__________, ปรารถนา "รัก" . . เป็นดั่งใจ ,__________ [ จบแล้วจ้า ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: __________, ปรารถนา "รัก" . . เป็นดั่งใจ ,__________ [ จบแล้วจ้า ]  (อ่าน 571596 ครั้ง)

ความรักเหมือนดอกมะนาว

  • บุคคลทั่วไป
อักษรไม่สบายอยู่นะเนี่ย  แล้วเทียนไป จุดจุดจุด หัวใจอักษรจะไม่ทำงานหนักเหรอ กรี้ดๆๆๆ :o8:

ตอนแรกเรางงๆกับคำว่า"ของกลาง" แต่พอเจอประโยคที่ว่า ใส่เสื้อ กับ ไม่ได้ทำให้เจ็บ ก็เอ๊ะ เค้าสวีทกันนี่นา (ปล. แล้วก็คิดถึงสีคราม กานดา ตอนกานดาอยู่โรงพยาบาล)

ใกล้จบแล้ว ไม่อยากให้ sad ending เลย อยากให้อักษรมีชีวิตอยู่ต่อไปให้เทียนไขรัก

จะหยอดกระปุกรอนะจ๊ะ

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
เอาน้ำลายป้ายคุณโอจอง

#เล่นมุกฉกปรก

แง่งงงงงงงงง เค้าชอบอักษรมาก อ่านแล้วทำไมน่าถนอมแบบนี้ อ่านแล้วอยากตบตีเทียนตอนต้นเรื่อง
สลับกับเห็นใจหน่อยๆ แล้วกลายเป็นเอ็นดูเอาตอนท้ายๆ ;____;
เทียนนายต้องเข็มแข็งอีกมาก

ออฟไลน์ SenzaAmore

  • Where troubles melt like lemon drops....
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 713
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +79/-0
 :katai1: โอยยยยยตอนนี้ทำให้ยิ้มทั้งน้ำตาจริงๆ

แอบหมั่นไส้เทียนนิดหน่อย. ษรเค้าป่วยอยู่นะยังจะไป'กอด'เค้าอีก :hao3:

อร้ายยย รวมเล่มเมื่อไหร่อยากซื้อจริงๆ
มาต่อตอนหน้าเร็วๆน้า +1 :mew1:

ออฟไลน์ isBelle__

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
รักคู่นี้มาก อ่านซ้ำไปซ้ำมาเพราะซีนอารมณ์ทำมห้เรารู้สึกถึงความรักของทั้งสองคนนี้จริงๆนะ

ตอนหน้าอะไรจะเกิดขึ้น เราก็จะจำภาพของอักษรที่น่ารัก และเทียนเจ้าเสน่ห์เอาไว้แบบนี้แหละ

ออฟไลน์ Dwammy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 89
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เขินนนเว่อร์ :-[ :-[
ถ้าจะหวานกันขนาดนี้อะนะ ขอจบแบบดีเถอะะ
อย่ามาหลอกให้ดีใจตอนนึงไรงี้นะ o18

ออฟไลน์ Monkey D lufy

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-4
อักษรโกธรและด่าได้น่ารักมากเลย

เทียน...อักษรป่วยอยู่นะ  ยังจะหื่นได้อีกนะ  หึหึ

ตอนหน้าจบแล้วหรอ  ฮื่อๆ

ออฟไลน์ sweetbasil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
ขอปาฎิหารเกิดขึ้นกับอักษรเถอะนะ :mew2:
อย่าจบเศร้าเลยนะ
อยากได้รอรวมเล่ม

bemind

  • บุคคลทั่วไป
ตามอ่านเรื่อยๆ แต่ไม่ได้เม้นนานมากกกกกก   :mew2:
ตอนนี้น่าร้ากกกกกกก หว๊านหวาน แต่มันมีช่วงให้คิดว่าอักษรจะเป็นอะไรยังไงต่อไป
ว่าแต่องศาจะไม่เปิดตัวน้องอาร์(ใช่มั้ย?)หน่อยเหรอ  :hao3:
ตอนหน้าจะจบแล้ว ใจหาย อยากเห็นคู่นี้หวานกันนานกว่านี้
เป็นอีกหนึ่งคู่ที่ชอบมากๆ เนื้อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่น ไม่หวือหวา มันละมุนนน 
รอรวมเล่มด้วยอีกคนค่ะ ไม่พลาดแน่

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
ตอนจบจะเป็นยังไงน้อ :ling3:
จะจบซะแล้ว :katai1:

ออฟไลน์ elfonofle

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เหมือนจะแฮปปี้ แต่ก็ดูหน่วงๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Fate

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 77
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ดีจังที่ได้อ่าน คู่นี้หวานมุ้งมิ้งกันอีกครั้ง
(หลังจากผ่านมรสุมทะเลจีนใต้กันมายกใหญ่)
แถมคราวนี้ เทียนน่ารัก ขึ้นมาก แหม่ เทียนโหมด มันก็น่ากรี๊ดนะ
แต่ยังไงก็ยังปลื้ม อักษร ผู้น่ารัก นะคะ ชอบอะ ชอบหลายๆอย่างจนอยากเอากลับบ้าน(เฮ้ย!?)
จะจบแล้วว ขออบอุ่นให้ปริ่มหัวใจเถอะค่ะ คู่นี้น่ารัก พูดเพราะ อบอุ่น ไม่อยากให้หน่วงอีกแล้ววว

ปล.คิดถึงนุ้งไวน์อย่างสุดซึ้ง

ออฟไลน์ amito

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1943
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-0
บางอย่างยิ่งรู้ว่ากำลังจะเสียไปกับยิ่งมีค่า อยากให้ทั้งเทียนและอักษรเก็บเกี่ยวเวลาแห่งความสุขอันแสนสั้นนี้เอาไว้ให้มากที่สุด   

nightsza

  • บุคคลทั่วไป
ปักป้ายนั่งรอเลยได้มั้ย พี่โอ ไม่อยากให้จบเศร้าอ่าา ชอบๆๆคู่นี้มากๆเลย

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7
เทียนเริ่่มน่ารักขึ้นเรื่อยๆแล้ว อย่าจบเศร้านะ  :L2:

ออฟไลน์ MunashiiSora

  • ♥ ฮุนฮาน ft.520
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 443
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2

ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
กลัว ตอนต่อไป


ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ Turn_righT

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 492
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
 :o12: เนื้อเรื่องเขาก็ออกจะสวีต แต่เรายิ้มไม่ออก

 :ling1:  :ling1:  :ling1:

ออฟไลน์ ozaka

  • ตัว "โอ" เป็นอะไรได้มากกว่าที่คุณคิด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1818/-38
    • ozaka's blog








LAST Day : AWAY












   “ช่อดอกไม้ครับ”
   “ดอกอะไรดีคะ?”

