16th Day : Leave me alone [2/2] ผมไม่ได้แลกบัตร และเริ่มคิดว่าการทำเรื่องเป็นทางการแบบนั้นมันยุ่งยากซะเหลือเกิน
และถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ใส่ชุดนักเรียน แต่พี่ยามแกก็จำผมได้...โรงเรียนเรามีนักเรียนอยู่ไม่กี่ร้อยคนหรอกครับ และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงไม่ทักท้วงอะไร วันนี้เป็นวันหยุดสิ้นปีหลังจากวันอีฟ แต่ก็มีนักเรียนใส่เครื่องแบบมาเป็นปริมาณที่ไม่น้อย พวกเขามาเตรียมงานกีฬาสีกับงานOpen House ที่จะจัดต่อกันพอดีหลังจากเปิดปีใหม่ พวกนักกิจกรรมทั้งหลายก็ต้องพักเรื่องไปเที่ยวเอาไว้ก่อน หรือให้พูดตามตรงว่า..โรงเรียนเราให้ความสำคัญเรื่องกิจกรรมมากกว่าสิ่งอื่นใด
อย่างไรก็ดี ไม่ได้มีคนสนใจผมนักแม้ว่าผมจะอยู่ในชุดไปรเวท...ผมหยุดอยู่กลางโถงใต้ตึก ปราดสายตามองไปรอบๆ...แต่ก็ไม่มีวี่แววของคนที่ผมตามหา
ผมหยิบมือถือ โทรหาเขาอีกครั้งหนึ่ง...
...ไม่มีคนรับสาย...เหมือนเดิม...
...ไม่มีอะไรเปลี่ยน... “เฮ้ยเทียน!” เชื่อมั้ยครับ ว่าผมหวังมาตลอดตั้งแต่ที่เดินเข้ามาคือคำๆนี้
คำพูดทักทายที่ผมมักรำคาญทุกครั้งที่มีคนเรียก(และก็มีคนเรียกผมแบบนี้เยอะจริงๆ ไม่เข้าใจว่าเด็กเกษรวิทยาทุกคนเป็นพวกนิยมการ 'ตะโกนทัก' แบบนี้หมดเลยรึเปล่า) ทว่าครั้งนี้ผมรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่จะฟัง
ผมหันไป ปะทะสายตากับเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่ง แน่นอน..หมอนี่ก็มาในฐานะนักกิจกรรมสาขาวงดนตรีโรงเรียนเสมอนั่นแหละ และเขาก็เดินตรงมาด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่งเริงร่าจนน่าหมั่นไส้
แต่ไม่มีเวลาหยุดพัก ไม่มีแม้กระทั่งเวลาจะกลบเกลื่อนความกังวลพวกนี้ด้วยซ้ำ
“เห็นษรมั้ย?” เขากระพริบตา ยังเดินมาไม่ถึงตัวผมด้วยซ้ำ "อะไรนะ?”
“อักษร" ผมย้ำ เกลียดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นมาชอบกล
"เห็นอักษร..บ้างมั้ย?” เขาเหวอไปพักหนึ่ง มองหน้าผมด้วยประกายบางอย่างข้างในนั้น...จับผิด แต่ผมไม่ได้ปิดบัง...มันแทบไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องปิดบังด้วยซ้ำ แล้วหมอนั่นถึงค่อยเอ่ยเสียงแผ่ว
"หมายถึงห้องเด็กเส้นใช่มั้ย? กูได้ยินมาว่า...อักษรอยู่ที่โรงพยาบาล ไม่รู้ว่าจริงรึเปล่า.....”
นั่นทำให้ผมอยากจะทึ้งหนังหัวตัวเองออกมาอีกครั้งหนึ่ง
“เออ ขอบใจ"
และก่อนที่จะสร้างความตื่นตระหนกให้คนอื่นไปมากกว่านี้ผมก็หันหลังบอกตัดบท แต่แน่นอนว่าหมอนั่นไม่ใช่คนประเภทที่จะปล่อยให้พฤติกรรม 'เสือก' หายไปจากร่าง
“ทำไมคนอย่างมึงถึงตามหาอักษรล่ะวะ?” ….ไม่มีความจำเป็นที่ต้องตอบคำถามนั้น
แต่ถ้าเดินออกมาเฉยๆผมคงรู้สึกผิด ผมจึงเลือกที่จะหันกลับมา
“...ถ้าเห็นอักษร โทรหากูด้วย" “มึงไปหาที่โรงพยาบาลมายัง?”
“...ไปมาแล้ว"
“อักษรอยู่ที่โรงเรียนเหรอ?”
