพูดเสียงสั่น
แต่พยายามควบคุมอารมณ์ไว้

“กูไม่รู้หรอกนะ ว่ามันกลัวว่ากูคิดจะทำอะไรโง่ๆเหรอเปล่า มันถึงได้รีบขี่มอไซต์มาหาที่บ้าน
ก็กูเสือกร้องไห้ซะขนาดนั้น - -”

“- - พอกูเจอหน้ามัน ก็ด่ามันว่ามันอะ ไม่รักเพื่อน เห็นแก่ตัว แถมทำท่าจะชกมันอีกนะ ...
เลวจริงๆ กู ”เต้ยว่าพลางจับหัวตัวเอง เหมือนรู้สึกผิด

“แล้วไอ้ปิง ก็เดินเข้ามากอดกู ทั้งที่กูทั้งด่า ทั้งจะชกมัน ทั้งเกือบจะทำร้ายแฟนของมัน”
พอพูดถึงตรงนี้ ไอ้เต้ยหันมามองผม

“แต่มันก็เข้ามาปลอบคนอย่างกู” เต้ยตบหน้าอกตัวเองแรงๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก

“มันบอกว่า มันไม่เคยนึกเกลียดกูเลย ถึงแม้ว่ากูจะทำอะไร - - เพราะว่ากูเป็นเพื่อนที่มันรักที่สุด”
ผมมองผ่านสายตาของไอ้เต้ยที่มีน้ำใสๆเอ่อท้นมาอีกครั้ง

“แล้วทุกสิ่งที่ทำลงไป มันทำให้รู้ว่า กูต่างหากที่เป็นคนเห็นแก่ตัวที่สุด” เต้ยมองผม

“กูควรจะดีใจ ที่เห็นคนที่กูรักมีความสุขใช่มั้ย”

ผมไม่รู้จะตอบเต้ยว่ายังไง แต่รู้ว่าเค้าพยายามจะขอโทษผม ทั้งๆที่ผมไม่สมควรที่จะได้รับ
คำขอโทษนี้เลยจริงๆ

“กูก็ต้องขอโทษมึงนะ เต้ย กูไม่ได้อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเลย” ผมบอกไปด้วยใจบริสุทธิ์ที่สุด

“แต่กูเชื่อนะ ว่าวันนึงมึงต้องเจอคนที่ดีๆไม่แพ้ ไอ้ปิงหรอก”

เต้ยยิ้มเล็กๆให้ผม เป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ได้เห็นมานานแล้ว

“กูรู้ ว่าทำไมไอ้ปิงถึงชอบมึง .. โอ้ต ขอให้มึงสองคนโชคดีนะ” พูดเสร็จเต้ยมันก็เดินเข้ามากอดผม
ผมรับกอดมันไว้ และค่อนข้างแน่ใจว่า เต้ยมันต้องการส่งผ่านอ้อมกอดที่อบอุ่นครั้งนี้ฝากถึงปิงแน่

“ขอบใจนะ เต้ย แล้วจะไม่เจอปิงมันก่อนเหรอ อย่างน้อยจะ - -”

เต้ยสั่นหน้า

“กูว่า ไม่เจอมันอะดีที่สุดแล้ว .... จริงๆ กูมีเรื่องจะบอกมึงอีกเรื่องนึง”

เรื่องอะไร

กูโดนปกครองให้ออกวะ เหอๆ มันพูดหน้าเป็น แต่ทำเอาผมตกใจสุดๆ

เฮ้ย ทำไม - - -

ก็กูเก ซะขนาดนี้ เค้าให้อยู่จนจบ ม.4 ก็ดีถมไปแล้ว มันว่า แล้วก็เอามือมาแตะบ่าผมอีกครั้ง

กูฝากปิงด้วยนะ

มึงจะไม่บอกปิงมันหน่อยเหรอ

ไม่ล่ะ กูไม่รู้จะบอกมันยังไง มันต้องด่ากูแน่ๆเลย

“ตามใจ โชคดีละกัน เต้ย”

“มึงก็เหมือนกันโอ้ต .... ” เต้ยเดินผละจากผมมา พร้อมกับบอกคำพูดสุดท้าย

“ฝากไอ้ปิงด้วยนะ”

“อือ” ผมรับคำ ยิ้มให้มันก่อนที่เราทั้งสองคนจะแยกย้ายกันไปตามทางของตนเอง

มีคนบอกว่าหลังฝนตก ฟ้ามักจะสดใสเสมอ แต่คำนิยามนี้ คงใช้กับผมไม่ได้ คืนนี้สายฝน
เริ่มตกมาปรอยๆ และหนักขึ้นทุกทีเมื่อเวลาผ่านไป ทั้งที่พึ่งหยุดเทอมเข้าหน้าร้อนได้ไม่ทันไร
ผมนั่งมองฝนตกอยู่ภายในบ้านด้วยความเบื่อหน่าย และเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น 

“ สวัสดีครับ” ผมรับโทรศัพท์เสียงหง่อย

“ทำอะไรอยู่ ว่างเหรอเปล่า” เสียงปิงดังผ่านเข้ามา

“ว่าง นั่งดูฝนตกอยู่ ”

“นั่งทำมิวสิควีดีโออยู่ ? ”

“ไอ้บ้า มิวสิคบ้าไร คนยิ่งเซ็งๆอยู่ ”

“แล้วจัดของเสร็จเรียบร้อยยังงง” ปิงมันทำเสียงอ้อนแบบเด็กๆลอดผ่านสายโทรศัพท์

“ยังเลย ของโคตรเยอะเลยหว่ะ สงสัยพรุ่งนี้ไม่ได้ไปแน่เลย” ผมลองแหย่มันดู ทั้งๆที่ก็จัด
ของทุกอย่างเรียบร้อย

“โห จัดของอะไรมากมาย ไม่ได้จะย้ายบ้านซะหน่อย แค่ไปเชียงใหม่แค่ 3-4 วันเองนะ”
ปิงแขวะ

“อีกอย่างขืนแบกของไปเยอะ กว่าจะไปขึ้นรถที่กรุงเทพ กว่าจะต่อรถไปเชียงใหม่อีก เหนื่อยตาย ”
มันบรรยาย

“ไรเล่า ก็ช่วยแบกดิ บ่นไปได้ ”ผมบอก

“แต่ฝนยังตกหนักแบบนี้อีกตะหาก อดไปแน่ ”

“โห นั่งรถไฟไปกลัวอะไร ที่โน่นฝนอาจไม่ตกเหมือนเพชรฯก็ได้นิ แล้วอีกอย่าง ไม่เคยได้ยิน
เหรอไง ว่าหลังฝนตก ฟ้าจะสดใส เด๋วก็หายตกแล้วคืนนี้” ปิงบอกผมท่าทางเชื่อมั่น

“เอ ... แล้วทำไมต้องมี จะด้วยล่ะ มันจะสดใสเลยไม่ได้เหรอไง” ผมถาม

“จะรู้มั้ยล่ะ เอาเป็นว่า เผื่อมันไม่สดใสขึ้นมา จะได้ไม่มาว่าปิงไง แฮะ แฮะ” มันตอบแก้ขวย

“แต่ที่แน่ๆอะ ถึงฟ้าไม่สดใส แต่จะมีใครบางคนฟ้าเหลืองแน่” มันพูดพลางหัวเราะ

“ไอ้ลามก เก็บไว้เหลืองคนเดียวเหอะมึง ... ไม่มีไรแล้วใช่ป่ะ จะนอนแล้ว” ผมบอกพลาง
หาวหวอด

“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ รีบขึ้นรถมาอย่าตกขบวนล่ะ” ปิงย้ำกับผม

“อือ... ”ผมรับคำ

“โอเค แล้วจะไม่บอกที่บ้านก่อนจะดีเหรอ ว่าจะไปเที่ยวอะ” ปิงถามด้วยความกังวลเล็กๆ

“บอกไปแม่กูเอาตายแน่ ไปเชียงใหม่นะ ”

“อืม เจอกันพรุ่งนี้ที่รัก .. หุหุ ” แม่งไม่วายหยอดปิดท้าย

หยุดเทอมหน้าร้อน ม.4 ของเราสองคน ปิงมันอยากจะไปเที่ยวที่ไหนซักที่นึง แล้วมันก็เสนอ
อยากจะไปเชียงใหม่ขึ้นมา ผมได้ยินตอนแรกก็รีบปฏิเสธมันทันทีเลย เชียงใหม่ เป็นอะไรที่ไกล
ในความรู้สึกผมมากแต่จนแล้วจนรอด มันก็คะยั้นคะยอให้ผมไปจนได้ .. ผมก็ไม่กล้าขัดใจ
มันหรอก เพราะใจจริงก็อยากไป
เที่ยวอยู่เหมือนกัน ฮ่ะฮ่ะ

วันต่อมา มันก็รีบไปจองรถไฟทันที แต่นับว่าลำบากนิดนึง เนื่องจากว่าพวกเราต้องนั่งรถไฟ
ไปหัวลำโพง
ก่อนที่จะสับขบวนไปขึ้นรถไฟที่จะไปเชียงใหม่

“ปิงเคยไปมาก่อน ไม่ต้องห่วงหรอก”

“เจงซิ ไปรถไฟอ่ะนะ”

“ปล่าว ไปรถยนต์ พ่อขับ”

“อ้าว ไอ้เวร”

มันว่าแบบนี้ … สงสัยมีหลงชัวว์

* * * * * * * * * * * *


เช้ามืดวันรุ่งขึ้น ผมยกสัมภาระขนขึ้นรถไฟจากสถานีชะอำ โดยที่ปิงมันจะขึ้นที่สถานีเพชรบุรี 

“ไปกรุงเทพแค่นี้ ทำไมหอบของไปเยอะแยะแบบนี้” เสียงแม่บ่นพึมพำ ผมบอกที่บ้านว่า
มาค้างบ้านเพื่อนที่กรุงเทพ เพื่อนที่ว่าก็ไอ้ปิงน่ะละ

“โห ก็เหลือดีกว่าขาดน่าครับแม่” ผมแก้ตัว

ไม่นานเกินรอ ขบวนรถไฟก็ค่อยๆมาจอดเทียบชานชรา

“ถ้ามีอะไร แม่ก็โทรมาที่เบอร์มือถือเพื่อนโอ้ตนะ” ผมว่า พลางโบกมือบ้ายบายหยอยๆ

รถไฟเริ่มเคลื่อนขบวน พร้อมกับผู้โดยสารค่อนข้างบางตา ผมเดินเลือกหาที่นั่งอย่างสบายใจ
ความจริงอีกใจนึงผมก็อดกังวลไม่ได้ที่เดินทางไกลแบบนี้เป็นครั้งแรก หน่ำซ้ำยังไปกันแค่
เด็กๆ 2 คนอีกต่างหาก

ไม่นานนัก ขบวนรถไฟก็เคลื่อนมาจอดถึงสถานีเพชรบุรี สายตาผมก็กวาดไปรอบๆหาตัวไอ้ปิง
ให้เจอ เพราะถ้ามันเกิดพลาดขบวนนี้ไป ผมก็คงต้องไปกรุงเทพคนเดียวละซิ ตายแน่ครับ

“มองใครอยู่จ๊ะ …สุดหล่อ”ไอ้ปิงเดินเข้ามาอีกด้านนึงที่ไม่ได้อยูในระยะสายตาของผม

“ควายเอ้ย นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้ว” ผมด่ามันทีทำเอาใจหายใจคว่ำ

“โห ดูพูดกับแฟนดิ” มันพูดพลางโน้มตัวมาในระยะสายตา

“เด๋วปั๊ด .. บอกแล้วไงว่า พูดไม่เพราะเด๋วมีจูบ” มันพูดพร้อมกับเลื่อนปากมาประทับที่
ปากผมด้วยความไวแสง

“ไอ้ ….” ผมยังไม่ทันถีบมันก็เผ่นไปเอาสัมภาระวางไว้ด้านบน แล้วก็วิ่งมานั่งด้านข้างผม

“กว่าถึงเชียงใหม่นานป่ะ” ผมถามแบบไม่รู้จริงๆ เพราะไม่เคยไปเลยในชีวิต

“2 วันถึง ”ปิงตอบหน้าเรียบ

“2 วันนนน ”

“5555 พูดเล่น แต่ว่าจาไม่ไปเชียงใหม่เลยนะ”

“อ้าว ไมล่ะ”

ไอ้ปิงยิ้มน้อยๆ ให้ผม แล้วพูดขึ้นมา ว่าจะไปแวะลงพิษณุโลกก่อน แล้วก็ต่อรถไฟไปเชียงใหม่
ผมมองเหล่ๆไปทางมัน

“รู้เส้นทางดีจังนะ”

ไอ้ปิงส่ายหน้า “ดูตามแผนที่เอา ”

ว่าแล้ว มันก็ชูแผนที่อันมหึมาขึ้นมา

“เนี่ย ดูแผนที่ 2 วัน 2 คืน เต็มๆ เกือบไม่ได้นอนเลย เป็นไง” มันพูดไปยิ้มไปเหมือนจะภูมิใจ
ซะงั้น แต่สำหรับผมความคิดในตอนนี้คือ พวกกูหลงชัวว์

ประมาณ เกือบเก้าโมงเช้า ผมก็มาถึงสถานีหัวลำโพงครับ คนไม่ค่อยแน่นเท่าไรครับ อาจเพราะว่า
เลือกมาวันธรรมดาด้วย จากนั้นก็นั่งรถด่วนพิเศษไปพิษณุโลกถึงก็เกือบประมาณ บ่ายสี่โมงเลย
นั่งแบบโคตรเมื่อยตูด พวกผมก็เดินทางเข้าตัวเมืองพิษณุโลก อย่างที่บอกว่า ตอนจองโรงแรม
เราจองเฉพาะที่เชียงใหม่ ส่วนที่นี่ดันไม่เสือกจอง ก็เลยต้องมานั่งรถตระเวณหาโรงแรมกันจนเกือบมืด

“ไปไหว้พระกัน”ปิงชวนผมหลังจากที่ขนสัมภาระเข้ามาเสร็จแล้ว

แล้วมันก็ชวนขึ้นรถไปไหว้พระพุทธชินราชกัน เรามาถึงวัดก็เกือบจะปิดพอดี ทั่วบริเวณก็พอมี
นักท่องเที่ยวอยู่บ้าง หลังจากที่เราไหว้พระกันเสร็จ ก็ได้เวลาหาอะไรใส่ท้องกัน กว่าจะถึงที่พักก็
เกือบเที่ยงคืน

“ง่า ได้นอนซะที” ปิงบอกพลางล้มตัวลงนอนบนฟูกนิ่มๆ

“ไอ้ปิง อย่าซกมกไปอาบน้ำได้แล้ว ไป… ”ผมว่าพลางเดินออกจากห้องน้ำ

“ไม่อะ ไม่มีคนอาบให้นี่นา ” แล้วก็ส่งสายตามาทางผมเป็นนัยๆ

“มีมือ มี … เท้า ก็อาบเอง ”ผมว่า พลางเช็ดหัวพลางไม่สนใจ

“โห ใจร้ายหว่ะ พูดกับแฟนตัวเองแบบนี้ได้งาย” มันก็ลุกขึ้นมานั่งกอดข้างหลังผม

“เฮ้ย เหนียวตัวเว้ย พึ่งอาบน้ำเสร็จ ไปอาบบเลยไป้” ผมเริ่มไล่ไอ้ตัวแสบ

“ไม่อะ ง่วงง”

“ไปอาบเด๋วนี้ ไม่งั้นเจอถีบ” ผมลองขู่มัน

“โห แรงหว่ะ” มันว่าพลางเดินก้มหน้าก้มตาเดินเข้าห้องน้ำไป พอออกมาก็ไม่พูดไม่จา
ล้มตัวลงนอนกรนคร๊อกฟี้ … อืม สงสัยมันคงจะนอนดูแผนที่ทั้งคืนจริงๆอะแหละนะ

* * * * * * * * * * * *

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [17-4-12] Part 2
«ตอบ #74 เมื่อ18-04-2012 14:25:15 »



“อืออ …. จะทำอะไรอะ อย่านะไอ้ปิง” ผมรู้สึกเสียวแปลกๆ จึงลืมตาขึ้น ภาพที่เห็นคือ
ปิงกำลังลูบไล้ตัวผมอยู่ พร้อมกับค่อยๆเลื่อนมือลงไประหว่างขา 

“อย่า … ปะ ปิง เรามาเที่ยวกันนะ” ปิงไม่ได้พูดอะไรกลับมา แต่มันค่อยๆไล้ริมฝีปาก
ไปทั่วหน้าผม จนในที่สุดก็มาหยุดที่ปาก ลิ้นสากๆของมันก็ควานเข้ามาพันจนผมรู้สึกอึดอัด
จะดิ้นก็ไม่มีแรง เมื่อมันเห็นว่าผมไม่ได้ขัดขืนอะไรเท่าไร มือของมันที่อยู่ด้านล่าง ก็ค่อยๆ
ล้วงเข้าไปในกางเกงผม พร้อมกับสัมผัสบางสิ่งบางอย่างที่กำลังแข็งตัวอย่างรวดเร็วของผม

“อะ อ่า ……” ผมเผลอครางออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อมือปิงเข้ามาจับของสงวนของผม
พร้อมค่อยๆรูดขึ้นรูดลงอย่างช้าๆ ปากก็ทำงานด้านบน แล้วค่อยไซร้ลงมาเรื่อย จากซอกคอ
มาจนถึงหน้าอก เรื่อยลงมาจนถึงด้านล่าง

“ปิง .. อย่า ” .ผมกำลังจะห้ามเมื่อเห็นปิงมันกำลังจะครอบริมฝีปากชมพูดอ่อนๆของ
มันลงบนน้องชายของผม ปิงเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม ก่อนที่จะก้มลงไปดูดแท่งไอติมของผม

“เฮือก …. อ่าา เสียว” ผมหลับตาปี๋ พร้อมกับครางดังลั่นห้อง ดูท่าทางปิงคงจะชอบรสชาติ
ไอติมแท่งนี้มาก ทั้งดูด ทั้งเลีย จนผมหายใจแทบไม่ทัน แฮ่ก แฮ่ก โอ่วววว ไม่เคยรู้มาก่อนว่า
ให้คนอื่นดูดให้มันจะมันส์ขนาดนี้ ผมคิดพร้อมกับใช้มือจับหัวไอ้ปิงไว้ พร้อมกับโยกไปตามจังหว่ะ

“ปิง ปิง ม่ะ ไม่ไหวแล้ว จะ จะ …… แล้ว” ผมครางออกมาด้วยความเสียว เพราะใกล้จะแตก
เต็มทน แล้วปิงก็ถอนปากออกมา ท่านี้มันดูเซ็กส์มากครับอยากจะบอก พร้อมกับยิ้มให้ผมจน
เห็นเขี้ยวยาวของมัน

เอ๊ะ …. เขี้ยว !?

ยังไม่ทันได้คิดต่อ ปิงก็ก้มลงไปใช้ปากกับน้องชายของผมอีกครั้ง คราวนี้มันรุนแรงกว่าเดิม
ทั้งกระแทกกระทั้นจนผมรู้สึกเจ็บ (แต่ก็ยังมันส์อยู่)

“อะ อ๋ออยยย อะ โอ้ย จะ เจ็บ เจ็บ ไอ้ปิง เจ็บ” ผมชักรู้สึกไม่ดีซะแล้วเมื่อมันชักรุนแรง
จนต้องพยายามผลักหัวมันออกไปจากแท่งเนื้อ แต่มันก็ยังไม่ยอมหลุดซะที ท้ายที่สุด มันเงยหน้า
มาอีกรอบ ผมแทบช็อค เมื่อเขี้ยวที่เห็นเมื่อกี้ มันงอกยาวจนเหมือนมีดสปาต้าร์ แล้วไม่ทันคาดคิด
มีดยาวก็ฟันฉับที่น้องชายของผม กระเด็นคาปากของมัน

“ไอ้เชี่ยปิง กัด Kกรู ไอ้สาดดดดดด” ผมตะโกนด่ามันพร้อมกับลุกขึ้นจะชก แต่มันไวกว่า
ขึ้นมาคร่อมผม พร้อมกับตบหน้า ซ้ายที ขวาที จนผมคอพับคออ่อน มันก็ยังไม่เลิกตบ ….

“อะ โอ้ย เจ็บ เจ็บ เลิกตบซะทีได้มั้ยยย” ผมจับมือมัน พร้อมกับลืมตาตะโกนใส่มันสุดเสียง
ไอ้ปิงถึงกับหน้าเหวอ

“ขอโทษ ก็เห็นไม่ยอมตื่นนี่ แล้วยังละเมออะไรเสียงดังซะ …” ปิงพยายามอธิบาย เพราะระหว่าง
ที่มันกำลังเข้าไปแปรงฟันในห้องน้ำ ผมก็ละเมอดังลั่น ประมาณว่า อย่า อย่า ….

“นี่ ถามจริงเหอะ เมื่อคืนฝันอะไรอะวะ เช้าขึ้นมาไม่พูดกับปิงซักคำ” ปิงซักผมระหว่างที่เรากำลัง
เดินทางกันต่อ

“ป่าว ไม่ได้ฝัน” ผมยังคงรู้สึกเคืองๆ มันนิดหน่อย คงเป็นอารมณ์ที่ยังค้างติดอยู่กับความฝันเมื่อเช้านี้

“อย่าให้จับได้นะ ว่าฝันอะไรแผลงๆอะ” ปิงยั่วผม จนรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงตะหงิดๆ บ้าชะมัด
ผมฝันบ้าบออะไรเมื่อคืน สงสัยคงไม่ถูกับอาหารพิษณุโลกแหง่มๆ

เราเดินทางกันต่อกันตอนบ่าย มาถึงเชียงใหม่ก็ช่วงค่ำ รถไฟพาหนะแสนหรูก็พามาจอดเทียบ
ชานชราจังหวัดเชียงใหม่ มาถึงมันก็นำผมไปเรียกรถแดงไปส่งที่โรงแรมเชียงใหม่ภูคำ ผมก็
ไม่ค่อยรู้อะไรหรอก แต่ก็คิดว่า มันก็พอจะพึ่งพาได้เหมือนกัน มาอาบน้ำกันเสร็จ ไอ้ปิงมันก็
ยังอยากไปเดินไนท์บาซา

จากที่พักจนถึงไนต์บาร์ซาผมก็นั่งหัวสั่นหัวคร่อนไปเป็นระยะๆ ผมสังเกตุดูรู้สึกว่า ทีนี่จะค่อนข้าง
คึกคัก ไม่เหมือนแถวโรงแรมเลยทีเดียว คนโคตรเยอะเลย ของก็โคตรเยอะ อะไรก็เยอะไปหมด
แต่คนน่ารักไม่ค่อยเยอะแฮะ (ซะม่ะไหร่ล่ะ ตรึมครับตรึม ฮ่ะฮ่ะ)

“พรุ่งนี้มีโปรแกรมไปดอยสุเทพกัน” ปิงบอกแผนการ

“แล้วก็ไปน้ำพุร้อนกัน”

“แล้ววันกลับก็ค่อยไป บ่อสร้างกัน” มันว่า ผมก็พยักหน้าเออออ ตาม เพราะไม่รู้อะไรนี่นา
แต่ผมรู้อย่างเดียวว่า รถสามล้อที่นี่ขับรถเร็วโคตรเลย ระหว่างที่เราตัดสินใจโบกกลับที่พักในคืนนั้น

เช้าวันต่อมา อากาศสดชื่น สดใส ทำให้ผมรู้สึกมึนหัวแปลกๆ ทั้งที่บรรยากาศดีแบบนี้น่าจะรู้สึก
กระตือรือล้นที่จะทำกิจกรรม ไม่เหมือนไอ้ปิงที่ดูจะสดชื่นทุกวินาที

“ไปกันยัง เร็วเหอะ เดี๋ยวคนจะเยอะ” ปิงว่า พลางคะยั้นคะยอ

“ปวดหัวหว่ะ ไม่รู้เป็นไร” ผมนั่งบ่นอยู่บนเตียง

“โห ไรอะ” มันทำหน้าไม่ค่อยพอใจ แล้วก็เดินเข้ามา นั่งข้างหลังผม

“มาเดี๋ยวปิงนวดให้ รับรองหาย” ว่าแล้วก็ค่อยๆกดมือลงบนไหล่ผมเบาๆ

ลมหายใจของปิงแทรกผ่านลำคอผมแผ่วเบา จนทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก ผมค่อยๆ
เอนหลังไปพิงที่ตัวของปิง มือปิงจากที่นวดไหล่ผม เปลี่ยนมาเป็นโอบกอด พร้อมกับซุกหน้าไว้
บนบ่าผม

“ไม่อยากลุกไปไหนเลยหว่ะ” ผมเผลอพูดความรู้สึกออกไปโดยไม่รู้ตัว

ปิงหอมแก้มผมนึงที

“ทำไมวันนี้รู้สึกพูดเอาใจจัง”

“ไม่ได้พูดเอาใจซะหน่อย แต่มันรู้สึกแบบนี้นี่หว่า” ผมบอกไปเขินไป ปิงมองมาซักพัก
ก่อนที่จะโน้มตัวมาด้านหน้า พร้อมกับประกบริมฝีปากด้วยความแผ่วเบาแต่อ่อนโยน
เป็นครั้งแรกที่ผมไม่ขัดขืน พร้อมกับเอื้อมมือลูบท้ายทอยเบาๆ ปิงถอนปากออก ยิ้มหวาน

ผมเห็นปิงที่อยู่ตรงหน้า ช่างเป็นภาพที่ผมไม่ลืมเลือน รอยยิ้มที่สดใส อบอุ่น มีเสน่ห์ในแบบ
ของเค้า ผมเอื้อมมือไปลูบไล้ที่ใบหน้าของปิง เจ้าตัวไม่ได้ปัดป้องอะไร แต่กลับหลับตา
ปากก็ยังอมยิ้มให้ผมอยู่ ผมพยายามจดจำใบหน้าของคนที่ผมรักไว้ให้มากที่สุด โดยที่ไม่รู้สึก
ตัวเองว่า ทำลงไปทำไม …

“คิก เล่นอะไร เสียวนะเว้ย” ปิงจับมือผมออกจากหน้าของเค้า

“ถ้ารู้ว่าเล่นด้วยแบบนี้ เมื่อคืนไม่ปล่อยให้รอด มาลูบแบบนี้ร๊อกก” มันพูดยั่วผมอีก พลาง
จับมือผมฉุดให้ลุกขึ้น

“ไม่ไปไม่ได้เหรอวันนี้”

“ม่ายด้ายย อุตสาห์มาเชียงใหม่ทั้งที ถ้าไม่ได้ไปดอยสุเทพ ก็เหมือนไม่ได้มาอะดิ ไปเร็ว อย่าดื้อ”
ปิงบอกผม พร้อมกับใช้กำลังบังคับมาขึ้นรถจนได้

* * * * * * * * * * * *


“โอ้ตไหวเหรอป่าว” ปิงถามผมขณะที่ต้องนั่งรถขึ้นมาบนดอยสุเทพ 

“เวียนหัวนิดหน่อย แถมหูมันอื้อๆด้วย” ผมตอบ

“ก็งี้แหละ ทนหน่อยนะ ขึ้นมาบนดอย”

ผมมองหน้ามันแล้วยิ้ม

“ยิ้มอา – ไร” ปิงถามทำหน้าเขิน

“อือ ... เก่งวิทย์นี่นะ คราวก่อนก็มุมอาซิมุส คราวนี้ก็แรงดันอากาศ” ผมแซว

“แต่มีอีกวิชาเก่งกว่านี้อีก” ปิงหันหน้ามาทำเสียงหื่น

“เพศศึกษาไง”

“ไอ้บ้า ..หันหน้าไปเลยป่ะ”