   หล่อนยิ้มทัก  ผมชะงัก..แต่ก็ยิ้มตอบ

   “กุหลาบ…สีขาวครับ"




   การยิ้มให้คือการทักทาย  ถ้าเลิกมองโลกในแง่ร้าย..จะรู้ว่า ‘ยิ้ม’ ที่ได้ให้ไปนั้น  ไม่ได้หวังอะไรตอบแทนไปนอกจาก…การได้รับยิ้มกลับมา  การใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ก็เป็นเรื่องง่ายๆแค่นั้นเอง


   ในเวลาเพียงไม่ถึงเดือน…ช่วงเวลาสั้นๆที่ทำให้ผมได้รับอะไรหลายๆอย่าง  อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน


   ผมใช้เวลาไม่นานในการยืนรอเธอจัดดอกไม้  ยังเช้าอยู่..ไม่ใช่เวลาที่ผมต้องเร่งร้อนอะไร  เพราะงั้นการก้าวเดินออกจากร้านดอกไม้ร้านนี้ถึงไม่ต้องการความกระตือรือร้นมากนัก  ผมประคองช่อดอกไม้สีขาวไว้ในอ้อมแขน  สาวเท้าเข้าขอบเขตของสถานที่แห่งนี้  รั้วคอนกรีตสีขาวเพิ่งทาสีใหม่สูงตระหง่านกว่ารั้วทั่วไป  จากภายนอก…มองเข้ามาไม่เห็นภายในด้วยซ้ำ
   จากทางเข้าคือระยะทางของพื้นที่สีเขียวที่มีต้นไม้ปกคลุม  แต่ไม่ได้ครึ้มหรือช่วยกันแดดได้มากนัก  กว่าจะถึงตัวอาคารเดี่ยวต้อนรับก็ใช้เวลาเดินเอื่อยๆราวๆห้านาทีเห็นจะได้  และรอบด้าน..ก็มีเพียงความเงียบงัน  ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงรถจากตัวถนนใหญ่ด้านนอกด้วยซ้ำ



   …โรงพยาบาลเหมือนกัน

   แค่..ให้ความรู้สึกหลากหลาย…




   ผมชักเท้าเหยาะๆขึ้นบันไดสู่ตัวอาคาร  ยิ้มทักทายให้พยาบาลหรือพนักงานผู้ดูแลคนป่วยที่มองเป็นตาเดียว  ผมเริ่มจะชินชา..พวกเขาไม่ได้มองผมสีทองหรือตาสีน้ำข้าวนี้ด้วยสายตาดูถูก  พวกเขาแค่มอง..ก็แค่การมองเท่านั้น  ไม่จำเป็นต้องมีความหมายลึกซึ้งหรืออะไร
   ..การทำตัวให้ชิน..มันง่ายนิดเดียว
   ผมเท้าแขนลงบนเคาน์เตอร์พยาบาล  ส่งยิ้มให้ทุกคนตรงนั้น..ก่อนจะหยุดอยู่ที่หัวหน้าพยาบาลตรงหน้า
   “มาเยี่ยมผู้ป่วยครับ”
   “ค่ะ”  อีกฝ่ายยิ้มให้ผมเช่นกัน “ชื่อผู้ป่วยด้วยค่ะ”

   “ชาร์ลอตครับ” ผมตอบ  ซักซ้อมคำนี้มาหลายวันแล้ว  “…ชาร์ลอต  คลาไรน์”


   เธอก้มหน้าคีย์ข้อมูลลงในเครื่อง 
   ผมถือโอกาสนั้นมองไปรอบๆ…เพียงเฉพาะในตัวอาคารเท่านั้นที่มีคนเดินไปเดินมา  ทั้งผู้ป่วย..ทั้งพยาบาลพี่เลี้ยง  คนดูแล  ห้องด้านซ้ายมือมีคนอยู่เยอะเป็นพิเศษ  ผมได้ยินเสียงโทรทัศน์เลยเดาว่าห้องนั้นคือห้องพักผ่อน  ถึงแม้คนป่วยหลายคนจะทำแค่จ้องมองตรงไปที่หน้าจอมอนิเตอร์โดยไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใดๆออกมาเลยก็ตามที

   “ชาร์ลอต  คลาไรน์..ผู้ป่วยพิเศษนะคะ?”
   “ครับ”
   หล่อนยิ้ม “ขอบัตรประชาชนด้วยค่ะ”
   ผมเข้าใจดีว่าที่นี่ค่อนข้างเคร่งเรื่องความปลอดภัย  เคร่งเป็นพิเศษทีเดียว…และผมก็เตรียมแลกบัตรมาก่อนแล้วด้วย  เพราะงั้นเลยไม่มีปัญหาอะไร
   “คลาไรน์?…ลูกชายหรือคะ?”
   “ครับ”
   เธอมองหน้าผม  นานเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง..ผมรู้ว่าเธอจะพูดอะไร  แต่เพราะไม่มีสิทธิที่จะพูดเลยได้แต่เงียบลงไปแบบนั้น



   ตลอดเวลาหลายปีตั้งแต่ที่แม่เข้ามาอยู่ที่นี่..

   ….ผมไม่เคยมาเยี่ยมท่านเลย  ไม่แม้แต่จะใส่ใจชีวิตความเป็นอยู่ของท่านด้วยซ้ำ



   เพราะงั้น…ต่อให้ใครต่อใครที่เป็นคนนอกขนาดไหนจะต่อว่าผม  ผมก็ไม่เถียงเรื่องนั้นหรอก  เพราะถ้าความอกตัญญูนั้นยังพอจะแก้ไขได้  มันก็ควรค่าที่จะทำ
   ผมยืนรอไม่นานนัก  พยาบาลพี่เลี้ยงที่สวมชุดกางเกงก็โผล่มาจากห้องทางด้านหลัง

   “เชิญทางนี้เลยค่ะ”

   และหน้าที่ของผมคือการเดินตามเธอไป
   ด้านในเป็นโถงทางเดินยาวตลอดทาง  สองข้างทางคือห้องพักผู้ป่วยรวมสี่คน  ผนังไม้อัดบางกรุลายวอลเปเปอร์เก่าๆดูไม่ได้เปลี่ยนมานานแล้ว  รองเท้าแตะผู้ป่วยกระจายอยู่หน้าห้องต่างๆ  ไม่ได้ยินเสียงอะไรดังมาจากห้องไหนๆเลย  เงียบจนน่าอึดอัด…จนไม่กล้าแม้แต่จะสอดสายตาเข้าไปในห้องต่างๆ
   ในที่สุดก็มาถึงโถงลิฟท์ไม่กว้างไม่ใหญ่  และเต็มไปด้วยอุปกรณ์มากมาย

   พยาบาลพี่เลี้ยงคนนี้มีรูปร่างเล็กแต่ดูทะมัดทะแมง  เรือนผมสั้นหยิกติดอยู่บรเวณท้ายทอยขับให้เธอดูเยาว์วัยกว่าคนอื่นๆ…และที่สำคัญคือเธอไม่ได้สนใจที่จะเริ่มบทสนทนากับผมเท่าไหร่
   มันทำให้ผมผ่อนคลาย  ที่ไม่ต้องมานั่งตอบคำถามโน่นนี่ของเธอ

   เราเข้าลิฟท์  เธอกดขึ้นไปชั้น4…จากที่ผมเห็นก็คือที่นี่มีทั้งหมด6ชั้น  แต่ก็แค่ตัวเลขในลิฟท์เท่านั้นแหละครับ


   เมื่อประตูเปิดออก  บรรยากาศด้านนอกทำให้ผมชะงักเล็กน้อย..แบบที่ด้านล่างเทียบไม่ติดเลยสักนิด