“...กูไม่แน่ใจ"
“เทียน" กลอนเท้าสะเอว ขมวดคิ้วใส่ผม
"มึงเลือกที่จะไม่บอกกูได้ กูไม่ว่า มึงคงมีเหตุผลของมึงที่มึงไม่อยากพูด แต่อยากให้มึงรู้ไว้ว่ามึงเป็น 'เพื่อน' กู และหน้ามึงซีดมาก......ดังนั้น.....ถ้ามึงบอกมาคำเดียวว่าอยากให้กูช่วย กูจะทำให้กองทัพโรงเรียนเกษรวิทยาเป็นของมึง" คำนั้นทำให้ผมเงียบ..
..มันเป็นความตะลึงมากกว่าการใช้ความคิด ผมไม่รู้ว่าผมเคยทำแบบนี้มาก่อนในชีวิตรึเปล่า
แต่ที่แน่ๆ...เสียงที่ผมพูดกลับไป...มันสั่นสะท้านเหลือเกิน... “...กูอยากให้มึงช่วย" และไม่ต้องบอกก็คงรู้ใช่มั้ยครับ...ว่าจากนั้นมันเกิดอะไรขึ้น
ผมเคยคิดว่าผมไม่มีเพื่อน..นั่นแหละ เอาเป็นว่าสิ่งเหล่านั้นมันเป็นความคิดของผมมาตลอดจนกระทั่งตอนนี้
การเปิดใจให้ใครมันไม่ใช่เรื่องที่เจ็บปวดหรือน่าเศร้า หรือต่อให้มีความหดหู่แทรกอยู่บ้างแต่ก็เจือไปด้วยรอยยิ้มเป็นบางครา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกมันก็คือความเสี่ยงระหว่างความสุขและความทุกข์...และนั่นคือ 'ชีวิต' ...ชีวิตที่ไม่เพียงตายซากไปวันๆเหมือนที่ผมเคยเป็นมาตลอด
..เขาเป็นคน 'สอน' เรื่องนั้นให้กับผม.. …..เพราะฉะนั้น....... ห้องแรกที่ผมไปคือห้องพยาบาล
สาเหตุแรกเพราะมันอยู่ใกล้ ส่วนอีกสาเหตุนึงคือถ้าอักษรเป็นลมเป็นแล้งไปที่เดียวที่เขาจะไปก็น่าจะเป็นที่นี่
ไม่มีใครอยู่นอกจากอาจารย์ และตอนนั้นเป็นวินาทีเดียวกับที่มีเสียงประกาศเรียกจากห้องประชาสัมพันธ์ถามถึงอักษร...พวกรักร้ายทำงานได้ไวเสมอ และค่อนข้าง..เอ่อ..โจ่งแจ้ง แต่ผมก็ไม่ได้เกลียดวิธีการแบบนี้นักหรอก
พอผมหมุนตัวออกมา...ก็ปะทะกับพวกเด็กห้องทุนกลุ่มหนึ่งที่วิ่งมาทางเดียวกันด้วยท่าทีกระหืดกระหอบ
“ไปดูที่โรงพยาบาลมารึยัง?” พวกนั้นถามผม มันทำให้ผมทึ่งกับคำถามเดิมๆเหล่านั้น แต่ก็ตอบอย่างไม่รังเกียจ "ไปมาแล้ว"
“โทรหาไม่ติด ษรเปลี่ยนเบอร์ป่ะวะ?"
“บ้าเหรอ โรงพยาบาลเขาห้ามใช้โทรศัพท์มือถือเฟ้ย"
“เออนั่นเด่ะ"
“เดี๋ยวกูโทรถามเพื่อนกูนะ เห็นว่ามันจะไปเยี่ยมษรวันนี้"
“เออดี"
“มีใครโทรหาพี่สิญจน์รึยัง?”
“ไอ้ล่าล่ะ? ลาล่าอยู่ไหน?"
..เด็กนักเรียนเกษรวิทยาเป็นพวกชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่..
…..และผมโชคดีชะมัดที่อยู่โรงเรียนนี้ การตามหาตัวอักษรกระจายจากปากต่อปาก และในที่สุดเกือบทุกคนที่มีเตรียมงานวันนั้นก็รู้ความจริงที่ว่าอักษรหายตัวไปจากโรงพยาบาล ซึ่งแค่ประโยคดังกล่าวก็ดูเป็นสถานการณ์ติดความเสี่ยงระดับหนึ่ง และตอนนี้ไม่มีใครสามารถติดต่อเขาได้...ผมเชื่อว่าหลายคนคงกังวล เหมือนผม...และมันเป็นความจริงที่ว่าของหนักๆที่อยู่บนบ่าสามารถช่วยกันแบก...มันเบาลง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมควรจะรู้สึกโล่งใจ...
ผมคิดว่าเกือบทุกซอกมุมของโรงเรียนมีเพื่อนๆช่วยกันหา แน่นอนว่าผมไม่ลืมที่จะวิ่งขึ้นตึก ไปยังห้องเดิมๆ...ห้องที่ผมหาเขาเจอมาตลอด และมันเป็นที่แรกที่ผมคิดว่าเขาน่าจะอยู่ที่นั่น
..เขาคงสบายใจกว่าถ้าอยู่คนเดียว..
…..แต่สำหรับผมในตอนนี้...ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวไม่ได้... ไม่รู้ทำไม เข็มวินาทีถึงเคลื่อนที่ช้าลงตอนที่ผมแตะเท้าลงบันไดขั้นสุดท้าย ไม่มีเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงลมหายใจแรงๆของตัวเอง มันบอกให้ผมรู้ว่าผมมาไกลแค่ไหน...แต่ไม่ได้บอกว่ามันจะสิ้นสุดลงที่ตรงไหน...
เวลามันเชื่องช้า..
...แต่ก็รวดเร็ว...รวดเร็วจนคว้าเอาไว้ไม่ได้... กว่าที่ผมจะเดินไปถึงประตูห้อง หัวใจที่เต้นแรงขนาดนี้ก็กระหน่ำจนแทบจะหลุดออกมา...อุณหภูมิรอบดวงตาของผมดูจะร้อนผ่าว ผมไม่รู้สาเหตุ...แต่ไม่คิดว่าจำเป็นต้องรู้
มันล็อค...
...และอะไรบางอย่างในอกผมร่ำร้องว่าเขาอยู่ข้างใน... ผมหลับตาลง เคาะประตู
มือที่กระแทกลงไปมันสั่น จนเสียงที่ได้ค่อนข้างเบา...แต่ผมรู้ว่าเขาต้องได้ยิน
“ษร...” เสียงที่เอ่ยออกไป ก็ต้องใช้ความพยายามมากกว่าจะทลายก้อนขมๆที่อยู่ที่คอ
...ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา...ผมรู้ว่ามันไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมาหรอก...
ผมเคาะประตูอีกครั้ง
“อักษร...” ครั้งนี้มันสั่น...สั่นจนอกปวดไปหมด "ษรครับ อยู่ข้างในรึเปล่า?”
...ไม่มีอะไร... ผมกลั้นใจ พยายามเพ่งมองผ่านช่องว่างระหว่างประตู ไม่มีอะไร...คือผมไม่เห็นอะไรทั้งนั้นนอกจากความมืด และการเงี่ยหูแนบกับประตูก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ผมไม่ใช่คนที่ถูกฝึกมาเพื่อให้ได้ยินเสียงเล็กๆน้อยๆอะไรแบบนั้น แต่ผมก็หวังจากเสี้ยวหนึ่งของหัวใจว่าผมจะได้ยินมัน
...ที่ผมสัมผัสได้ มีเพียงสองอย่าง...
...ความเงียบ และ ความทรมาน... ก๊อกๆๆ “อักษร อักษร คุณอยู่ข้างในใช่มั้ย?”
ก๊อกๆๆ “ษรครับ เปิดประตูให้ผมหน่อย"
ก๊อกๆๆ “....ผมขอโทษ"
ก๊อกๆๆ “....ผมผิดไปแล้ว เปิดประตูให้ผมหน่อยเถอะนะอักษร"
ก๊อกๆๆๆ “...อักษรครับ ผมขอร้อง เปิดประตูให้ผมเถอะ.."
..มันนานเกินไป.. ในอกผมเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย เสียงที่สั่นเครือกลายมาเป็นการตะโกนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ภาพอักษรล้มลงไปในวันนั้นย้อนกลับมาที่สมองผม...ล้มลงไปพร้อมคว้าหัวใจผมลงไปด้วย พาลให้มือที่เคาะอยู่จากเบาๆก็กระหน่ำรัว...รัวจนเจ็บนิ้ว จนประตูที่ถูกทุบกระแทกกับวงกบเสียงดังสนั่น
“อักษร! อักษร! อยู่ข้างในนั้นรึเปล่า?” ปึง! ปึง! ปึง! “อักษร!!” “เทียน! ทำอะไรน่ะ?”
ใครสักคนเรียกผมจากด้านหลัง ผมเหลือบสายตากลับไปมองด้วยความเร็วชนิดที่ว่าดูไม่ทันหรอกครับว่าใครเรียก แต่ก็เคาะต่อไป
ปึง! ปึง! ปึง! “อักษรอาจจะอยู่ในห้อง...อักษร! อักษร!” “เฮ้ย ใจเย็น...กุญแจสำรองล่ะ กุญแจสำรอง!!”
“ใครก็ได้ พี่สิญจน์อยู่ไหนวะ!?”
“มีใครเจออักษรบ้างรึยัง?”
“กุญแจสำรองล่ะ?”
“ฮัลโหล ไอ้ล่า มึงมีกุญแจสำรองห้องข้างๆห้องประชุมป่ะวะ ไปเอามาเดี๋ยวนี้เลย"
พอได้ยินเสียงจำนวนคนจากด้านหลังมากๆเข้าผมก็พอเดาได้แล้วว่ามันชักจะเป็นกลุ่มใหญ่เกินไปนิดหน่อย แต่มือที่ทุบประตูอยู่ก็ไม่ยอมหยุด แถมผมก็ได้แต่ตะโกนเรียกชื่อเขาเหมือนคนเป็นบ้า
“อักษร!! ได้โปรด!! เปิดเถอะถ้าคุณอยู่ข้างใน!!”
..ถ้าอักษรไม่ได้อยู่ล่ะ..
...ถ้าผมเพียงแค่เคาะไปมั่วๆแบบคนบ้า โดยที่อีกฝ่ายไม่ได้อยู่ที่อีกฝั่งของบานประตูนี้ล่ะ...!! ผมคงดูเหมือนคนประสาท แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือผมปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้
“อักษร!!!” “เฮ้ยใจเย็นดิวะเทียน รอกุญแจสำรองแปปนึง"
ใครสักคนดึงแขนผมไว้...แต่ผมก็สะบัดมันออก รู้อยู่เต็มอกว่านี่มันเสียมารยาทแบบสุดๆ แต่ความร้อนรนและลางสังหรณ์ที่ไม่สู้ดีนี้ทำให้ผมตัดสินใจอะไรไม่ถูก
“อักษร! เปิดเถอะ!! คุณได้ยินผมมั้ย!!”
“เทียนไข!”
“อักษร!! ขอร้อง เปิดหน่อยเถอะ ผมรู้ว่าคุณอยู่ข้างใน..อัก.......”
เคร้ง!! ..เสียงนั้นทำให้บรรยากาศชุลมุนวุ่นวายเมื่อครู่เงียบลงทันตา
…......รวมไปถึงหัวใจของผมเช่นกัน... “เหี้ยแล้วไง...” นั่นไม่ใช่ผมที่พูดก็จริง แต่ดูเหมือนคำอุทานนั้นจะแทนความรู้สึกได้หมดทุกอย่าง
ผมคว้าลูกบิดประตูอีกครั้งหนึ่ง มันยังล็อคอยู่เหมือนเดิม...ผมเขย่ามันแรงๆ เงยหน้ามองประตูที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆนี่อีกครั้ง...ไม่มีเสียงอะไรอีก ไม่มีนอกจากเสียงอะไรบางอย่างตกแตกที่ดังสนั่นอยู่ข้างในที่ยังคงดังก้องไปก้องมาในสมองของผม
ผมผละออกจากประตูบานนั้น ไม่มีเวลาแม้แต่จะหันไปสบตากับคนอื่นๆที่ยืนอยู่ด้านหลัง แล้ววิ่งเข้าห้องประชุม แน่นอนล่ะว่ามันไม่ได้ล็อค...แต่ประตูที่เชื่อมห้องกันนั้นล็อคอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย ผมเคาะประตูบานนั้นสามครั้ง..ไม่มีเสียงตอบกลับ และผมไม่มีเวลาคิดอีกแล้ว..ไม่มีเลย...ดังนั้นผมเลยเลือกที่จะเดินไปที่หน้าต่าง...
“เฮ้ย!!!” ปล่อยให้พวกเขาตกใจไป ผมไม่สนใจเรื่องนั้นสักนิด
ระเบียงด้านนอกหน้าต่างไม่ได้กว้างนัก แถมยังไม่มีราวกันตก...แต่ก็ไม่ได้แคบเกินกว่าจะลงไปได้ ก่อนที่เวลาจะไม่เหลือไปมากกว่านี้...ผมชะโงกหน้ามอง อีกห้องหนึ่งก็มีระเบียงแบบเดียวกัน ถึงจะมีกันแสงแผ่นใหญ่กั้นเอาไว้ก็ตาม แต่การเหวี่ยงตัวข้ามห้องมาในวินาทีนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย
และเมื่อผมมองผ่านหน้าต่างเข้าไป ความร้อนที่สุมอยู่ในอกก็เปลี่ยนมาเป็นเยียบเย็น...เหมือนมีใครสักคนกระหน่ำสาดน้ำแข็งใส่จนร่างกายที่ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมินี้ไม่ไหวแทบจะแตกออก
“อักษร!!!!” ผมตะโกน มันลั่นจนผมตกใจตัวเองเหมือนกัน
หน้าต่างล็อคจากด้านใน แต่เพราะตัวล็อคมันฝืดแล้วเพียงกระแทกไม่กี่ครั้งมันก็หลุด ผมปีนข้ามมา ผลักเก้าอี้ที่ขวางทางอยู่ล้มไป กระโดดข้ามแจกันดอกไม้ที่แตกกระจายอยู่ตรงนั้น ตรงเข้าไปที่ร่างๆหนึ่งซึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงอยู่กับกำแพง
ดวงหน้านั้นซีดเผือด ซีดไปจนถึงริมฝีปาก
ดวงตาคู่นั้นมองมาที่ผม แต่มันไม่มีแววใดๆทั้งสิ้น
“อักษร!” ผมเรียกเขา ความตกใจทำให้ผมพรวดพราดเข้าไปหา ลืมสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง "อักษร อักษร! คุณได้ยินผมรึเปล่า?”
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบ แต่เขาขยับตัว..เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
จากนั้นถึงเคลื่อนนัยน์ตาหลบตาผมไป...
ผมกลืนน้ำลาย รู้สึกทุกอย่างลนลานไปเสียหมด...เสื้อผ้าที่เขาใส่ไม่ใช่ชุดผู้ป่วย...เขาคงถอดเปลี่ยนมันไว้ที่ไหนสักแห่ง และร่างกายนี้คงทนต่อสภาวะเช่นนี้ต่อไปได้เพียงไม่นาน
สิ่งที่เอ่อขึ้นมาในดวงตาคือความเสียใจ
..ไม่ใช่เพียงน้ำตา.. "อดทนไว้นะ...ผมจะพาคุณไป....”
การรวบตัวเขาไว้ในอ้อมแขนไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผม ตัวเขาบางและเบาหวิว...เบาเหมือนขนนก เบากว่าตอนที่ผมเคยอุ้มเขาตอนไปเที่ยวด้วยกันซะอีก ผมคิดอยู่แล้วว่าเขาผอมลง..แต่ก็อดตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้
...แต่สิ่งที่ผมตื่นตระหนกมากกว่านั้น...คือการที่เขาใช้เรี่ยวแรงที่เหมือนจะไม่มีเหลือนั่นเพื่อขืนตัวออก... และถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ผลนักหรอก แต่ผมก็ชะงักไปไม่น้อยทีเดียว
“ษร?” เขายังคงเกร็งอยู่แบบนั้น แต่ไม่ได้มองหน้าผมอีกเลย...
ไม่เลยสักนิด... ผมอ้าปากอยากจะพูดอะไรสักอย่าง...ก่อนที่ประตูจะเปิดออก(จากกุญแจสำรอง) พวกเพื่อนๆกรูกันเข้ามา แล้วพวกเขาทั้งหมดก็ใช้สติปัญญาที่มีเพื่อประเมินสถานการณ์ตรงหน้า จึงแหวกทางให้ผมเดินได้สะดวกด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติ ไม่มีใครถามอะไรสักคำ...มีแต่ความช่วยเหลือที่มาได้ไม่ขาดสาย ซึ่งอย่างน้อยที่สุดมันก็ทำลายความกระอักกระอ่วนที่ก่อขึ้นในใจนี้ได้ง่ายๆ
ใครสักคนโทรเรียกรถพยาบาลตอนที่ผมอุ้มเขาออกมา การไปถึงหน้าประตูโรงเรียนเป็นไปได้ง่าย กระชับ และรวดเร็ว...ทุกสิ่งทุกอย่างวุ่นวายจนผมไม่ทันสังเกตว่าคนในอ้อมแขนหมดสติไปตั้งแต่เมื่อไหร่ด้วยซ้ำ
ผมประคองมือเขาไว้ตั้งแต่ขึ้นรถพยาบาล ไม่กล้ามองว่าเจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังทำอะไรอยู่บ้าง...อันที่จริง ผมไม่กล้าสู้หน้าด้วยซ้ำ ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเขาด้วยซ้ำ...
คนที่โดนผมทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ยังอดทนเรื่อยมา
......จนกระทั่งวันที่เปลือกแก้วใสนั่นแตกหักลง ภาพที่ฉายซ้ำไปซ้ำมาคือร่างเปราะบางเหมือนลูกนกนี่พยายามดันตัวผมออกสุดแรง...แรงที่ไม่มีเหลือ แรงที่ทำได้แค่กางแขนปกป้องอาณาเขตของตัวเอง...ย้อนกลับไปที่ดวงตาเหมือนจะร้องไห้ ดวงตาที่ใสบริสุทธิ์คล้ายเด็กทารก จนกระทั่งกลับมาที่ดวงตา...ที่ไม่ฉายแววใดๆเลยนอกจากความว่างเปล่า
ภายในสมองของผมเหมือนน้ำแข็งก้อนหนึ่ง เยียบเย็น..ด้านชา..นิ่งงันจนแทบไม่รู้สึกอะไร
...จนอยากจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร ….แต่กลับปวดใจเหลือเกิน....----------------
ผมกราบขอโทษคุณพ่อคุณแม่ของอักษร...
เฝ้าขอโทษ...พร่ำพูดแต่คำว่าขอโทษ...ขอโทษ...ขอโทษโดยไม่ต้องการคำว่า
'อภัย' เลยสักนิด...
ไม่มีใครพูดอะไร ไม่มีใครกล้าพูดอะไร...พวกเขาพูดได้ไม่เต็มปากว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของผม และที่เขาไม่พูด..ก็เพื่อไม่ให้ผมรู้สึกแย่กว่าที่เป็นอยู่ มีเพียงองศาเท่านั้นที่นั่งร้องไห้หนักกว่าใคร ฟูมฟายหนักกว่าใคร...แต่องศาก็ยังไม่ได้พูดว่าอะไรผมทั้งๆที่เขาสมควรพูดมากที่สุด...นั่นทำให้ผมรู้สึกแย่ แต่ก็สมควรแล้วที่เป็นแบบนี้
ทุกครั้งที่หันกลับไปมองเขาที่นอนอยู่บนเตียงพร้อมๆกับเครื่องช่วยหายใจครอบแบบนั้นมันทำให้ผมเจ็บลึกยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด โทษตัวเอง...ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันคือความผิดร้ายแรงโดยที่ไม่มีใครจำเป็นต้องพูดหรืออธิบาย ซึ่งไม่มีใครต้องการ
ผมควรจะออกไปมั้ย? หรือควรจะดั่งด้นอยู่ต่อไปแบบนี้? ผมอยากจะหาคำตอบให้กับคำถามนั้นเหลือเกิน แต่คิดเท่าไหร่ก็ไม่ได้ผลลัพธ์ออกมาสักที..สิ่งที่ผมทำลงไปมันเสียเรื่องจนสมควรจะ...ไปให้ไกล...จน...ไม่มีสิทธิแม้แต่จะยืนอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ
...ร่างกายของอักษรทรุดลงเพียงชั่วข้ามคืน...
...หรือบางทีเขาอาจจะอาการหนักอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่เคยแสดงมันออกมาต่อหน้าผม...
…..เรื่องมันก็...เท่านั้นเอง... เข็มนาฬิกาส่งเสียงดังกว่าที่เคย ทุกครั้งที่วินาทีขยับไป..หนามแหลมชิ้นเล็กก็แทงเข้ามาในอก...ทีละเข็ม..ทีละเข็ม คอยย้ำเตือนให้ผมระลึกถึงความผิดของตัวเอง ความผิดที่ทำให้อักษรต้องหายเข้าไปในห้องICUถึงห้าชั่วโมง ก่อนจะได้ย้ายกลับมาอยู่ห้องเดิมพร้อมเครื่องให้ออกซิเจน
..อาการในอกเขาย่ำแย่เกินกว่าจะสอดท่อช่วยหายใจ..ผมจับใจความได้แค่นั้น..
กลางอกของอักษรมีก้อนเนื้อแปลกปลอมอยู่ ก้อนเนื้อเล็กๆที่ถูกละเลยจนขยายกลายเป็นเนื้อร้ายชิ้นโตที่พร้อมจะแพร่กระจายได้ทุกเมื่อ...และตอนนี้...มันก็รุกลามมากเกินไป
......ที่อักษรทนมาได้ถึงตอนนี้...แค่นี้มันก็มากพอแล้ว... ก่อนหน้านี้ผมขอตัวเดินจากห้องเพียงเพื่อโทรไปบอกยาย บอกท่านว่าผมมาหาอักษรที่โรงพยาบาล...และบอกแค่นั้น...ไม่มีคำว่า 'ขอโทษเรื่องเมื่อวาน' ออกจากปาก ไม่ได้พูดถึงผลรางวัลที่ผมได้รับเมื่อเช้านี้ ไม่มีอาการร้องไห้หรือเสียน้ำตา...เสียงที่พูดก็ไม่ได้สั่นไหว เพียงแค่เบาหวิวเหมือนทุกคำที่เอื้อนเอ่ยออกไปไม่ได้เปล่งออกมาจากปากของผมเอง
น่าแปลกนะ..
...สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นแค่ความรู้สึกด้านชา...จนแทบไร้สัมผัสใดๆ... ...หรือบางที...อารมณ์ที่ปะทุอยู่ในอกตอนนี้มันคงจะเลยคำว่า 'เสียใจ' มานานแล้ว... เสียงเข็มนาฬิกาก็ยังคงดังต่อไป...
ผมเองก็ยังคงมีลมหายใจ...ทุกคนที่อยู่ตรงหน้าก็เช่นกัน...
ทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณนั้นมีแต่ความเงียบ ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มุมห้อง...มองอักษรที่นอนอยู่บนเตียง...พ่อแม่ของเขาก็นั่งอยู่ข้างๆเตียงโดยไม่พูดอะไร องศาน่ะเหรอ...ร้องไห้จนหลับไปอยู่ในห้องรับรองแล้วล่ะ ส่วนเพื่อนของเขาที่ผมไม่รู้จักก็หายหัวไปเลยทันทีที่เขาหลับ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว
มันเป็นเวลานาน นานจนตะวันลับขอบฟ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้..
ตอนหนึ่งทุ่มตรงคุณหมอก็เดินเข้ามา ผมแทบไม่ได้ขยับตัวนอกจากเงยหน้ามองเท่านั้น
เขาตรวจอาการอักษรคร่าวๆ เหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง...แต่ไม่ใช่อะไรที่แย่นักหรอก เพราะพ่อกับแม่ของอักษรฉีกยิ้มออกมาในที่สุด...ซึ่งถึงแม้มันจะเป็นรอยยิ้มที่ไม่แจ่มแจ้งนักแต่ก็ทำให้ผมผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก เหมือนเพิ่งจะได้หายใจทั่วท้องเป็นครั้งแรกของวัน
คุณหมอเดินออกจากห้อง
คุณพ่อของอักษรมองนาฬิกา หันไปคุยกับภรรยาของเขาด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ก่อนจะหันมามองผมเป็นคนสุดท้าย
“เดี๋ยวอาลงไปซื้ออาหาร เทียนเอาอะไรมั้ยลูก?” คำถามนั้นทำให้ผมเด้งพรวดลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ทันที
“เดี๋ยวผมลงไปให้เองครับ" ผมพูด คิดว่าเอ่ยมันออกไปโดยไม่ติดขัดสักนิด "คุณ...อา...จะทานอะไรดีครับ?”
..ผมชมตัวเองอยู่ในใจ ประโยคนี้ดี..ดีเท่าที่สุดที่ผมเคยพูด.. พวกท่านยิ้มให้ผม สั่งกับข้าวมื้ออร่อยมาเรียบร้อยเป็นลิสต์รายการ มันทำให้ผมโล่ง..โล่งขึ้นเยอะทีเดียว ผมพยักหน้ารับคำนั้น..คิดว่าคงมีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะซื้อมาผิด ก่อนจะเดินออกจากห้อง
โรงพยาบาลในเวลานั้นก็ยังมีคนอยู่ แถมเยอะกว่าตอนกลางวันเสียอีก...อาจจะเพราะคุณหมอส่วนใหญ่เข้าเวรหลังหกโมงขึ้นไป และเป็นช่วงเวลาเลิกงานพอดี...ลานอนุเสาวรีย์มีคนนั่งอยู่ประปราย..ส่วนใหญ่ก็นั่งพักผ่อนทานอาหาร อากาศวันนั้นเย็น..ติดจะเยียบเย็นเกินไปเสียหน่อย ไฟประดับประดาตามต้นไม้ราวกำลังรับเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะเข้ามาดูแปลกตา...ก็แต่งดงามไม่น้อยทีเดียว
ผมเดินไปตามทางเดินทอดยาวถึงโรงอาหาร การเปลี่ยนบรรยากาศออกมาเดินข้างนอกบ้างทำให้ผมรู้สึกใจเย็นลง ถึงไม่มีใครบอก...ผมก็พอจะเดาได้ลางๆว่าอักษรพ้นขีดอันตรายแล้ว และมันคือของขวัญที่ยิ่งใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด
“อะ! คุณคะ!” เสียงหนึ่งเรียกมาจากอีกฟากหนึ่ง ผมชะงัก..หันไปมองด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติ
ผู้หญิงคนหนึ่งโบกมือเรียกผม เธอท่าทางลุกลี้ลุกลนไม่น้อย...และกว่าที่ผมจะจำเธอได้เธอก็ถือดอกกุหลาบหนึ่งดอกมาให้เสียแล้ว
“นึกว่าวันนี้คุณจะไม่มาซะอีก"
เธอยิ้ม และผมมองดอกกุหลาบสีขาวเพียงดอกเดียวที่อยู่ในมือของเธอ
“...เอ๊ะ?” “ฉันเก็บไว้ให้ค่ะ" เธอบอก ยัดเยียดสิ่งนั้นใส่มือผมโดยตั้งใจ "พอดีฉันเก็บร้านแล้ว เห็นว่าเมื่อเช้านี้คุณไม่ได้มาก็เลย...เหลือแค่ดอกเดียว โชคดีจริงๆที่เจอกันก่อน"
ผมมองเธอ และเธอก็มองผม
ผมคิดว่าควรจะพูดอะไรสักอย่างกับเจ้าของร้านดอกไม้คนนี้ แต่ไม่ได้เอ่ยมันออกไป
อีกฝ่ายกระพริบตา “ขอโทษนะคะ..ฉัน...ทำอะไรผิดไปรึเปล่า?”
“ไม่หรอกครับ คือ...” ผมพยายามจะยิ้ม จะยิ้มจริงๆนะ..เพียงแค่กล้ามเนื้อที่แก้มมันฝืดมากเท่านั้น
"ขอบคุณมากนะครับ" ..ไม่มีคำใดที่จะพูดออกไปได้อีกแล้ว.. มันเป็นความเงียบที่ผมได้แต่มองดอกกุหลาบในมือ...อาจเพราะตกดึกมาแล้วก็เป็นได้ทำให้มันบานออกกว่าที่ผมเคยซื้อ แต่ละกลีบดูบอบบางราวกับพร้อมจะหลุดร่วงลงไปเมื่อผมสัมผัส...
พอผมจะหยิบกระเป๋าเงิน เธอก็บอกว่าไม่ต้องก็ได้ และขอให้เขาหายไวๆ
ผมขอบคุณเธออีกครั้งหนึ่ง
เธอยิ้ม หมุนตัวจะเดินจากไป แต่ก็ชะงักและหันกลับมา
“เอ่อ...ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าคนที่คุณเป็นห่วงขนาดนี้เป็นใคร...” เธอก้มหน้าลงเหมือนอยากจะขอโทษ
"ขอโทษนะคะถ้าเข้าใจผิดหรือ..เอ่อ..แสดงความคิดเห็นมากไปหน่อย....เพราะไม่ใช่แค่เพียงดอกไม้ แต่ทุกครั้งที่คุณมา...คุณดูเศร้าและ...ดูมีความสุข...ฉันเป็นคนนอก แต่ฉันก็พอจะดูออกว่าคุณให้ความสำคัญกับเธอคนนี้มาก และวันนี้คุณดูเศร้าเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้น...ฉันอาจจะคิดไปเองก็ได้นะคะ แต่....” “...แค่เพียงได้รับดอกไม้จากคุณ ฉันเชื่อว่าเขาต้องมีความสุขมากแน่ๆเลยล่ะค่ะ" ..ดวงหน้าอักษรเข้ามาในความทรงจำของผม..
เขามีรอยยิ้มหลายแบบ...แต่ทุกครั้งที่ผมมองเขา...ก็จะมีรอยยิ้มเสมอไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มแบบไหน..
..รอยยิ้มบังหน้า..
..รอยยิ้มฝืนๆ..
..รอยยิ้มที่มาจากส่วนลึกของหัวใจ..
..รอยยิ้มที่ใสบริสุทธิ์จนไม่มีอะไรเจือปน.. และเพราะเขายิ้มเสมอเช่นนั้น...สิ่งที่ปวดหัวใจมากที่สุดคือการที่เขาทำหน้าเฉยชา...ราวกับว่า 'หน้ากาก' ที่แสนเข้มแข็งนั่นแตกสลายลงไป...
ตัวตนที่บริสุทธิ์และเข็มแข็งกำลังจะหายไป...
...ด้วยน้ำมือของผมเอง... หลายเหตุผลในสมองกำลังตบตีกันอย่างเอาเป็นเอาตายจนปวด ทั้งเหตุการณ์และภาพความทรงจำทุกอย่างย้อนกลับมาตีแสกหน้า เสียงของใครสักคนดังก้องอยู่ตลอดเวลาว่า...
ที่ผ่านมา...อักษรมีความสุขจริงรึเปล่า? "..ค-คุณคะ?” เธอเรียกผม สีหน้าดูเป็นห่วง
ผมยกมือแตะที่แก้มตัวเองอีกครั้ง...ไม่มีน้ำตาไหลออกมา "...ขอโทษครับ"
“เป็นอะไรรึเปล่าคะ?”
ผมยิ้มให้เธอ ส่ายหน้า...ก้มลงมองดอกกุหลาบสีขาวเพียงดอกเดียวที่อยู่ในมือ...
…ผมจะทวง 'รอยยิ้ม' นั่นกลับมาให้ได้...
….ผมสัญญา...TBC