หลังจากที่รถพาเราวนขึ้นไปถึงดอยด้วยความยากลำบาก เพราะนอกจากทางเป็นภูเขาแล้ว
รู้สึกว่าคนที่มาเที่ยวก็มากพอสมควร มาถึงจุดหมายในเวลาบ่ายแก่ๆ

“อธิฐานอะไรล่ะ” ผมถามปิง เพราะเห็นมันนั่งสวดอยู่เป็นนานสองนาน

“ไม่บอก ... ”

“อ้าว ทำไมล่ะ” ผมทำหน้ามุ่ยใส่

“เด๋วรู้ .. ”มันตอบกวนตีน

พวกเราใช้เวลาในการเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวอยู่ซักพัก ก็ตัดสินใจขับรถลงเข้าตัวเมือง ซึ่ง
กว่าจะถึงโรงแรม ก็เกือบค่ำแล้ว

“คืนนี้ไปกินข้าวไหนดีอะ”ปิงถามผมเสียงเพลีย

“กินในโรงแรมนี่แหละ ขี้เกียจออกไปข้างนอก” ผมตอบ

“โห ไปเหอะ เดี๋ยวมะรืนก็กลับแล้ว นะ นะ” ปิงอ้อนผม

สรุปว่า ค่ำนี้ หลังจากที่เราปล่อยให้โชเฟอร์รถตุ๊กตุ๊ก แนะนำร้านอาหารอร่อยๆ ก็ได้มานั่งอยู่ที่
ร้านอาหารร้านหนึ่งแถวคูเมือง

“รู้ป่าว ในบรรดาอาหาร 4 -5 ภาคเนี่ย ปิงชอบอาหารเหนือที่สุดเลย” มันว่าพลางตัก
แกงฮังเลซดเฮือก

“เฉยๆหว่ะ มันไม่ค่อยคุ้นลิ้นด้วยล่ะมั้ง แล้วมันก็โคตรเผ็ดเลย” ผมบ่น

ลมเย็นๆพัดผ่านมาวูบใหญ่ ผมเห็นปิงเงยหน้าสูดอากาศเข้าไปเต็มปอด ใบหน้าเปื้อนยิ้มของปิง
ดูมันช่างน่าหลงใหล

“รู้มั้ย ทำไมปิงอยากมาเชียงใหม่” ปิงถามผมพลางเอาหลอดวนในแก้วเหมือนเด็กๆ ไม่ทันที่
จะรอให้ผมตอบคำถาม มันก็ชิงตอบก่อน

“ปิงอยากมีความทรงจำดีๆกับคนที่ปิงรัก .. ที่นี่ ”

“อยากพาโอ้ตมาเห็นบ้านเกิดของปิง” เค้าบอกผมพลางเอื้อมมากุมมือผมเบาๆ

“ปิงเกิดที่นี่ ?? ”

ผมถามด้วยความฉงน เพราะปิงไม่เคยบอกผมเลย และก็แน่ใจว่าไม่เคยบอกใครๆในห้องด้วย

“แล้วไม่เอะใจเหรอไงว่า ทำไมเราถึงชื่อ – ปิง-” มันพูดยิ้มๆ

“... อ๋อ ก็เพราะ เพราะ เออ เพราะ ....เชียงใหม่ มีแม่น้ำ ปิง ไหลผ่าน ใช่ป่ะ ” ผมบอก

“แม่เห็นแม่น้ำปิงช่วงที่มาเที่ยวเมืองเชียงใหม่กับพ่อ ตอนกำลังท้องปิงได้เกือบ 8 เดือน ...
คิดดูท้องขนาดนั้นแล้วยังพามาเที่ยวไกลขนาดนี้ ไม่ห่วงลูกตัวเองมั่งเล้ยยย ” มันเล่าไปยิ้มไป

“แต่ก็รอดมาได้ถึงป่านนี้นี่นา” ผมบอก

“ช่าย ... แล้วอีกวันสองวัน แม่ก็คลอดปิงก่อนกำหนดที่นี่ ... ทันทีที่แม่รู้สึกตัว
แม่บอกกับพ่อว่า ขอตั้งชื่อลูกว่า.. ”

“ปิง .. ” ผมตอบแทน พร้อมกับเห็นปิงทำท่าทียืดอกอย่างภาคภูมิใจ จนผมอยากจะ
กัดมันซักดอกสองดอก แต่ก็ได้แต่อดกลั้นไว้

- แม่น้ำแห่งความทรงจำยังงั้นเหรอ แม่น้ำที่ทอดผ่านตัวเมืองที่มีวัฒนธรรมอันยาวนาน
ก่อให้เกิดเรื่องราวต่างๆมากมาย รวมถึงเป็นที่มาของชื่อเด็กชายคนนึง ซึ่งตอนนี้เค้านั่งอยู่
ข้างตัวผมเอง ผมชักอยากเห็นแม่น้ำสายนี้จัง -

* * * * * * * * * * * * TBC* * * * * * * * * * * *

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [17-4-12] Part 2
«ตอบ #75 เมื่อ18-04-2012 14:33:27 »

ซดมาม่ากันเมามันเลยทีเดียว TT

 :เฮ้อ:

ออฟไลน์ IZE

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4601
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +227/-3
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [17-4-12] Part 2
«ตอบ #76 เมื่อ18-04-2012 18:48:28 »

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ไม่อยากอ่านตอนต่อไปเลย


ปล นู๋ไม่ได้สปอยน๊า

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [17-4-12] Part 2
«ตอบ #77 เมื่อ18-04-2012 19:23:05 »

อยากให้ทุกคนสมหวัง แต่มันเป็นไปไม่ได้

Hakken

  • บุคคลทั่วไป
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [17-4-12] Part 2
«ตอบ #78 เมื่อ18-04-2012 19:49:14 »

ต่อๆๆๆๆๆๆๆ o13 o13 o13

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [17-4-12] Part 2
«ตอบ #79 เมื่อ19-04-2012 15:45:40 »

รอ ร๊อ รอ คับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [17-4-12] Part 2
« ตอบ #79 เมื่อ: 19-04-2012 15:45:40 »





ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [19-4-12] Part 2
«ตอบ #80 เมื่อ19-04-2012 20:24:26 »

“มืดแล้ว รีบกลับเหอะ เด๋วพรุ่งนี้ต้องไปที่อื่นต่อ” ผมคะยั้นคะยอปิงให้กลับโรงแรมได้แล้ว
เพราะยิ่งนานไป ก็ยิ่งหารถยากขึ้นเท่านั้น 

“อือ กลับก็กลับ ตอนนี้แรกว่าจะไปไนต์บาซาอีกคืนนะเนี่ย” ปิงบ่นกระปอดกระแปด

“ป่านนี้แล้วมันจะยังมีรถแดงอีกเหรอไง” ปิงว่า

“เราว่าขึ้นรถตุ๊กตุ๊กเหอะ เร็วดีด้วย”

“จะดีเหรอ” ผมถามด้วยความลังเล

“อือ ”ปิงพยักหน้า พลางโบกรถตุ๊กตุ๊กคันนึงที่เห็นอยู่ไวๆ

ชั่ววินาที ผมรู้สึกถึงลางบอกเหตุบางอย่าง รถกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาเรื่อยๆ

- ทำไม? - ผมนึกในใจพร้อมกับจิตใจที่เริ่มรู้สึกถึงพะว้าพะวนอย่างบอกไม่ถูก
รถเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ทุกที จนในที่สุดก็มาจอดเทียบอยู่ตรงหน้าเราสองคน

ผมเห็นปิงตรงเข้าไปบอกสถานที่พักของเรากับคนขับรถ ผมพยายามสังเกตท่าทางของคนขับ
พร้อมหันไปทางปิงซึ่งกำลังก้มตัวเข้าไปในรถ ผมอ้าปากตั้งใจจะบอกให้รอคันต่อไปจะดีกว่ามั้ย ....
ทว่าในที่สุดก็ไม่ได้พูดออกมา ปิงฉุดมือผมขึ้นไปนั่งข้างหลังรถตุ๊กตุ๊กคันนั้น

คนขับแรงเครื่องยนต์ทะยานออกจากจุดเดิมอย่างรวดเร็ว

“ปิง บอกให้เค้าขับช้ากว่านี้เหอะ” ผมกระซิบบอกปิง แต่ปิงก็ทำหน้าบู้บี้

“ไปเรื่องมากกับเค้า ระวังโดนขวดเหล้าตีหัวหรอก ไม่เห็นข้างหน้ารถเหรอไง” เมื่อเจอไม้นี้
เข้าผมก็เงียบกริบ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

“.......”

ตึ๊กตึก .. ตึ๊กตึก

เฟี้ยววววววววววววววววว

“......”

ตึ๊กตึก .. ตึ๊กตึก

เอี้ยดดดดดด

“......”

ตึ๊กตึก .. ตึ๊กตึก

หัวใจผมเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับคนขับรถที่บิดเพิ่มความเร็วของรถให้เร็วขึ้น มันไม่ดีเลย
ด้วยความเร็วขนาดนี้ กับสภาพคนขับรถที่ผมเห็นก่อนขึ้น ... ถ้ามีอะไร อ๊ะ ไม่ซิ เราจะคิด
เรื่องแบบนั้นไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้
ผมภาวนาอยู่ในใจ

ในระหว่างที่กำลังจะถึงเลี้ยวทางแยกไฟแดง คนขับหันมามองดูข้างหลังว่ามีรถตามมาหรือไม่ ....
ช่วงจังหว่ะนั้น รถมอเตอร์ไซต์คันนึงพุ่งออกมาจากอีกด้านของถนน

“เฮ้ยยย ไอ้เหี้ย” คนขับรถสบถออกมาด้วยท่าทีตกใจสุดขีด

“เฮือก ... ” ผมได้ยินเสียงหายใจตัวเองหยุดลง

ชั่ววินาทีต่อมา รถโดยสารพยายามเบรกตัวเอง ในขณะที่คนขับอยู่ในอาการตื่นตกใจ แต่พยายาม
หักพวงมาลัยให้ไปอีกด้าน รถเสียการทรงตัวทันทีพร้อมกับแรงที่เกิดจากความเร็วมหาศาลก่อนหน้านั้น
รถตุ๊กตุ๊กแฉลบออกผ่านเส้นเลน แล้วปะทะเข้ากับขอบทางกั้นถนน ตัวรถครูดเข้ากับขอบที่กั้น
เกิดเป็นสะเก็ดไฟร่วงลง

“หวา หวา!!!! ”

แรงกระแทกทำให้ตัวรถกระเด็นมาอีกด้านนึงของถนน ตอนนี้รถเสียการควบคุมโดยสิ้นเชิง และถลา
ตรงไปด้านหน้าแล่นตรงเข้าหาเสาไฟฟ้าคอนกรีต

ชั่ววินาที ผมสัมผัสได้ถึงร่างของปิงเข้ามาโอบกอดผมไว้ พร้อมๆกับเสียงโครมใหญ่ และแรงสั่นสะเทือน
มากมายที่เกิดจากการปะทะกันอย่างรุนแรง ผมรู้สึกว่า ร่างของตัวเองกระเด็นออกมาจากนอกรถ
พร้อมๆกับปิง ซึ่งบัดนี้ถูกแรงกระแทกกระเด็นหลุดจากตัวผมไปอีกด้านนึง

ครืด ครืด ครืด

“อือ อือ ” ผมรับรู้ได้ถึงสัมผัสที่เจ็บปวดทั่วร่างกาย ก่อนจะค่อยลืมตาขึ้นอย่างยากเย็น ผมเห็นล้อรถ
หมุนคว้างด้วยความมึนงง ดวงตาเริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆอย่างพล่าเลือน พร้อมกับยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเอง
รู้สึกถึงของเหนียวเหลวๆตรงฝ่ามือ

เลือด !?

“อะ โอ๊ยย” ผมเริ่มร้อง แต่ก็นึกในใจถึงปิง ไม่ได้ยินเสียงปิงเลย ผมพยายามเงยหน้า เลือดเริ่มไหล
ลงมาด้านข้างศีรษะ มาที่แก้ม จนมาหยดลงที่คาง แต่ผมไม่สนใจ...

“ปะ ปิง ... ปิง ”

ผมพึมพำเรียกชื่อคนรักซ้ำไปมา ในขณะที่เริ่มมองไปที่รอบๆ ผมเห็นคนขับรถติดอยู่กับตัวรถตุ๊กตุ๊กคันนั้น
ปิงไม่ได้อยู่ในรถ !?

“อา ปิง ปิง” ผมเริ่มเพ่งมองไปรอบๆอีกครั้ง ผมเจ็บ ปวด ทรมาน แต่ผมอยากเจอปิง - -
บนพื้นถนนด้านข้างถัดออกไปเล็กน้อย - - แสงไฟฟ้ากระพริบถี่ ติดๆดับๆ ผมเห็นร่างอันชุ่มไปด้วย
เลือดของปิงนอนกลิ้งอยู่

“ปะ ปิง ปิง ปิง” ผมพยายามพยุงตัวด้วยแรงทั้งหมดเข้าไปหาเค้า มันยากลำบากเหลือเกิน ผมคิดในใจ

-ไม่ - ผมได้แต่คิด ไม่มีเสียงอะไรเปล่งออกมาจากตัวผม .... และตัวปิง

ผมพยุงร่างตัวเองมาถึงตัวเค้า จับแขนเขย่าไปมาด้วยความอ่อนแรง ผมไม่มีแรงเหลือแล้ว ...

ไม่มีแล้ว

“ปิง ได้ยินมั้ย ปิง ” ผมเริ่มเขย่าแรงขึ้น เลือดของผมหยดลงบนร่างของปิง รอยด่างดวงที่เกิดจากเลือด
ของปิงเริ่มขยายวงกว้างขึ้นบนพื้นถนน

“ปะ ปิง อย่าเป็นอะ อะ อะ ไร นะ ... ” ผมเริ่มร้องไห้ น้ำตาผมไหลออกมา ผสมกับเลือด
เหนียวข้นของตนเอง .....และทุกสิ่งก็ดับวูบลง

* * * * * * * * * * * *


(ดนตรีประกอบก๊อป url ไปวางหน้าต่างใหม่นะครับ www.swn.ac.th/76.swf )


ในห้องคนไข้อุบัติเหตุนอก ผมรู้สึกตัวขึ้นพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงนอน ก่อนจะได้กลิ่นฉุนของยา
ในโรงพยาบาล ผมเกลียดกลิ่นนี้ ผมคิดว่า ถ้าได้กลิ่นนี้ มันจะนำความทุกข์มาให้ มันไม่มีอะไรดีเลย
ผมคิดในใจ ในระหว่างที่สติสัมปชัญญะยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนัก 

- ที่นี่ที่ไหน ? -

ผมมานอนทำอะไรที่นี่กัน ผมเริ่มลำดับเหตุการณ์ แล้วจึงพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง ความเจ็บปวดรุกล้ำเข้ามาทันที
ผมเห็นพยาบาลที่อยู่ใกล้ตัวเดินเข้ามาหาผม

“อย่าพึ่งขยับเขยื้อนค่ะ น้องตอนนี้น้องได้รับบาดเจ็บอยู่ ยังเคลื่อนไหวไม่ - -”

“แล้วเพื่อนผมล่ะ”ผมโพล่งออกมา ผมนึกออกแล้ว รถโดยสารที่ผมนั่งมา เกิดอุบัติเหตุ รถหักหลบไป
ชนกับเสาไฟฟ้า แล้วจากนั้น .....

“ปิง .. ปิง เพื่อนผมอยู่ไหน” ผมละล่ำละลักถามพยาบาลที่มีท่าทีตกอกตกใจ

“ตอนนี้เพื่อนน้องอยู่ในห้องไอซียูคะ หมอกำลังรักษาอยู่ ใจเย็นๆนะคะ ตอนที่น้องสลบอยู่ทาง
โรงพยาบาลติดต่อกับญาติของน้องได้แล้ว ตอนนี้กำลังเดินทางมาเชียงใหม่นะคะ”

พยาบาลพยายามอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ผมฟัง แต่ตอนนี้ใจผมยังพะวักพะวนอยู่ที่ห้องไอซียู

- ปิง ... ไม่นะ ... ทำไมตอนนั้น ถ้าเราไม่ยอมขึ้นรถตอนนั้น มันคงไม่ .....-

- ปิง เราขอโทษ ปิง ... ถ้าเรา ...........- ผมเฝ้าโทษแต่ตัวเอง

ตอนนี้ผมไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว

“พี่คับ พาผมไปห้องฉุกเฉินนะคับ” ผมอ้อนวอนพยาบาลอยู่เป็นเวลานาน ในทีแรก เธอไม่ยอมอยู่ท่าเดียว
จนผมทรุดตัวลง แล้วยกมือไหว้พี่เค้าท่วมหัว

“พี่ครับ ได้โปรด พาผมไป - -” ผมเริ่มสะอึกสะอื้น แล้วในที่สุดพยาบาลสาวก็พาผมไปที่ห้องๆนั้น
ตอนนี้ไฟสีแดงที่ขึ้นว่าฉุกเฉินดับลงแล้ว ผมไม่รู้ว่าเค้ารักษาปิงเสร็จแล้วหรือยัง ย้ายปิงออกไปหรือยัง
แล้วหมอยังอยู่มั้ย เมื่อพยาบาลทำสัญญาณให้ผมเข้าไปได้ ผมจึงค่อยเดินเข้าไป

ตึก ตึก ...

ผมเดินอ้อมผ่านผ้าขาวที่ขึงปิดร่างปิงเอาไว้ มองให้เห็นคนรักผมชัดเจนยิ่งขึ้น ........

ผมคิดอะไรไม่ออก นอกจากเงยหน้าไปมองเครื่องตรวจระดับการเต้นของชีพจรภายในห้อง บัดนี้
เส้นสีเขียวนั้น ไม่มีสัญญาณบ่งบอกถึงความมีชีวิตอยู่ของคนที่นอนอยู่

“ปิง” ผมเรียกชื่อเบาๆ ไม่จริง สมองผมเริ่มสั่งการณ์ขัดแย้งกับภาพที่เห็น

- มันเกิดอะไรขึ้น -

ผมเริ่มเบลอ พร้อมกับพึมพำชื่อคนรัก เท้าผมไม่มีแรงแม้กระทั่งเดินไปหาปิงที่เตียง

“ ปิง ยังมีชีวิตอยู่ใช่มั้ย ยังมีชีวิตอยู่ - - ฮึก .... - - ฮึก - - ฮึก ”

ผมไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป แม้ว่าหยาดน้ำตาที่กำลังหยาดหยดลงบนพื้น หยดแล้วหยดเล่า จะมากแค่ไหน
แต่ผมก็ไม่รู้สึก ทุกอย่างชาและเงียบสงัด

- ปิงยังมีชีวิตอยู่ ............... ใช่มั้ย -

ผมตั้งคำถามในใจ เท้าผมเริ่มก้าวเดินไปข้างหน้า แม้จะอ่อนแรงเต็มที ผมเหนื่อยอ่อนเหลือเกิน

ชายในชุดขาวของโรงพยาบาลนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียง ผมมองไปที่ใบหน้าของปิง มีร่องรอยที่
เกิดจากแรงกระแทกตามตัวของปิง แต่ใบหน้าของปิง ไม่มีร่องรอยบอบช้ำ ดวงตาปิดสนิทเหมือนกำลัง
หลับอยู่ แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือใบหน้าซีดขาวลงเรื่อยๆ

ผมค่อยๆเอื้อมมือไปจับที่ใบหน้าของปิง สัมผัสอุ่นๆ ที่เริ่มจะลดระดับลงเรื่อยๆ ความร้อนในร่างของปิง
เริ่มหายไปทีละนิด ทีละนิด ผมสัมผัสไปทั่วไปหน้า หน้าผาก ตา จมูก แก้ม ริมฝีปากบางสีชมพูเริ่มซีดลง

แม้ว่าร่างกายจะอิดโรยซักเพียงไหน แต่จิตใจที่แหลกสลายของผมตอนนี้ มันสร้างความเจ็บปวดและ
ทุกข์ทรมานแสนสาหัสนัก ผมไม่เคยต้องสูญเสียใคร ผมไม่ต้องการ .....แม้ว่าผมจะร้องไห้
จะทุรนทุรายแค่ไหน บัดนี้คนรักของผม จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ...

ร่างของผมทรุดลงไปกับพื้น เสียงร้องไห้ของผมดังขึ้น ดังขึ้น ผมไม่สามารถทำอะไรได้อีก
ไม่มีอีกแล้วคนที่ผมคอยดูแลผม ไม่มีอีกแล้วคนที่ห่วงหา คนที่เฝ้าบอกรัก เคยมีคนบอกว่า
การที่เราได้เลิกรักกับใครซักคนนึงมันเจ็บปวด แต่มันก็ยังรักษาหายได้ แต่ความทุกข์ทรมาน
ที่ต้องทนอยู่กับความรักที่ยังมีอยู่นั้น มันเจ็บปวดยิ่งกว่า ... ทั้งๆที่ความรักกำลังดำเนินอยู่
มันยังไม่ได้สิ้นสุดลงไป แต่มันจบลงด้วยความตายของอีกฝ่าย

แม่น้ำแห่งความทรงจำของปิง ผมอยากเห็นมันเหลือเกิน แต่บัดนี้ ผมคงจะต้องกลับไปชื่นชมมัน
แต่เพียงผู้เดียว เพียงลำพัง เพราะคนอีกคนนึง ได้จากไปแล้ว....

* * * * * * * * * * * *

รูปที่มีภาพผมถ่ายกับปิงร่วงหลุดมือโดยไม่รู้ตัว น้ำตาผมหยดแหมะลงไปบนหน้าสุดท้ายของบันทึกที่
ผมเขียนเอาไว้หลังจากที่กลับมาที่บ้าน สมุดบันทึกความรักที่ผมตั้งใจเขียนความทรงจำทุกๆอย่างเกี่ยว
กับผมกับมัน ผมตั้งใจแน่วแน่แล้ว ว่าจะไม่กลับมาเปิดมันอีก เพราะทุกครั้งที่เปิด ทุกครั้งที่ผมเห็นรูป
ไอ้ปิง อดีตที่ฝั่งใจมันย้อนกลับมาหาผม เหมือนเกลียวคลื่นที่พัดเข้าฝั่ง ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า

ปกติแล้ววันนี้ ผมคงต้องตามเจ้าปริ้นไปดูมันซ้อมลีดด้วย แต่ผมกลับอยากลงไปอุดอู้อยู่ในห้องใต้ดิน
ที่อยู่ใต้ห้องนอนปริ้นมากกว่า

ก่อนหน้าที่ปริ้นจะมาอยู่ที่นี่ ผมแอบเข้ามาปัดฝุ่น จัดตู้เตียงที่ห้องข้างล่างนี้ โดยไม่ให้ใครรู้ พร้อมกับ
วางสมุดบันทึกไว้ ผมอยากให้ปิงหลับอยู่ที่นี่ อยู่ข้างใต้นี้ เวลาที่ผมคิดถึงมันจนทนไม่ได้ ก็มักจะลงมา
ข้างใต้นี้ นอนร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า … ทำไม มัจจุราชต้องพรากคนที่ผมรักไปด้วยวิธีการที่โหดร้ายถึง
เพียงนี้ ?

คืนนี้ ก็เช่นกัน ผมค่อยเดินผ่านความมืด ไขประตูด้วยกุญแจสำรอง พร้อมกับเดินลงไปห้องใต้ดินด้วย
ความคุ้นเคย เวลานี้ ผมน่าจะคิดถึงปริ้นนี่นา ผมต้องคอยดูแลปริ้นนี่นา ทำไมผมถึงต้องมานั่งขลุกอยู่ในนี้

เพราะตลอดเวลา .. ผมยังลืมปิงไม่ได้ใช่มั้ย

ร่างกายผมค่อยๆนอนแผ่ลงบนเตียง ผมกลับมาเป็นคนขี้แย่ อ่อนแอแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร
สายตาผมค่อยๆหรี่ลงเรื่อยๆ จิตใจผมมันช่างเปราะบางซะเหลือเกิน


* * * * * * * * * * * *

ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ด

ปั้งงงง !? แคร๊ก

“…………………….”

หวา !! แย่แล้ว ... ผมคิดถึงในใจ หลังจากได้สติว่าเผลอเขวี้ยงนาฬิกาปลุกเข้าให้กับฝาบ้าน
พร้อมกับดันตัวเองขึ้นมาจากการหลับใหลอย่างขี้เกียจ

เช้าวันแรกของการเปิดเทอม โรคสุดฮิตของนักเรียนทุกคนของเช้าวันแรก ดูเหมือนไข้ขึ้นนิดหน่อย
ปวดเมื่อยตัว ตาลืมไม่ค่อยขึ้นถึงขั้นปิดทุกๆนาที และล้มตัวลงนอนอีก

5 นาที ...

ขออีก 10 นาทีน่า อีก .....

เฮ้ย สายแล้ว !!!

ผมยันตัวขึ้นจากที่นอนอีกครั้ง หันไปหานาฬิกา ดูเหมือนมันแตกเป็นเสี่ยงจากแรงกระแทก
หันไปหยิบนาฬิกาข้อมือ

7.30 !?

ผมรีบกระวีกระวาดแต่งองค์ ถึงแม้ว่าเสื้อผ้า จะถูกรีดไว้ตั้งแต่ตอนหัวค่ำเมื่อวาน ก็แทบไม่ช่วย
ให้ผมรอดพ้นจากการต้องเข้าโรงเรียนสายเลย สุดท้ายผมก็เหมือนทุกคน ที่เมื่อเข้าสาย ก็ต้องมา
นั่งแตกแดดหัวแดง อีกฝั่งนึงจากเสาธง จนเมื่ออาจารย์พูดเสร็จนั่นแหละ ถึงจะได้หมดเวงหมดกรรม
และก็รู้ๆกันอยู่ เช้าวันแรกของการเปิดเทอม ทุกคนที่มีตำแหน่งในโรงเรียน ไล่มาตั้งแต่ ผอ.
ผู้ช่วยผ่ายบริหาร ธุรการ วิชาการ ปกครอง อ.หมวดโน้น หมวดนี้

“แม่ - ง พูดกันอยู่นั่นแหละ” ผมสบถ เสื้อที่พึ่งรีดมาตั้งแต่เช้า ตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อ

“อ้าว มาสายด้วยเหรอเรา” อาจารย์ที่ผมสนิทคนนึงเข้ามาทักผม

“ฮ่ะ ฮ่ะ” ผมหัวเราะแห้งๆ

“เมื่อคืนดูเออ .. หนังสือดึกไปหน่อยน่ะครับ”

นั่นเป็นคำพูดแก้ตัวของผมซึ่งชอบใช้อยู่บ่อยๆ และมันก็ได้ผลซะด้วยซิ ผมยังคงรู้สึกงงๆ กับ
บรรยากาศที่คุ้นตา และพยายามหาอะไรบางอย่าง แล้วเสียงแรกที่ได้ยินก็คือ

เฟี้ยววววว เปี้ยยยยยยยยยะ

ผมสะดุ้งโหย่งเมื่อได้ยินเสียวหวดไม้เรียวลงบนเนื้อแน่นๆ ของเด็กเก(เร) คนนึงอยู่ ผมหัน
ไปมองว่าเป็นใคร อ้าว ไอ้เหี้ยเต้ยนี่เอง

“โดนตีอีกแล้วเหรอไงวันนี้” ผมถามด้วยความสมเพชหน่อยๆ

“ที่ถามนี่ เป็นห่วงกูเหรอว่า สมน้ำหน้ากู” ไอ้เต้ยถามผมเสียงเขียว

“ทั้งสองอย่างปนๆกันหว่ะ หนักไปอย่างแรก” ผมตอบหน้าชื่น

“ไอ้เวร เด๋วโดนต่อยเปรี้ยง” มันทำหน้ากำหมัดมาต่อย แล้วก็ตะคอกใส่ผม

“แย่งไอ้ปิงไปไม่พอ ยังทำให้มันตายอีก สาดดด” เต้ยพูด

“มึง โดนกูต่อยซะดีๆ เหอะ กูอยากมานานแล้ว” พูดไม่พูดปล่าว ผมเห็นไอ้เต้ยกำหมัดแน่น
พุ่งมาที่ผมด้วยความเร็ว

พลั๊กก ...