   ชั้นนี้ทุกอย่างดูสะอาดและเป็นระเบียบกว่ามาก  ผนังทำจากวัสดุเก็บเสียงไม่เหมือนไม้อัดบางๆในชั้นล่าง  บานประตูสีขาวมีติดชื่อผู้ป่วยไว้เพียงห้องละคน  แถมยังลงกลอนแน่นหนา…คงต้องการรักษาความปลอดภัย  จากทั้งตัวผู้ป่วยเองและก็บุคคลภายนอก
   เธอพาผมเดินมาจนเกือบสุดทางเดิน  หยิบพวงกุญแจขนาดใหญ่ขึ้นมาไขลงทีละกลอน..ซึ่งมีจำนวนมากพอจะให้ผมใช้โอกาสนี้ชะโงกมองเข้าไปในห้อง




   …มีผู้หญิงผมยาวคนนึงนั่งอยู่บนเก้าอี้…

   ถึงแม้ว่าเรือนผมสีเดียวกับผมจะยุ่งเหยิงสยายลงมาปิดหน้าปิดตา  รูปร่างผอมบางจนเห็นได้ชัดแม้จะอยู่ในเสื้อคลุมรัดกุมเพียงแค่ตัวเดียว  แต่ผมก็รู้ว่าคือ ‘แม่’
   …เธอดูสงบนิ่งอยู่อย่างนั้น  นั่งนิ่งๆอยู่แบบนั้น…


   อะไรบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นมาในอก  ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร..แต่คงจะได้คำตอบในเร็วๆนี้




   “เชิญค่ะ”

   คำพูดนั้นเรียกให้ผมได้สติ  ผมพยักหน้าด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติ  รู้สึกได้เลยว่าขาที่ก้าวเข้าไปในห้องสีขาวแห่งนี้มันสั่น  และผมไม่ได้อยู่ในสภาวะที่จะควบคุมมันได้
   “ดิฉันรออยู่ข้างนอกนะคะ  ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็กดเรียกได้เลย..ปุ่มอยู่บนผนังซ้ายมือ และอีกจุดตรงหัวเตียงค่ะ”
   ผมหันกลับไปถามเธอ “…มีกำหนดเวลามั้ยครับ?”
   “ไม่ค่ะ” หล่อนยิ้ม “ตามสบายเลย”

   ..แน่นอน..ก็ที่นี่ไม่ใช่ ‘คุก’ สักหน่อย..



   พอผมก้าวเท้าเข้าไปอยู่ในห้องนั้นทั้งตัว  ประตูด้านหลังก็ปิดลง..ทิ้งให้ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้มีแต่ความเงียบ  เสียงพัดลมติดลูกกรงบนเพดานดังเป็นจังหวะเนือยๆ  หน้าต่างบานไม่ใหญ่นักอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามประตู  เหล็กดัดแข็งแรงก็กางขึงอยู่แบบนี้เช่นกัน
   ลมหายใจที่ขาดห้วงนี้ทำให้ผมไม่กล้าหันไปมองหน้าเธอ




   ..แม่ไม่ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของผมด้วยซ้ำ..ในตอนนี้..










   เสียงทารกตัวน้อยร้องลั่นลอยเข้ามาในโสตประสาท  ผมจำได้ดีถึงภาพที่ตัวเองกระชากประตูให้เปิดออก  ถึงสภาพของห้องที่เละเทะไม่มีชิ้นดี..ยายนอนสลบอยู่บนพื้นฟากหนึ่ง  และเสียงน้องสาวคนเล็กของผมที่เรียกให้ตัวผมเองหันไปมอง
   ระเบียงด้านนอกจับแสงอาทิตย์สว่างวาบตัดกับภายในห้อง  ผู้หญิงคนนี้ยืนอยู่ตรงนั้น  หล่อนยิ้ม  หัวเราะ  และร้องไห้…ในมือคือก้อนผ้าและสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่ไร้เดียงสา
   ผมได้ยินเสียงตัวเองกรีดร้อง
   สัมผัสได้ถึงตัวตนที่แสนอ่อนแอของตัวเอง…ที่ก้าวไปไม่ถึงตรงนั้น…





   ..ผมสูญเสียน้องสาวคนสำคัญคนนั้นไปตลอดกาล..









   ..และในอกก็เจ็บขึ้นมา  เจ็บจนต้องยกมือขึ้นมากุมมันไว้..

   เจ็บจนสิ่งที่ร้อนผ่าวขึ้นมาที่หน้า  เป็นอะไรไม่ได้นอกจากความมืดมิดที่เคว้งคว้างว่างเปล่า  ลมหายใจยิ่งกว่าสะดุด..ราวกับร่างกายที่แสนหนักอึ้งนี้กำลังจมดิ่งสู่ห้วงมหาสมุทรที่ไร้ก้นบึ้ง……..
   ผมหลับตาลง  พยายามควบคุมสติ
   มันยากกว่าที่ผมคิดไว้  และความเงียบของห้องนี้ก็ไม่ได้ช่วยในการทำสมาธิ  อกปวดไปหมด..หัวใจที่เคยเต้นเป็นปกติกลับกระหน่ำรัวขึ้นมาแบบนั้น  แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้มันสงบลงมาได้ด้วยตัวของผมเอง..




   เพราะฉะนั้น…


   ……ขอผมยืม ‘พลัง’ ของคุณหน่อยได้มั้ย..?






   กระแสอุ่นวาบบางอย่างไหลเวียนเข้ามาเมื่อผมทิ้งเวลาให้ตั้งสมาธิ  ผมยืนหลับตาอยู่แบบนั้น..นิ่งอยู่นาน  เฝ้านึกถึงช่วงเวลาเลวร้ายที่ผ่านมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าสลับกับภาพฝันที่มีความสุข  ผิวกายนี้ยังรู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นๆ…หัวใจก็เช่นกัน

   พอผมลืมตาขึ้น..โลกก็สว่างไสว


   แม่ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น…อยู่ที่เดิม  ภายใต้เรือนผมสีบลอนด์ทองยุ่งเหยิงผมเห็นดวงตาสีอ่อนคู่นั้น  เธอไม่ได้จ้องมาทางผม…เพียงแค่มองตรงไปข้างหน้าอย่างว่างเปล่า  ไม่มีอะไรอยู่ในนั้น…ไม่มีแม้กระทั่งเงาของผมด้วยซ้ำ
   เธอดูตัวเล็กลงกว่าตอนที่เจอคราวก่อน  ขอบตาก็ขึ้นสีแดงช้ำโหลเข้าไปอย่างไม่ได้รับการดูแลที่เพียงพอ  กลีบปากสีซีดนั่นแห้งผากพอๆกับผิวกายที่เริ่มเหี่ยวย่นตามกาลเวลา  เธอดูอ่อนแอบอบบาง..และไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ด้วยซ้ำ

   วันนั้นมันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน…ไม่แม้กระทั่งตัวเธอเอง

   หลังจากที่เธอโยนน้องสาวของผมลงมาจากระเบียงในครั้งนั้น  เหมือนสวิตซ์จุดให้เธอคลุ้มคลั่ง  ทำร้ายผม  ทำร้ายน้อง  ทำร้ายแม้กระทั่งยายซึ่งเป็นแม่ของตัวเอง  และตำรวจก็มารับเธอไป…




   ……สิ่งที่เกิดขึ้น….ไม่ใช่ความผิดของใครเลย…



   เพียงแค่เรา…ลืมบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมากๆไป…ก็เท่านั้น….






   ผมสูดลมหายใจ  ลากเก้าอี้ที่พิงอยู่ข้างฝาตัวนึงออกมานั่งตรงหน้าเธอ  เสียงลากเก้าอี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกตัวเพื่อมองผม  และผมก็ไม่คิดว่าแค่นี้เธอจะได้สติขึ้นมาหรอก
   “……..ม..แม่ครับ…”
   ..ให้ตายสิ..การอ้ำอึ้งแบบนั้นมันเห่ยชะมัด..
   คนถูกเรียกไม่ได้ยินด้วยซ้ำ  เธอไม่แม้แต่จะขยับตัว  หากหน้าอกตรงหน้าไม่ได้กระเพื่อมขึ้นลงอย่างเนิบนาบอยู่ล่ะก็ผมคงนึกไปเองว่านี่คือหุ่นขี้ผึ้งที่ทำได้เหมือนจริงมาก  ผมมองหน้าเธอ…เธอที่ให้เลือดเนื้อผม  เธอที่ให้ชีวิตกับผม…
   …แต่ต่อให้เป็นเธอคนนี้…ก็ทำลายชีวิตของผมไม่ได้..

   “แม่ครับ..” ผมเรียกอีกครั้ง  ครั้งนี้ด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงกว่าเดิมเพียงเล็กน้อย “เทียนเอง  เทียนไข…แม่จำเทียนได้มั้ยครับ?  ลูกชายคนโตของแม่ไง”



   ..ทั้งที่ไม่ได้ขาดหวังให้เธอตอบ..

   ..แต่ปฏิกิริยานิ่งเฉยแบบนั้นก็เรียกอุณหภูมิอุ่นๆขึ้นมาที่ขอบตาได้..





   “แม่ครับ”

   เสียงที่เอ่ยออกไปสั่นสะท้าน



   “..เทียน...เทียนมาหาแม่แล้วนะครับ”




   มันแย่ที่ผมร้องไห้ออกมา
   ..ร้องโดยที่ไม่ได้เตรียมใจจะร้องมาก่อน
   มันเป็นความรู้สึกประหลาดที่ผมร้องไห้แบบนี้  จากที่เพียงแค่น้ำตาไหลธรรมดา…ผมกลับเริ่มสะอึกสะอื้น  เริ่มร้องไห้เหมือนตัวเองเป็นเด็กเล็กๆ  ผมรู้ว่าภายในห้องนี้มีกล้องวีดีโอวงจรปิดถ่ายไว้อยู่..รู้ดี  รู้ว่าโตป่านนี้แล้วสมควรที่จะรู้สึกอาย  แต่ไม่อาจห้ามให้ตัวเองหยุดสั่นเทิ้มแบบนี้ได้

   ผมคิดว่าจะพูดอะไรสักอย่าง  แต่ความฟูมฟายก็ทำให้ผมพูดไม่ออก  แม้จะเอ่ยออกไปก็คงได้เป็นเพียงเสียงร้องที่ยิ่งกว่าความเจ็บปวด
   ทุกอย่างมันจุกอยู่ในอก..ปวดจนต้องยกมือกดมันเอาไว้


   ถึงจะเลือนลาง..ถึงจะเป็นแค่เศษเสี้ยวเพียงเล็กน้อยในความทรงจำ..ถึงช่วงเวลาในตอนนั้นมันจะผ่านนานแสนนานมาแล้ว…ช่วงเวลาที่กว่าที่ผมจะระลึกได้  มันก็เกือบจะสายเกินไป…



   ..ผมยังจำสัมผัสของมืออุ่นๆที่ลูบศีรษะให้ผมตอนที่ไม่สบายได้..
   ..ผมยังจำอ้อมกอดที่แสนอ่อนโยนตอนที่ผมหกล้มครั้งแรกได้..
   ..ผมยังจำเพลงกล่อมเด็กภาษาฝรั่งเศสที่เธอร้องจนติดปากได้..




   เหนือสิ่งอื่นใด…ผมจำได้..




   …‘รอยยิ้ม’ ที่เธอเคยมีให้ผม…ผมยังจำได้…







   กว่าที่จะหยุดร้อง…ช่อดอกไม้ที่วางไว้บนตักชุ่มไปด้วยน้ำตาเสียแล้ว..

   ..และเหมือนเดิม…เธอยังคงนั่งนิ่งอยู่แบบนั้น…ทอดสายตาเหม่อลอยไกลออกไป…ไม่ได้มองมาที่ผมเลยแม้เพียงสักนิด…
   ผมหัวเราะให้กับความงี่เง่าของตัวเอง  ผมรู้อยู่แล้วว่าทุกอย่างมันต้องเป็นแบบนี้…และควรจะทำใจได้แล้ว  จึงยกมือเช็ดน้ำตาออกจากแก้มทั้งสองข้าง  นั่งเคาะนิ้วเพื่อสงบเสียงสะอื้นตัวเองอยู่เพียงไม่นาน…ก็รู้สึกว่าได้เวลาอันสมควรแล้วที่ผมต้องไป


   ผมชะโงกหน้าเข้าไป  ค่อยๆแตะมือประคองสองมือเล็กๆนั่น…มันบอบบางมาก…ขาวซีดและบอบบางยิ่งกว่ามือของอักษรเสียอีก  แต่พอสัมผัส..กลับไม่รู้สึกถึงอะไรเลย

   ..ผมวางช่อดอกไม้ลงในมือคู่นั้น..จับให้เธอประคองมันเอาไว้บนตัก
   แล้วยิ้ม..ถึงแม้ว่าไอ้ที่ทำลงไปทั้งหมดจะเป็นการทำเพื่อตัวเองก็ตาม..



   “ผมไปก่อนนะ”

   พูด..ด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าเดิม



   “แล้วผมจะมาใหม่นะครับ”




   ผมเดินออกจากห้อง  ขยับยิ้มให้พยาบาลพี่เลี้ยงสักหน่อย..มันไม่ใช่เรื่องน่าอายสักนิดที่ถึงแม้จะมาคราบน้ำตาอยู่ที่หน้าก็ตาม  เธอยิ้มตอบ..และบอกผมให้ใช้ห้องน้ำของพนักงานได้ไม่ต้องเกรงใจ

   แรกทีเดียวผมจะเดินจากไปโดยดี  แต่อะไรบางอย่างก็ทำให้ผมมองลอดกลับเข้าไปในช่องหน้าต่างอีกครั้งหนึ่ง




   ..เธอขยับยิ้มเพียงเล็กน้อย…ก้มลงแตะจมูกลงบนช่อดอกไม้ในมือ..




   เพียงภาพๆเดียวที่ทำให้ผมหยุดชะงัก  พี่พยาบาลเองก็เช่นกัน..
   แต่ก่อนที่จะพูดอะไรออกไปได้แข้งขาก็อ่อนแรงกระทันหันจนต้องทรุดเอนพิงกับกำแพง  เงยหน้าขึ้น..หัวเราะเบาๆเหมือนคนบ้า…ที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากการหลับตาลงในครั้งสุดท้าย

   …..ที่ไม่อาจห้ามน้ำตาได้อีกจริงๆ..











----------------











   “คุณไปหาคุณแม่มาแล้วเหรอ?”
   น้ำเสียงที่เอ่ยถามยิ่งกว่าคนที่ใกล้จะหมดแรง  แต่ผมไม่ทักเขา
   “ครับ  ใช่”
   “เป็นไงบ้าง?”
   “ฮะๆ  ก็ไม่เป็นไงหรอก” ผมแกล้งทำเป็นหัวเราะ  กุมมือเขาเอาไว้ “…แม่จำผมไม่ได้ด้วยซ้ำ”
   “เทียน…”
   “….แต่ผมไม่หยุดอยู่แค่นี้หรอกนะ”
   เขายิ้มแทนคำตอบ  และเบือนสายตาจากผมขึ้นไปมองบนเพดาน..ผมคิดว่าเขาทำแบบนี้เพื่อกลืนน้ำตา  พักหลังมานี่เขาทำเช่นนี้บ่อย..บ่อยจนผมคิดได้ว่าไม่ควรทักเขา  และปล่อยให้เขาได้ทำอะไรตามแต่ที่ใจเขาต้องการ  ถึงแม้จะเป็นการอดทนอะไรไร้สาระก็เถอะ
   ..เขาคงคิดว่าตัวเองจะดูงี่เง่า  ถ้าหากเอาแต่ร้องไห้ในทุกๆวัน..
   ผมไม่ปรารถนาให้เขาร้องไห้ก็จริง  แต่ก็ใช่ว่าผมอยากจะให้เขาอดทนมันอยู่แบบนี้..แต่อักษรเข้มแข็ง  และเขาใช้ความแข็งแกร่งนั้นเพื่อรักษาตัวเอง..
   “งานOpen House เป็นยังไงบ้างครับ?”
   “หืม?  ไปได้สวยเชียวล่ะ” ผมฉีกยิ้ม  พาดคางลงกับมือที่กุมมือเขาอยู่ “เจ้าสีครามกวาดคะแนนนิยมได้อยู่หมัด..อย่างว่า  พักนี้มันเก็บเรตติ้งทำคะแนนได้เรื่อยๆ…เห็นว่าจะไปอยู่อเมริกากับกานดา  เด็กห้องทุน..เอ่อ..แฟนมันน่ะ”
   “ฮะๆ  แล้วคนอื่นๆล่ะครับ?”
   “ไม่ต้องห่วง…ลัษศรุตทำงานได้ไม่เลว  ถึงจะไม่เท่าสมัยที่มีคุณอยู่ก็เถอะ”
   “ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นสักหน่อย  ผมไว้ใจคุณลัษนะถึงได้เลือก”
   “อ้าว  คุณเป็นคนเลือกเหรอ?”
   “ก็ใช่น่ะสิครับ  ไม่ใช่ผมแล้วจะเป็นค..”

   เขาชะงัก  แทนการพูดคำต่อไปด้วยรอยยิ้ม…นี่คือช่วงเวลาที่เขาหายใจไม่ทัน..และผมไม่ทัก  นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้

   “ผมถ่ายรูปไว้เยอะเชียวล่ะ  วันงานน่ะ” ผมบอกเขา  เปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียนเป็นที่สุด “ไว้ผมเอามาให้ดูนะ”
   อักษรยิ้ม

   และบทสนทนาก็จบลงแค่นั้น…เขาเลี่ยงความทรมานทางร่างกายด้วยการหยุดพูด




   เวลาที่ใช้เพื่อเรียนรู้การกระทำของเขามาเกือบเดือนทำให้ผมสังเกตได้ถึงอะไรเล็กๆน้อยๆ  ร่างกายของเขาอ่อนแอลง..แม้แต่การจะลุกขึ้นมาทานอาหารอย่างปกติในแต่ละวันยังทำไปได้ยาก  ทุกครั้งที่เห็นเขาพยายามจะทำ…คนที่ทนไม่ได้ก่อนก็คือคุณน้าเกศรา  ที่ต้องเสียน้ำตากับเรื่องนี้ในทุกๆวัน  ในขณะที่พวกผมทำได้แค่เสียใจ..แต่ไม่สามารถแสดงมันออกมาได้

   ผมเคยคิดว่าการฝืนยิ้มตอนที่ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นมันทรมาน  และความจริงที่ว่าเขาทรมานกับเรื่องง่ายๆแบบนี้มาตลอดทำให้ผมไม่รู้สึกลำบากใจเลยที่จะยิ้มกลับไป…ในเวลาแบบนี้…

   “นอนเถอะครับ” ผมบอกเขา “ผมจะอยู่ข้างๆนะ”

   อักษรชอบฟังเพลงคลาสสิคก่อนนอน  และตอนที่เขาหลับตาลง..ผมก็เดินไปเปิดเทปคาสเซ็ทให้เขาฟัง  แล้วกลับมานั่งที่ข้างเตียงใหม่จนกว่าจะถึงสามทุ่ม  ซึ่งก็ได้เวลาที่พ่อกับแม่ของเขาจะบอกให้ผมกลับบ้าน

   และเป็นเช่นนี้ทุกวัน…

   เขาเคยถามผมด้วยท่าทีลังเลว่า  ‘การมาเพื่อนั่งมองเขานอนนี่มันสนุกนักรึ?’  ผมต้องหัวเราะกลบเกลื่อนคำถามนั้นไป  และบอกตรงนี้เลยว่า…มันไม่สนุกเลย  ไม่เลยสักนิด  ไม่ใช่เพราะมันเสียเวลา…แต่เพราะเราต้องอยู่กับความกังวลที่ว่าไม่รู้ว่าเขาจะตื่นขึ้นมาเพื่อเจอหน้าผมอีกครั้งมั้ย


   …มนุษย์มักกลัวในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้…และผมกลัว…




   ผมไม่ได้ต้องการมีช่วงเวลาที่ได้คบกับเขา

   ไม่ได้ต้องการไปเดท  ดูหนังฟังเพลง  เที่ยวเล่นที่โน่นที่นี่  ต้องโทรคุยกันทุกเช้าและก่อนเข้านอน  ต้องสรรหาของขวัญเซอร์ไพร์สตามวันสำคัญ  ต้องมีเวลาให้  ต้องคุยจิ๊จ๊ะแบบที่คนเป็นแฟนกันต้องทำ  หรือกระทั่งมีเซ็กส์ด้วย…เรื่องแบบนั้นผมไม่ต้องการ…
   ถ้าทุกอย่างมันแลกเปลี่ยนกันได้…สิ่งที่ผมต้องการมีเพียงแค่อย่างเดียว…



   ต่อให้ผมต้องมานั่งมองเขานอนแบบนี้ทุกวันจนกว่าตัวผมเองนี่แหละจะแก่ตายไป…

   …ถ้าระหว่างผมกับอักษรมันเป็นได้แค่นั้น…ผมก็จะทำ



   เฉพาะคืนวันเสาร์เท่านั้นที่ผมได้รับอนุญาตให้มานอนเฝ้าอักษรได้  เพราะวันธรรมดาผมต้องเรียนหนังสือ..ถึงแม้ผมจะบอกว่าไม่เป็นไร  แต่พ่อแม่ของอักษรก็ยังห่วงเรื่องสุขภาพและการเรียนของผมอยู่ไม่น้อย
   น้าอิศวรบอกผมว่า…ชีวิตของผมยังต้องดำเนินต่อไป..
   คำสั้นๆแค่นั้นแต่มีความหมายมากมาย  ทุกครั้งที่เขาพูดเช่นนั้น..ดวงตาก็จะฉาบไปด้วยความเศร้าสร้อยที่ผมไม่สามารถอธิบายได้

   ทุกคืนที่ผมมานอนเฝ้าเขา..ผมก็มักจะสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกทุกชั่วโมง  เพื่อกระโจนเข้ามาข้างเตียงเขา  ตรวจดูว่าอีกฝ่ายยังมีลมหายใจอยู่รึเปล่าเหมือนคนเป็นบ้า  และพอรู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้…ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา  รอให้ตัวเองสงบนิ่งอยู่ไม่เกินห้านาที  แล้วเดินกลับไปนอนต่อ



   แค่เห็นเขาตื่นขึ้นมา  ยิ้มให้ผมในตอนเช้า..




   …โลกทั้งใบก็เหมือนจะหยุดอยู่แค่นั้น…











----------------




ออฟไลน์ ozaka

  • ตัว "โอ" เป็นอะไรได้มากกว่าที่คุณคิด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1818/-38
    • ozaka's blog









   “แย่แหะ..”

   วันหนึ่งผมเผลอพูดหลังจากอ่านเมลล์ในโทรศัพท์มือถือ  พลาดตรงที่เสียงดังไปหน่อยให้อีกคนในห้องได้ยิน
   “อะไรครับเทียน?”
   “อ้อ  ไม่มีอะไรหรอก” ผมปฏิเสธ  แต่โดนสายตาคาดคั้นจนต้องสะอึก…แล้วทำอะไรไม่ได้นอกจากอธิบายต่อ “พอดีว่ามีคนติดต่อให้ผมไปช่วยงานช่างกล้องพรุ่งนี้…เอ่อ…คุณคิดว่าไง?”
   เขาตาลุกวาว “ว้าว! ก็ไปสิครับ”
   “คุณดูตื่นเต้นกว่าผมอีกนะ…”
   “จะไม่ตื่นเต้นได้ยังไงกันล่ะ  งานของคุณนะ…”
   อักษรหัวเราะ  ดูเหมือนเขาอยากจะพูดมากกว่านี้แต่พูดไม่ได้  เพราะงั้นผมเลยยิ้ม
   “งั้นพรุ่งนี้ผมมาหาช้าหน่อยนะครับ”
   “อื้ม!”
   “ไม่เหงาเหรอ?”
   “เหงาสิ  แต่ต้องตั้งใจทำงานนะ”
   ..อักษรซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองเสมอ..
   “ครับๆ” ผมยิ้ม..ความรู้สึกในอกเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆทุกวัน “รู้แล้วล่ะ!”



   ..นั่นเป็นประโยคที่ผมเกลียดตัวเองสุดๆ..



   วันต่อมาผมมีเรียนในช่วงกลางวัน  แต่งานเริ่มช่วงบ่าย..การเขียนจดหมายลาในโรงเรียนเกษรวิทยาไม่ใช่เรื่องยาก  ยิ่งชั้นเรียนพิเศษที่ผมอยู่ด้วยแล้วทำให้เดินเรื่องง่ายเข้าไปใหญ่  ผมสะพายอาวุธทุกชิ้นที่ตระเตรียมมาอย่างพร้อมศัพท์  ออกเดินทางไปที่สตูดิโอแถวสีลม

   นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ร่วมถ่ายภาพกับช่างภาพมีชื่อเสียงที่ผมนับถือหนึ่งท่าน  เขา(หรือเธอดีล่ะ..)สนใจภาพผมจากชิ้นงานประกวด PETS ครั้งนั้นมาก…พอได้มีโอกาสทำความรู้จักกันก็เห็นว่าจะไปได้ดีกว่าที่คิด  เขาชวนผมมาฝึกงานในช่วงปิดเทอมที่จะถึง..ตอนแรกผมลังเล  แต่ถ้าถามอักษร  เขาคงจะบอกว่าโอกาสแบบนี้ไม่ได้มาบ่อยๆเป็นแน่


   ประสบการณ์ในวันแรกเกือบจะเป็นไปได้ด้วยดี  ผมค้นพบว่าเราไม่สามารถถ่ายอะไรตามใจตัวเองได้อีกแล้วถ้าเราก้าวสู่วงการมืออาชีพ  และได้มีโอกาสลองถ่ายนางแบบอยู่เพียงไม่กี่ช็อต  แต่ก็เป็นก้าวแรกที่น่าประทับใจพอสมควร
   ..ไม่ใช่สักแต่ว่าถ่าย..
   การทำงานเป็นทีมต้องเกิดการปรับตัวมาก  ผมยังทำได้ไม่ดีตามที่ต้องการ..แต่ถ้าพูดกันตามตรงแล้ว..ถ้าเป็นผมเมื่อก่อนคงไม่มีโอกาสแม้แต่จะทำอะไรแบบนี้..



   ระหว่างที่กำลังเก็บของหลังงาน  พี่หัวหน้าทีมจัดภาพก็เดินมาทักผม

   “เฮ้เด็กใหม่  ทำงานได้ดีนี่นา”
   “ขอบคุณครับ”
   “พี่คุยกับทางโน้นแล้ว” เขายิ้มให้ “คิดว่าไงถ้าจะลองมาฝึกงานหลังเลิกเรียน”
   ผมเลิกคิ้ว “เอ๊ะ?  ผม…”
   “เฮ้ยไม่เป็นไร  ลองๆดูไปก่อน…เราติดอะไรมั้ยล่ะ?”
   สิ่งแรกที่แว่บเข้ามาในความคิดของผมคืออักษร  และถึงจะเสียดาย..แต่ผมก็จำต้องเอ่ย “ถ้าหลังเลิกเรียนบางวันพอได้ครับ  แต่ทุกวันคงไม่สะดวก…ขอโทษนะครับ”
   “ทำไมล่ะ?  บ้านไกลเหรอ?”

   ผมยิ้ม  ขออนุญาตไม่พูดต่อ..และเขาก็ไม่ได้ซักไซร้อะไรด้วยเห็นเป็นเรื่องส่วนตัว



   คนในทีมชวนกันไปดื่มต่อหลังเลิกงาน  ผมก็ปฏิเสธกลับมาอย่างสุภาพ  พี่ต้อ(พี่ผู้ช่วย) ขับรถมาส่งผมที่ทางขึ้นรถไฟฟ้าBTS  แล้วพวกเขาถึงค่อยไปปาร์ตี้กันต่อ…

   และตอนผมลงจากรถ..นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเช็คโทรศัพท์มือถือตัวเอง



   มี 1 สายไม่ได้รับ..



   อะไรบางอย่างในอกผมหนักอึ้งไปเสียหมด  ผมโทรกลับ..เบอร์นั้นคือเบอร์ขององศา  แน่นอนว่าน้องพูดไม่รู้เรื่องหรอก  การร้องไห้ของเขาคือคำตอบทั้งหมด
   ..คำตอบที่ทำให้หัวใจผมเย็นเยียบ…

   แทนที่จะขึ้นรถไฟฟ้า  ผมโบกแท๊กซี่ต่อเลยเพื่อความรวดเร็ว  ถึงจะเคราะห์ดีที่เวลานั้นรถไม่ติดนัก  แต่จากระยะทาง..ค่อนข้างไกล  และยิ่งทวีความไกลเข้าไปอีกเมื่อทุกวินาทีที่ผ่านพ้นไปแบบที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย



   ผมมาถึงโรงพยาบาลในที่สุด




   เท้าที่วิ่งอยู่รู้สึกเหมือนไม่ใช่ของตัวเอง  ลมหายใจที่กำลังระรัวอยู่นี่ก็เหมือนไม่ใช่ของตัวเอง  ทุกสิ่งทุกอย่างดูล่องลอยเหมือนไม่มีสักอย่างที่เป็นความจริง  ผมกดลิฟท์..ถึงมันจะไม่ทันใจ  แต่ก็คิดได้ว่ายังไงมันก็เร็วกว่าที่จะวิ่งขึ้นตามบันไดไปอยู่ดี


   ประตูห้องที่คุ้นเคยดูหนักอึ้งไปทันตา



   ..และผมรู้อยู่แล้วว่า…วันแบบนี้…มันต้องมาถึงเข้าสักวัน…




   ไม่มีใครหันมามองผม  หรือบางทีผมอาจจะไม่สังเกต..ทำเพียงแค่แทรกตัวเข้าไปถึงเตียงผู้ป่วยอย่างเสียมารยาทที่สุด
   ตรงหน้าของผมมีร่างกายบอบบางนอนอยู่  เขาไม่ได้สติ..และมีสายอะไรต่ออะไรไม่รู้ระโยงระยางเต็มไปหมด  เครื่องตรวจวัดชีพจรของเขายังทำงานอยู่..เส้นตรงๆที่มีหยักขึ้นหยักลงเพียงลงน้อย  แผ่วเบาและอ่อนแรง…จนตัวผมเองแทบจะหยุดหายใจไปด้วย

   ผมได้สติ  หันกลับมามองคนรอบตัว

   ไม่มีใครพูดอะไร
   ..แม้แต่คุณหมอร่างท้วมเจ้าของไข้ก็ยังเงียบลงไป..



   หลักจากนั้นผมถึงได้ยินเสียงองศาร้องไห้อยู่ด้านหลัง  คุณแม่เองก็มีน้ำตา..เพียงแค่ไม่ได้สะอื้นไห้ฟูมฟายเหมือนเคย  ทุกคนอยู่ในความเงียบ..เงียบจนน่าอึดอัด  และถึงจะอึดอัดแค่ไหน…ก็ไม่มีใครสะดวกใจที่จะพูดอะไร


   ติ๊ด…ติ๊ด….


   เสียงเจ้าเครื่องบ้าๆนั่นยังคงดังเป็นระยะ


   …ติ๊ด….ติ๊ด….


   และเชื่อมั้ย…เพราะเสียงนั่นแหละที่ทำให้เส้นประสาททุกเส้นตึงเขม็ง

   ผมเอื้อมไปประคองมือบอบบางที่สิ้นเรี่ยวแรงนั่น  ค่อยๆทิ้งตัวนั่งคุกเข่าชะเง้อมองจากข้างเตียง ยกปลายนิ้วทีละนิ้วขึ้นมาจรดริมฝีปาก…ครั้งแล้วครั้งเล่า  หลับตา  เฝ้าภาวนาให้เขาบีบมือผมตอบ…….แต่สิ่งนั้นไม่เคยเกิดขึ้น


   เข็มนาฬิกาที่ข้อมือดังเป็นจังหวะ  ผมนั่งนับมันเพื่อตั้งสมาธิ  แต่ไม่เคยนับได้เกินพัน..ต้องมีเหตุให้ผมต้องมองซ้ายมองขวาทุกครั้งไป  และจึงได้ก้มมานับมันต่อ…หรือจริงๆแล้วผมแค่นับมันเพื่อดึงสมาธิออกมาจากความเจ็บปวดก็เป็นได้




   ผมรู้สึกตาแห้ง  แต่ก็ยังจ้องมองไปที่เขาซึ่งหลับสนิท  ไม่มีปฏิกิริยาใดๆนอกจากเสียง ‘ติ๊ด ติ๊ด’ ดังห่างๆกัน…อันเป็นสัญญาณบอกว่าเขายังมีลมหายใจ……ยังอยู่กับผม..





   เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า


   ..แต่พระอาทิตย์ก็ฉายแสงแรกเข้ามาทางหน้าต่างในที่สุด






   ผมรู้ว่าเขาชอบแสงอาทิตย์แรก  เขาชอบลุกขึ้นมามองออกไปนอกหน้าต่าง..มองไปยังอาคารบ้านเรือนหลังเล็กๆที่เรียงรอยอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา  มองไปที่เส้นขอบฟ้าสีส้มสว่างตัดกับสีครามด้านบน

   และผมหวังว่าครั้งนี้ก็จะเป็นเช่นนั้น…













   …………..ติ๊ดดด………..








   เสียงดังสนั่นชวนพรั่นพรึงนั่น…ราวกับพร้อมจะกระชากทุกห้วงลมหายใจจากทุกคนในห้องออกไปเสียสิ้น  ในบรรดาพวกเรามีเพียงแค่องศาที่ขยับตัวลุกขึ้นจากโซฟา  แต่ไม่มีใครพูดอะไร

   …การภาวนาทั้งหมดสิ้นสุดลงตรงนั้น…

   ผมเงยหน้ามองเส้นตรงสีเขียวบนจอมอนิเตอร์..มองอยู่นานมากพอที่คุณหมอและพยาบาลจะวิ่งเข้ามา  ไม่มีใครกันผมออกไปทั้งๆที่ผมนั่งอยู่แบบเกะกะสุดๆ  พวกเขามองกันและกัน  หันกลับไปมองครอบครัวของอักษร…พูดอะไรสักอย่างที่ผมไม่ได้ยิน  และไม่อยากได้ยิน


   ทุกคนร้องไห้
   ผมลุกขึ้นยืน..ไม่อยากคิดว่าทำไมตัวเองถึงไม่มีน้ำตา..





   ดวงหน้าขาวหันมองออกไปนอกหน้าต่าง  กลีบปากสีส้มนั่นจะยกมุมขึ้นเหมือนกำลังฉีกยิ้ม  แม้ผมจะไม่ได้เห็นดวงตากลมใสเหมือนเด็กทารกนั่นอีกครั้งก็เถอะ  แม้ผมจะไม่ได้เห็นเขายิ้มและบอกผมว่า ‘ไม่เป็นไร’ ก็เถอะ  สัมผัสของมือที่ผมจับอยู่จนถึงเมื่อครู่ก็ยังอุ่น…อุ่นเหมือนเขาแค่กำลังนอนหลับ

   แต่ถึงกระนั้น…อะไรบางอย่างก็ถูกพัดพาออกไปแล้ว…





   ก่อนหน้านี้หัวใจผมยังเต้นระรัวแรงมากพอจะระเบิดออก  แต่ตอนนี้..มันกลับสงบราบเรียน  แทบไม่มีความผิดปกติใดๆของจังหวะนั้น  มันยังคงเต้น…และนั่นคือความแตกต่างระหว่างผมกับเขาในตอนนี้

   ผมขยับตัวขึ้นไปนั่งใกล้เขา  ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าผากลงมา  มองใบหน้านั้นอยู่นาน…นาน…ก่อนจะกดริมฝีปากลงบนหน้าผากเกลี้ยงนั่น


   มันยังอุ่นอยู่..ผมสัมผัสได้
   …..อุ่นจนสัมผัสได้ถึงแอ่งน้ำเย็นเฉียบกลางอกของตัวเอง







   “…ไม่ต้องกลัวนะ  ที่รัก..”


   ผมบอกเขา  เสียงแหบแห้ง…และเป็นวินาทีเดียวกับที่น้ำตาไหลออกมา







    “…ความรักของผม…จะไปกับคุณ…”














ถ้าไม่เคยลองสัมผัส..จะไม่รู้ความหมายของคำว่า ‘นิรันดร์’




I wish I’m in love

‘..ปรารถนารัก…เป็นดั่งใจ..’





THE  END











============================







สวัสดีค่ะ จบแล้วนะจบแล้ว : )
รู้สึกอึนๆ ไม่อยากอัพตอนจบเลยจริงๆ..แต่ก็ต้องทำใจอัพ ;v;
พออัพเสร็จก็รู้สึกเหมือนไม่มีเรื่องจะพูด  ไม่เหมือนเรื่องอื่นๆเลย  ฮ่าๆๆๆ

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่โอชอบที่สุด
ถึงคนอ่านจะไม่ได้ชอบเรื่องนี้ที่สุด แต่แค่เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นเสี้ยวหนึ่งในความทรงจำ
...เท่านั้นก็เพียงพอแล้วล่ะค่ะ

เหมือนจะมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ผ่านการสื่อด้วยตัวอักษรลงไป
..แต่เชื่อว่าหลายๆคนคงเข้าใจมันโดยไม่ต้องอธิบายให้มากความ

ตอนที่มีความรัก คนเราจะเติบโตได้มากแค่ไหน
ตอนที่มีความรัก คนเราจะคิดถึงเรื่องอะไร
อีกนานมั้ย?  อีกนานรึเปล่า?
รักอีกกี่ครั้ง จบอีกกี่ครั้ง เผชิญกับรักครั้งใหม่อีกกี่ครั้ง

ทุกสัมผัสของความรัก มีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่เสมอ


ทุกวันนี้ที่กลับไปมองความรักเก่าๆ ก็ยังรู้สึกว่าตัวเอง 'ดูแล' สิ่งมีค่านั้นไม่เพียงพอ
เรื่องนี้จบลงโดยที่เทียนและอักษรพยายามดูแลกันและกันได้อย่างถึงที่สุดแล้ว จึงไม่อยากพิมพ์คำว่า 'เสียใจ'
รักลูกสองคนนี้มากจริงๆ
ที่สัญญาไว้ว่าตอนนี้จะไม่ร้องไห้ เพราะตัวเองไม่ได้เขียนบิวท์อะไรให้มากมาย
อยากให้ความรักนี้จบลงอย่างสวยงาม..สวยงามแบบที่ไม่จำเป็นต้องมีคำสวยหรูอะไรมาแต่งเติม
...แต่ก็แอบคิดว่าหลายๆคนคงร้องไห้ (ซึ่งรวมถึงโอด้วย (ฮา))

ขอบคุณ คิดว่าทุกคนคงรักอักษรเหมือนๆกับโอ



เปลี่ยนประเด็นเศร้านิดนึงเนอะ!

ประกาศรวมเล่ม


เนื่องจากตอนพิเศษ ตอนพิเศษของเทียน และ ไดอารี่ของอักษร ยังไม่เสร็จ
และคาดว่ายังไม่เสร็จในเร็ววันนี้แน่ 55555555555  :katai4:
เพราะฉะนั้น ติดตามข่าวสารการรวมเล่ม ปรารถนารัก..เป็นดั่งใจ ได้ที่ ช่องทางนี้ แฟนเพจ เท่านั้นนะคะ
(แต่สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ทวีตเตอร์เหมือนเคยค่ะ : D)
หลีกเลี่ยงการรวมเล่มเองมานานเพราะมีปัญหาเยอะ ครั้งนี้จะพยายามปรับแก้ๆในหลายๆจุด ;v;///

ขอบคุณที่เชื่อมั่นกันอยู่นะคะ



ขอบคุณที่ติดตาม
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์กำลังใจ ไม่ว่าจะในนี้หรือในแฟนเพจ

ครั้งสุดท้ายแล้วเนอะ มาบอกลากันเถอะ!



ด้วยรัก
ozakaoxygenz





 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:




ออฟไลน์ snow_curse

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
งือออออ อักษรรรรรรรร  :sad4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ NOoTuNE

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3255
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +317/-15
เม้นท์ไม่ออก ขณะที่พิมพ์มือยังสั่นน้ำตายังไหล 




เอาเป็นว่าขอบคุณ ความรักของสองคนจะเป็นนิรันดร์ พิมพ์ไม่ไหวจริงๆค่ะ

ออฟไลน์ ปลายด้ามเงิน

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 73
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
คือ มัน ทำไมนะ พูดไม่ออก น้ำตาจะไหล :m17:

ออฟไลน์ noomasoi3

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 171
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
นาทีนี้อยากจะบอกว่าสงสารเทียนไขมากกกกกกกกก
อักษรจากไปแล้วพร้อมความรู้สึกดีๆว่าเทียนไขรักเขา
แต่เทียนไขต้องอยู่กับความโหยหาที่รู้ว่าอักษรรักเขา
คุณโอทำพี่ร้องไห้นะ คุณโอต้องรับผิดชอบใช่ไหม
.......ส่งเอกซ์กับวายมาปลอบใจพี่ด้วยยยยยยยยยย
 :sad4: :hao5: :hao5: :monkeysad:

ออฟไลน์ kyoya11

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4680
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +340/-12
ถึงจะเดาๆว่าต้องมาแนวนี้ แต่ว่านะ...อดร้องไห้ไม่ได้อยู่ดี :mew6:

ParkArin

  • บุคคลทั่วไป
คือแบบ พูดออกมาไม่ถูก
รู้แค่ว่าร้องไห้ น้ำตาไหล  :sad4: :sad4: :sad4:

ออฟไลน์ minipuri

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 65
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เรื่องมันเศร้า แต่สวยงาม










///ขอบคุณค่ะ






ออฟไลน์ from_mars

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1154
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +136/-0
ร้องไห้...บอกเลย

มันซึ้งมากนะ รักและดูแลกันจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต...รักในอุดมคติ
คนเราจะมีโอกาศดูแลกันอีกมากน้อยแค่ไหน ไม่มีใครรู้ ถึงได้มีคำพูดจากหลายๆ แหล่งที่มาว่า
ใช้ชีวิต ดูแลคนรอบข้างให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต...จะได้ไม่ต้องเสีใจ เนอะ..

ชอบจ๊ะ ชีวิต คงไม่ได้จบสวยหวานทุกเรื่องหรอกเนอะ
เรื่องนี้ขม..แต่ก็สวยจ๊ะ ขอบคุณมากน้า...

ออฟไลน์ P.PAN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
 :sad4: กะไว้แล้วเชียวว่าตอนจบต้องลงเอยแบบนี้
ฮื๊อออออออออออออออออออออออออออ มันเจ็บหัวใจจจจ  :ling1:
อย่างน้อยทั้งคู่ก็ได้เจอความรักที่สวยงามก่อนจะจากกันล่ะนะ ฮึบบบบบ *ปาดน้ำตา

จากนี้ก็ขอไปโหดมันส์ฮา(หื่น)กับเอ็กซ์ไวน์ละนะคะ สู้ๆค่ะ  :กอด1:

nai.mamaw

  • บุคคลทั่วไป
จบแล้วอะ TT เรื่องนี้ประทับใจที่สุดเลยค่ะ อินมาก ฟินมาก

รักอักษรหมดใจ ฮือ รออ่านไดอารี่ของอักษรนะคะ จะติดตาม และจำคู่นี้ตลอดไป

ออฟไลน์ leknoey

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-2
ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นตัวอักษรได้ .....

[attachment deleted by admin]

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด