ตอนที่ 47
ผมนั่งใจจดใจจ่อ มองเบอร์โทรในเศษกระดาษ และ มองนาฬิกาไปด้วย
รอว่าเมื่อไหร่จะสี่ทุ่มสักกะที
พอสี่ทุ่มก็กลัวๆกล้าๆ และตื่นเต้นที่จะโทรไปหาหนุ่มน้อยคนนั้น
สุดท้ายผมก็รวบรวมความกล้า และกดเบอร์ไปทันที
เมื่อได้ยินเสียงคนรับผมก็จะทัก แต่ปรากฏว่าเป็นเสียงรตอบรับอัตโนมัติของเครื่องรับฝากข้อความ
“ตอนนี้โจ้ไม่อยู่นะครับ มีอะไรฝากไว้แล้วกัน” เป็นเสียงของหนุ่มน้อยคนนั้น
“เออ คือผมโทรมาแล้วนะครับ ไม่นึกว่าคุณจะปิดเครื่อง เอาไงดีอ่ะ คือ ผมอยากคุยกับคุณ เอาเป็นว่าผมจะโทรมาใหม่นะครับ”
พูดเสร็จผมก็จะกดวาง แต่ได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมา
“นายนี่ตลกจัง นึกว่าเป็นเสียงตอบรับจริงๆเหรอ” หนุ่มน้อยพูดไปขำไป
“เอ้า เวร โดนหลอกเหรอ” โดนอำซะแล้ว
“ตรงเวลาจังเลยนะ”
“อ๋อครับ ก็ผมอยากคุยกับคุณนี่”
“ถามจริงเถอะนายสนใจเราตรงไหนเหรอ”
เจอคำถามนี้ก็อึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะตอบไปตามความเป็นจริง
“ก็นายน่ารักดี ดูไม่เหมือนเกย์ทั่วไป”
“เหรอ นายชอบเกย์ที่ไม่เหมือนเกย์ แล้วนายรู้ได้ไงว่าเราเป็นเกย์”
“ไม่รู้หรอก ผมก็ไม่คิดว่าคุณจะเป็นเกย์”
“เอ้า แล้วปกตินายเดินตามผู้ชายที่ชอบอย่างเนี้ยเหรอ”
“ก็มีบ้างครับ แต่ก็ไม่เคยให้เบอร์ใครง่ายๆเหมือนคุณ” เจอผมแซวกลับไปซะเลย
“ยังไม่ทันจะรู้จักกัน ก็ว่าเราแล้วเหรอ” เสียงเหมือนจะดุเลย
“ป่าวครับผม ผมแค่แซวเล่น นิสัยผมก็เป็นเงี้ยแหละ ชอบแซวเค้าไปทั่ว”
“เหรอ เออ นายชื่ออะไรอ่ะคุยกันตั้งนานยังไม่รู้จักชื่อเลย”
“ผมบั้มพ์ครับ คุณชื่อ โจ้ใช่ป่ะ” ที่รู้ชื่อ เพราะได้ยินตอนที่เขาอำผม
“ช่าย แล้วทำงานอะไรหละ” โจ้เริ่มซักประวัติแล้ว
“เออ คือ..” ผมอ้ำอึ้งไปพักหนึ่ง ไม่อยากตอบว่าไม่มีงานทำ มันดูเสียฟอร์มยังไงไม่รู้
“ผมทำงานบริษัท โฆษณา อ่ะครับ” ผมตอบมั่วๆไป
“อ๋อ จบ นิเทศมาหละซิ”
“ถูกต้องคร้าบบ รู้ได้ไงเนี้ย”
“แหม ทำงานโฆษณา ก็ต้องจบนิเทศดิ”
“แล้วนายเรียนไรอ่ะ ยังเรียนมัธยมอยู่ใช่ป่ะ” ผมถามไปอย่างนั้น ทั้งๆที่รู้ว่า หน้าเด็กๆอย่างเนี้ย ยังอยู่มัธยมแน่ๆอยู่แล้ว
“อืมม ปี4 แล้ว” โจ้ตอบ
“เฮ้ย! แสดงว่าห่างกับเราแค่สองปีดิ ทำไมหน้ายังกะเด็กมอหก”
“ขอบคุณที่ชม คือที่เรายังดูเด็กกว่าอายุ มันมีเคล็ดลับนิดหน่อย”
“จริงเหรอ บอกหน่อยได้ป่าว” ผมชักสนแล้วสิ เผื่อเอาไปใช้บ้าง
“คือ อย่าบอกใครนะ เรากินเลือดของเด็กทารกสดๆ ผสมกับ เนื้อหมา”
“ห๊า...ว่าไงนะ” ผมช็อคกับคำตอบ
“55555 ล้อเล่นน่า นายเชื่อด้วยเหรอ” โดนอำอีกแล้ว
“ใช่สิ ใครจะเชื่อ 5555” ผมหัวเราะกลบเกลื่อน ทั้งที่เมื่อกี้ ตกใจเพราะนึกว่าเรื่องจริง
“จะว่าเราหัวโบราณก็ได้นะ คือเราไอ้อ่านหนังสือ เกี่ยวกับความเชื่ออินเดียโบราณ เกี่ยวกับเรื่องเซ็กส์”
“แล้วไงอ่ะ” ผมขมวดคิ้ว พอได้ยินคำว่าอินเดียก็นึกถึง พวกกาลามสูตร คัมภีร์บรรยายท่าทางต่างๆในการรวมรัก พอดีในหัวมันมีแต่เรื่องนี้
“เขาบอกว่า การเข้าถึงอัตตา หรือ การที่จะบรรลุความสุข มนุษย์เราต้องรู้จักอดกลั้นในเรื่องบางเรื่อง”
“แล้วเขาบอกว่าต้องอดกลั้นในเรื่องอะไรละครับ” ผมรบเร้าให้เล่าต่อ
“เซ็กส์” โจ้ตอบเสียงดังฟังชัด
“ห๊า...ว่าไงนะ” ผมตกใจอีกครั้ง และคิดว่าคราวนี้น่าจะเป็นเรื่องจริง
“นายฟังไม่ผิดหรอก”
“คุณจะบอกว่า ที่หน้าเด็ก เพราะไม่เคยมีอะไรกับใครงั้นเหรอ” ผมถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ไม่รู้สิ แต่น่าจะเป็นอย่างนั้นมั้ง”
“คุณไม่เคยมีอะไรกับใครเลยจริงเหรอ” ผมยังถามไม่เลิก
“อืมม”
“แม้แต่ช่วยตัวเอง” ถ้าตอบว่าไม่เคย คงไม่ใช่มนุษย์ปกติแล้วมั้ง
“ถ้าก่อนเจอหนังสือเล่มนั้น ก็เคยนะ หลังจากนั้นมาก็ไม่อะ” โจ้ตอบอย่างมั่นใจ
“แล้วเวลาเกิดอารมณ์ คุณทำยังไง” ผมถามใหญ่เลย เกิดมาค่อยได้เจอคนแบบนี้
“ก็พยายามสงบสติอารมณ์ หาอย่างอื่นมาทำ เปลี่ยนความสนใจไปเรื่องอื่น”
“คุณอยากหน้าเด็กขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมไม่อย่กจะเชื่อว่ายังมีคนในโลกที่ทำแบบนี้
“ที่จริงหนังสือเล่มนั้น มันไม่ได้บอกว่าจะหน้าเด็กหรอก มันบอกแค่ว่า เราจะพบความสุขของร่างกายและจิตใจ เพราะ เซ็กส์มันทำให้ระบบร่างกายของมนุษย์เสียพลังงาน โดยใช้เปล่า พูดง่าย ราคะตัณหา ทำให้ พลังชีวิตเราลดลง”
“ผมชักอยากเห็นหนังสือเล่มนั้นจริงๆ”
“ไอ้การที่หน้าเด็กกว่าอายุ มันเป็นผลที่แสดงออกมาของคนบางคนเท่านั้น คนอื่นที่ทำวิธีเดียวกับผม อาจจะไม่หน้าเด็กกว่าอายุก็ได้ ผลอาจจะแสดงมาในรูปแบบอื่น เช่น อาจจะเป็นคนใจเย็นลง เป็นคนมีสมาธิกว่าเดิม ผิวอาจจะเปล่งปลั่ง จรกระทั่ง อาจรักษาโรคบางโรคได้”
“ขนาดนั้นเชียว แต่ผมเคยได้ยินมาว่า มีการวิจัยที่ศึกษาเรื่องเซ็กส์ว่าเป็นส่วนช่วยให้มนุษย์มีอายุยืนขึ้น”
ผมก็พอมีความรู้เรื่องนี้ เลยเถียงๆไป
“ก็เราเชื่ออย่างนี้ นายไม่เชื่อก็เรื่องของนาย” โจ้พูดเสียงเคียงๆนิดๆ
เวรๆ ยังไม่ทันจะจีบ ก็ทะเลาะกันแล้ว
“เราไม่ได้ไม่เชื่อ แต่เราไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้” ผมพยายายุติสถานการณ์ แต่โจ้ก็ยังเงียบอยู่
“แล้วนายเคยมีแฟนหรือเปล่า” ผมพยายามหาเรื่องคุย
“เคย” โจ้ตอบห้วนๆ
“อย่าบอกนะว่า เลิกกันเพราะเรื่องนี้”
“ก็มีส่วน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นใหญ่หรอก”
“ผมก็ว่า คนส่วนใหญ่สมัยนี้ มองเรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องใหญ่”
“รวมถึงนายด้วยหรือเปล่า” เวร รู้ทันได้ไงฟ่ะ
“ผมไม่ได้มองว่าเซ็กส์เป็นเรื่องใหญ่ แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตคู่มากกว่า เพราะยังไงมนุษเราก็ต้องการมีเซ็กส์”
“แล้วถ้านายใช้ชีวิตคู่โดยไม่มีเซ็กส์ นายคิดว่านายทำได้หรือเปล่าหละ”
เจอคำถามแบบนี้ก็ตอบยากนะเนี้ย
“ไม่รู้สิ ถ้าผมรักคนๆนั้นแล้ว ถ้าเขาไม่ต้องการให้ผมมีเซ็กส์ ผมคงทำได้มั้ง”
“ไม่ใช่ไปหาเศษหาเลยกับคนอื่นแทนนะ” แนะ แอบเดาใจผมด้วย
“ไม่หรอก ผมไม่ทำให้คนที่ผมรัก เสียใจหรอก” ฟังที่ตัวเองพูดแล้วเหมือนสร้างภาพยังไงไม่รู้เนอะ
“เอาเป็นว่า เรามาลองคบกันดีกว่า ถ้าคุณคิดว่า คุณไปไม่รอด ผมก็ไม่ว่าอะไร” โจ้สรุปเอาดื้อๆ
“หมายความว่า เราเป็นแฟนกันเหรอ” ผมแอบดีใจ แต่ก็เริ่มหวงอนาคตตัวเอง ว่าจะอดได้ใช้เจ้าหนูของผมไปด้วย
“ยังหรอก แค่ลองคบกันดู ถ้าเราสองคนคิดว่าควรจะเป็นแฟน ก็ค่อยว่ากัน”
“ครับผม” ผมตอบตกลง
แล้วความสัมพันธ์ของผมกับโจ้ก็เริ่ม นับตั้งแต่บัดนั้น
-----จบตอนที่47-----
คนละโจ้กับThree Couple of Love นะครับ แต่เป็นโจ้(่jojoe) เอาเป็นว่านายบั้มพ์จะจัดการหนุ่มคนที่10ได้หรือเปล่า