มีแขนของคนๆนึง รับหมัดของเต้ยเอาไว้ ผมหันไปมอง

“ปิงงงง” ผมตะโกนสุดเสียงด้วยความดีใจ ระคนแปลกใจ

ปิงยิ้มให้ผม แล้วพูดต่อ

“ไม่เห็นต้องตะโกนขนาดนั้นเลย อยู่ใกล้แค่นี้เอง ปิงได้ยินแล้ว .... ” ปิงว่า

“ม่ะไหร่จะโตเป็นผู้ใหญ่ซะทีห่ะโอ้ต”

“ก็ ... ก็ เราฝันไปอะดิ ฝันว่า นาย .... นาย ตาย” ผมพูดได้ไม่เต็มเสียงนัก

“นายทิ้งเราไป แถมยังผิดสัญญาที่ให้ไว้ด้วย”

ปิงยังคงยิ้มให้ผม พลางพูดขึ้นมา

“ก็ปิงก็ไม่ได้ไปไหนนี่นา ก็ยังอยู่เนี่ย เห็นป่ะ แล้วก็ไม่ได้ผิดสัญญาที่ให้ไว้ด้วย ”

“แต่มีคนบางคนนี่ดิ ไปแอบมีแฟนเด็กแล้วไม่ใช่เหรอไง” ปิงถามผมเสียงขุ่น

“หมายความว่ายังไง” ผมตอบแบบงงๆ

“ป่าว ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่วันนี้ไปเที่ยวกันเหอะ อยากเที่ยวหว่ะ” ปิงชวนผมพลางดึงมือ

“เฮ้ย เที่ยวได้ไง เรียน เรียน นี่อยู่ในโรงเรียนนะ” ผมแหวใส่

“โดดเหอะ วันนี้ ไม่ต้องเรียนมันหรอก ”

ไม่รู้วันนี้นึกคึกอะไร ผมเลยตัดสินใจโดดเรียนเป็นครั้งแรกไปกับปิงมัน และก็ถือว่าเป็นวันแรก
ที่ผมได้เที่ยวกับมันแบบหัวราน้ำเลยทีเดียว รู้สึกสนุกยังไงบอกไม่ถูก ทั้งเดินบิ๊กซี ดูหนัง หาอะไรกิน
เหมือนกับเวลามันผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว จนเราสองคนเดินกลับเข้ามาในโรงเรียนอีกครั้ง ก็พลบค่ำแล้ว

“หนุกป่ะ วันนี้” ปิงถามผม

“หนุกดีหว่ะ ฮ่ะฮ่ะ ไม่เคยโดดเรียนแล้วสนุกแบบนี้”

“อืมม หนุกก็ดีแล้ว” ปิงว่า พลางมองดูนาฬิกา

“จะมืดแล้ว เราแยกกันตรงนี้ล่ะกัน” ปิงบอกแล้วมองหน้าผม

ผมจับมือปิงไว้ เหมือนกับไม่อยากให้มันหนีไปไหนอีก

“ไม่ไปไม่ได้เหรอ” ผมถามเสียงสั่น

ปิงส่ายหน้า พยายามดึงตัวออกห่างผมไป

ตาผมทั้งสองข้างปริ่มไปด้วยน้ำตา ภาพปิงข้างหน้าเริ่มพล่ามัว แต่มือผมยังคงจับมือเค้าไว้มั่น

“ปิง ... ถ้านายรักเราจริงๆ ทำไมนายต้องจากเราไปด้วย อยู่กับโอ้ตที่นี่เถอะ ... ฮึก ... ”
ผมเริ่มสะอื้นไห้ เพียงหวังว่าคนรักจะเห็นใจและไม่หนีไปไหนอีก

รอยยิ้มที่อบอุ่นเปื้อนหน้าปิงอีกครั้ง แต่ในแววตา ผมเห็นความเศร้าโศกที่ไม่อาจมองทะลุผ่าน

“ปิงสัญญาว่าจะอยู่กับโอ้ตตลอดไป ...... เวลาที่โอ้ตเหงา ปิงจะคอยอยู่ข้างๆ .....
เวลาที่โอ้ตไม่สบาย เราจะคอยดูแล ..... เวลาที่โอ้ตเสียใจ เราจะคอยปลอบโยน .....
แล้วเวลาโอ้ตมีความสุข เราก็จะมีความสุขด้วยกัน เข้าใจใช่มั้ย”

ปิงบอกผม พลางเดินเข้ามากอดตัวผม ที่กำลังสะอื้นไห้ กี่ปีแล้ว ที่ผมไม่ได้ร้องไห้กับใครแบบนี้
กี่ปีที่ผมต้องทนทุกข์กับความทรงจำอันโหดร้าย ความรู้สึกนี้ไม่มีใครที่จะมาทดแทนได้ หลังจาก
ที่ปิงจากไป ผมพยายามทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ขึ้น กลับเป็นคนที่เงียบขรึม ผมไม่อยากที่จะรักใครอีก

ผมรู้สึกเหมือนกับเค้าจะรับรู้ความรู้สึกนี้

“โอ้ต ... ในโลกนี้ ไม่มีใครที่ไม่เคยต้องสูญเสีย ไม่เคยมีใครสมหวังหมดทุกอย่าง ไม่มีใครมีความสุข
ได้ตลอดเวลา ”ปิงเอามือมาจับใบหน้าผมให้หันไปสบตาเค้า

“ปิงอยากให้โอ้ตใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีค่าที่สุด ตอนนี้โอ้ตมีคนที่ต้องคอยดูแล มีคนที่ต้องรัก ...
และที่สำคัญที่สุด เพื่อตัวเอง .... ” ปิงพูดทั้งน้ำตา พร้อมกับผมที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น

“ ต่อไปโอ้ตจะต้องผ่านอะไรอีกมาก ... มากจนเกินกว่าจะคิดถึงแต่อดีต ปิงดีใจนะ
ที่โอ้ตไม่เคยลืมปิง ”

ปิงหยุดพูดพลางปาดน้ำตาตัวเอง

“ปิงจะรออยู่ตรงนี้ ... จะรอโอ้ตอยู่ตรงนี้นะ วันใดวันนึง เมื่อโอ้ตเหนื่อย เมื่อโอ้ตอยากพักผ่อน
เมื่อหมดสิ้นภาระทุกอย่าง .... ”

ปิงยิ้มให้ผมเป็นครั้งสุดท้าย

“เราสองคนจะได้เจอกันอีกแน่นอน ”

ปิงลูบหัวผมเหมือนกับที่เคยทำอยู่บ่อยๆ ความรู้สึกที่ผมสามารถจับต้องได้ ค่อยๆพร่ามัว ไปทีละนิด
ทีละนิด ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง

นาทีแล้วนาทีเล่า ผมลืมตาตื่นขึ้นมา พร้อมกับความรู้สึกชื้นแฉะบนเตียงที่กำลังนอนอยู่

ผมดันตัวขึ้นไปหยิบรูปถ่ายใบเดิมขึ้นมาดูอีกครั้ง ภาพที่บันทึกเรื่องราวต่างๆในอดีตของผม เรื่องราวที่
สนุกสนาน รอยยิ้ม มิตรภาพ และความโศกเศร้า ผมบรรจงวางรูปถ่ายนั้นลงในกล่อง แล้วเปิดตู้ เก็บไว้ใน
ลิ้นชักที่ลึกที่สุด รอวันที่จะหยิบมันขึ้นมาดูอีก และเมื่อถึงวันนั้น ... เมื่อหยิบมันขึ้นมาดู ผมคงจะนั่ง
หัวเราะอย่างมีความสุข พร้อมกับนึกถึงคนรักคนแรก .... คนที่รักผมสุดหัวใจ และมีผมเป็นคนรัก ...

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [19-4-12] Part 3
«ตอบ #81 เมื่อ19-04-2012 20:27:23 »

part3
บ้านพักอลเวง รักหายไป..แต่หัวใจยังอยู่.#1

*เครดิตชื่อตอนมาจากชื่อจากหนังสือของคุณดอกไม้สีขาว สำนักพิมพ์ the book lover ครับ*


“เฮ้ยยย โค้กกก ขี่ช้าๆกว่านี้ก็ได้” ผมพยายามตะโกนให้เสียงมันทะลุเข้าไปในรูหูของไอ้โค้ก

“ว่าไรนะพี่ ไม่ได้ยิน ”

“บอกให้ขี่ช้าๆหน่อย” คราวนี้ผมโน้มตัวเองให้ใกล้หูมันที่สุด จนหน้าอกแนบชิดกะแผ่นหลังของมัน
เลย ทำไมรู้สึกเขิลจังวะกรุ

ไอ้โค้กมันบิดเบาลง แต่ก็ยังขี่ฉะเวิ้บฉะว้าบอยู่ดี

โอ้ตมันจะโกรธผมเหรอป่าววะ ที่เอาของๆมันออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาตแบบนั้น ?

ผมคิดในใจ แล้วก็เป็นความกังวลใจหนึ่งเดียวที่ตามราวีผมมาตั้งแต่ออกนอกโรงเรียน โอ้ตมันจะเชื่อ
เหรอป่าวนะ ว่าผมยังไม่ได้เปิดอ่านอะไรหนังสือเล่มนั้นเลย ผมเกือบจะหลุดปากถามเพื่อนที่อยู่ใน
รูปที่ถ่ายคู่กันกะโอ้ต แต่พอเห็นสีหน้าของมันตอนเห็นหนังสือเล่มนั้น ผมก็รู้สึกว่า โดนดีดออก
มาเป็นส่วนเกินยังไงก็ไม่รู้

“พี่ปริ้น … พี่ - -”

“ห่ะ ห่ะ ว่าไง” ผมตกใจเสียงเรียกไอ้น้องโค้ก

“ลงรถได้ยังพี่ ถึงแล้ว หนักนะเนี่ย” โค้กมันบ่นไล่ผมลงจากมอไซต์มัน โอ่ว นี่ถึงโดยไม่ทันรู้ตัว

ผมรอให้โค้กมันล็อกคอมอไซต์เสร็จก็เดินเข้าไปในบ้านพี่ต่ายพร้อมกัน พอเข้ามาบริเวณที่พวกลีดซ้อมกัน
อยู่ๆ น้องโค้กมันก็หยุดเดินคับ

“เหี้ยเอ้ย …” มันสบถออกมาเบาๆ ผมได้ยินก็เลยหันไปหา ก็พบว่าสายตามันมองตรงไปที่ใครบางคน
ผมก็เลยหันมองตามไป ก็เห็นว่ามีเด็กผู้ชายหน้าไม่คุ้นกำลังยืนเก๊กท่าซ้อมท่าอยู่กับพี่ๆผู้หญิงที่เป็นลีดกันอีก
4 คน

“หวัดดีพี่ท็อป พี่ต่าย พี่ บลาๆๆๆ” ผมไล่ไหว้พี่แต่ละคนไปจนทั่วก่อนที่จะมาจบลงที่พี่ซาย คนสอนท่าเต้น

“มาช้านะเราสองคน .. ที่หลังรับผิดชอบให้มากกว่านี้ อย่าให้พี่คนอื่นๆเค้าต้องคอย” พร้อมกับเทศนาผมกะ
ไอ้น้องโค้กอีกหลายคำ

“เออ .. ปริ้น โค้ก มานี่” พี่ท็อปมันก็เรียกไปหาพวกลีดที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดวางท่าทางอยู่ ดูเหมือน
ไอ้โค้กมันอิดออดไม่ยอมเดินไปไงม่ะรู้

“นี่ไอ้กั๊ก (?) มาเป็นลีดแทนตาล (พี่ผู้หญิงคนที่ออกไป) ” ผมมองหน้าไอ้กั๊ก คนชื่อแปลก พร้อมที่
พี่ท็อปอธิบายว่ามันเรียนอยู่ ม. 4 ก็ชั้นเดียวกะไอ้โค้กอะล่ะ แล้วก็บอกสาเหตุที่พี่ตาลมาเป็นลีดไม่ได้
ไอ้น้องกั๊ก นี่บอกตรงๆว่ามองแบบผ่านๆแล้วเป็นพวกขี้เก๊กเลยล่ะ ดูแมร่งหยิ่งมากๆ

“หวัดดี ” ผมยิ้มทักมันแบบไม่ค่อยแน่ใจ

“ครับ” มันตอบหน้าตาย ทำให้รู้สึกว่ารอยยิ้มที่ใบหน้าผมหุบลงไปในทันใด ผมเลยเหลือบไปหา
ไอ้โค้ก (ดีกว่า)มันก็ทำหน้าเซ็งๆฮะ ผมว่าไอ้สองคนนี้มันต้องมีอะไรเบื้องลึกกันแน่ๆ หรือว่ามาน
ไม่ถูกกันวะ

ไอ้พี่ท็อปนี่แมร่ง ตอนเรื่องกีฬาก็ไปมีเรื่องกะอีกห้องนึง พอเรื่องลีด ก็ไปพาคนม่ะถูกกันมาอยู่ด้วยกันอีก ..
รู้สึกสงสารไอ้โอ้ตขึ้นมาทันใด เหอๆ

ที่ว่าวันแรกว่าหนักแล้ว วันนี้ยิ่งหนักกว่าเก่าอีกครับ เพราะอีเจ๊พี่ซายมันดันรีบให้ขึ้นเพลงแรกเลย แถม
มีบังคับให้ทำให้ได้ภายในวันนี้ด้วย … กว่าจะพอผ่านมาตรฐานแก ก็ปาเข้าไปทุ่มครึ่ง

“พอใช้ได้ อย่าลืมไปซ้อมล่ะกันที่บอกไว้ บลาๆๆๆๆๆ” พี่ซายแกก็พ่นอีกราวยี่สิบนาที ก็ปาเข้าไป
เกือบสองทุ่มพอดี หมดกัน … หมายถึงรถป2 ที่นั่งกลับบ้าน มันหมดแล้ว

“พี่ปริ้น รีบกลับป่าว ไปหาไรกินป่ะ ? ” น้องโค้กมันชวนมีเหรอจะพลาด

“เออ ก็ดี กลับตอนนี้ก็ไม่ทันรถแล้ว” ผมว่า

“อ้าวแล้วกลับไงอ่ะ”

“ก็ต้องรอรถสายยาวอ่ะดิ” (หมายถึงรถสายที่จะลงไปใต้ประมาณหัวหิน ประจวบ อะไรเทือกนี้อ่ะคับ)

“กินไรอ่ะพี่” มันว่าพลางขึ้นคล่อมมอไซต์พลางสตาร์ต

“อยากกินผัดไท”

“กินไรบ้านๆอีกแระ - - - อ่ะๆ ขึ้นรถ” มันรีบบอกเมื่อเห็นผมทำท่าจะเบิร์ดกะโหลกมัน

* * * * * * * * * * * *


ไอ้น้องโค้กมันก็พามากินผัดไทตรงสี่แยก *** อ่ะ วันนี้คนน้อยโชคดีไป

“ถามไรหน่อยดิ” ผมอดสงสัยไม่ไหว

“อ้าอะไออั้บ ”

“โห เมิงมารยาททรามอย่างแรง จะแดกหรอจะพูด ก็เอาซักอย่างก่อน” ผมไม่พอใจเล็กๆ หน้าตาก็ดี
แมร่งอย่ามาซกมก

โค้กมันก็รีบกินน้ำอัดๆเข้าไป แล้วก็ทำท่าทางเรียบร้อย แกล้งรอฟังผมถามตาแป๋ว…..

สาดดด น่ารัก

ตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนๆ ดูมานเปล่งประกายยังไงก็ไม่รู้ มันทำให้คนที่พบเห็นต้องหัวใจอ่อนยวบยาบ

“เออ ทำไมต้องจ้องขนาดนั้นวะ” ผมบอกเขินๆ ตอนนั้นม่ะได้ใส่ใจหรอกคับ ว่าพูดออกไปแบบนั้น
มันจะรู้ป่าววะว่าทำไมผมต้องเขิน

“เอ้า ไรเนี่ย จะถามไรก็รีบถามพี่ หิว” มันพูดพร้อมกับคีบเส้นผัดไทขึ้นมาเตรียมส่งเข้าปาก

“เรากะไอ้กั๊กนี่มีอะไรกันเหรอป่าว ”

แกร็งงง เสียงตะเกือบมันหลุดลงมาข้างนึง

“ม่ะ มีอะไรกันนี่คืออะไรพี่” เสียงมันเปลี่ยนเป็นเครียดแทน

อ้าว มันถามแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกทะแม่งๆ

“ก็พี่รู้สึกว่าทำไมเราม่ะค่อยชอบหน้ามันนี่ ไม่ใช่หรอ”

ไอ้โค้กมันหยิบตะเกียบคู่ใหม่ขึ้นมา แล้วก็ทำวนๆเส้นให้พันรอบตะเกียบ

“ก็เออ…”

“ทำไมวะ ทะเลาะกันเรื่องไร” ผมเริ่มเสือกเรื่องของชาวบ้านเค้าอีกแระ ป่าวหรอก
จริงๆคืออยากรู้ว่ามันมีอะไรกันป่าว เพราะผมม่ะชอบเป็นเหมือนไม้กันหมาเหมือน
อย่างวันนี้

เป็นใครก็ต้องสงสัยคับ เพราะว่าไอ้โค้กมันไม่เข้าไปใกล้กะไอ้น้องกั๊กเลย ทั้งๆที่ตำแหน่งของ
โค้กมันอยู่กลาง ประกบด้วยผมกะไอ้น้องกั๊ก แต่นี่มันเปลี่ยนที่กะผมเฉยเลย แถมทำท่าทาง
หงุดหงิดบ่อยๆอย่างที่มันไม่เคยเป็น (เท่าที่พึ่งได้รู้จักกันมาอ่ะนะ)

“ว่าไง .. ”

“……. ม่ะมีไรหรอกพี่ จะรู้ไปทำไมว้า” มันหลีกเลี่ยงที่จะตอบ

“งั้นเด๋วพรุ่งนี้ไปถามไอ้กั๊กเองก็ได้วะ มีอะไรจะได้เคลียๆกันไปเลย” ผมแกล้งหลอกมัน

“บ้าป่าว ขืนไปถามมันนะ ผมเอาพี่ตายแน่ ” แน่ะมันมีขู่โว้ย

“เออ เล่าก็ได้วะ” มันทำเสียงไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ยอมเล่าโดยดี ผมทำท่าทีกระหยิมในชัยชนะ (ที่ได้สอดรู้
เรื่องชาวบ้านอีกเรื่อง นับจากเรื่องไอ้คิวกะไอ้ซัง หุหุ) พลางดูดน้ำนึงทีเป็นการฉลองชัย

“ที่ผมไม่ชอบมัน ก็เพราะว่ามันมาชอบผมอ่ะ” มันเหมือนหน้าแดงหน่อยๆ

“อุ๊ก อุ๊กๆๆ” ผมแทบจะสำลักน้ำกันเลยทีเดียว

“ห่ะ ว่าไรนะ ไอ้กั๊กเนี่ยนะ ไอ้กั๊กเนี่ยนะ มาชอบเมิง”

“ทำไมล่ะ ก็คนมันมีเสน่ห์อ่ะคับ” มันพูดพลางยืดอก

“ไอ้บ้า ไอ้หลงตัวเอง” ผมด่ามัน แต่ในใจก็ยอมรับว่ามันจริง 555 กรุยังรู้สึกหลงๆเลย

เอ๋ … งั้น ก็แปลว่า ไอ้น้องโค้กเนี่ย เป็นพวกเกลียดเกย์อะดิวะ …..ซวยแล้วกรุ

“อ้าว งั้นเมิงก็เป็นพวกเกลียดเกย์ เกลียดตุ๊ดอ่ะดิ” ผมแสร้งถามแบบลอยๆเนียนๆ

“โห พี่ ผมก็ไม่ใช่คนแบบนั้นนนนนน …. ห้องผมอะ ตุ๊ด กาเทยตั้ง 4 – 5 คน ผมยังไม่เกลียดเลย
ไม่เกี่ยวๆ”

“อ้าวแล้วทำไม - - - ”

“ก็พี่คิดดูดิ ไอ้เหี้ยนั่นนะ พอมันมาบอกชอบผมปั๊บ มันก็แบบคาดคั้นอยากให้ผมเป็นแฟนมันอ่ะ
แล้วพอผมบอกว่าเป็นเพื่อนกันเหอะ มันก็ทำเป็นไม่พูด ไม่คุยกะผมอีกเลย ผมเคยทักมันนะ แต่
มันก็ทำเป็นไม่เห็นผมอ่ะ คิดดู”

โค้กมันพูดไปมะโหไป เออ ถ้าเป็นผมก็คงม่ะโหอ่ะล่ะ

ความรักมันไม่ได้ต้องจบด้วยคำว่าต้องเป็นแฟนกันนี่หว่า ความรักมันเป็นอะไรได้มากกว่านั้นตั้งเยอะ

“แต่ดูๆไปแล้ว กั๊กมันก็ไม่เห็นจะแสดงอาการอะไรกะเมิงเลยนี่นา ” ผมเริ่มรู้สึกสนิทกะไอ้โค้กพอสมควรแล้ว
ก็เลยเริ่มเปลี่ยนสรรพนามเพื่อเพิ่มความแมน เอ้ย เพื่อความหนิดหนม

“โห พี่ หน้ามันตายขนาดนั้น ขี้เก๊กขนาดนั้น มันไม่แสดงให้รู้หรอกพี่ ว่ามันคิดอะไรยังไง” ไอ้โค้กเริ่มแฉ

“ถ้าผมไม่บอก พี่ก็คงม่ะรู้ใช่ม่ะล่า ว่ามันจะเป็นเกย์ ”

“เออดิ”

“เปลี่ยนเรื่องๆ เหอะพี่ เออ แล้วห้ามไปบอกใครเรื่องนี้ล่ะ ”

“เออ ไม่บอกหรอก - - - เลี้ยงด้วยล่ะกัน ค่าปิดปาก ”

“โห ไรวะ” มันทำหน้างอเลยคับ แต่สุดท้ายผมก็พูดเล่นไปงั้นล่ะ ให้น้องสุดน่ารักออกได้ไงล่ะ ผมก็
เลยเป็นฝ่ายเลี้ยงมันแทน พร้อมกับบอกมันให้ใจเย็นๆ ไงก็ต้องร่วมงานกันอยู่ดี

“แล้วพี่จะกลับเข้าบ้านไง รถมันไม่ผ่านหน้าบ้านพี่หนิ”

“ไม่เป็นไร เด๋วเพจให้ไอ้ - - ให้พี่โอ้ตมารับ” ผมบอกมันโดยไม่ทันนึกว่ามันไม่รู้ว่าผมกะโอ้ตอยู่
บ้านเดียวกัน

“พี่โอ้ตเนี่ยนะ ? ” มันทำหน้างง

“อ่อ พี่กะโอ้ - - พี่โอ้ตเป็นญาติกัน”

“ไมหน้าไม่เห็นเหมือนกันเลยล่ะ ”

“ว้อย…!! จะสงสัยอะไรมากมาย ”

ว่าไปไอ้น้องโค้กมันก็ดีนะคับ รอจนรถที่ผมจะขึ้นมาก็เกือบจะสี่ทุ่ม แล้วก็แยกกัน โชคดีที่มีมอไซต์รับจ้าง
ผ่านมาพอดี เลยไม่ต้องเพจรอให้โอ้ตมันมารับ พอผมกลับมาถึงบ้านความคิดแว่บเลยคือ ต้องโดนด่าอีก
แน่นอน แต่ผิดคาดคับ ยายผมก็ไม่ได้ว่าอะไร บอกว่าโอ้ตมันบอกเรียบร้อยว่า
จะกลับดึก

“วันหลังก็กลับพร้อมกับนะปริ้น … เจ้าโอ้ตมันดูซึมๆยังไงบอกไม่ถูก” ยายผมพูดเป็นนัยๆ

“คับ” ผมรับปาก แล้วก็เดินกลับเข้าบ้าน

แกร๊กก

อ้าว กรุไม่ได้ล็อกประตูบ้านเหรอวะเนี่ย

ผมคิดในใจ แล้วก็เดินเข้ามา ว่าจะรีบไปอาบน้ำนอนเพราะรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน

“เฮ้ยย ..!! ”

ผมสะดุ้งเมื่อเห็นโอ้ตมันเปิดประตูออกมาจากห้องนอนผม ดูมันก็หน้าเสียเหมือนกันล่ะ

“โอ้ตขอโทษ คือ โอ้ต - - -”

ตอนแรกผมก็รู้สึกฉุนเล็กน้อยนะ ที่ทำไมมันเข้ามาในบ้าน ในห้องผมได้ไง แต่พอนึกขึ้นได้ว่าโอ้ตมัน
คงลงไปที่ห้องใต้ดินเพื่อเอาของที่ผมเอาขึ้นมาลงไปเก็บแน่ๆ แล้วที่สำคัญ โอ้ตมันคงมีกุญแจหรือ
อะไรซักอย่างที่สามารถเข้าออกบ้านได้ แล้วที่สำคัญ … โอ้ตดูท่าทางซึมมากเลยครับ

เหมือนกับพึ่งผ่านเรื่องไม่ดี เรื่องเศร้าๆมางั้นล่ะ หรือว่ามันโกรธผมวะ

“โอ้ต… เป็นอะไร” ผมรีบคว้าข้อมือมันไว้ เมื่อเห็นมันกะลังเลี่ยงเดินออกไป

“ปล่าว ไม่ได้เป็นอะไร”

“โอ้ต … อย่าทำแบบนี้ดิ มีอะไรก็ - - -” ผมยังพูดไม่ทันขาดคำ โอ้ตมันก็หันมากอด ตัวผมกะตัวโอ้ต
ก็ไม่ค่อยแตกต่างกันมากเท่าไร หน้าโอ้ตมันก็พิงที่ไหล่ได้พอดี

“โอ้ต” ผมไม่รู้จะพูดอะไร ไม่เข้าใจว่าทำไมโอ้ตถึงเป็นแบบนี้ แต่ผมรู้สึกว่าโอ้ตตอนนี้มีความทุกข์
เกินกว่าที่ผมจะรับรู้ได้

“โอ้ต … ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” ผมปลอบ แล้วก็เอื้อมมือลูบหัวโอ้ต พลางกับตบหลังเบาๆเป็นการปลอบ

โอ้ตยืนกอดผมอยู่นานพอดู แถมบางทีก็มีช่วงที่ตัวมันสั่นๆ ผมไม่อยากคิดเลยว่ามันกำลังร้องไห้
มันก็คงไม่อยากให้ผมเห็นความอ่อนแอมากนักหรอก

“ขอโทษนะ โอ้ตขอโทษนะปริ้น …” มันกระซิบแผ่วเบาข้างหูผม แล้วก็ผล่ะออกมาจับที่บ่าของผม

“ต่อไปนี้ โอ้ตจะมีปริ้นแค่คนเดียวนะ โอ้ตจะไม่คิดถึงใครอีกแล้ว ” โอ้ตมันพูดไปมือก็เกาะกุมบ่าผมไว้
แน่นเลย

งงอ่ะ โคตรงงเลย มันหมายถึงอะไรหว่า ?

“อะ อืมม ขะ ขอบใจ” ผมตอบได้แค่นั้นล่ะ

“โอ้ต ร้องไห้เหรอ” ผมอ้อมแอ้มถาม มันก็คงรู้ตัวล่ะ เพราะยังเห็นคราบน้ำตาอยู่ชัดเลย

“ฮ่ะฮ่ะ ร้องให้กับเรื่องเด็กๆน่ะ” มันยิ้มได้ซะที ผมค่อยโล่งอก

“โดนใครขมขื่นมาเหรอป่าว ถึงได้ร้องขนาดนี้เนี่ย” ผมแซว

“เดี๋ยวปั๊ดโดน พูดจา”

“โดนอาราย ”

มันไม่พูดอะไร แต่ก็เอื้อมมือมาคว้าคอผมไว้ ไม่ให้หนี แล้วก็ประกบปากจูบซะงั้น แฮะๆ ผมก็ไม่ได้ขัดขืน
ไรหรอก 55

“ไม่คิดจะขัดขืนหน่อยเหรอไงครับคุณปริ้น” โอ้ตมันถอนปากออกมาพูด

“ไม่อะ ขี้เกียจ 555” ผมหัวเราะ แต่หน้าตัวเองนี่คงแดงเถือก พูดไม่อายเลยกรุ

“นะ ไอ้นี่บ้ากามจริงๆ แล้ว - - ป่านนี้ยังไม่อาบน้ำอีก” โอ้ตมันเริ่มดุแบบเก่าอีกแล้ว เซงเรย

“โหย ก็พึงกลับง่ะ” ผมบ่นพลางค่อยๆจะถอดเสื้อออก โอ้ตมันก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม แล้วก็ลากผมเข้าไป
ในห้องน้ำอ่ะ

“เฮ้ย เข้ามาทามมาย”

“จะอาบให้ไงเล่า ” มันพูดพลางทำท่าจะถอดเสื้อผม

“ไม่ต้อง !!! อาบเองได้ โตแล้ว” ผมพูดแล้วก็รีบผลักมันให้ออกไปจากห้องน้ำโดยไว มันก็ทำขืนตัวไว้คับ

“งั้นแค่สระผมให้ก็ได้ นะ” มันพูดพร้อมทำสายตาเว้าวอน

“เออๆ ก็ด่ะ” ผมยอมแพ้คับ ไม่งั้นไม่ได้อาบแน่คืนนี้

“ถอดเสื้อออกซิ” ผมมองหน้ามันแบบ โห สั่งเลยน้า พอถอดไม่ทันไร มันก็เอามือมาลูบที่หน้าอกหน้าใจ
ผมซะอย่างงั้น

เสียวว้อยยยย

“เฮ้ย ไม่เล่น …” ผมพูดพลางเอามือปัดมือมันออก อารมณ์ไหนของมานฟร่ะ ม่ะกี้ยังเศร้าๆอยู่เลย

“เอ้า นั่งลงดิ เดี๋ยวก็เปียกหรอก แล้วทำไมไม่ถอดกางเกง เดี๋ยวก็เปียกอีก” มันว่า พลางเปิดฝักบัว

“ไม่ถอดอ่ะ เด๋วค่อยถอดตอนอาบ” ผมว่าพลางนั่งลงบนม้านั่งตัวเล็กแล้วก็ก้มหัว ให้ตายดิ เกิดมานอกจาก
พ่อแม่ผมยังไม่เคยให้ใครมาสระผมให้เลยนะ (ไปตัดผม ก็กลับมาสระเอง)

ซู่ ………

มือไอ้โอ้ตมันก็วนไปวนมาบนหัวผมคับ รู้สึกแปลกๆอ่ะ จักจี้ๆ ผมรู้แล้วอ่ะ ว่าทำไมหลายๆคนถึงชอบ
ให้แฟนสระผมกันจัง มานเป็นอะไรที่กุ๊กกิ๊กกันดี เหอๆ

ซักพัก มันก็เทแชมพูลงบนหัว แล้วก็แกล้งยีๆให้มันเละๆ

“โอ้ยยย เบาๆเด๊ ”

“555” แต่มันก็เบามือลงครับ แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นนวดแทน อ่า สบายโคดๆ ระหว่างที่กำลังเคลิ้มๆอยู่
นั้นโอ้ตมันก็จับหัวผมให้เงยหน้าขึ้น ฟองสบู่แทบจะเข้าตากันเลยทีเดียว

“มีรายยย”

โอ้ตมันก็จ้องตา ผมก็แบบโคตรแสบตาเลย แต่ก็แบบมองตอบ เด๋วมันโกรธอีกหาว่าไม่มองหน้า

“ปริ้น …”

“หือ”

“โอ้ตรักปริ้นนะ” มันว่า ทำหน้าตาจริงจัง จนผมต้องหลบตาอ่ะ ว้อยยย มาพูดไรกันตอนนี้ว้า

“อือ”

“แล้วปริ้นรู้สึกไงกับโอ้ต โอ้ตยังไม่รู้เลย โอ้ตมันถามผม พร้อมกับปาดเอาฟองแชมพูที่กำลังจะไหล
เข้าตาผมออกไป

“ก็ …. ก็”

ตอนนี้มือไอ้โอ้ตข้างนึงมันเลื่อนมาที่ติ่งหูผมอ่ะ แล้วก็คลึงๆ เหมือนมันก็ลืมตัว อ๋อยยยยย ….

“ปริ้นก็ชอบโอ้ต ”

“แค่ชอบเหรอ” มันทำหน้าเจือนเล็กน้อย

“โอ้ต ขอเวลาปริ้นอีกนิดได้ป่าว - - - ปะ ปริ้น ไม่เคยรักใครมาก่อน ”

ผมพยายามจะอธิบายความรู้สึก ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกตอนนี้กับโอ้ตมันเรียกได้ถึงขนาดว่ารักเหรอป่าว คำว่ารัก
ของแต่ละคนมันมาตรฐานไม่เหมือนกันนี่นา แล้วผมก็แน่ใจว่าที่ผมยังให้คำตอบว่ารักไม่ได้ ไม่ใช่เพราะว่า
มีไอ้น้องโค้กเข้ามาเป็นประเด็นซักนิด ความรู้สึกที่ผมมีกับโอ้ตมันมากกว่าแล้วก็ไม่เหมือนกับน้องโค้กแน่นอน

โอ้ตมันก็ยิ้มให้ผม

“ไม่เป็นไร โอ้ตจะรอนะ ตอนนี้แค่ชอบก็พอแล้ว” มันว่าแล้วก็จับหัวผมให้ก้มลงไปต่อ

“ขอโทษนะ”

“จะขอโทษโอ้ตทำไม รอให้ปริ้นรู้ใจตัวเองแน่ๆก่อน ไม่ต้องขอโทษโอ้ตหรอก” มันว่าแบบนี้ทำให้ผมรู้สึก
ผิดเลยอ่ะ

พอมันสระผมให้เสร็จ ก็เดินออกมานอกห้องน้ำ ไปหยิบผ้ามาเช็ดหัวให้

“ไม่ต้องเช็ดหรอก เด๋วก็ต้องอาบน้ำอีกอยู่ดีล่ะ”

“อาบก็อาบซิ ไปรีบเช็ดหัว เดี๋ยวก็หวัดกินพอดี ” มันว่า แล้วก็จับหัวผมมาเช็ดๆ อ่า แมร่ง อบอุ่นดีหว่ะ
โคตรรู้สึกดีเยย

“เอ้า เสร็จแล้วคับคุณชาย รีบอาบน้ำแล้วก็รีบนอนล่ะ เดี๋ยวก็ตื่นสายอีกพอดี”

“ค๊าบบบบ ”

ก่อนที่มันจะออกจากห้องไป มันก็แอบขโมยหอมแก้มผมทีนึง

“ฝันดีนะครับ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน ^^”

“ค๊าบบบบ”



2 อาทิตย์ผ่านไปไวเหมือนตอแหลคับ กิจวัตรประจำวันผมนอกจากเรียนแล้ว ตอนเย็นก็ต้องรีบแจ้นไปซ้อมลีดที่บ้านพี่ต่ายทุกวัน พอถึงเสาร์อาทิตย์ก็ไม่เว้นต้องนั่งรถมาซ้อมอีก เหนื่อยมากกกกกกก ทักษะการเต้นผมก็ดูอ่อนที่สุด แต่ทำไงได้ล่ะ รับปากเค้าไว้แล้ว ที่สำคัญผมไม่อยากให้โอ้ตมันผิดหวังในตัวผมคับ ที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ (แม้ว่ามันจะดูไม่ค่อยหวังอะไรในตัวผมก็เหอะ)

มีอยู่ช่วงนึงที่เกิดปัญหาทำให้ผมปวดหัวขึ้นมาอีก มันเป็นเรื่องของซังกะไอ้คิวนั่นเองฮะ หวังว่าคงจำไอ้สองตัวนี่ได้นะ

“ปริ้น ..!! ซังมีเรื่องอยากคุยด้วยหน่อย” มันเดินมาบอกกับผม ก็เลยพากันไปนั่งหลังสวนป่าแดง มันจะมีศาลา
เล็กๆอยู่แถวนั้น

“มีไรป่าว” ผมดูขอบตามันคล้ำเหมือนไม่ได้นอนมาทั้งคืนเลย คาดว่าปัญหามันไม่ใช่เรื่องเล็กๆแฮะ

“ปริ้น …..” น้ำเสียงมันแย่เอามากๆ จนอดหวั่นใจไม่ได้ แล้วน้ำตาหยดแรกก็ร่วงลงมากระทบกับแก้มใสๆของมัน

“เง้ย .. ซัง เป็นไร” ผมตกใจรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาซัง

ผมพึ่งเคยเห็นมันเสียใจจนร้องไห้ก็ครั้งนี้ครั้งแรกเลย ถึงแม้เราจะรู้จักกันมาไม่ถึงปีก็เหอะ ซังมันเป็นคนที่เข้มแข็งพอสมควร มันเกิดไรขึ้นวะ ?

“คิวมัน … ไอ้เหี้ยคิวมัน” คราวนี้น้ำตามานพรั่งพรูออกมาเป็นสายเลย

“คิวมันเป็นไร ? ” ผมตกใจนึกว่ามันถูกรถชนตายเหรอไงวะ โถ พึ่งเห็นกันอยู่หลัดๆ ม่ะคาบที่แล้วเอง

เอ๋ คงไม่ใช่อย่างที่คิดมั้ง”

“เราคิดว่ามัน …. เราเห็นมัน…” ซังมันละล่ำละลักไม่สมกับเป็นมันเลยตอนนี้

“มันไปมีคนอื่นเหรอ” ผมถาม

“อือ” มันเช็ดน้ำตากับแขนเสื้อ

“แล้ว … แน่ใจได้ไง เข้าใจไรผิดเหรอป่าว ”

ซังมันสั่นหน้าแทนคำตอบ

“เมื่อคืนพอซังจะปิดร้าน ก็เลยโทรไปหามันจะให้ซื้อของทำรายงาน แต่มันบอกว่ากลับเข้าบ้านแล้วขี้เกียจ ซังเลยขี่มอไซต์ไปซื้อเอง - - -”

“อืม”

“- - - แต่ซังเห็นมันไปนั่งแดกไอติมที่ร้านน้าไอ้อิม (เพื่อนที่อยู่ห้องอื่นอะฮะ) - - ”

“แล้วอยู่กับใคร ? ”

ซังมองหน้าผมด้วยแววตาที่ฉายด้วยความผิดหวังละคนคับแค้นใจ

“กัส ! ”

“ใครคือกัส” ผมถามด้วยความที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน

“กัส - - ”

“- - เป็นแฟนเก่าของไอ้คิว ซังมันตอบเสียงเบา แล้วก็ทุบกำปั่นตัวเองลงกับพื้นหินอ่อน

“ฟะ แฟนเก่า !? ”

“อือ”

ผมมองซังด้วยความสงสารจับใจ ทำไมไอ้คิวถึงทำแบบนี้นะ


* * * * * * * * * * * *

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [19-4-12] Part 3
«ตอบ #82 เมื่อ19-04-2012 20:29:22 »

“ปริ้น …..!! - - -”

โอ้ย เรียกกูอีกแล้ว

“- - - มีสมาธิเต้นหน่อย คนอื่นเค้าพร้อมกันหมดแล้ว ตัวเองยังทำไม่ได้เลยนะ เป็นอะไร !! ”

ฉอดๆๆ

“ขอโทษคับพี่” ผมบอก

“วันนี้เป็นไรพี่ ดูไม่ค่อยใส่ใจเต้นเลย” ไอ้โค้กหันมาถามผมซึ่งนั่งซ้อนมอไซต์มาส่งผมที่ป้ายรถ

“ไอ้บ้า ใครไม่ใส่ใจ … แค่มีเรื่องให้คิดตะหาก” ผมบ่น

“มีเรื่องไร บอกผมได้นา”

“เอาเหอะ ไม่ใช่เรื่องของพี่หรอก เรื่องของเพื่อนอ่ะ”

“- - - งั้นรีบกลับป่าวคับ” มันหันมาถามอีกรอบ ผมละกลับมันขี่รถชวนตายแบบนี้เจงๆ

“เฮ้ย .. ดูรถ - - เออๆ ไม่รีบอ่ะ”

“งั้นไปกินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อย” มันพูดเองเออเองเสร็จแล้วก็หันรถขี่กลับเข้าไปในเมือง


* * * * * * * * * * * *

“อ่ะ ว่ามา …..”

“ว่าอะไร ? ” ผมถาม

“ก็เรื่องเพื่อนพี่ไง ที่ไม่สบายใจอยู่อ่ะ” มันว่าพลางยิ้มหวานใส่ผม

“อะไรวะ ไม่ได้บอกซะหน่อยว่าจะเล่าให้ฟัง”

“มีเรื่องเก็บไว้มันไม่ดีหรอกพี่ เรื่องรักๆใคร่ๆแบบนี้อ่ะ ผมถนัด หุหุ”

“แล้วเมิงรู้ได้ไง ว่าเรื่องรักๆใคร่ๆ ? ”

“โหพี่ วัยรุ่นจามีเรื่องไรให้กลุ้มใจอีกเล่า” มันเอาสีข้างเข้าถู

“เออ … ไอ้แก่ เก่งนักทำไมเรื่องตัวเองยังเอาตัวม่ะรอดวะ” ผมกัดมัน

“โด่ ผมเนี่ยนะเอาตัวไม่รอด”

“อ้าว ก็เรื่องไอ้ก้ง ไอ้กั๊กนั่นไง ถ้าเก่งจริงทำไมยังทำงอลกันอยู่อ่ะ” เหอๆ กัดได้สะจายผมมาก

โค้กมันหุบยิ้มทันที กระแทกช้อนกะส้อมกินเอาๆไม่พูดกับผมอีกเลย = =’’

“ผมไม่ได้งอนนะพี่ มันกร”ะแทกจาน แล้วก็พูดเสียงดุกับผม

“ทำไมผมต้องงอนมันด้วย ผมไม่ได้คิดอะไรกับมันนะ”

มันพูดเสร็จแล้วก็สะบัดตูดขึ้นมอไซต์บิดออกไปเลย โดยทิ้งผมไว้ทีร้านอ่ะหล่ะ


ติ้ด ติ้ด ติ้ดดดดดดด

ว้อยยย ไอ้ซังไม่รับโทรสับคับ แล้วทีนี้ผมจะไปขึ้นรถได้ไงเนี่ย ขี้เกียจเดินด้วย มืดแล้ว แต่ในที่สุด ผมก็ต้องค่อยๆเดินไปเรื่อยๆด้วยตัวเองคับ น่าเศร้าอย่างแรง เดินเรื่อยมาจนถึงวัดมหาธาตุ (เลี้ยวตรงนี้แล้วเดินไปอีกพักนึงก็ถึงที่ขึ้นรถแระ)

“เฮ้ย เด็กเทป มาเดินไรอยู่คนเดียว” เสียงแบบนี้ แล้วเรียกผมแบบนี้ไม่มีใครอื่นนอกจากไอ้เหี้ยคิว ขี่มอไซต์ของมันผ่านหน้ามาพอดี

“จะไปขึ้นรถกลับบ้าน ! ” รู้สึกว่าพูดเสียงแข็งไปหน่อย

“ขึ้นมาดิ เด๋วไปส่ง ”

“เดินอีกหน่อยก็ถึงแล้ว ม่ะต้องหรอก” ผมว่าพลางในใจก็โกรธแทนไอ้ซัง ระหว่างไอ้คิวกะซังผมเลือกยืนข้างซังมันเต็มตัวอ่ะ

“เป็นไรเมิงเนี่ย มันพูดเสียงไม่พอใจ ” กูบอกให้ขึ้นงาย ทำไมชอบขัดใจกูจัง

“กูว่ามึงอ่ะ ไม่เอาใจแฟนมึงดีกว่าไอ้คิว” ผมพูดเผื่อว่ามันจะไปจี้โดนใจดำมันบ้าง

“อาไรเมิงเนี่ย พูดไรกูไม่เข้าใจ” แน่ะมันยังด้าน

“เออ ช่างมึงเหอะ กูกลับบ้านดีกว่า เสียเวลา” ผมบอกแล้วก็ผลักมันให้หลีกทาง

“เฮ้ย ก็กูบอกว่าเด๋วไปส่ง ” คราวนี้มันลากผมให้ขึ้นไปนั่งที่อานด้านหลัง ผมทำเสียงไม่พอใจนิดๆ แต่กลัวมันต่อยเอามากกว่าเลยเฉยไว้ เพราะไอ้นี่ขนาดคนรักมันยังทำได้ แล้วผมเป็นใครจะไม่โดน

“ขอบใจ” ผมพูดเมื่อมันมาส่งถึงที่แล้ว

“เออ ปริ้น กูมีเรื่องให้เมิงช่วยหน่อยอ่ะ”

“เรื่องไร”

“เมิงรู้ป่าวว่าไอ้ซังมันเป็นอะไร วันนี้มันไม่ยอมคุยกะกูเลยอ่ะ”

“กูจะรู้มั้ยล่ะ ไม่ใช่แฟนกูซะหน่อย” ผมพูดน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ

“มึงพูดแบบนี้แสดงว่ามึงรู้แน่ๆเลย มึงบอกมาไอ้ซังมันโกรธไร ” มันพูดไปมือมันก็เอามาจับตัวผมไว้

“ถ้ามึงอยากรู้ ก็ไปถามแฟนมึงเอง” ผมพูดเน้นเสียง

“ไอ้ปริ้นนนน !! ” คิวมันกระชากคอเสื้อผมอย่างแรงจนหน้าผมไปประจันกับหน้ามัน ผมก็เดือดพอๆกะมันล่ะ
จ้องหน้ามันเขม็ง

คนแถวนั้นเลยมองแปลกๆแล้ว คงคิดว่ากะลังจะมีคนต่อยกันแน่ๆ

“กัส … คือใคร” ผมถามมันทั้งที่มันยังจับคอเสื้อผมอยู่แบบนั้นล่ะ แล้วก็ดูเหมือนได้ผลครับ ไอ้คิวหน้าเปลี่ยนสีไปเลย จนมือมันดูเหมือนคลาย ผมก็เลยสลัดจนหลุด

“มึงอย่าคิดว่าไอ้ซังมันโง่นะ …”

ผมไม่รู้หรอกนะว่า เสียงที่พูดไปมันเข้าหูไอ้คิวไปบ้างเหรอป่าว แต่ถึงเวลาที่ผมจะกลับบ้านได้ซะที


ติ้ด ติ้ด ติ้ดดดดดดด


“ว่าไง” ผมรับโทรสับโดยที่ไม่ทันได้มองว่าใครโทรมา

“กลับบ้านช้า…”

“อ่า โอ้ต … คือ - - -” ผมกำลังจะแก้ตัว ถ้าโอ้ตมันจะมาด่าผมอีกคนคงทนไม่ไหวแน่ๆ

“รีบกลับนะครับ รอกินข้าวอยู่นะ เดี๋ยวข้าวเย็นหมด” เสียงโอ้ตแว่วมาตามสาย แต่มันก็เพียงพอทำให้รู้สึก
ชุ่มชื่นหัวใจมากที่สุดตลอดวัน

“โอ้ต …”

“ทำเสียงแบบนี้ - - กลับมาแล้วค่อยคุยกันนะปริ้น” โอ้ตมันพูดแบบใจเย็นมากจนให้ผมรู้สึกใจสงบลงได้บ้าง

“คับ”

“เป็นห่วงนะ ”

“คับ พี่- - โอ้ต”

ผมวางสายเสร็จ ก็ผล่อยหลับไป ทั้งเหนื่อย ทั้งกลุ้มเรื่องซัง ทั้งโกรธไอ้คิว

ติ้ด ติ้ด ติ้ดดดดดดด

“คับ ว่าไงโอ้ต ”

“ผมโค้กคับ ม่ะใช่โอ้ต”

ผมสะดุ้งหายจากงัวเงียทันที มันรู้เบอร์โทรสับผมได้ไงวะ

“เอาเบอร์มาจากไหนเนี่ย”

“ขอจากพี่ท็อปดิ - - วะ ว่าแต่พี่ตอนนี้อยู่ไหนเนี่ย”

“อยู่บนรถ”

“อ้าว แล้วทำไมไม่รอผมก่อนอ่ะ” มันพูดเสียงขุ่น ดูมันพูดเข้าไอ้เวน

“เออ พูดดีนี่หว่า แล้วใครมันงอนสะบัดตูดขี่มอไซต์ทิ้งกูไปล่ะวะเนี่ย”

“โห ผมป่าวงอนนะพี่ แค่ไปซื้อของหน่อยเดียวเอง” มันแก้ตัว แต่มันงอนชัวว์ๆ

“เออ ก็กลับแล้วล่ะ ไม่ต้องห่วง”

“คับ งั้นก็สบายใจหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าผมทิ้ง หุหุ”

“ก็ทิ้งจริงๆนี่หว่า ไอ้บ้า”

“โห ว่าอีกแระ ”

“เออ ก็ว่าอะดิ ผมปริ้นนะคับ ไม่ใช่กั๊ก” ว่ะฮ่ะฮ่าๆๆ สะจายอีกแล้วคับผมที่ได้แกล้งน้องนุ่ง

“แค่นี้นะ ”

แล้วมันก็ตัดสายผมไปทันที ไอ้นี่มานงอนน่ารักเจงๆ เหอๆ

“ตกลง ไอ้เหี้ยคิวมันเป็นเกย์เหรอเป็นไรกันแน่วะ” ผมพูด ทำหน้านิ่วกับซัง ซึ่งหน้ามันก็ใช่ว่าจะดีกว่าผมเท่าไร ผมไม่รู้ว่าเมื่อคืนมันคุยอะไรกันบ้างเหรอป่าว หลังจากที่ผมดันไปบอกเรื่องที่ซังเห็นไอ้คิวไปกะคนที่ชื่อกัสอะไรนั่น

กัส เป็นเด็กเก่าของไอ้คิวมันคับ เรียนอยู่อาชีวะ แถมที่ผมงงก็คือ กัสเป็นผู้หญิงแท้ๆด้วย (ม่ะใช่กระเทียม) ซังมันเลยเครียดกว่าเก่าคับ เพราะไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่ไอ้คิวมันคบกะซังนี่ มันมีผลประโยชน์อะไรมาเกี่ยวข้องเหรอป่าว

“เฮ้ย ไม่หรอกซัง อย่าคิดมากดิ” ผมพยายามปลอบ

“ถ้ามันหวังจาหลอกใช้ซัง มันคงไม่เอาตัวเข้าแลก ยอมเป็น - - อะ เออ นั่นแหละ(เมีย) ซังหรอก” ผมพูดแบบเขินๆนิดหน่อย ปกติไม่เคยคุยไอ้เรื่องพวกนี้กะไอ้ซังมันหรอกครับ เหอๆ

“ตอนที่เรากับมันตกลงว่าจะคบกันเป็น - - แฟน มันสัญญากับเราว่า มันจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวอะไรกะเด็กเก่าอีก” ซังพูดให้ผมฟังเสียงสั่นๆ โคตรน่าสงสารเลยอ่ะ

“มันบอกว่า มะ มันรู้ตัวว่ามันเป็นเกย์ - - - แล้วมันก็ไม่อยากหลอกผู้หญิงไปวันๆ”

“เออ … มันอาจจะแค่ไปกินไอติมกันเฉยๆเหรอป่าว มันอาจจะเป็นเพื่อนกันเฉยๆล่ะม๊าง”

ซังสั่นหน้าเหมือนจะไล่ความเห็นของผมออกไปให้พ้นๆ

“ถ้ามันแค่กินกันเฉยๆ มันจะโกหกทำไมกันอ่ะ” สายตามันเปลี่ยนไปเป็นความโกรธเกรี้ยวแทน

“ปริ้นก็ไม่รู้เหมือนกันแหละ ธ่อ อย่ามะโหดิ” ผมชักฉุน

“เอาน่า อย่าพึ่งคิดไรมากเลย มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่ซังคิดก็ได้ ว่าแต่เมื่อคืนไอ้คิวมันโทรไปหาป่าว” ผมซักต่อ

“ไม่รู้ ดึงสายโทรศัพท์ที่บ้านออก” มันว่า นั่นดิ กรูโทรไปแมร่งม่ะมีติด -*-

“อ้าว แล้วงี้ก็ไม่ได้คุยอะไรกันเลยอ่ะดิ”

“เออ”

“แล้วจะรู้เรื่องกันมั้ยล่ะเนี่ย ”

“ถ้ามันไม่มีอะไรจริงๆ มันก็ต้องกล้ามาคุยกะซังซิ ไม่ใช่เงียบไปแบบนี้ ” มันพูดแบบยังไม่หายโกรธ โถ พิษรักแรงหึงทำให้เพื่อนกรูกลายเป็นคนไม่มีเหตุผลไปได้ไงฟร่ะเนี่ย

แล้วก็จริงๆครับ คาบเช้าทั้ง 4 คาบ ไม่เห็นหัวไอ้คิวมาเข้าเรียนเลย ซังมันก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น แต่มันก็ทำเหมือนว่าตั้งใจเรียนปกติ แต่พวกเพื่อนๆอย่างผมอะรู้สึกได้ บางคนมันก็มาซักผมว่า ซังมันเป็นอะไร ผมก็ไม่ต้องบอกว่า ไม่รู้ไปตามระเบียบ (จะบอกความจริงก็กระไรอยู่เจงป่ะ)

ตกบ่าย พี่ท็อปเดินตระเวนเอาเนื้อเพลงชุดใหญ่มาให้ผมท่องให้ได้ พร้อมกับโค๊ดอีกบานตะไท

“ไมมันเยอะแบบนี้อ่ะพี่ท็อป ”

“เอาน่า เดี๋ยวก็จำได้เองแหละ แล้วเย็นนี้ไปเร็วๆหน่อยนะ ใกล้กีฬาสีแล้ว” พี่ท็อปพูดแล้วก็ตบหัวผมทีนึงเป็นการหยอกเอิน อีกไม่ถึงเดือน จะถึงวันกีฬาสีแล้วคับ เฮ้อ ผมยังทำได้ไม่ถึงไหนเลย

“ไอ้ปริ้น” เสียงที่แสนคุ้นดังมาจากข้างหลัง

“อ้าว … มาโรงเรียนแล้วไมไม่เข้าเรียนอ่ะมึง …. เหรอว่าไม่กล้าสู้หน้าไอ้ซัง ” ผมแขวะมันทีนึง

ดูมันทำหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที

“ปริ้น เมิงจะพูดอะไร จะว่าอะไร กรุอยากให้เมิงรู้ที่มาที่ไปก่อนแล้วเมิงค่อยพูดนะ ไม่ใช่จะมาว่าแต่กรุ ” มันพูดพร้อมกับผลักอกผมเบาๆ ให้เดินเข้าไปในห้องเรียนที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลย

“อะไรมึงเนี่ย จะหาเรื่องกูเหรอ” ผมว่าพลางขืนตัว

“กรุอยากให้เมิงช่วย ”

“มึงสร้างปัญหาเอง แล้วมึงจะมาให้คนอื่นเค้าช่วยมึงเนี่ยนะ ! ” ผมแหวใส่มัน แล้วก็เดินหลีกไปอีกทาง

“เด๋ว ….” มือมันเร็วพอที่จะคว้าแขนผมทัน

“กรุกะกัส ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วจริงๆ” มันตะโกนใส่

“แล้วทำไมมึงไม่ไปคุยกะซังมันเองเล่า มาบอกกูแล้วกูจะช่วยอะไรมึงได้” ผมบอกอย่างหมดปัญญา อีกใจนึงก็ไม่ได้อยากเชื่ออะไรมันเท่าไรหรอก

“เมิงไม่เห็นเหรอ ไอ้ซังมันเอาแต่หลบหน้ากรุอ่ะ พอโทรไปที่บ้าน มันก็ไม่รับโทรศัพท์ จะให้คุยกะมันได้ไง” คิวมันพูดด้วยน้ำเสียงท้อแท้ แล้วก็ทรุดลงไปนอนแอ้งแม้งเอามือก่ายหน้าผาก

“ที่กรุอยากให้เมิงช่วย - - - เพราะว่าเมิงเป็นเพื่อนกรุ กรุไม่เคยคิดว่าเมิงเป็นคนอื่น ไอ้ปริ้น” มันพูดทั้งๆที่ยังเอามือปิดตาอยู่แบบนั้น

อือ ใช่ ผมก็ฟังซังมันข้างเดียว มองอยู่ด้านเดียวกับที่ซังมันมอง ผมน่าจะฟังไอ้คิวมันบ้าง อย่างน้อย มันก็เป็นเพื่อนผมคนนึงนี่นา

ถ้าเพื่อนไม่ช่วยเพื่อน แล้วจะไปช่วยหมาที่ไหนล่ะวะ ?

ผมเอื้อมมือไปจับมือที่ก่ายหน้าผากมันออก แล้วก็ฉุดตัวมันขึ้นมา(ด้วยความยากลำบาก)

“มึงจะให้กูช่วยไร ? ” ผมมองหน้ามันที่อย่างน้อย ตอนนี้ก็ได้เห็นรอยยิ้มของมันเปื้อนหน้าอีกครั้ง

* * * * * * * * * * * *

“ซัง ไปดูหนังกันป่ะ ? ” ผมเดินหน้าแป้นแล้นเข้าไปทักไอ้ซังที่ยังไม่ยอมเลิกทำหน้าเครียดอยู่ในห้องเรียน

มันหันมามองแบบเหม่อลอยชั่วขณะจิตแล้วก็ลงไปฟุบต่อ

“เฮ้ย ไปดูจะได้หายเครียดนะ นะ” ผมพยายามคะยั้นคะยอมันสุดริด

“ดูที่หนายอ่ะ เพชรฯรามาเนี่ยเหรอ ? ” ดูมันเซื่องซึมจริงๆเพื่อนกรุ

“ม่ะช่าย เมิงจะไปดูหนังโป๊เหรอไง ไปดูกรุงเทพดิ ” ผมว่า

“จะบ้าเหรอไง ไปดูหนังเรื่องเดียวต้องไปดูกรุงเทพ ไอ้ปริ้น ”

“เออ …” ผมพยายามคิดคำตอแหล มันก็จริง จะไปดูหนังเรื่องเดียว แต่ต้องถ่อไปกรุงเทพ มันก็กระไรอยู่ แต่อย่างว่าครับ สมัยผมเรียนอยู่ที่เพชรบุรีเนี่ย มันไม่มีโรงหนังแบบ อีจีวี เมเจอร์อะไรเทือกนี้ซะหน่อย กว่าโรงแบบนี้มันจะเปิด ก็ตอนผมจบมัธยมกันแระ

“เออ … จริงๆ โอ้ต เอ้ย พี่โอ้ตอ่ะ ชวนไปดูพวกของจะทำแสตนด์เชียร์ด้วยไง แต่มัน เอ้ย พี่เค้าไม่รู้ว่าจาไปซื้อ
แถวไหนดี ก็เลยชวนปริ้นไปด้วยอ่ะ ก็เลยว่าจะไปหาหนังดูด้วยเลยไง”

ผมพูดแบบเนียนๆ แล้วก็ลุ้นว่าซังมันจะตอบตกลงเหรอป่าว ก่อนมันจะพูดอะไร ผมก็เอามือไปตบบ่ามันทีนึง

“ไปเหอะ .. เผื่อมันจะทำให้สบายใจได้บ้าง ”

“อือ ก็ด่ะ ไปวันไหนอ่ะ เสาร์นี้เหรอ ? ”

“ใช่แล้น …”

“แล้วไม่ต้องซ้อมลีดหรอ จะแข่งแล้วนี่” มันยังซักไม่เลิก เด๋วแมร่งไปต้องไปเลยดีม่ะ =*=

“เออ บอกพี่ท็อปแล้วล่ะ” ผมว่า พลางคิดไปว่า นี่กูต้องตามเคลียทุกเรื่องที่แหลออกไปอย่างยากลำบากแน่เรย ไอ้คิวเอ้ย เมิงเนี่ยทำกูเดือดร้อน

วันนี้เป็นวันพฤหัสฯ วันรุ่งขึ้นไอ้คิวก็ยังหายตัวไปอย่างลึกลับ แต่ก็มีผมนี่แหละที่รู้ว่ามันยังไม่อยากเจอหน้าซัง ส่วนซังไม่ต้องพูดถึงคับ ห่อเหี่ยวมากกว่าเดิม แถมคาดการณ์ไปต่างๆนาๆ ว่าไอ้คิวมันต้องทิ้งมันไปหาอีกัส อะไรนั่นแน่นอน ผมก็พยายามทำเออออปลอบมันไป แถมผมยังถามมันเลยว่า ทำไมไม่คุยกะไอ้คิวให้รู้เรื่องไปเลย (จะได้ไม่ต้องมาเดือดร้อนกูด้วย) มันก็ยังหยิ่งคับ ทิฐิมาก ไอ้เชี่ยเนี่ย

ตกเย็นวันนี้ไม่ต้องไปซ้อมลีดที่บ้านพี่ต่าย แต่เค้าให้ลองมาซ้อมตรงหลังโรงเรียนที่เป็นตีนเขาแทน ก็มีพวกพี่ท็อปมาดูเหมือนเดิม

“พี่ท็อป” ผมเดินปาดเหงื่อเข้าไปหาพี่ท็อปที่กะลังง่วนอยู่

“พรุ่งนี้ผมไม่ไปซ้อมนะคับ ติดธุระอ่ะ ”

ไอ้พี่ท็อปหันพลวดมาหาผมเลย ทำหน้างอแบบไม่มีเหตุผล

“ธุระอาไร !! ”

“คือ .. ไปธุระกะพี่โอ้ตอ่ะพี่”

“เห้ย ได้ไง ช่วงนี้มันก็น่าจะรู้อยู่ว่าต้องซ้อม ธุระห่าอาไรว้า” พี่มันพูดแบบหงุดหงิด พอดีกับไอ้โอ้ตดันเดินมาดูซ้อมพอดีอีก

โผล่หัวออกมาทำมายยย !!!!

“ไอ้โอ้ต พรุ่งนี้มีธุระห่าไรวะ น้องเค้าเลยไม่ต้องซ้อมกันพอดี ” ไอ้พี่ท็อปเดินเข้าไปหาเรื่องโอ้ตเลยอ่ะ ซวยแระ

“ธุระอะไร ? ” โอ้ตทำหน้างงแดก

“อ้าว ก็ปริ้นบอกกูว่า ต้องไปทำธุระกะมึงพรุ่งนี้เลยมาซ้อมไม่ได้ไง ”

ได้ยินเท่านั้นแหละ โอ้ตมันมองข้ามไหล่มาซบตากะผมทันที แว่บแรกแววตาของมานพูดทำนองว่า

- หมายความว่ายังไงฟร่ะ –

ผมกะลังจะส่งเซ็กส์ เอ้ย ซิกส์ทางสายตาให้โอ้ตมันแต่ไอ้พี่ท็อปดันเสือกหันมาทางผมก่อน

“อ้าว ยังไงปริ้น ทำไมโอ้ตมันไม่รู้เรื่องอ่ะ ”

ผมทำหน้าเลิ่กลั่ก ทำไงได้ล่ะโดนต้อนจนมุมซะขนาดนี้

“เฮ้ย ท็อป …” เสียงโอ้ตดังขึ้นมา

เหง่ง หง่าง เหง่ง หง่าง ------------------------ เสียงประหนึ่งระฆังสวรรค์มาช่วยกูแว้ว

“พรุ่งนี้ที่บ้านกูเค้าจะไปทำบุญกัน ไปกันทั้งบ้านแหละ กูไม่ได้บอกมึง เพราะคิดว่า ไงก็คงกลับมาทัน”

โอ้ตแก้ตัวให้ผม รู้สึกผิดอย่างแรงคับ ที่เอาชื่อมันมาอ้างแบบนี้ ฮึ่มๆ

“อืมม … งั้น ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบกลับก็ได้ กูนึกว่าปริ้นมันจะขี้เกียจมาซ้อม ”

ซะงั้นอ่ะ ไอ้พี่ท็อป

พอเคลียอะไรกันเสร็จปุ๊บ โอ้ตมันก็ลากผมเดินแน่วๆ มายืนรอรถกลับบ้าน

“……………” เงียบ


“…………….” เงียบ


“เอ้า ไม่พูดอะไรเลยเหรอไง” เสียงโอ้ตพูดขึ้นมาก่อน แต่มันก็ไม่มองหน้าผมหรอก

“เออ .. ขอโทษนะ” ผมก็งุบงิบๆพูดไปตามเรื่องอ่ะ เหอๆ

“อยากรู้เหตุผลมากกว่า ไปโกหกท็อปมันทำไม”

“เหอๆ ก็ - - ก็ นิดหน่อยอะแหละ แต่ก็กะว่าจะบอกโอ้ตอยู่แล้ววว”

“แน่ใจ๋ ….” ทำไมโอ้ตไม่รู้สึกแบบนั้นเลยล่ะ มันพูดแบบรู้ทัน แหม เกลียดคนรู้ทันเจงๆ

“ก็คือ เจงๆแล้วมัน ……………………… บลาๆๆๆ”

ผมเล่าจนน้ำท่วมทุ่งจนพอเล่าจบก็จับรถกลับบ้านได้พอดี

“โอ้ตว่า บางเรื่อง ก็น่าจะให้พวกมันแก้ปัญหากันเองไม่ดีกว่าเหรอ” โอ้ตบอก

“ก็มันขอให้ช่วยนี่หว่า จะให้ไม่ช่วยมันก็ใจดำไปหน่อยมั้ง” ผมบอกเคืองๆ

“แล้วถ้าไอ้คิวกะน้องคนนั้นเค้ากลับไปคบกันอีกจริงๆ ซังมันจะทำยังไง ปริ้นเชื่อที่มันพูดจริงๆเหรอ”

ผมนั่งก้มหน้า มันก็ถูกของโอ้ตมัน ถ้ามันเป็นอย่างที่โอ้ตบอก ผมจะกลายเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ที่เหมือนยื่นดาบมาแทงเพื่อนตัวเองเลย

“ตะ - - แต่ปริ้นเชื่อใจเพื่อนอ่ะ”

โอ้ตมันได้แต่นั่งถอนหายใจ แต่มันก็เอามือมาลูบหัวผมนะ แล้วก็เลื่อนลงมากุมมือไว้

“ทำในขอบเขตที่ปริ้นคิดว่าควรทำก็แล้วกัน ยังไงก็เป็นเรื่องของเค้าสองคนนะ”

“อือ” ผมพยักหน้ากลับ

“แล้ว …”

“แล้ว ….. ไร ” ผมหันไปมองหน้ามัน

“เรื่องของเรา ว่าไง” มันพูดแบบเขินๆแต่สายตามันก็จ้องมาไม่หลบเหมือนทุกที

“อะไร ยังไงล่ะ ”

“ก็โอ้ตไม่เห็นรู้สึกเหมือนกับว่าตอนนี้เราเป็นแฟนกันเลยง่ะ” มันพูดแล้วก็ขยับเข้ามาเบียดผมมากขึ้น

“นะ นี่มันในรถนะ” ผมกระซิบบอกมัน แล้วหาทางกระเถิบหนี (แต่มันไม่มีที่ให้ถอยแล้ว)

“ก็ดีดิ คนเยอะแยะ” มันว่าแล้วก็มาคลอเคลียอยู่ใกล้ๆหูผม

“ไอ้บ้า …อย่ามาโรคจิตน่า” ผมพูดไป มือก็พยายามดันให้ตัวมันออก

“โรคจิตไรเล่า ไม่มีคนเห็นหรอก นั่งอยู่ท้ายสุดแบบนี้ พูดเสร็จ มานก็มางับเข้าที่หูผม

แย๊กกกก ลมหายใจของมันเป่ามาจนอะไรต่ออะไรกระเจิดกระเจิง มือมันก็เอื้อมลงมาป้วนเปี้ยนแถบเป้ากางเกงผมอ่ะ โหยยยย ไอ้โรคเจตตตตต

“อ่ะ โอ้ตตต อย่าเล่น ”

“ก็ทำโทดไง เอาชื่อไปอ้างดีนัก” ว่าแล้วมันก็รูดซิบกางเกงผมลงดัง ปรี้ดด เลยคับ จนผมสะดุ้งอ่ะ กลัวมีคนได้ยิน (จริงๆคือกัวมันหนีบเจี้ยว)

“ไอ้โอ้ต” ผมเริ่มขึ้นเสียว เอ้ยเสียง แต่ไอ้น้องชายผมนี่ดิ ไม่รักดียืนตัวตรงจ้องเขม็งท้าทายไอ้โอ้ตอยู่นั่นอ่ะ

โอ้ตมันก็ยิ้มๆ แต่ผมโคตรอายเลย

และแล้ว ไอ้โอ้ตมันทำสิ่งที่ผมไม่ได้คาดคิด ก้มลงไปจัดการลงโทษไอ้น้องชายไม่รักดีซะมิดด้าม

“อ่ะ ………” ก้นผมมันกระดกขึ้นมาโดยอัตโนมัติ รู้สึกว่ามันอมไปแต่ไม่ได้รูดขึ้นรูดลงอ่ะ แต่มันใช้ลิ้นตวัดไปมาข้างใน

“อ่ะ โอ้ตตตตต อย่าทำงี้ดิ” ผมเรียกมันเสียงกระเส่า พยายามจะยกหัวมันขึ้นมา แต่แมร่งม่ะมีแรง

“พอๆ ไม่ไหวแล้ว” ผมทุบเบาๆที่หลังไอ้โอ้ตเป็นเชิงเตือนสติ เหมือนได้ผล มันเงยหน้าขึ้นมายิ้มเล็กยิ้มน้อย ปากมันแผล่บเชียว

“เสียวป่าว ”

ไม่รอให้ผมพูดจบ มันก็ยื่นหน้ามาบดปากกะผมทั้งยั่งงั้นเลยอ่ะ กลิ่นครวยผมมันก็ติดปากมันมาด้วยอะดิ แมร่งเหมือนอมครวยตัวเอง แต่ก็ได้อารมณ์แปลกดีคับ แฮะๆ

พี่น้องคับ อย่าหาว่าเอาเรื่องบัดสีมาเล่าให้ฟังเลยนะ แต่โอ้ตมันเล่นกับผมซะขนาดนี้ ครายมานจะอดใจอยู่ อีกทั้งก็ไม่มีคนเห็นด้วย คงไม่เป็นไรมั้ง เหอๆ

พอโอ้ตมันบดปากผมเสร็จ แล้วผมเริ่มม่ะขืนมันแล้ว มันก็เลยก้มตัวไปจัดการต่อเพราะมันใกล้ถึงบ้านแล้วคับ
โอ้ตมันก็จับชักจนหนำใจ.. คราวนี้ผมมีซีส.. เบาๆ ก็มันเสียวนี่หว่า

เสียงชักของไอ้โอ้ตมันก็คงมีดังขึ้นมาบ้างล่ะคับ โชคดีที่พอดีกะพี่คนขับเปิดเพลงเลยพอจะกลบๆเสียงกิจกามหลังรถได้หน่อยนึง แต่สายตาผมก็ดูอยู่ตลอดอ่ะ เสียว เหอๆ สุดท้ายผมรู้สึกตัวเองเกร็งมากกว่าปกติ มือเผลอไปจิกที่หลังโอ้ตมันโดยอัตโนมัติ

“อ๊าสสสส์ ….” (เสียงดังจนคนแถวที่ใกล้ที่สุดหันมาคับ แล้วก็หันกลับไป) ม่ะต้องบอกก็รู้ว่า ไอ้โอ้ตจัดการน้ำของผมหมดเกลี้ยงเลย

โอ้ตยกหัวขึ้นมานั่งตามปกติ ผมก็แซวว่า สงสัยวันนี้ไม่ต้องกินข้าวเย็นแล้วม๊าง มันก็ยิ้มๆคับ

“จะให้ช่วยบ้างป่าว” ผมว่าพลางเอื้อมไปลูบๆไอ้ตัวน้อยของมัน พองเชียว

“ไม่เป็นไร จะถึงอยู่แล้ว”มันว่า แล้วก็เปลี่ยนมาจับมือผมไปกุมแทน

“ไว้หลังกีฬาสีก่อน”

“ทำไมอ่ะ”

มันหันมาพูดแบบมีเลศนัย

“ก็เดี๋ยวเจ็บก้นขึ้นมา ไม่มีแรงเต้นอีก แพ้พอดี” โอ้ตพูดแล้วก็ขำอะไรของมันไม่รู้

“ไอ้บ้า ไอ้ลามก ไอ้ … ”

“ไอ้ราย”

ผมก็เอื้อมมือไปปาดน้ำที่มันกระเด็นติดอยู่ที่แก้มไอ้โอ้ตออก

“โห กินไรเลอะเทอะ ทีหลังกินไรแล้วเช็ดปากให้ดีรู้ม้ายยยย” ผมพูดแล้วก็หยิกแก้มมันทีนึง

ส่วนจะเป็นน้ำอะไรที่ติดแก้มมันเหรอ ไม่น่าถาม หุหุ

---------------------------------TBC-----------------------------------------

ออฟไลน์ CarToonMiZa

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +820/-41
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [19-4-12] Part 3
«ตอบ #83 เมื่อ20-04-2012 13:15:09 »

 :กอด1: :L1:

ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [19-4-12] Part 3
«ตอบ #84 เมื่อ20-04-2012 22:02:40 »

นิยายเรื่องแรกๆทีอ่านเลยนะเเนี่ย จะรอตามอ่านภาคหลังๆครับ พลาดไปหลาย ขอบคุณมาก

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [21-4-12] Part 3
«ตอบ #85 เมื่อ21-04-2012 14:08:04 »

สายๆของวันเสาร์ผมก็มาเจอกะไอ้ซังที่ท่ารถครับ ซังมันไม่เท่าไรหรอกบ้านอยู่แค่นี้ แต่ผมนี่ดิล่อมาจากชะอำ เลยต้องตื่นเช้าทั้งๆที่ไม่ได้ไปโรงเรียนอ่ะ เซงมาก

“อ้าว แล้วพี่โอ้ตล่ะ” ซังมันพยายามเหลียวมองหาโอ้ต (มันจะมาได้ยังไงล่ะ ก็กูตอแหลนี่หว่า)

“พี่โอ้ตแมร่งท้องเสียอ่ะ มะคืนแดกอะไรไปไม่รู้ เลยมาไม่ได้” ผมบอกไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็เดินไปจองตั๋วรถ

“อ้าว งั้นจะไปซื้อของยังไงล่ะ ไม่ต้องไปก็ได้มั้ง” ซังมันบ่น เพราะดูท่าทางมันก็ไม่ค่อยอยากไปเท่าไร แล้วดูท่ามันก็ยังไม่หายเซ็งด้วย

“ไม่ได้ !! - - ปริ้นอยากดูหนังอ่ะ ไปเหอะๆ - - - เออ กรุงเทพ 2 ใบคับ” ผมรีบพูดแล้วก็รีบจองตั๋วเลย แล้วก็เดินนำซังมันขึ้นรถ ซังมันบอกว่ามันไม่เคยไปกรุงเทพแบบคนเดียวแล้วนั่งรถทัวว์ไปแบบนี้ เคยแต่ไปกะที่บ้าน

“บ้านนอกจังวุ้ย” ผมแซว

“ทำไมล่ะ เดี๋ยวไม่ไปเป็นเพื่อนซะเลย โห่” มันพูดอย่างอารมณ์เสีย

เราก็ขึ้นไปนั่งรอบนรถรอให้ออก ซักประมาณอีก 5 นาทีจะออกได้มั้ง ผมก็เห็นไอ้เหี้ยคิวมันเดินขึ้นมา แต่ไอ้ซังมันยังไม่สังเกตเห็นคับ เพราะว่ามันนั่งด้านหน้าต่าง แล้วก็หันหน้าออกไปด้วย นี่ขนาดผมรู้ว่าไอ้คิวมันจะต้องขึ้นมาเจอตามแผนที่มันบอกให้ผมช่วยแล้วนะ ยังรู้สึกอดตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้เลย กลัวไอ้ซังมันวีนขึ้นมา หรือจับได้ว่าผมร่วมมือกะไอ้คิว ซวยแน่ผม

คิวมันมากับเพื่อนที่ผมไม่รู้จักอีกประมาณ 3 คน คิดว่าคงเป็นเพื่อนโรงเรียนอื่นของมันนั่นแหละ ที่นั่งไอ้คิวมันอยู่ข้างหลังคับ มันก็ต้องเดินผ่านที่นั่งของพวกผมไป คราวนี้ไอ้ซังดันหันมาจะคุยกับผมพอดี ปากมันอ้าค้างแบบไม่รู้จะพูดอะไรคับ เมื่อเห็นไอ้คิวค่อยๆเดินมา แล้วก็เดินผ่านไปนั่งที่มันด้านหลัง ตอนเดินมาถึงนี่แบบว่ามีการเหลือบมามองตาซังมันอีกนะคับ เหอๆ กูกัวจัง

“ทำไมไอ้เหี้ยคิวมันถึงมาขึ้นกรุงเทพวันนี้ด้วยวะ” ซังมันมองหน้าผมเหมือนจะจับผิด เสียงมันดูข่มความโกรธไว้อย่างแรง

“ปริ้นจะรู้ม่ะเนี่ย มากะใครก็ไม่รู้ ” ผมอ้อมแอ้มตอบ รถก็ออกพอดีครับ เลยโล่งจังว่ายังไงซังมันคงไม่ทำตัวเป็นนางเอกเดินลงรถหรอกนะ ไม่งั้นผมตบหัวทิ่มแน่ รำคาญ !!

รถออกไปได้ซักพัก ซังมันก็นั่งเงียบหันหน้าออกทางหน้าต่างท่าเดียว ผมก็ไม่รู้จะชวนมันคุยอะไร อึดอัดหว่ะ ส่วนพวกไอ้คิวมันก็คุยกันโฉงเฉงดังสนั่นตามสไตย์ความเถื่อนของมันอ่ะ ผมยิ่งอึดอัดหนักเข้าไปใหญ่


“มึงจะให้กูช่วยไร ? ”

“เมิงชวนซังมันไปกรุงเทพหน่อย” คิวบอกหน้าตาเฉย

“ไอ้บ้า ไปทำไมวะกรุงเทพ แล้วกูจะชวนมันไปทำไมล่ะ” ผมถามด้วยความฉงน

“ก็มันจะได้หนีกรุไปไหนไม่ได้ไง ถ้าหนีมันก็หลง กรุจะได้คุยกะมันได้ง่ายๆหน่อย ไม่งั้นมันก็หนีกรุแบบนี้ตลอด กรุรู้ว่ามันไม่เคยไปกรุงเทพคนเดียวหรอก”

“โห มึง แล้วมันจะไม่โกรธกูเหรอไง ”

“เอาเป็นว่า เมิงหาทางชวนซังมันไปกรุงเทพให้ได้ล่ะกัน แล้วที่เหลือกูจัดการเอง” มันพูดแล้วก็ตบไหล่ผมแรงๆทีนึง

ผมคิดถึงเรื่องที่มันไหว้วานผมในวันนั้นแล้วก็สังหรณ์ใจแปลกๆ มันจะมาไม้ไหนของมันวะไอ้คิว แต่อย่าให้กูเดือดร้อนไปด้วยล่ะกัน

นั่งกันไปเกือบ 2 ชั่วโมงแห่งความอึดอัด ก็ถึงสายใต้คับ แต่ผมลงตรงป้ายก่อนเมเจอร์นิดนึงจะได้ไม่ต้องเดินไกล

“จะไปดูไหนล่ะ” มันพูดแบบเสียไม่ได้ เมื่อเห็นกลุ่มไอ้คิวมันเดินลงจากรถมาด้วย

“เซนฯปิ่นอ่ะกัน ใกล้ๆ” ผมพูดแล้วก็เดินนำมันไป กลุ่มไอ้คิวก็เดินตามมาห่างๆครับ ซังมันก็เร่งให้ผมเดินเร็วจาง ไอ้สาดด กูเหนื่อย

และด้วยความที่ผมไม่ได้จะมาดูหนังจริงๆ ทำให้ผมต้องมายืนเลือกดูว่าจะดูหนังเรื่องอะไรดี แถมช่วงนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไรน่าดูซักเรื่อง แม่ม ….. ตกลงเลยดูเรื่อง 303 กัว กล้า อาฆาต (มีคนเกิดทันดูม่ะนี่) ระหว่างจอง ผมก็หันกลับมามองหาไอ้คิว แต่มันหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แล้วนี่ผมต้องทำไงต่อวะ แล้วผมก็จองตั๋วไป 2 ที่ ส่วนไอ้ซังพอมันไม่เห็นคิวแล้ว มันก็ดูจาอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย ก็ถามโน่นถามนี่ แบบว่ามันค่อนข้างบ้านนอก ไม่เคยดูหนังตามโรงมัลติเพล็กซ์แบบนี้เท่าไรอ่ะคับ ผมก็เลยต้องคอยอธิบายโน่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย

ซักพัก ก็เลยชวนมันไปหาไรกินแก้หิวก่อน เพราะว่ากว่าหนังจะเริ่มก็ตั้งบ่ายโมงแน่ะ ก็กินแถวฟู้ดเซนเตอร์นั่นแหละ คราวนี้ผมก็เห็นไอ้คิวเดิมาเลียบๆเคียงๆคับ มันก็ส่งซิกซ์ให้ผมเดินไปหามัน

“เด๋วปริ้นไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ผมพูดแล้วก็ปลีกตัวออกมา เดินไปหาไอ้คิว

“อาไรมึงเนี่ย ผลุบๆโผล่ๆ” ผมพูดด้วยโทสะ แมร่งจะทำไรไม่บอกผมซักอย่าง

“เออ ขอบใจเมิงมาก แต่ว่าเด๋วกรุจัดการต่อเอง เมิงจองตั๋วแล้วใช่ป่ะ ” มันพูดพลางแบมือ

“อะไรมึง”

“ขอไง เด๋วกรุจัดการต่อเอง”

- ไอ้หน้าด้านนนนนนนน - ผมนึกในใจ

“อะไร มึงจะให้กูทิ้งไอ้ซังไว้กะมึงเลยเนี่ยนะ - - แล้วที่ทำสำคัญกูยังแดกไม่เสร็จด้วย” ผมแหวใส่ เมื่อเห็นมันฉกเอาตั๋วหนังไปเรียบร้อย

“ไม่เป็นไร เด๋วกรุแดกต่อเมิงเอง กรุม่ะรังเกียจ ไปแระ” มันว่า

- ไอ้หน้าด้านนนนนนนน - ผมนึกในใจ พลางรีบดึงตัวมันไว้ก่อน

“มึงใช้กูเสร็จแล้วมึงจะถีบหัวส่งกูเลยเหรอ ไอ้เหี้ย ยังไงกูก็ไม่ทิ้งเพื่อนไว้กะมึงแน่ๆอ่ะ ” ผมพูดพลางเดินจะกลับไปหาไอ้ซัง

“เฮ้ย เด๋วไอ้ปริ้น … กรุก็ไม่ได้หมายความว่าให้เมิงกลับ แค่ให้กรุเคลียกะซังให้เรียบร้อยก่อน เด๋วกรุโทรหามึง โอเคป่ะที่รัก” มันพูดพลางยิ้มแป้นแล้นกวนตีน

“ที่รักพ่อเมิงเหรอ” ผมพูดแล้วก็ทำท่าจะถีบมัน

“เอาเป็นว่า เดี๋ยวกูไปกินให้เสร็จ แล้วมึงเข้าไปเจอมันในโรงหนังล่ะกัน” ผมพูดตัดบท แล้วก็เดินไปหาซังทันที

“ทำไมไปนานจังวะ จะกินหมดอยู่แล้วเนี่ย ” ซังมันพูด แล้วก็ดูดน้ำทีนึง เฮ้ออ ผมมองหน้ามันแล้วก็สงสาร ผมกะลังร่วมมือกะจอมมารส่งมันไปสังเวยเหรอเนี่ย

ผมเอื้อมมือไปจับมือมันทีนึงแล้วก็บอกมัน

“ไม่โกรธเรานะเพื่อน ”

“ว่าไรนะ ? ” ซังถาม

“เออ ไม่มีไร ป่ะ เข้าโรงกัน ”

ระหว่างที่ผมซื้อป๊อบคอร์นอยู่มือถือผมก็ดังขึ้นมา เป็นเบอร์ใครแปลกๆก็ไม่รู้

“คับ ”

“เออ เมิงบอกไอ้ซังนะว่า ที่บ้านเมิงโทรมา แล้วให้ซังมันเข้าไปในโรงก่อน มันคงหาที่นั่งถูกแหละ”

ผมให้ซังถือป๊อบคอร์นไว้ก่อน แล้วก็เลี่ยงมาคุยอีกทางนึง

“แล้วมึงจะคุยเสร็จกันเมื่อไรล่ะ คุยกันในโรงหนังเด๋วเค้าก็ด่าโคตรมึงหรอก”

“เอาเหอะ กรุมีวิธีล่ะกัน เสร็จแล้วเด๋วกรุโทรหาอ่ะ ตอนนี้เมิงเดินรออยู่กะพวกเพื่อนกรุล่ะกัน นั่งอยู่ตรง kfc เนี่ย”

“เออ ได้ทีใช้เลยนะมึง” ผมพูดอย่างอารมณ์เสีย

“เด๋วปริ้น ”

“อะไร”

“เอาป๊อบคอร์นไว้ที่ซังด้วยนะ กรุอยากแดก 555 ”

“ไอ้หน้าด้านนนนนนนนนนน” ผมพูดออกไปทางโทรสับ เพราะแมร่ง เหลือเกิน

“คุยกะใครอ่ะปริ้น” ซังถามผม

“อ่อ ที่บ้านโทรมาอ่ะซัง เดี๋ยวซังเดินเข้าไปนั่งก่อนล่ะกัน จะได้ไม่เสียเวลา นะนะ” ผมพูดคะยั้นคะยอจนมันเดินอิดออดเข้าไปก่อนจนได้

ไอ้คิวโผล่มาจากไหนม่ะรู้คับ เดินยิ้มมาเชีย ไอ้เวร

“ยิ้มเหี้ยไร นี่ถ้าซังมันโกรธกูนะ มึงต้องรับผิดชอบเลยนะ” ผมว่า

“เอาน่า เมิง ขอบใจมากนะไอ้ปริ้น แล้วเด๋วเจอกัน” มันบอก แล้วก็เดินตามหลังเข้าไปในโรง ผมก็ได้แต่ถอนหายใจอย่าให้โรงแตกนะมึง จะทำไรกันเนี่ย

ผมคิดว่าคงจะไม่ไปหาพวกเพื่อนไอ้คิวมันหรอก ไม่รู้จัก แถมดูแมร่งเถื่อนๆ เลยกะว่าจะเดินไปซื้อของคนเดียวดีกว่า แต่มือถือก็ดังขึ้น พร้อมกับเบอร์ที่คิวมาโทรมาก่อนหน้า

“คับ”

“เออ ปริ้นป่าว”

“อือ ใครอ่ะ”

“เพื่อนคิวคับ รออยู่หน้า kfc นะ มาเร็วๆ” เสียงปลายสายบอก แล้วก็ตัดไปเลย

อ้าว .. เพื่อนมันนี่ยังไงนะ มาบังคับกูซะงั้น

ผมก็เดินเตร่ๆ มองหาพวกเพื่อนคิว

“นายๆ เฮ้ย นายอ่ะแหละ” เสียงที่อยู่ในโทรสับเรียก ผมก็หันไปเจอ

“อ้าว แล้วอีก 2 คนไปไหนอ่ะ” ผมถามถึงผู้ชายกะผู้หญิงที่มาด้วย

“มันไปเดินเที่ยวกันหมดแล้ว”

“อ้าวแล้วทำไมไม่เดินไปด้วยกันล่ะ เด๋วเราเดินคนเดียวได้” ผมบอก แต่ก็นั่งลงที่เก้าอี้

“ไปเดินกับมันได้ไง ก็เป็นก้างพวกมันน่ะดิ” มันตอบ

“เออ นายชื่อไรอ่ะ ” ผมถาม

“แชมป์”

“เราปริ้น”

“เออรู้แล้ว คิวมันบอกแล้ว” มันพูด แน่ะ กวนตีน

“เรียนไหนกันอ่ะ ไม่เคยเห็นหน้า”

“เราอยู่เทคนิค ไอ้สองตัวนั่นอยู่อาชีวะ แต่ก็เพื่อนกลุ่มเดียวกันแหละ มีไอ้คิวเนี่ยเสือกมาเรียน ม.ปลายอยู่คนเดียว”

“อ่อ เหรอ ผมดูมันพยายามจะพูดจาแบบค่อนข้างระมัดระวังคำพูดกับผมมากๆ พูดเรา พูดนายไรเงี้ย ฟังแล้วแทบจี้

“ไม่ต้องพูดเรา พูดนายก็ได้ อยากพูดอะไรก็พูดเหอะ ไม่ถือ” ผมว่า

“ไม่เป็นไรหรอก ก็พูดกับพวกมัธยมก็ต้องพูดจาดีๆแบบนี้แหละ จะพูดเถื่อนๆแบบเด็กเทคนิคได้ไง” มันว่า เออ แปลกคน

แล้วก็คุยอะไรกะมันไปเรื่อยเปื่อย มีเรื่องให้คุยเยอะครับ เพราะว่าการเรียนมันไม่เหมือนกัน แถมการใช้ชีวิตบางเรื่องก็แตกต่างกันมากๆอ่ะครับ ผมดูเด็กไปเลย แล้วมันก็วกกลับเข้ามาพูดเรื่องคิวกะซัง

“แล้วนายรู้ว่าเพื่อนนายกะไอ้คิวเป็นแฟนกันนายยังอ่ะ” มันถามผม

“ก็พึ่งจะรู้ไม่นานหรอก ถามไมอ่ะ”

“ป่าว ก็อยากรู้ว่ารู้สึกยังไง ”

“ก็ไม่เห็นรู้สึกไงเลยนี่หว่า ไงก็เพื่อนกัน จะเป็นอะไรก็เป็น เป็นเกย์แล้วม่ะใช่คนเหรอไงวะ” ผมตอกกลับเพราะนึกว่ามันเป็นพวกรังเกียจ

“เฮ้ย ป่าวๆ ไม่ได้หมายถึงแบบนั้นเลย ก็แค่อยากรู้เฉยๆ”

เ“ออ แล้วตอนที่พวกนายรู้ว่าไอ้คิวเป็นแบบนี้ แล้วทำไง” ผมเป็นฝ่ายถามบ้าง เพราะว่าดูเถื่อนๆอย่างเพื่อนไอ้คิวแต่ละตัวแล้ว ม่ะน่าจะรับเรื่องพวกอย่างงี้ได้

“ตอนแรกที่รู้ก็งงอะเด๊ะ เหี้ย เพื่อนกูชอบผู้ชาย สัด กัวโดนตุ๋ยกันเป็นแถบๆ”

- แมร่ง มันคงไม่รู้มั้งว่า ไอ้คิวนอกจากเป็นรุกแล้ว ยังรับ ได้ด้วย -

“เหอๆ กัวทำไมวะ พูดเหมือนกะว่าแต่ละคนนี่น่าทำนักล่ะ” ผมเผลอพูดออกไปแบบไม่ได้คิด

“อ้าว มายว้า พูดแบบนี้ไม่ดีซะแล้วมั้ง” มันคงพูดเล่นๆอ่ะแหละ แต่ท่าทางมันดูเถื่อนไง เลยคิดว่ามันโกรธจริงๆ

“ก็แปลกใจนี่หว่า ม่ะก่อนเหี้ยมันมีแฟนผู้หญิง แล้วอยู่ๆก็เปลี่ยนเป็นผู้ชาย” มันพูดต่อ “หลังจากนั้นแมร่ง ทำตัวดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลยหว่ะ สงสัยกัวเมีย ”

ผมก็ไม่รู้จะตอบอะไรอ่ะคับ เด๋วเข้าตัว เหอๆ ก็ซังมันออกจะดีขนาดนั้น ถ้าขืนไอ้คิวเหี้ยมากๆ ก็แห้วแดกดิคับ

มันดูดน้ำทีนึง แล้วก็เอนตัวทำนั่งเก้าอี้สองขา

“เราก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าเด็ก ม. ปลายนี่มันมีอะไรดีเหรอไงวะ ไอ้คิวมันถึงได้ติดใจ ” ไอ้แชมป์พูดเสร็จ ก็จงใจกระดกเก้าอี้กลับเข้ามาจ้องหน้าผม

“ไม่รู้ว้อย ”


“แล้วนายเป็นแบบพวกมันเหรอป่าว” แชมป์มันถามหน้าซื่อๆ (แต่ใจคดเหรอป่าวม่ะรู้)

ผมก็ทำหน้าเป็นงงแหละ แต่จริงๆก็รู้ว่ามันหมายถึงอะไร กรุทำหน้าโง่ไว้ก่อน

“ก็ชอบผู้ชายไง” คราวนี้มันถามตรงๆ

ผมยักคิ้วแบบกวนตรีนทีนึง ก่อนจะตอบกลับไป

“รู้แล้วได้ไร เหรอว่าอยากลอง” ผมตอบพลางจ้องตามันเขม็งด้วยฟามโกดหน่อยๆ

แชมป์มันยิ้มที่มุมปากทีนึง แล้วก็ยื่นหน้ามาหา

“แล้วลองได้ป่ะล่ะ ? ”

เอ้า ไอ้นี่ เล่นม่ะเลิกแฮะ ผมคิดในใจ พึ่งรู้จักกรุนะเนี่ย รู้จักไอ้ปริ้นน้อยไปซะแล้ว คิดได้เท่านั้น ผมก็ขยับเก้าอี้ไปติดกะมันคับ แล้วก็ยิ้มหวานหยาดเยิ้มกะมัน

“ตะเองชอบแบบนี้ก็ไม่บอก” ผมทำเสียงเซ็กซี่ที่สุดเท่าที่ทำได้ พร้อมกับเอื้อมมือไปใต้ที่นั่ง แล้วก็นวดต้นขามันเบาๆ ไอ้แชมป์มันสะดุ้งเลย เหอๆ

“แหม ล่ำจัง น่ากิน”

ผมพูดพลางชะมดชม้อยสายตา(ที่คิดว่า)สาวแตกใส่มันสุดริด มือก็นวดต้นขามันแรงขึ้น ได้ผลคับ มันหน้าแดงก่ำเลย (สงสัยแมร่งไม่เคย)

“เฮ้ย… อย่า” มันพูดเบาๆ พร้อมกับปัดมือผมออก แล้วก็เขยิบที่นั่งออกห่างผมเลยอ่ะ หุหุ กรุก็นึกว่าจาแน่

ผมแสร้งตีหน้าเศร้า

“อ้าว รังเกียจเราเหรอ ไหนบอกว่าอยากลองไง” ผมพูดแล้วก็เอานิ้วดูดปากทีนึง (ไม่ต้องบอกนะว่าสื่ออาราย) ไอ้แชมป์กลืนน้ำลายเอื้อก

“ม่ะ ไม่ใช่ยังงั้น คะ คะ คือ เราไม่ชอบ เออ คนมันเยอะแยะ เห็นป่ะวะ” มันพูดแล้วก็ทำชี้ๆไปรอบๆ เออ คนเยอะจริงๆแหละ แต่กรุหน้าด้านไง หุหุ แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่ชอบที่ผมทำท่าออกสาวแตกมากกว่า โฮ่ๆ

มันเหลือบตามามองผมทีนึง แต่พอผมเห็นมันก็หลบตาไปเลย สงสัยแมร่งกลัวจัด ผมว่าจะแกล้งมันต่อ แต่ดันโอ้ตโทรสับมาหาก่อน

ตี้ดดๆๆๆ

“ว่าไง โอ้ต” ผมทำเสียงกลับเป็นปกติ

“ถึง กรุงเทพยัง ? ” เสียงมันยังดูงงๆจัง เหมือนพึ่งตื่น

“โห ถึงตั้งนานแล้วค๊าบ แล้วทำไมเสียงเป็นงั้นอ่ะ พึ่งตื่นเหรอ”

“อืออออ ”

“นี่มานจะบ่ายสองแล้วนะ” ผมพูดอย่างตกใจ เพราะปกติมันเป็นคนตื่นเช้าไง เสาร์อาทิตย์ก็ตื่นเช้า

“ไม่สบายเป่า”

“อืออออ”

“อ้าว แล้วกินยายัง”

“ยังเลย โอ้ตพึ่งตื่น” มันพูดดูเสียงแย่มากกว่าเก่าอีก ผมว่าเป็นเพราะมันโหมงานกีฬาสีไม่พักไม่ผ่อนแหง่ม

“อาไรเนี่ย ดูแลตัวเองหน่อยดิ” ผมพูด

“ก็คนดูแลไปไหนก็ไม่รู้ดิ ” มันพูดแบบงอนๆ

“โห งอนซะงั้น” ผมพูดเสียงอ่อย

“ป่าวไม่ได้งอน”

“เจง…”

“อืออออ”

“ทำเสียงงี้ งอนแหง่ๆๆๆ” ผมกระเซ้า

“เออ แล้วจะกลับเมื่อไรเนี่ย แค๊กๆๆ”

“ไรเนี่ย มีไอด้วย รีบไปกินยาเลย แล้วตัวร้อนป่าว”

“อืออออ นิดหน่อย”

“โอ้ตรีบหาไรรองท้องก่อนกินยาแก้ไข้นะ เด๋วมันกัดกระเพาะ แล้วเด๋วปริ้นจารีบกลับ” ผมพูดด้วยความเป็นห่วง (เจงๆนะ ไม่ได้แบบขอไปที)

“อืออออ รีบกลับมานะครับ คิดถึง ดูมันดิ เวลาไม่สบายอะ” มาทำอ้อน

“ค๊าบ เด๋วจะรีบกลับไปป้อนยาให้เลยค๊าบ” ผมคุยไปยิ้มไป เวลาไอ้โอ้ตมันอ้อนก็ดูแปลกดีคับ น่าร๊ากกก

ผมคุยจนลืมไปว่ามีไอ้แชมป์มันนั่งอยู่ด้วย พอวางปั๊บมันก็ถามทันที

“ใครอ่ะ แฟนเหรอ ? ”

“เออ … ” ผมกลับมาทำทีคุยเป็นปกติเหมือนเดิม

“ไมพูดไม่เพราะเลยวะ ” มันพูดแบบไม่พอใจ

ผมก็ยักคิ้วแบบกวนตรีนให้มันอีกรอบ

“แล้วแฟนผู้ชายผู้หญิงอ่ะ” มันถาม

“ผู้ชาย”

“ไม่เชื่ออ่ะ หญิงแน่ๆ”

เอ้า แสดดดด กรุล่ะเบื่อคนพวกนี้จริงๆ เวลาถามแล้วไม่ยอมเชื่อเนี่ย จะถามทำหมาอะไรวะ อันนี้ผมคิดในใจ

“ไม่เชื่อก็ตามจาย” ผมว่าพลางกดมือถือเล่นไปมา

“ม่ะกี้แกล้งอำอะดิ” มันพูดถึงตอนที่ผมทำแรดใส่มัน ผมชักจาเบื่อความเซ้าซี้ของมันซะแล้วดิ เลยตัดความรำคาญดีกว่า

“งั้นเด๋วเราขอไปเดินเล่นก่อนนะ ขี้เกียจนั่งรอ กว่าหนังจะจบ” ผมพูดพลางลุกขึ้น

“เฮ้ย จะทิ้งเราไว้คนเดียวเนี่ยนะ เพื่อนเราก็ไปกันหมดแล้ว”

“ก็เด๋วไอ้คิวมันก็โทรมาหานายเองหล่ะ” ผมบอกเสร็จ ก็เดินลิ่วๆ แบบจาหลบมันไปให้พ้นให้ได้อ่ะ เป็นโชคดีด้วย เพราะว่าคนเยอะคับ + กะชำนาญเส้นทางรู้ทางหนีทีไล่ เพราะเป็นเด็กเก่ากรุงเทพ หันมาอีกที ก็ไม่เจอมันแระ

บอกตามตรง ผมก็เป็นห่วงซังมันเหมือนกัน ป่านนี้มันจะเป็นไงบ้างวะ เงียบไปเรย มันจะได้ดูหนัง กันป่าววะ มันจะคุยอะไรกัน หรือมันจะทะเลาะอะไรกันมั่งป่าว แล้วพอออกมา มันจะโกดผมป่าววะ ผมคิดมากไปป่าวเนี่ย แต่รู้สึกผิดกับมันจริงๆ ว้อยกลุ้ม

แต่ด้วยความที่ผมไม่ได้แรดห้างมานานคับ ต่อมอยากซื้อนั่นซื้อโน่นก็แตก เดินซื้อเสื้อ ซื้อของกิน ซื้อนั่นซื้อนี่ หมดไปเกือบสองพัน = =’’ โอ้ ขาช๊อปใช่ย่อย

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [21-4-12] Part 3
«ตอบ #86 เมื่อ21-04-2012 14:11:10 »

ตี้ดดๆๆๆ

คราวนี้ผมเหลือบมองดูเบอร์ให้แน่ใจก่อน เบอร์ของไอ้แชมป์แน่ๆ

“โหล ใครครับ ”

“เออ เราเอง” 555 กรุรู้อยู่แระ

“อ่อ ว่าไง พวกซังมันออกมาแล้วเหรอ ”

“เออ ม่ายรู้เหมือนกันหว่ะ เราไม่ได้นั่งคอยที่ฟู้ดเซนเตอร์อ่ะ แล้วมันก็ยังไม่โทรมาหาเลย ”

“กำ แล้วไมไม่คอยล่า”

“ก็มานเบื่อนี่หว่า ทำไมกู เอ้ย เราต้องนั่งคอยอยู่คนเดียวด้วยวะ” มันตอบกลับมาแบบอารมณ์ฉุนๆ

“อือ แล้วนี่โทรมาไม ? ”

“คือ … เราหลงทาง” มันทำเสียงอ่อย

“ไอ้เว่อร์ แค่ห้างแค่นี้เดินหลงได้ไง เดินมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเด๊ ” ใจร้ายม่ะ ผมได้ทีเลยแกล้งมันซะเรย จริงอยู่คับ แค่ห้างแค่นี้ไม่น่าหลงได้หรอก แต่มันไม่เคยมา กรุงเทพไง แล้วถ้าใครเคยมา เซนฯปิ่น มันจะมีสองด้านซ้ายขวาคล้ายๆกัน ดูไปแล้วอาจจะงงสำหรับคนที่มาครั้งแรก

“เฮ้ย ! อย่าทิ้งกันดิวะ กลับไม่ถูก” มันชักทำเสียงตื่นเต้น

“อือออๆ แล้วอยู่แถวไหนอ่ะ”

“ไม่รู้หว่ะ = =’’ ”

“นายก็ดูชื่อร้านแถวๆนั้นเซ่ ไอ้เซ่อร์” ผมเผลอด่ามันปาย

“เออๆๆ ” มันเงียบไปพักนึง

“เออ ชื่อร้าน - - - อ่านไม่ออก - - - เออ เจ .. เจออน เอ้ย จีออนโน”

“ตกลงชื่อไรแน่ ? ไปรับไม่ถูกนะเนี่ย” ผมพูดไปเดินไปหามัน พอจะรู้แล้วว่าอยู่แถวไหน

“ว่าไง ชื่อไรวะ”

“เออ เด๋วดิ จิอองกาเน่ - - จิอองโน่”

“ไรวะ มีที่ไหนชื่อร้านเสี่ยวๆแบบนั้นล่ะ” ผมอดขำไม่ได้คับ บ้านนอกเจงเจ้งงง สงสัยเราไปไม่ถูกแล้ว ยังไงรอให้ไอ้คิวโทรมาหาแล้วกัน แค่นี้นะ แบตฯหมดแหล่ววว

ผมพูดเสร็จก็กดวางไปครับ โดยที่มันไม่ทันจะพูดอะไรเลย พอดีกะที่ผมเดินไปใกล้ๆกะร้านที่มันอยู่พอดี แต่แอบไม่ให้มันเห็นนะ จาดูหน้ามันก่อน ผมเห็นมันพยายามกดโทรสับอีกหลายรอบมาก แต่ผมปิดมือถือไปแล้วคับ แบตฯไม่ได้หมดหรอก เหอๆ อยากมาแกล้งลองของผมดีนัก ต้องเอาคืน 100 เท่า

พอมันเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จาโทรแล้ว มันก็ทำหน้าเลิ่กลั่ก ท่าทางขวัญเสียคับ แล้วก็เดินดุ่มๆ ไปเรื่อยเปื่อย ผมยังแปลกใจอยู่เลย ว่าเพื่อนที่มาด้วยกะมันอีกสองคน มันติดต่อไม่ได้กันเลยเหรอไงฟร่ะ แล้วไอ้คิวอีก นี่ก็เกือบสามชั่วโมงแล้ว ทำไมไม่ยอมติดต่อมาซะที ทำหอยดองอะไรอยู่ฟร่ะ

แชมป์มันเดินไปเรื่อยเปื่อย คงหวังว่าจะได้เจอเพื่อนมันมั้ง เพราะว่า ดูสายตามันก็สอดส่องไปทั่ว ผมก็เดินตามมันไปห่างๆอะนะ เดินไปพักนึง เหมือนมีคนโทรมาหามัน ท่าจะเป็นไอ้คิว ว้า อดสนุกเลย มันทำท่าทางคุยไป ดูหน้ามันเครียดยิ่งกว่าเก่าอีกครับ แล้วมันก็วางหูไป หน้าซีดเรยคับ ชักสงสารมันแล้วดิ ผมก็เลยทำทีเดินเข้าไปเจอมันโดยบังเอิญ พอดีมันนั่งก้มหน้าหมดอาลัยตายอยากอยู่ เลยไม่เห็น

“เฮ้ย .. ” ผมทักมันแล้วก็เอามือไปตีบ่า มันเงยหน้าพลวดขึ้นมาเห็นผมเท่านั้นแหละ โผเข้ามากอดซะแรงเลย

“สาดดดดด ปริ้น นึกว่าจะโดนทิ้งอยู่ที่นี่แล้ววววววววววว” ตัวมันเย็นมากเลยคับ แต่เหงื่อมันแตกพลั่กๆ

“เออๆๆ ใจเย็นๆๆ อยู่นี่แล้ว” ผมพยายามปลอบมันจนเข้าที่แล้ว คงพอเข้าใจนะคับ เด็ก ตจว เข้ามากรุงเทพแล้วพลัดหลงกะเพื่อนแบบนี้ มันก็น่าขวัญเสียอยู่หรอก

พอมันเข้าที่แล้ว ก็เล่าด้วยความม่ะโหว่า ไอ้คิวมันดูหนังกันจบตั้งนานแล้ว มันออกมาไม่เห็นผมกะไอ้แชมป์ ก็เลยเดินดูของไปดูของมา แล้วก็ท่าไหนไม่รู้ ตอนนี้มันอยู่ที่สายใต้กันเรียบร้อยแล้ว

“แม่ง ออกมาแล้วก็ไม่โทรมาบอกเพื่อนเลย ไอ้เลว ” แชมป์มันโอดครวญ

“สงสัยดีกันแล้วมั้ง โลกเลยสีชมพู ประมาณว่าความรักบังตา เหอๆ ” ผมพูดขึ้นมา แบบนี้ซังมันคงยอมดีกะคิวแล้วมั้ง

“ก็คงงั้นแหละ ” แชมป์บอกกระฟัดกระเฟียด

“แล้วนี่จะกลับเลยป่าวล่ะ หรือว่าต้องหาเพื่อนอีกสองคนให้เจอก่อน ? ”

“กลับเหอะ ไอ้ผัวเมียสองคนนั่นมันกลับเองได้อยู่แล้ว มีแต่กู เอ้ย เรานี่หละ บ้านนอกสุด”

“บ้านนอกเข้ากรุงมากๆ” ผมแอบนินทา

มันได้ยินเลยเอามือมาจับหัวผมกดแบบแกล้งๆ แต่แรงเด็กเทคนิคมันก็ควายๆกันอยู่ หัวเลยแทบทิ่ม

“โอ้ย ”

“อย่ามาแอบด่า ไอ้ตี๋น้อย”

“เอ๊ะ มันเรียกกรูว่าไรนะ”

“ใครตี๋น้อยวะ ? ”

“ก็เอ็งอะแหละ ตี๋น้อย”

“ชื่อปริ้นว้อยยยยย”

“ฮุ้ ตลก ชื่อฝาหลง ฝรั่ง ไม่อยากเรียกอ่ะ ”

เอ้า ! ซะงั้น นอกจากหน้าหมา แล้วยังหน้าด้านอีกนะ ไอ้เวนนี่

สรุปว่า ผมกะไอ้แชมป์ก็ต้องนั่งรถกลับกันสองคนคับ ไอ้คิวกะซังก็เรียบร้อยโรงเรียนจีน ดีกันไปเรียบร้อยแล้ว แถมดีกันแล้ว มีทิ้งเพื่อนฝูง เปิดตูดกลับกันไปก่อนด้วยนะ แต่ผมคงจะมีนอกรอบกะไอ้ซังแล้วล่ะ ว่ามันดีกันยังไงวะ กรุอยากรู้ (แหมเล่นตัวมาตั้งนาน แค่วันเดียวดีกันได้แระ)

“เน่ … ตี๋น้อย”

“อาไรกุจาหลับ ”

“แม่งพูดไม่เพราะเลยวะ ”

“เออๆ ช่างเหอะ เลิกเซ้าซี้ จาหลับเหนื่อย” เจงๆก็เหนือ่ยเพราะว่าเดินช็อปมาทั้งวันแหละคับ เหอๆ ใช้ขามากไปหน่อย

“ตอนอยู่ที่ฟู้ดเซนเตอร์อ่ะ แกล้งเราใช่ป่าว”

“เรื่องอะไร” ผมพูดไปทั้งๆที่หลับตาอยู่นั่นแหละ เผื่อมันจะสำเหนียกบ้างว่า ผมอยากนอนไม่ได้อยากคุยกะมัน

“อ้าว ก็เรื่องที่แกล้งทำเป็นตุ๊ดไง”

“ป่าว ไม่ได้แกล้ง เป็นจริงๆ”

“แล้วทำไมตอนนี้กะตอนนั้นไม่เห็นเหมือนกันเลย” เอ๊ะ ไอ้นี่ ถามเซ้าซี้จังวะ

“เออ อย่ามาใส่ใจรายละเอียดปลีกย่อยเลย สรุปว่ากุเป็นละกัน แต่ตอนนี้แอ็บไว้ก่อน เครนะ” ผมพูดเสร็จก็พลิกตัวหันไปอีกด้านเลย รำคาญ

ผมได้ยินเสียงมันพูดเบาๆว่า

“มีงี้ด้วยเหรอวะ พวกตุ๊ดนี่เข้าใจยากจัง”

“ตี๋ … ตี๋”

ผมรู้สึกว่ามีใครซักคนเขย่าตัว พร้อมกับเสียงเรียกเบาๆ

“ว่าไง”

“ถึงเพชรฯแล้ว เด๋วเราลงก่อนนะ”

“อือ โชคดี” ผมยกมือให้ไอ้แชมป์เป็นเชิงล่ำลาพอเป็นพิธี แล้วก็หันกลับมาหลับต่อ อีกตั้งเกือบ ชม. กว่าผมจะถึงชะอำ

Zzzzzzzzzzz Zzzzzzzzzz

“ปริ้นซ์ …. ดูแลตัวเองดีๆนะครับ ”

“งือ …”

“เลิกเรียนแล้ว อย่ามัวเถร่ไถล ไปไหนกะใครนะครับ รีบกลับบ้านล่ะ”

“งือ …”

“ดูแลตัวเองนะ … แล้วจะรีบกลับ สัญญา ”

“งือ … อึ๊กก !! ”

ผมรู้สะดุ้งตัวแบบสุดๆ เหมือนตกจากที่สูงเวลาที่หลับ รู้สึกได้ว่าเหงื่อแตกเต็มแผ่นหลัง ทั้งๆที่แอร์บนรถก็เปิดตามปกติ ผมยกมือปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นที่หน้าผาก พยายามนึกถึงความฝันที่แว่บมาม่ะกี้ แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก แต่ใรความฝัน น้ำเสียงมันคุ้นเคยมากๆเลยอ่ะ

“ฝันบ้าไรวะ !! ”


***************************


กว่าผมจะขยับก้นเข้าบ้านได้ ก็เกือบจะ 5 ทุ่มอยู่แล้ว เลยค่อยๆย่องอย่างเงียบเชียบ ไปบนเรือนใหญ่ ป่านนี้ยายคงหลับไปแล้วล่ะมั้ง

แกร๊ก แกร๊ก ….

ผมขยับประตูที่ลงกลอนไปเรียบร้อยแล้ว

อ่า คืนนี้ กรุไม่ได้อดแดกแล้ว ผมเลยต้องเดินในสภาพหิวโซกลับเข้าบ้านตัวเอง พลางหันไปที่บ้านโอ้ตมัน ก็นึกขึ้นได้ว่า โอ้ตไม่สบายอยู่นี่หว่า ป่านนี้มันจะค่อยยังชั่วยังวะ อยากเข้าไปดูจัง แต่กลัว ป้าดุหาว่ามาทำไรดึกดื่น

แต่ ….

ผมย่องเดินผ่านหน้าต่างห้องไอ้โอ้ต ที่ยังเปิดไฟอยู่ โอ้ตมันนั่งบนเตียงห่มผ้า จดไรยิกๆอยู่ก็ไม่รู้ฮะ

- ไรวะ ดึกป่านนี้ไม่สบายแล้วยังไม่นอนอีก ไอ้หอยเอ้ย….-

เห็นว่ามันยังไม่หลับอยู่แล้ว ก็เลยเดินไปเคาะประตูบ้านมัน ปรากฏว่าป้าเดินมาเปิดให้

“อ้าว ปริ้น พึ่งกลับมาเหรอ ไปไหนกลับมาดึกๆดื่นๆ” ป้าทำเสียงไม่ค่อยพอใจ แต่ก็เลี่ยงตัวให้ผมเดินผ่านเข้าไปได้

“แล้วนี่กินอะไรมาเหรอยัง”

“กินแล้วคับ” ผมพูดปด ส่วนป้าเค้าก็เดินไปคนอะไรซักอย่างที่คิดว่าน่าจะเป็นข้าวต้มในหม้อ โอ้ย ผมนี่โคตรหิวเลย

“ป้าทำข้าวต้มเหรอ”

“จ๊ะ … เจ้าโอ้ตมันเป็นไข้ ไม่สบาย นอนซมทั้งวันเลย” ป้าพูดพลางปิดเตาแก็ซ แล้วก็หยิบกับในตู้กับข้าวออกมา 2 -3 อย่าง

“เนี่ย พึ่งค่อยยังชั่วตื่นมา ก็บ่นหิวๆ ป้าเลยต้องตื่นมาทำให้คุณเค้ากินเนี่ย” ป้าพูดประชดลูกชายตัวเองนิดๆ

“แล้วเป็นไรมากป่าวคับ”

“ไข้หวัดธรรมดาล่ะ เดี๋ยวนี้เจ้าโอ้ตนอนดึกดื่นทุกวัน พักผ่อนก็น้อย แล้วก็มานั่งเขียนโน่นเขียนนี้ ป้าก็บ่นให้มันฟังนะ มันก็ยังดื้ออีก เฮ้อ ไม่รู้มีไปทำไมไอ้กีฬาสงกีฬาสีเนี่ย ….” ผมเปิดช่องถามหน่อยเดียว ป้าแกบ่นยาวเชีย

“ปริ้นซ์อยู่ม 6 ไม่ต้องไปรับเป็นเลยนะ ประธานสีอะไรเนี่ย” ป้าแกปิดประเด็น แล้วก็ทำท่าจะยกข้าวไปให้ลูกชาย

“เออ ป้า เด๋วปริ้นเอาไปให้โอ้ตเองก็ได้คับ ว่าจะคุยอะไรกะมันด้วยอ่ะ มาม่ะ” ผมอาสายกของกินไปให้ไอ้โอ้ตมัน ไม่ใช่อาไรหรอก จะได้มีโอกาสจิ๊กกินด้วยแหล่ะ หุหุ (ย้อเย่นนะ ใครจะแย่งของสุดที่รักล่ะ)

“ยังไงป้าฝากปริ้นซ์ด้วยนะ ขอไปนอนก่อน” ป้าเค้าพูดแล้วก็ทำเสียงงัวเงียมาก

“อ่อ ตอนออกจากบ้านป้า ล็อกประตูให้ด้วยนะปริ้น”

“คับผม” ป้าแกพูดเสร็จก็เดินเข้าห้องนอน

ก็อกๆ

“…….”

“โอ้ต ”


“……….”

“เข้าไปนะ ”

ผมเรียกมันก็ไม่ตอบ ก็เลยดันประตูเข้าไป เห็นมันนอนฟุบอยู่บนหมอน มือมันยังถือดินสออยู่เลย

“จาขยันอาไรป่านนั้นเนี่ย” ผมพึมพำแล้วก็เดินไปขยับตัวมันให้นอนดีๆ แล้วก็เลื่อนมือไปอังกะหน้าผากมัน ตัวอุ่นๆนิดหน่อย ข้างๆเตียงเห็นเป็นกะละมังใส่ผ้าชุบน้ำไว้อยู่

“โอ้ต … ตื่นมาแดกเร็ว” ผมพูดข้างๆหูมัน แล้วก็หยิบกุนเชียงชิ้นนึง ไว้ใกล้ๆจมูกมันให้ได้กลิ่น (ตอนนั้นลืมไปว่า คนเป็นหวัดจะได้กลิ่นได้ไง)

“ไม่ตื่น อดนะ” ผมพูดแล้วก็เอากุนเชียงชิ้นนั้นเข้าปาก … หุหุ อาหย่อย

โอ้ตมันยังนอนเฉยเมย หน้าอกหนาๆของมันก็ขยับขึ้น ขยับลงตามจังหว่ะการหายใจของมัน สายตาผมก็เลื่อนขึ้นไปมองที่หน้า ผิวสีออกแทนๆหน่อย เข้ากะหน้าเข้มๆของมัน ตากลมโตที่ผมเห็นบ่อยๆ แต่ตอนนี้มันหลับเหมือนกะเด็ก คิ้วหนาเหมือนชินจังของมัน ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะลองเอามือไปลูบเล่นเบาๆ

ตอนนั้นคิดไรไม่รู้คับ นึกถึงนิทานเจ้าหญิงนิทราขึ้นมาซะงั้น เลยอยากลองอะไรแปลกๆดู เลยค่อยก้มลงจะหอมแก้มมัน แต่พอเข้าไปใกล้แล้วเห็นปากมันเลยอดใจไม่ได้คับ แฮะๆ เลยจัดการประกบปากกะมันซะ ลิ้นผมก็ไล้ๆที่ปากมันเฉยๆอ่ะ เพราะว่าปากมันปิดอยู่นี่หว่า สอดไปเด๋วไก่ตื่นหมด หุหุ

ตึก ..

ไอ้โอ้ตมันสะดุ้งตัวนิดหน่อยครับ แต่จังหว่ะนั้น ผมกะลังเมามันส์ กะการเล่นปากคนหลับอยู่ เลยไม่ได้สนใจอะไร มารู้ตัวอีกที ไอ้โอ้ตมันก็เปิดปากแล้วก็เอาลิ้นสอดเข้ามาแล้ว

“อุ๊ก อึ๋กก” ผมก็ตกใจอะดิคับ มันตื่นมาตอนไหนวะ แต่ก็ถอนปากออกม่ะได้ เพราะมือไอ้โอ้ตมันก็กดหัวผมไม่ให้ขยับไปไหน โอ้วว โคตรทรมานอย่างแรง แล้วมันก็เอามืออีกข้างจับที่เอวแล้วก็โดนพลิกตัวลงมานอนหมดท่าอยู่บนเตียง มันได้ทีก็ขึ้นคล่อมเลย

“อะ โอ้ต หนักว้อยย” ผมพูดด้วยความยากลำบาก เพราะตัวมันทั้งหนาทั้งหนัก ขึ้นมาทับผมทั้งตัวเลย แถมตัวมันยังอุ่นๆอีก

“กลับมาซะดึกเชียว .. ไม่คิดถึงคนกำลังป่วยบ้างเลย” มันไม่พูดป่าว ก้มมาดูดที่คอผมอีกตะหาก แสดงว่าแค้นจัด

“กะ ก็เอาข้าวต้มมาให้กินแล้วเนี่ยงาย เง้ยย มันเสียว” ผมพูดแล้วก็พยายามผลักตัวมันให้ลุกขึ้น นี่มันจะหงี่เงี่ยนอาไรตอนไข้ขึ้นฟร่ะ -*-

“ไม่อ่ะ ไม่กินแล้ว”

“แม่เค้าอุตสาห์ตื่นมาทำให้นะ”

โอ้ตมันก็ยิ้มกริ่ม

“ก็อยากกินของที่อยู่ตรงหน้าเนี่ย” มันไม่พูดป่าว มันก็บดไอ้ท่อนล่างของมันที่แข็งปั๋งไปมากะตัวผมด้วยความหื่นกระหาย

“เฮ้ย ไม่สบายอยู่น้า” ผมพูด เพราะรู้สึกว่า สายตาไอ้โอ้ตตอนนี้มันมองผมเหมือนของกินของมันจริงๆ

“หึหึ .. ”

“หัวเราะอาราย”

“หึหึ ก็ถ้าได้พยาบาลน่ารักแบบนี้ คืนเดียวก็หายนะ” มันพูดเสร็จก็เข้ามาดูดปากผมอีกรอบ คราวนี้มันบด เบียด จนผมระทวย(อย่าหาว่าง่ายเลยนะ หุหุ) ยังแอบได้รสยาที่มันกินไปเลย ไม่รู้เว่อร์ป่าวฟร่ะ

โอ้ตมันก้มหน้ามาไซร์ที่ซอกคอครับ โดยที่ไมได้ปกป้องอะไร ก็คนมันเสียวนี่หว่า ผมเลยกอดมันแรงขึ้น เป้าโอ้ตเบียดกับเป้าของ ความหยุ่น หรือความใหญ่ ผมสัมผัสได้ด้วยสำนึก ตอนนี้ผมอารมณ์เตลิดไปไหนต่อไหน เอาช้างมาลากก็ไม่หยุดแล้วล่ะมั้ง โอ้ตบอกให้ผมนอนอยู่เฉยๆก่อน แล้วก็เดินโงนเงนด้วยความมึน ไปปิดไฟ

มะ มืดเรยคับ มองแทบจะไม่เห็นอะไร อีกอย่างผมก็ไม่ค่อยคุ้นกะห้องมันอยู่แล้วด้วยล่ะ เตียงข้างๆมันก็ยุบลงไป เห็นลางๆว่าโอ้ตมันลงมานอนตะแคง มองหน้าผมอ่ะ ผมก็มองตอบ เวนล่ะ ผมพอจะปรับสายตาให้ข้ากะความมืดได้บ้าง ตามันเยิ้มยิ้มแย้มมากๆ แล้วมันก็เอามือผมไปจับที่เคมัน แมร่งร้อนชิบหาย เต้นตุ๊บๆๆ มันจะระเบิดมั้ยวะเนี่ย

ผมก็ลูบขึ้นลูบลงตามท่อนลำ และเพราะมันไม่ได้ใส่กางเกงใน ตอนนี้มันแข็ง โด่ จะทะลุกางเกงบอลออกมาให้ได้เชียว

“แข็งชิบ ไม่สบายแน่ป่าววะ โอ้ต ”

“อืม ก็ไม่สบายอะดิ แข็งใช่ป่าว ? ” แน่ะ มันยังมีหน้ามาถามอีก ผมก็เค้นคลึงเคมันก็ซี้ด ซ๊าดไปตามระเบียบ หนุกดีคับ เห็นหน้ามันลางๆตอนเสียวแล้ว

“ม่ะ ไม่ไหวแล้วอ่ะ ปริ้น”

“จะแตกแล้วเหรอ” ผมพูดด้วยความดีจายเพราะกรุชักเมื่อยมือแระ

“ป่าว มันม่ะ ไม่ไหวแล้วอ่ะ ปริ้นช่วยให้มันหายแข็งหน่อยดิ” เสียงโอ้ตมันอ้อนมากคับ จนขนลุกกันเลยทีเดียว

“จะให้ใช้ปากช่วยเป่า ”

โอ้ตมันสั่นหน้า แล้วก็เอื้อมมือไปคลึงที่ก้นผมแทน

“จะ - ทำ - อะ ไร – อ่ะ ” แหม ถามโคตรใสซื่อเลยผม แต่ตอนนั้นไมได้คิดจริงๆนะว่า จะต้องมาเสียตูดให้ไอ้โอ้ตคืนนั้นเนี่ย เพราะปกติก็จะแค่ ซอฟเซ็กส์กันเฉยๆอ่ะ

ผมถามได้แค่นั้น โอ้ตมันก็หันมาจับที่ท่อนของผมที่มันก็แข็งแทบระเบิดเช่นกัน มันบีบเบาๆ จนผมเสียวจี๊ดที่หัว โอ้ตมันก็รูดเอากางเกงผมลงไปกองที่หน้าขา(ทำไมง่ายจัง ?) พอขอบกางเกงหลุดพ้น หัวเคผมที่โผล่พ้นก็เด้งโชว์ออกมา โอ้ตแมร่งเอานิ้ววนรอบๆ จนน้ำเยิ้ม แล้วก็เอาไปดูด

สาดดดดด กรุเห็นแล้วแบบแปลกๆ ต้องหลบตามันเลย มันก็ยิ้มคับ แล้วก็ก้มลงจูบปากผม ลากลิ้นไล้ลงไปตามซอกคอ แล้วก็ดึงเสื้อผมให้หลุดออกจากทางหัว(ถ้าไม่ทางหัวแล้วจะทางไหน ไอ้บ้า) ตอนนี้เปลือยแล้วคับ ผมเห็นโอ้ตมันเปลือยแล้วมีเหรอจะเสียเปรียบอยู่คนเดียว เลยถอดมันบ้าง หุหุ

มันก็เลื่อนมือเอานิ้วลูบเบาที่หัวหยักของผมอีกรอบ จนต้องเด้งตัว

“เสียวว่ะ อมให้หน่อยดิ” ผมเผลอพูดออกไปด้วยแรงหงี่ ยังไม่ทันตอบครับมันใช้ปากมันรูดเข้าที่เคขนาด 6 กว่าๆของผม มันทำได้นิ่มนวลมากครับ ขอบอกว่ามันดูดได้โคตรเสียวว่ะ จากนั้นมันก็พลิกตัวเอาท่อนล่างมันมากระแทกปากผมบ้าง แน่นอนว่าผมก็ไม่ค่อยเชี่ยวอ่ะ เลยจัดการขม่ำเข้าไปโดยไม่บิ้วพลิ้ว งุงิ มือผมก็โลมไล้ ไข่สองใบของมันใหญ่ห้อยโตงเตง ไอ้โอ้ตคราง วุ้ย มันส์ว้อยยยยย

“ปริ้นคับ …” โอ้ตมันพูดเสียงกระเส่า หลังจากที่กลับหัวกลับหางเหมือนเดิมแล้ว

“หือ”

“โอ้ตขอฉีดยาปริ้นนะ”

“งือ โอ้ต อย่ามา - - - โอ้ต อย่า มานเจ็บ” มันไม่ได้พูดขออย่างเดียวนี่หว่า มันพูดไป แล้วก็เอื้อมมือเอานิ้วค่อยๆสอดเข้ามาอย่างเนียนๆ แต่ผมเจ็บอ่ะ เจ็บมากกก

“โอ้ต เอาออกปาย เจ็บว้อยย” ผมก็เริ่มจาแข็งขืนแล้วคับ ไม่ไหว

พอผมเริ่มดิ้น ปกติแล้วโอ้ตมันจะเลิกคับ แต่คราวมันไม่ดิ มันดันรัดตัวผมแน่นกว่าเดิมแล้วก็ดูดปากผมอีก เลยพูดอะไรไม่ได้เลย ได้แต่เสียงอือๆๆ แล้วก็ปัดแข้งปัดขาได้อย่างเดียว นิ้วมันก็ยังไม่ยอมเอาออกจากก้นผมอ่ะ

“น่ะ โอ้ตขอนะ” มันพูดเสียงสั่นๆหลังจากที่มันถอนปากแล้ว แล้วก็ทำท่าอ้อนเหมือนลูกแมวอ่ะ ผมคนแพ้แมวคับ

“กะ ก็ได้ แต่ถ้าเจ็บต้องเลิกนะ” (คือกรุเจ็บแน่ๆอยู่แล้วล่ะ )

มันยิ้มแบบลิงโลดคับ แล้วก็พลิกตัวผมซะหันเลย

“อุ๊ก เบาๆเด๊ะ ไอ้โอ้ตตต” ผมหันหน้าจะด่ามัน แต่มันก็ขึ้นคล่อมทับตัวผมจากด้านหลังแล้วอ่ะ โอ้ตจับผมหันหลัง ดึงเอวผมให้มันยกสูง มันไม่รอช้า ก้มหน้าเอาลิ้นฉกร่องผม แล้วก็ละเลงเลียรอ่งสวาทของผม ลิ้นแข็งราวกับท่อนอะไรซักอย่าง มือผมกำผ้าปูที่นอนแบบลืมตัวซะงั้น แต่พยายามไม่ครางคับ เด๋วตื่นกันหมด

โอ้ตมันเลียนานพอตัว มันเริ่มเอานิ้วมาแหย่ที่รู

“อ๊ะ …. จะ เจ็บ อะ โอ้ต”

ได้ยินผมพูดแบบนั้น มันก็หาเห็นใจผมไม่ ยิ่งสอดลึกเข้าไปอีก ผมรู้สึกเหมือนกะว่าท้องจะเสียยังไงก็ไม่รู้คับ มันเหมือนโดนอะไรทะลวงเข้าไปเลย ทรมานสุด โอ้ตมันก็เอานิ้วออกมา แล้วก็ไปหยิบอะไรซักอย่างมาทาเพิ่มคับ (มารุ้ว่าเป็นวาสลีนที่ไว้ทาปากทาตัวอ่ะ) มาป้ายโน้นป้านนี่จนมันแฉะ โอ้ตมันเอาท้องมานาบที่หลังผม เสียงกระซิบข้างหูว่า

“เจ็บนิดนะครับ แล้วเดี๋ยวจะเสียว” ผมกะลังจะหันหน้าไปถามว่า เมิงรู้ได้ไงเคยแล้วเหรอ ก็รู้สึกว่า มีท่อนอะไรบางอย่างมันกะลังฝั่งเข้ามา โอ้ตกระซิบเพิ่มเติมว่า ผ่อนๆคลายกล้ามเนื้อ หลับตานะคับ (แล้วกรุจามองเหี้ยอาไร ในเมื่อมันมืดดด) แล้วของอุ่นๆก็บุกที่ประตู มือมันขยี้หัวนมผม เจี๊ยวก็ค่อยๆกดลงไป ผมก็ขยับตัวให้มันตรงร่องพอดี พอได้ที่ มันก็ครางซี๊ด แล้วดันลึกเข้าไปอีก

“อ๊ากกกซ์ กรุเจ็บ” ผมร้องลั่นเลยคับ ไอ้โอ้ตมันตกใจ เอามือมาปิดปาก แล้วก็ลูบหัวผมเบาๆ

“เสียววะ ปริ้น แน่นชิบหายเลย” มันพูดแล้วก็ค่อยขยับทิ้งตัวลงมาทาบกับหลังผมซะสนิท แล้วก็ค้างไว้แบบนั้น ส่วนผมอ่ะ นอนนิ่งอ่ะคับ รู้สึกว่าน้ำตามันหยดออกมาเอง (คือมันไม่ได้กระแดะนะคับ แต่มันเจ็บเลยร้องออกมา)

“เจ็บ โอ้ต” มันได้ยินก็เลยมาไซร้คอ หลังผม แล้วก็เอามือเลื่อนมาจับจู๋น้อยที่หดเรียบร้อย ชักไปชักมา

“อือ …”

“หายเจ็บยังคับ” มันกระซิบแล้วก็ขบที่ติ่งหู ขนลุกเลย

“นิดหน่อยอ่ะ ”

“งั้นโอ้ตต่อนะ ”

น่าน กรุนึกว่าจะเลิก มันจะทำต่อคับ ผมเลยก้มหน้าฟุบลงไปกะหมอน โอ้ตมันก็ยกเอวผมให้ยกขึ้นอ่ะ แล้วก็ค่อยๆดันเข้ามาจนรู้สึกว่าหน้าท้องมันมาชิดกะก้นผม แล้วมันก็ค่อยๆเหมือนจะถอนออกไป แล้วก็สวนกลับเข้ามาอีก

ผมนี่นะ โคตรวาบที่ท้องน้อยเลย มันทั้งเจ็บทั้งเสียวแปลกๆ แต่มันเจ็บมากกว่า พอไอ้โอ้ตเห็นว่าผมเริ่มจะชินแล้วมันก็เริ่มซอยเร็วขึ้นเรื่อยๆๆ ผมก็นอนกัดหมอนเลยอ่ะคับ มันเจ็บมากกว่าเสียวแว้ววว ซักพัก โอ้ตมันก็จับผมพลิกให้ผมนอนหงาย เชื่อป่ะ ผมไม่กล้าสบตามันอ่ะ อายไงก็ม่ะรู้ นอนหลับตาอย่างเดียวเลยคับ เลยไม่รู้ว่าหน้าไอ้โอ้ตตอนเสียวมันเป็นไงเลยหว่ะ

โอ้ตมันยกขาข้างหนึ่งพาดคอ อีกข้าง มันก็จับไว้ ฉีกออกกว้าง แล้วโอ้ตมันก็กระแทกบั้นท้ายลงที่ตัวผม ดังบึ๊ก..ๆ..ๆ มันครางเบาๆ แต่ทำให้ผมรู้สึกว่า สาดด เถื่อนชิบหายคับ แล้วรัวเอวไม่ยั้ง ผมนี้ ป่วนไปทั้งท้อง โอ้ตจ้องตาผม แล้วมืออีกข้างก็บี้ที่หัวนมผม แล้วกระแทกแรงๆอีกหลายหน ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรมาปั่นตรงรูตลอดเวลา

“ไอ้โอ้ต บะ เบาๆ ”

โอ้ตมันก็ก้มลงมาดูดปากทุกครั้งที่ผมโอดคับ สาดด จนแล้วจนรอด พอมันก้มลงมาจูบผมครั้งสุดท้าย ตัวมันก็กระตุกคับ แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรออกมาที่ก้นผมหรอก แค่รู้สึกว่ามันเลิกขยับเอวมัน แล้วก็เริ่มนิ่ง ก็รู้ว่ามันคงเสร็จแล้ว !!

“เง้ย .. ”

“โอ้ต โอ้ต” ผมค่อยๆเรียกมันเพราะเห็นมันนอนซบผมนิ่งเรย ท่าจะเหนื่อยจัด

“หือ ว่าไงคับ เมียจ๋า” มันพูดแล้วก็หอมแก้มผม

“ไอ้โอ้ต” ผมขึ้นเสียงอ่ะ ไม่ชอบเลยว่าเรียกแบบนี้

“ค๊าบๆ ว่าไงคับที่รัก”

“เมิงไม่ใส่ถุงใช่ป่าวเนี่ย”

มันก็ยิ้มๆ แล้วก็บอกว่า จะเอามาจากไหนล่ะ ก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะได้เอาปริ้นนี่หว่า อะไรเทือกนี้

“เอาออกซะทีเด๊ะ” ผมบอกมันเพราะว่า เคมันยังอ่อนคาตูดผมอยู่เรย

“จ๊ะๆ” มันพูดแล้วก็ค่อยๆถอนเจี้ยวมันออกมา ได้ยินมันบอกว่า ให้นอนนิ่งๆก่อนนะ ตอนมันถอนออกมานะ ผมงี้ โล่งโคตรอ่ะ โอ้ตมันก็กุลีกะจอไปเปิดไฟดวงเล็ก แล้วก็ไปหยิบทิชชู่มาปึ้งใหญ่ มาเช็ดทำความสะอาดให้

“เลือดออกด้วยอ่ะปริ้น” มันพูดเสียงไม่ค่อยสบายใจ

“เออ นั่นดิถึงว่า มานแสบๆ แปร๊บๆ อยู่เลย” ผมพูดแล้วก็ค่อยๆยันตัวขึ้นมา โอ้ย กรุหน่วงๆตูดชิบหาย

“แสบหรือเสียว ”

“ไอ้โอ้ต” ผมพูดแล้วก็ตบหัวมันทีนึงเป็นการแก้แค้น

“ม่ะ ไปล้างตัวเหอะ เดินไหวป่าว” มันพูดแล้วก็ค่อยๆย่อตัวหันหลังให้ผม

“ขึ้นมาดิ เด๋วแบกไปห้องน้ำ” ผมก็เลยค่อยๆยันตัว แล้วก็ขึ้นขี่หลังให้มันแบก หุหุ

“โอ้ต ทีหลังไม่ให้ทำแบบนี้แล้วนะ โคตรเจ็บเลยอ่ะ”

“55 เจ็บเหรอคับ ครั้งแรกก็เงี้ยแหละ พอครั้งต่อๆไปเดี๋ยวก็เสียวครับ” มันหันมายิ้มเย้ยๆผม

“ไม่มีครั้งต่อไปแล้วว้อยย”

“ไม่ให้ก็จาเอาอ่ะ ยังไงปริ้นก็เป็น มะ …เอ้ย แฟนโอ้ตแบบชอบธรรมแล้วนา ”

“เหอะ ขี้ตู่นี่หว่า เด๋วเหอะ ไข้ขึ้นอีกหรอก” ผมบอกมันอายๆ

“ถ้าไข้ขึ้นอีก เดี๋ยวโอ้ตก็ฉีดยาปริ้นให้อีกไง” มันว่าพลางหัวเราะ

“ไอ้บ้า คนป่วยดิต้องโดนฉีด ไม่ใช่ให้คนป่วยมาฉีด !!! ”

“เอาน่า สัญญาว่าจะไม่รังแกปริ้นอีก …” โอ้ตรับคำ

“จนกว่าจะหมดกีฬาสีนะ เดี๋ยวลีดจะไม่มีแรงเต้น หึหึ ”

แหมพูดแบบนี้ อย่าให้ถึงทีกรุบ้างน้า ไอ้โอ้ตตตต แต่ตอนนี้กรุหิวโคตร แถมง่วงมาก

โอ้ต ขอนอนที่นี่นะ ง่วงอ่ะ

ได้ค๊าบ โอ้ตมันว่า แล้วก็ช่วยผมล้างตัว ล้างโน่นล้างนี่ แล้วก็ช่วยผมน้ำแตกในห้องน้ำ ขึ้นเตียงได้ สลบเลยกรุ แหง่ก

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [21-4-12] Part 3
«ตอบ #87 เมื่อ21-04-2012 14:12:57 »

เช้าวันนี้ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิมมากมาย ไม่ใช่เพราะเจ็บที่ตูดอย่างเดียวนะครับ แต่เพราะว่าเช้านี้ มีคนนอนกอดอยู่ข้างๆ มันอบอุ่นง่ะครับ ปกติตื่นมาคนเดียวก็กลิ้งเกลือกไปทั่วตัว วันนี้ตื่นก็หันไปเจอโอ้ตนอนหลับตาพริ้ม

ผมมองแล้วก็รู้สึกหมั่นไส้มันครับ อารมณ์ประมาณว่า ม่ะคืนอ่ะ ทำกรุได้น้า ทำกรุได้ แต่ไม่ได้ติดใจไรมากครับ ตรงกันข้าม กลับรู้สึกดีกับมันมากขึ้นต่างหาก

“มองอะไร ห่ะ” มันลืมตามามองผมขณะหันไปมองมัน

“ไม มองไม่ได้เหรอ” ผมพูดประชด แล้วก็หันกลับทำนอนต่อ หุหุ (แก้เขิลซะงั้น)

“หึหึ” มันหัวเราะในลำคอ แล้วก็เบียดตัวชิดกับผมมากขึ้น ไออุ่นจากตัวมันสัมผัสเข้ากับด้านหลังผมจนขนลุก

“อย่าหัวเราะแบบนี้เด๊ะ ไม่ชอบ” ผมพูดเสียงสั่นๆ เมื่อมันเริ่มแกล้งไซร้จากด้านหลังมาที่คอเรื่อยๆ

“เฮ้ย อย่าเล่นดิ - - กี่โมงแล้วเนี่ย” ผมว่าพลางพยายามเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกามาดู แต่โอ้ตมันเอามืออีกข้างมาจับมือผมไว้ แล้วก็ค่อยๆกุมมือประมาณว่า ให้ผมนอนต่อ อย่าขยับ โอ้ตเบียดตัวจนแนบชิดแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน มือโอ้ตที่กุมมือผมไว้เมื่อกี้ ก็เลื่อนมาแนบที่หน้าอกผม

- อ่า ไอ้โอ้ต รู้ป่าว ตอนนี้กรุมีฟามสุขมากเลยอ่ะ ถึงกรุไม่บอก แต่เมิงทำแบบนี้ กรุแทบละลายหลอมเข้าไปในตัวเมิงเลย –

“ทำไมหัวใจเต้นแรงจัง” โอ้ตกระซิบข้างๆหู

“อือ …”

“ตื่นเต้นเหรอ ? ”

“อือ …”

“ชอบให้กอดแบบนี้เปล่า ? ”

“อือ …”

“โอ้ตรักปริ้นนะ รักมากด้วย” มันพูดด้านหลังผม ทำให้อดเห็นหน้ามันตอนพูดคำนี้เลย อยากรู้จังว่าหน้ามันจะเหมือนผมตอนนี้ป่าว ที่รู้สึกว่า ร้อนขนาด ทั้งๆที่มันพูดคำว่ารักผม ออกจะบ่อยไป แล้วผมก็รู้ ว่ามันก็ต้องการคำๆนี้จากผม แต่ก็ยังไม่เคยบอกมันเลยซักครั้ง

“ปริ้น .. - - ”

“ปริ้นก็รักโอ้ตคับ” อ๊ากซ์ กรุพูดออกไปแระ รู้สึกร้อนรุ่มตรงใบหน้ายิ่งยวด

“อะ - ไร – นะ ไม่ค่อยได้ยินเล”ย ไอ้โอ้ตถามผมอีกรอบ แต่ผมรู้แหละว่ามันได้ยินชัดเจน เพราะพอผมพูดออกไป มือมันกำผมแน่นกว่าเดิมอีก

“ปริ้นรักโอ้ตคับ ” ผมเต็มใจตอบไปอีกรอบนึง ไม่อยากกวนโอ้ยมัน หุหุ

โอ้ตมันพลิกตัวผมนอนหงายประจันหน้ามัน โอ้ย ทำมายต้องให้มองหน้าด้วยวะ กรุแพ้สายตาเมิง ก็รู้

“มองโอ้ตดิ” มันพูดเมื่อเห็นผมไม่กล้าสู้ตามัน

“มองโอ้ต แล้วบอกอีกทีซิ ” มันพูดไปยิ้มไป

“อะไรวะ ก็ บอกไปตั้ง 2 รอบแล้วนะ” ผมพูดทำปากเบ้ไปด้วย โอ้ตมันมองเฉยครับ ประมาณว่า ถ้าผมไม่พูดอีกรอบ มันก็จะมองผมอยู่แบบนี้แหละ

“เอาวะ”

“ปริ้นก็รักโอ้ต รักมากกกกกกกด้วย - - - พอใจยัง(วะ) ” คราวนี้ผมพูดแนวประชดนิดๆ

โอ้ตยิ่มแฉ่งฟันขาว ตอบกลับมา

“พอใจแล้วคร๊าบบบ” พูดเสร็จมันก็ก้มลงมาจุ๊บปากผมทีนึง แล้วก็เลื่อนตัวเองลงมา จับขาผมขึ้นพาดไหล่มันสองข้างเลย

“เฮ้ย ไอ้โอ้ต - - ทำไรเนี่ย”

“รักโอ้ต งั้นโอ้ตขอกินปริ้นมื้อเช้าอีกมื้อนึงนะครับ ม่ะไหวแล้ววว ”

“ ไอ้โอ้ตตตต - - กรุยังไม่หา - - แอ๊กกก…. = =’’ ”

***************************


ติ๊ง ต๋อง ตอง ต๋อง ต๋อง ตอง ต้อง ต่อง

“เอ้า วิ่งเข้า วิ่งเข้า ปริ้น โรงเรียนเข้าแล้วเห็นมั้ย ? ” ไอ้แสดโอ้ต ยังมาเร่งให้วิ่งอีก ม่ะเช้าล่อกรุซะยิ่งกว่าม่ะคืนอีก
ยังมีการทำหน้าทะเล้นสั่งให้วิ่ง

มันวิ่งเหยาะๆ นำหน้าผมไปก่อน ผมก็พยายามจะวิ่งอะนะ แต่มันเจ็บอ่ะ รู้สึกว่ามันก้าวขาไม่สะดวกยังไงไม่รู้ ได้แต่ทำหน้างอนมันให้รู้ว่า ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเมิงนะ

“ทำหน้าแบบนั้นอีก เร็วๆเข้า”

“เฮ้ย 2 คนนั่นน่ะ เล่นกันอยู่ได้ โรงเรียนเข้าแล้ว เดี๋ยวโดนกักหรอก ไอ้ประธานนักเรียนนี่หว่า” พี่ยามตะโกนทำให้พวกผมต้องรีบใหญ่เลย

“แล้วตอนเย็นอย่าลืมไปซ้อมนะ” โอ้ตมันว่าพลางยิ้มกริ่ม แล้วจะตามไปทีหลัง

ผมก็ทำหน้าตาไม่พอใจนิดหน่อยครับ อาไรวะ ตั้งแต่ม่ะเช้าแระ เอาแต่สั่งๆๆๆกรุ ตลอดเลย ม่ะพอใจว้อยยย

หลังจากแยกกับมัน ผมก็รีบเดินไปขึ้นเรียนวิชาแรก โอ้ว ตึก 5 ชั้น 4 ทำมายยยย กว่าผมจะย่องขึ้นไปชั้นบนสุด ก็แทบรากเลือด เพื่อนๆมันเข้าไปกันหมดแล้วล่ะ

“ขออนุญาตคับ อาจารย์”

“มาสายอีกแล้วนะเธอน่ะ” อาจารย์เหลือบมองผ่านแว่น แล้วก็ปล่อยให้ผมผ่านเข้ามาได้ ผมก็รีบเดินไปนั่ง แต่ก่อนหน้านั้น ก็เห็นซังมันมองผมตั้งแต่เข้ามาแล้วล่ะ ส่วนไอ้คิว ก็เหมือนเดิมคับ ไม่สนใจใคร นั่งลอกการบ้านอยู่ข้างหลังอ่ะแหละ

ผมก็ทำหน้าไม่ค่อยถูกครับ เพราะปกติซังมันทำหน้าเฉยๆอยู่แล้วอะ เลยไม่รู้ว่ามันหายโกดผมยัง หรือยังโกดอยู่ เลยไม่ได้ทักมัน พอผมนั่งลงเท่านั้นแหละ มันก็เอามือมาตบหลังคับ เหมือนจะทักตามปกติ

“หวัดดีปริ้น” ป๊าบบบบบบบบบบบบบบบบ !!

ซี้ดดดด ไอ้โหด เจ็บคับ เจ็บ มันทักแบบเจ็บเลยอ่ะ เสียงตบหลังดังมากจนเพื่อนเกือบทั้งห้องหันมามอง ผมก็แฮะๆ ไม่มีไร นั่งต่อ

“ทักแรงนะเนี่ย” ผมบอกไอ้ซังเบาๆ

“แรงที่หน่ายยยย” มันพูดแล้วก็เอื้อมมือมาลูบหลังที่มันทำไว้ม่ะกี้เบาๆ ผมละเสียวแว่บ ตลอดเวลาเรียนคาบนั้น ผมกลายเป็นคนหวาดระแวงไปเลยคับ เวลามันทักทีนึง ก็สะดุ้งทีนึง แอบเห็นไอ้คิวหัวเราะเยาะผมข้างหลัง แล้วอยากจะฆ่ามัน เพราะมันเลยนะ ผมเลยโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง

พอหมดคาบปั๊บ ไอ้คิวก็เดินออกไปกะกลุ่มเพื่อนมัน ผมก็กะลังจะเดินออก ซังมันก็เดินเข้ามาข้างๆ ผมก็รีบหันไปมองมัน กลัวมันมาต่อยอะซิ

“เอ้ย ทำไมต้องกลัวเราขนาดนั้น”

“อ้าว จะรู้ป่าวล่ะ ก็เล่นซะเจ็บหลังเลยนี่หว่า” ผมพูดเคืองๆ (แต่ความกลัวยังมีอยู่)

“โห แค่ล้อเล่นเอง คิดมาก” นี่ขนาดมันล้อเล่นนะเนี่ย =*=

“เออ ให้มันเจงเหอะไอ้ซัง - - ว่าแต่ เราขอโทษนะ เรื่องวันเสาร์อ่ะ” ผมสารภาพ

ซังมันก็ยิ้มๆคับ ผมงี้ค่อยโล่งอกหน่อย แสดงว่ามันก็คงหายโกดแล้วล่ะ

“ช่างมันเหอะ คิวมันบอกหมดแล้ว ว่ามันสั่งให้ปริ้นทำ”

“อารายนะ มันบอกว่ามันสั่งเหรอ ” ผมพูดอย่างเคือง

“55 โกดเหรอ มันก็งี้แหละ ไม่ต้องใส่ใจมันมาก”

“ดูท่าทางเข้าอกเข้าใจกันเจงเลยนะ” ผมพูดแซวมันด้วยความหมั่นไส้ “ปกป้องกันเหลือเกินนนน”

ซังมันหน้าแดงนิดหน่อย

“แล้วเคลียกันยังไงล่ะในโรงหนังอ่ะ” ผมถาม คราวนี้หน้าไอ้ซังแดงหนักไปกว่าเก่าอีก มันต้องมีอะไรแน่เลยเนี่ย

“ไม่บอกวุ้ย เอาเป็นว่าเข้าใจกันแล้วกัน”

“อ่ะๆ ไม่บอกก็ไม่บอก” ผมพูดแล้วก็ตีตูดมันทีนึง ปรากฏว่าไอ้ซังร้องจ๊ากกก

“โอ้ยยย เจ็บโว้ย ตีมาได้”

“ตีเบาๆเองนะ 555 อ่อ รู้แระว่า เคลียกันยังไง หุหุ” ผมพูดแบบไม่ได้ดูตัวเอง

“ไอ้ปริ้น เด๋วเหอะ เด๋วโดน” มันพูดไปหน้าแดงไป แล้วก็เดินก้มหน้างุดๆๆลงตึกอ่ะคับ ขาแอบถ่างหน่อยๆ
กร๊ากกก ไอ้คิวนี่ไม่ใช่เล่นเลย สงสัยหลายรอบแน่ ^^’’

***************************


ถ้าจะบอกว่า วันนี้เป็นวันที่ซ้อมหนักที่สุดเท่าที่เคยซ้อมมาก็คงไม่ผิดนักหรอกครับ เพราะนอกจากที่ต้องพาร่างที่ไม่ค่อยจะสมบูรณ์มาเต้น มาต่อตัว ผมก็แทบแดดิ้นไปกับพื้น ต่างจากลีดผู้ชายคนอื่นๆอย่างไอ้โค๊ก หรือกั๊กเนี่ย มันฟิตกันจริงๆ

“แอร๊กก ”

ผมร้องเสียงหลง เมื่อพลัดตกลงมาตอนที่กำลังต่อตัวอยู่ ไอ้โค๊กรีบเข้ามาดูขาผมว่าเป็นไรมากป่าว

“เป็นไง ไม่ไหวก็ต้องไหวนะน้องปริ้น” เจ๊ซายผู้โหดร้ายในวันที่รู้จักแรกๆ กลับเข้ามาปลอบผม

“คับพี่ … ผมขอโทดนะ ” ผมพูดความรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงของทีม ถ้าตอนแรกที่พี่ท็อปมาชวน แล้วผมปฏิเสธไป ป่านนี้คงซ้อมถึงไหนต่อไหนแล้ว

“แอร้ย .. จะมาขอท่ง ขอโทษทำไมยะ ลุกๆ เอาคำขอโทด เปลี่ยนมาเป็นตั้งใจให้มากขึ้น เจ๊จะยกโทษให้” เจ๊ซายบอกผมแล้วก็ตบบ่า

ผมยิ้มให้ทีนึง แล้วก็โชคดีที่ขาไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าแค่ช้ำนิดๆ

“ไหวป่าวพี่” เสียงโค๊กถามด้วยความเป็นห่วง โดยเห็นไอ้กั๊กส่งสายตาเขียวปั๊ดมาหา

“เออ ไหวดิวะ” ผมพูดแล้วก็พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมา

“เฮ้ย กั๊ก มาช่วยพยุงพี่เค้าลุกหน่อย ” ไอ้โค๊กมันตะโกนเรียกไอ้กั๊กที่ตกใจที่ไอ้โค๊กเรียกมัน แล้วก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามาพยุงปีกผมอีกข้าง

“ขอบใจ”

ไอ้กั๊กมันพยักหน้า แต่ก็ยังไม่พูดอะไรเหมือนเดิม หยิ่งจริงๆไอ้นี่ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาคับ เพราะทั้งผม ทั้งไอ้โค๊ก ทั้งไอ้กั๊ก ก็ไม่ได้เขม่นอะไรกันเท่าไร อาจจะเป็นเพราะเวลาที่เริ่มกระชันชิดเข้ามาด้วย จะมัวมาวางมาดไม่ได้แล้วล่ะ ทุกวันๆ กิจวัตรที่ต้องทำ มีแต่ต้องซ้อมๆๆๆ เรียนก็โดดเพื่อไปซ้อม ดูดิ = =’’ แต่ได้ไอ้ซังมันช่วยคับ เลยไม่ต้องกังวลเรื่องงานเท่าไร ไอ้คิวก็ช่วยคับ ช่วยเป็นภาระของไอ้ซังอีกทีนึง ไอ้เวน !!

เวลาผ่านล่วงเลยไปไวเหมือนติดปีก รู้ตัวอีกที ก็เหลืออีกเพียง สาม สี่วัน ก็จะถึงวันกีฬาสีแล้ว อธิบายหน่อยว่าโรงเรียนที่ผมอยู่เนี่ย จะแข่งกันเป็นอาทิตย์ๆคับ ส่วนที่เป็นไฮไลต์จริงๆ ก็คือสองวันสุดท้าย ที่จะมีการตั้งแสตนเชียร์ เพื่อแข่งกีฑาประเภทลู่ กะ ลาน

โอ้ตมันเป็นประธาน ช่วงนี้เลยเครียดหนักโคตร เพราะนอกจากต้องออกแบบแสตนแล้ว ยังต้องรับผิดชอบเรื่องการเชียร์ด้วย ส่วนเรื่องนักกีฬาจะเป็นหน้าที่ของอีกห้องรับผิดชอบครับ แล้วก็อย่างที่บอก พอถึงเวลาใกล้ออกศึก คนเราก็จะหันหน้าเข้ามาเป็นมิตรกันได้เหลือเชื่อไม่ลง

วันนี้เป็นวันที่ต้องลองชุดลีดคับ มีสองชุด ชุดละวัน

“ง่า ทำไมมันรัดแบบนี้วะ” เสียงไอ้โค๊กมันบ่น ตอนลองคับ เพราะว่าชุดมันรัดติ้วเลย เห็นอะไรไปถึงไหนต่อไหน เพราะมันล่ำ แล้วก็ตัวใหญ่ด้วย พี่ๆผู้หญิงที่เป็นสต๊าฟพากันกรี้ดกร๊าดกันน่าดู ส่วนผมกะไอ้กั๊กไม่เท่าไร เพราะว่าตัวไม่ค่อยใหญ่ แล้วก็ไซต์ก็พอดีตัว ไม่รัดมาก หุหุ

“ก็ดูดีอ่ะ ผมบอกเป็นเชิงปลอบๆ มันก็ดูหน้าเสียพอควร

“พี่ปริ้นดูจิ มันรัดขนาดนี้ ถ้าเต้นๆไปแล้วเจี้ยวผมลุกนี่ อายมุดดินหนีเลยนะ” มันยังบ่นไม่เลิก ไอ้กั๊กมันก็ดอมๆมองๆ ใกล้ๆโค๊ก จ้องตาเป็นมัน ผมรู้นะว่ามันคิดไรอยู่ หุหุ

“โห ไอ้บ้า มาKลุกอะไร คนเยอะแยะ สาดด แต่มันก็ดูไม่น่าเกียดมากหรอก ออกจาเฟิร์ม มั่นใจหน่อยดิ จริงป่ะกั๊ก” ผมหันไปถามไอ้กั๊กที่นั่งเหม่อฟังพวกผมคุยอยู่ มันสะอึกนิดหน่อย แต่ก็เออออ

“ก็ดีนี่ ไม่รัดมากหรอก” มันกระแอมแล้วก็พูดเสียงเบาๆ ดูหน้ามันแดงๆชอบกล แต่ไอ้โค๊กกลับทำหน้าเบ้แทน มันก็ยังรู้สึกไม่สนิทใจไอ้กั๊กอยู่มั้ง

คุยๆกันอยู่ โอ้ต แล้วก็เจ๊ซาย ก็เดินเข้ามาที่ห้องลองชุด

“ว้าววว รัดได้ใจเจ๊มาก” เจ๊แกล้งมอง(หรือไม่แกล้ง)ด้วยความหื่น

“เจ๊ มองไร ผมอายนะ” ไอ้โค๊กแหวใส่แล้วก็ทำท่าทางจะเปลี่ยนชุดกลับเป็นชุด นร เหมือนเดิม จากนั้นเจ๊ก็กวาดสายตามองมาที่ไอ้กั๊ก แล้วก็ติโน่น ตินี่ให้แก้อะไรนิดหน่อย มันก็ไปเปลี่ยนชุด เจ๊ก็หันมามองผม แล้วก็ยิ้มๆ

“ผมต้องแก้อะไรอีกป่ะคับ” ผมพูดแล้วก็หมุนๆตัวให้เจ๊ดู

“ปริ้นแก้ผ้าให้เจ๊ดูจะเป็นบุญตาเจ๊มากเลย” ดูเจ๊แกพูดดิ

“แค๊กๆๆๆๆ” เสียงไอมาจากด้านหลังคับ จะเป็นใครล่ะถ้าไม่ใช่ไอ้โอ้ต

“ไอไรยะ นังโอ้ต” เจ๊วายเหลือบตาไปมอง

“ป่าวเจ๊ - - เอ้า เรียบร้อยแล้ว ก็รีบไปเปลี่ยนชุดเซ่ ปริ้น ยืนทำไรอยู่ได้” โอ้ตมันสั่งผมแบบไม่พอใจอะไรยังงั้นแหละ ตกลงกรุทำไรผิดอีกง่ะ

ผมได้ยินเจ๊สั่งโน่นสั่งนี่ อีกนิดหน่อย ก่อนที่จะให้เรียกให้ไปซ้อมต่อที่บ้านพี่ต่าย


***************************


ตึก ตัก ตึก ตัก

เสียงหัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะที่เคยเต้น ผมก็เชื่อว่าพี่ๆ เพื่อนๆในทีมก็คงเป็นอาการแบบเดียวกะผม วันนี้แล้วคับ กับความพยายามตลอดสองเดือนที่ทุกคนทุ่มเท เพื่อกิจกรรมนี้ แล้วตัวผมก็เป็นส่วนนึงที่ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

“ZzzzzzzzzzzZ คร่อกกก”

เพี้ยยะ

“โอ้ย !! ตบหัวทำไมเนี่ย พี่ท็อป”

“นี่ จะมาหลับไรวะ นั่งดีๆให้พี่เค้าแต่งหน้าให้สะดวกๆ” พี่ท็อปมันเดินบ่นไปบ่นมา ไปทางโน้นที ทางนี้ที โห จะไม่ให้ผมง่วงไงไหวล่ะ เพราะว่า ผมยังหลับได้หน่อยเดียวเอง เมื่อคืน ก็อยู่ช่วยโอ้ตทำแสตนจนเกือบถึง เที่ยงคืน แล้วก็โดนไล่ให้ไปนอนบ้านพี่ต่าย เพราะว่าพวกลีดจะต้องตื่นมาจัดแจงอะไรต่ออะไร ตั้งแต่ตี 4 โอ้ว แต่แข่งตอน 9 โมงเช้าเนี่ยนะ

บอกตามตรง ชีวิตนี้ นอกจากใช้แป้งเด็กแคร์ กับใช้ลิบมันทาปากตอนหน้าหนาวแล้ว ก็ไม่เคยมีเครื่องสำอางอะไรมายิ้กๆอยู่ตามหน้าผมได้เลย เลยรู้สึกรำคาญอย่างมหาศาล แถมแมร่ง เจ๊ซาย มาแต่งหน้าให้ผมเองอีกตะหาก วู้
ทำให้ไม่กล้าทำไรมาก เด๋วโดนตบ

“เจ๊ใกล้เสร็จยังเนี่ย ” ผมเริ่มบ่น

“ยังคะคุณชาย จะรีบไปไหนเนี่ย แล้วก็อยู่นิ่งๆซิ ” เจ๊พูดแล้วก็จับคอผมหันไปตามทิศทางที่แกต้องการ จนเกือบคอเคล็ด

“อ๋อยยย เสร็จยางงง ผมปวดฉี่ว้อยย ”

“เอ้า แล้วไมไม่บอกล่ะ เด๋วก็ราดพอดี รีบๆไปนะ” เจ๊แกพูดแบบรมณ์เสีย

กว่าจะใส่ชุด แต่งหน้า ทำผมเสร็จ ผมก็แทบรากเลือด ปิดท้ายความสมบูรณ์ด้วยการที่เจ๊เอาแว๊กมาระเริงหัวผมซะเยิ้ม แล้วก็ทำเป็นทรงแห้วไรก็ไม่รู้

“โอ้ย วันนี้ปริ้นมันหล่อแฮะ” พี่ต่ายเดินเข้ามาทัก ผมพ่นลมออกทางจมูก เป็นเชิงไม่เห็นด้วย ปกติกรุน่ารักอยู่แล้วว้อย

“อ่ะ ปริ้นใส่นี่ก็เสร็จแล้ว” เจ๊ซายเขวี้ยงเอาเสื้อที่คล้ายๆกะสูทให้ผมสวมทับ แต่มันไม่หนักแล้วก็หนาเท่าสูทคับ ไม่งั้นเดี้ยงแน่ ตกลงเป็นว่า กว่าจะเสร็จกิจ ก็ปาเข้าไปเกือบ 7 โมง ผมเสร็จเป็นคนสุดท้ายพอดี

ออกมาจากห้องรับแสงเดือนแสงตะวัน ทำให้ตัวเองรู้สึกปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก

สรุปว่าตอนนี้ทุกคนดูดีกว่าวันลองมากคับ สงสัยเพราะว่าวันนี้แต่งหน้าแต่งตา แล้วก็ใส่ชุดเต็มยศมั้ง แต่ผมก็ไม่เห็นว่าตัวเองจะดีขึ้นกว่าแต่ก่อนตรงไหนเลย

“เอ้าขึ้นรถได้แล้วเด็กๆ” เจ๊ซายบอก โดยมีพวกพี่ต่ายต้อนให้พวกลีด 7 คนขึ้นรถ เออ ลืมบอกไปคับ ลีดมาแต่งตัวที่บ้านพี่ต่าย เพื่อความสะดวก แล้วก็ให้พี่ท็อปขับรถไปส่งที่ โรงเรียน ระหว่างเดินทาง ไอ้โค๊กมันก็หันมามองบ่อยๆ

“มองไรวะ ไอ้ตุง” (ผมเรียกมันตั้งแต่วันที่มันลองชุดแล้ว มันตุงกว่าเพื่อนคับ เลยเรียกว่าไอ้ตุง)

“โห เรียกซะหมดค่าเลย - - ป่าว ก็เห็นว่าวันนี้น่ารัก เออ ดูดีอ่ะ ก็เลยผิดกลิ่น เหอๆ”

“ไหนเห่าซิ”

“กำ คนไม่ใช่ม้า”

“แสดด หมาว้อยยย ”

ใจผมเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างทางที่รถขับไป ยิ่งใกล้โรงเรียนมากเท่าไร ความรู้สึกก็เหมือนต้องขึ้นแท่นประหารซะอย่างงั้น ตื่นเต้นว้อยยย !!

-------------------------------------TBC----------------------------------

ออฟไลน์ CarToonMiZa

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +820/-41
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [21-4-12] Part 3
«ตอบ #88 เมื่อ21-04-2012 20:25:39 »

ปริ้นโดนจับฉีดยาซะแล้ว :z2:

ออฟไลน์ Lemon_Tea

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1641
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: บ้านพักอลเวง โดย stayingpower [21-4-12] Part 3
«ตอบ #89 เมื่อ21-04-2012 22:24:45 »

ปริ๊นเรียบร้อยโรงเรียนโอ๊ตซะแล้ว
ขนาดป่วยนะเนี่ย ยังมีแรงอีกเหรอพี่โอ๊ต

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด