9th Day : It's a Long, Long night [1/2] ..พรุ่งนี้วันอีฟ.. ผมรู้สึกบาปชะมัดที่หลงลืมวันแบบนี้ทั้งที่มันค่อนข้างสำคัญในศาสนาตัวเอง และสาเหตุที่ทำให้ผมจำได้น่ะหรือ..ก็คือการที่เห็นเจ้าต้นไม้ยักษ์ถูกรถบรรทุกขนเข้ามาในโรงเรียนต่อหน้าต่อตาแบบนี้น่ะสิ...
เมื่อเช้ายายไม่ได้พูดอะไร ท่านคงเหนื่อยมาก..จากสภาวะกดดันทั้งทางโรงพยาบาลทั้งความกังวลในอกอีก และถึงแม้จะร่วมด้วยช่วยกันประกาศแจ้งหาไปทุกภาคทุกสน.แล้วก็ใช่ว่าจะวางใจได้ง่ายๆ ทางตำรวจบอกว่านี่เป็นหนึ่งในหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขา..สำหรับผมน่ะคิดๆอยู่แล้วว่าจะปล่อยๆไป ตามมีตามเกิด..แต่ดูเหมือนยายจะไม่ใช่แบบนั้น ก็ลูกในไส้ทั้งคนนี่นะ..
เอาเถอะ หลักๆของเรื่องนี้ก็คือผมก็แค่เป็นหนึ่งในบรรดานักเรียนอีกหลายๆคนที่ต้องเข้าร่วมงานฉลองแบบนี้ ทั้งเหล่าบรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งหลายก็ได้อานิสงค์มาปาร์ตี้กันด้วย ผมไม่แคร์เท่าไหร่..แต่การจะฝืนธรรมเนียมปฏิบัติก็ดูจะใช่ที่ เอาล่ะ..เย็นนี้ผมต้องรีบกลับบ้าน พาก้านธูปไปโบสถ์..อืม..แปลกใจชะมัดว่าทำไมยายถึงตั้งชื่อพวกเราซะไทยแท้แลละม้ายกำลังเข้าวัดเข้าวาขนาดนี้นะ..
.เทียนไข ก้านธูป ดอกบัว.. ....ดอกบัว.... คิด แล้วก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด จริงอยู่ที่ผมแอบยินดีกับงานฉลองพวกนั้นไม่น้อย แต่เรื่องบางเรื่องมันก็ชวนให้ละเหี่ยใจ...เสียเกินจะแก้...
“เทียน!! อย่าอู้ดิวะ! มาช่วยกันหน่อย!” ใครสักคนร้องเรียกชื่อผมออกมา จะมีก็แต่พวกเด็กห้องทุนที่ไม่ค่อยจะรู้อะไรกับเขาเท่านั้นแหละที่เรียก...พวกเด็กเรียนดี..แต่เบ๋อไบ๋กันทั้งคณะ...
ผมกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย แต่ก็ยอมลุกขึ้นจากอัฒจรรย์เดินไปตามทางที่พวกมันเรียก
“มึงตัวสูงอ่ะ ติดให้หน่อย เอาสูงๆ"
เด็กสาวผิวแทนยื่นกระดิ่งสีแดงอันโตให้ผม เธอเป็นหนึ่งในผู้หญิงไม่กี่คนที่กล้าเข้ามาใกล้ผมขนาดนี้โดยปรารถนาจะเป็นแค่เพื่อน ซึ่งเป็นการดี..จิ๊บไม่ใช่ผู้หญิงที่รู้จักวางตัวอะไรนักก็จริง แต่ก็พูดได้ไม่เต็มปากว่ามันเป็นผู้หญิง
ผมถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือกใหญ่ๆเลยโดนมันถองให้หนึ่งที แล้วก็จำใจต้องเอื้อมมือไปติดตามที่มันต้องการ
“มึงเป็นคริสต์เหรอ?”
“เปล่า"
“แล้วมาช่วยทำไม?”
“เลขอ่ะ กูไม่อยากเรียน"
..สาบานได้นี่มันคำพูดเด็กห้องทุน.. ผมยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อใครอีกคนก็ยัดเยียดบันไดมาให้ผมถือ ไอ้ครั้นจะหิ้วมันไว้เฉยๆก็ดูโง่เกินไปนิด ผมยอมเสียสละกางแล้วส่งสัญญาณให้จิ๊บปีนขึ้นไป มันไม่ได้ว่าอะไรแถมยังขอบอกขอบใจเสียดิบดี..เพราะฉะนั้นหน้าที่ผมต่อจากนี้ก็เป็นแค่ลูกมือมันเท่านั้นแหละ..สบาย
ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงพี่สายสิญจน์เอ่ยสั่งงานมาตลอดทางที่เดินเข้ามา ความเคยชินทำให้ผมหันไปมอง...ร่างสูงพูดอะไรสักอย่างที่ผมฟังไม่ทัน โดยมีใครอีกคนที่ผมจำได้ว่ามาจากห้องทุนเหมือนกันคอยตามจดต้อยๆ
“เช็ครายชื่อแขกผู้มีเกียรติทั้งหมดรึยัง? บัตรเชิญแจกหมดแล้วนะ”
“เอ่อ...ขาดประธานสมาคมศิษย์เก่าครับ คนเดียว...เค้าย้ายบ้า..."
ร่างสูงกว่าไม่รอให้พูดจบ “ไปจัดการให้เรียบร้อย"
“ครับพี่สิญจน์"
“ลัษ พี่ไม่คาดหวังจะให้เธอทำได้ทุกอย่างเหมือนอักษรหรอกนะ...แค่นี้ก็เก่งมากแล้ว ขอบใจนะ" ..บอกผมที...ว่านั่นเป็นคำขอบคุณไม่ใช่คำด่าเคลือบน้ำตาล..ภายใต้ใบหน้ายิ้มๆแบบนั้นน่ะ.. ผมไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่พี่สายสิญจน์ต้องการจากเลขานุการจะเป็นแบบไหน แต่ที่รู้คืออักษรดูเหมือนจะมีสิ่งเหล่านั้นครบครันอย่างไม่น่าประหลาดใจเท่าไหร่ ผมพนันหมดตัวเลยว่าตั้งแต่เกิดมาเขาคงไม่เคยทำให้ใครผิดหวังด้วยซ้ำ..
“เทียน ขอดาว...ดาวเฟ้ยดาว!”
เสียงจิ๊บเรียกอีกครั้งให้ผมได้สติ “อันไหน?”
“สีทองย่ะ"
“อ่ะ"
“เทียน จิ๊บ เหนื่อยหน่อยนะ"
“เหนื่อยหน่อยนะฮะ/คะพี่สิญจน์"
เราหันไปตอบพร้อมกัน พี่แกเพียงแค่ส่งยิ้มมาแล้วเดินจากไป ก่อนที่ไอ้จิ๊บจะกระซิบว่า
“โอ้ยยย อย่าให้พี่แกจับได้เลยว่ากูโดดเรียน"
ผมไหวไหล่ "..กูว่าเค้ารู้แล้วแต่ไม่พูด"
“ฮึ้ยยยย อย่าพูดแบบนั้นดิ"
การพูดตอกย้ำต่อไปดูเหมือนจะไม่ใช่วิสัยผมนัก ผมยื่นดาวสีทองอีกอันให้จิ๊บต่อขณะปราดสายตามองไปรอบๆโรงยิม จึงได้เห็นบรรดานักเรียนในชุดพละมาร่วมด้วยช่วยกันปูผ้าจัดไฟเสียเรียบร้อย..อาจเพราะห้องบางห้องที่เรียนพละในคาบนี้แต่โรงยิมใช้ไม่ได้เลยจำเป็นต้องมาช่วยงานก็ได้กระมัง
ผมไม่ได้ใส่ใจจริงๆจนกระทั่งเหลือสายตามาเห็นนายสีคราม โกสินทร์วิตรมในชุดพละที่ช่วยคนอื่นๆขนโต๊ะ
แรกทีเดียวผมคิดจะหันไปถามจิ๊บว่าวันนี้ห้องเด็กเส้นเรียนพละเหรอแต่ก็ไม่กล้ากระโตกกระตาก ผมไว้ใจเพื่อนสาวคนนี้ไม่ได้...ถ้าหากมันจับอะไรได้สักอย่างล่ะก็รู้ไปทั่วโรงเรียนแน่ๆ ดังนั้นมันไม่คุ้มเสี่ยง...
ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่คือหาคำตอบด้วยการพิจารณาเด็กพละพวกนั้นเรียงตัว จึงได้บทสรุปตามข้อสันนิษฐานแรก..
..คาบวิชาพละของห้องเด็กเส้น.. และเชื่อว่าต่อให้ผมไม่พยายามหา ผมก็ต้องเอะใจบ้างแหละ...แต่เหมือนเดิมคือผมคงไม่คิดจะไปถามหา 'อักษร' เอากับไอ้จิ๊บแน่ๆ...
“เฮ้ เหม่อไรของมึงวะ!”
จิ๊บทักอีกครั้ง ผมพูดทันที
“เดี๋ยวกูมา" “อู้เหรอไอ้เทียน!”
“เดี๋ยวกูมาน่า"
ผมวางตะกร้าใส่ของประดับไว้บนขั้นบันไดถัดลงมาจากที่ไอ้จิ๊บนั่งอยู่ มันดูกระฟัดกระเฟียดมิใช่น้อยแต่ก็ยอมตะโกนเรียกคนอื่นมาใช้แรงงานแทน ความอัธยาศรัยดีเป็นเอกลักษณ์ของยัยนั่น...ถึงมันจะค่อนไปทางคำว่า 'เสือก' แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแย่เท่าไหร่ ดังนั้นไม่ถือแน่นอน..
สีครามหันมาทางผมโดยที่ไม่ต้องให้ผมตะโกนเรียกด้วยซ้ำ นั่นเป็นข้อดี..เพราะผมจะได้ไม่ต้องเสียหน้าด้วยการทักอะไรเขาก่อน มันดูมีพิรุธเกินไป
“ไง เทียน"
เขาทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนคนที่มีความสุขที่สุดในโลกกับผม..ที่ยกมือทักตอบแล้วกระแอมกระไอ
“เรียนพละเหรอ?”
..ถามทั้งๆที่รู้อยู่แล้ว อีกฝ่ายพยักหน้า
“ใช่ แบดน่ะ...แต่เห็นโรงยิมจัดงานอาจารย์ก็เลยให้มาช่วยๆกัน"
“อ้อ"
ผมพยักหน้าหงึกหงักมองไปรอบๆ เคราะห์ดีที่ไม่ค่อยมีใครอยู่ในรัศมี5เมตรนี้เท่าไหร่ สีครามเป็นคนที่ไว้ใจได้..คือ..อย่างน้อยผมก็ว่าเขาเก็บความลับอะไรทำนองนี้เก่งพอสมควร หรือเอาให้ถูกก็คือสีครามคิดว่าเรื่องแบบนี้พูดไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรซะมากกว่า..ดังนั้น...
“..มีอะไรรึเปล่า?”
เขาชิงถามก่อนซะงั้น ผมถอนหายใจ “มี"
“อ่าฮะ" สีครามพยักหน้า แล้วเอียงคอยิ้ม "อะไรล่ะ?”
“.........”
..เรื่องดำเนินมาถึงจุดที่ยากที่สุดแล้วครับ.. ก้อนอะไรบางอย่างวิ่งขึ้นมาจุกอยู่ที่คอผม มันทำให้สถานการณ์ดูอึกอักแบบแปลกๆ ผมไตร่ตรองอยู่เพียงครู่เดียวเพื่อหาคำถามที่อ้อมที่สุด..คำถามที่ทำให้ผมเขินน้อยที่สุด
“เอ่อ...พวกนาย...ห้องนายน่ะ...อยู่ที่นี่กันทุกคนรึเปล่า?” คู่สนทนากระพริบตาปริบๆ มองไปรอบๆ "ก็..ไม่มั้ง บางคนก็ไปหอสมุดน่ะ บางคนก็โดด"
“อ้อ อย่างนั้นเหรอ"
“จะหาใครเหรอ?”
ผมหลุบตาลง
เอาล่ะ..ท่าทางจะไม่มีเวลามาคิดมุขตายๆอะไรอีกแล้วล่ะ.. “............อักษร..อยู่มั้ย?” “อ้ออออออ" เท่านั้นแหละ รอยยิ้มสว่างๆที่อยู่บนใบหน้าอีกฝ่ายกลับเหมือนมีนัยอะไรขึ้นมาฉับพลัน ผมไม่กล้าสบกับนัยนต์ตาพราวระยับคู่นั้นจึงได้แต่เสมองไปเรื่อย ระหว่างที่เขาอธิบาย "ไม่อยู่หรอก ปกติแล้วอักษรก็ไม่ต้องเข้าคาบพละอยู่แล้วน่ะ...คิดว่าน่าจะอยู่ที่ห้องพยาบาล...."
“ห้องพยาบาล?” ผมทวนคำทันทีอย่างไม่เข้าใจคำพูดนั้น สีครามมองหน้าผม..ก่อนจะหลบตาทันควัน
“เราเผลอพูดอะไรผิดไปสินะ....” “อะไร?”
“เปล่า ก็แค่คิดว่าบางทีนี่อาจไม่ใช่เรื่องที่เราสมควรเป็นคนพูด.....”
“พูดอะไร?”
อกที่นิ่งสงบอยู่จนถึงเมื่อครู่พลันขยายแน่นขึ้นมาจนอัดอึด ผมรู้ได้เลยว่าตัวเองหายใจได้ลำบากขึ้น..อย่างมีสาเหตุ...
อีกฝ่ายพยายามยิ้มกลบเกลื่อน..แบบที่มันทำเป็นปกติ
“...เราต้องไปแล้วล่ะ"
“ไอ้สีคราม"
“ห้องพยาบาล เทียนไข ห้องพยาบาล"
เขาเอื้อมมือมาตบไหล่ผมปุๆ คล้ายกับว่ากำลังให้กำลังใจ..หรือเท่าที่ผมเข้าใจมันคือการตัดบทกลายๆ..
“ไปห้องพยาบาล"----------
แอด.. การเปิดประตูอย่างร้อนใจแบบนี้ทำให้อาจารย์เจ้าของแว่นตากรอบบางและผมยาวรวบตึงประจำห้องพยาบาลตกใจไม่น้อย เจ้าหล่อนหันมามองหน้าผม..เช่นกัน..ผมก็มองหน้าเธอ ก่อนจะพูด
“.....ปวดหัว...ครับ” ..ไม่เข้าใจตัวเอง...ทำไมเวลาแบบนี้ถึงพูดตะกุกตะกักได้ขนาดนี้กันนะ.. อาจารย์ขยับยิ้มคล้ายจับได้ ในขณะที่ผมเริ่มวางตัวไม่ถูก
“แพ้ยาอะไรมั้ย?”
“ไม่ครับ เอ่อ...” ผมกลอกตา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ "ผมทานแล้ว แค่...อยากจะ เอ่อ นอนพัก....สักคาบ....”
“อ่าฮะ"
“....หรือบางทีอาจจะสองคาบ"
เธอหลุดขำออกมา ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานเดินมาจนถึงหน้าประตู เปิดสมุดบันทึกที่วางอยู่แล้วเลื่อนมาตรงหน้าผม
“กรอกชื่อนะ แล้วเข้าไปนอน..ผู้ชายประตูขวา มีนักเรียนคนอื่นนอนอยู่ด้วยอย่างเสียงดังล่ะ"
“ครับ"
ผมหยิบปากกาด้วยมือสั่นเทา เลยต้องใช้อีกข้างจับมันไว้ดีๆ..ให้ตายสิ ร้อยวันพันปีผมแทบไม่เคยต้องทำอะไรแบบนี้ ไม่สบายเหรอ? อยากนอนพักเหรอ? ก็แค่หาห้องว่างๆสักห้องไว้โดดเรียนหรือนอนเล่นกับพวกผู้หญิง..ไอ้เรื่องทำถูกทำนองคลองธรรมแบบนี้เคยปฏิบัติซะที่ไหน
..โป๊ะเชะ..
ชื่อ 'อักษร อัครามณฑา' ..ถูกบันทึกไว้ก่อนหน้าผมคนนึง... ผมวางปากกา เหลือบสายตามองอาจารย์ที่กำลังพิมพ์อะไรสักอย่างใส่คอมพิวเตอร์..เธอไม่ได้สนใจผม ถือว่าโชคดี..
ประตูห้องนอนพักเป็นบานผลักเพียงครึ่งเดียวเหมือนประตูในหนังคาวบอย เพื่อที่อาจารย์จะสามารถสอดส่องดูแลนักเรียนได้อย่างทั่วถึงโดยไม่ต้องเข้ามาในห้อง อย่างไรก็ดี..ผ้าม่านที่กั้นอยู่ระหว่างเตียงแบบนี้ก็สร้างความเป็นส่วนตัวให้ไม่น้อย ผมมองปราดไปเรื่อย..ทั้งห้องมีเพียง3เตียง เตียงริมหน้าต่างถูกจับจองเรียบร้อยแล้ว...และผมไม่ต้องเดาเลยว่าใคร
การแหวกม่านเข้าไปอย่างถือวิสาสะแบบนี้โคตรจะเสียมารยาท แต่ผมก็ทำ
ดวงหน้าขาวจนเกือบซีดมุดลงแทบจะจมลงไปกับปลอกหมอนสีเขียวอ่อนจนเห็นเพียงเสี้ยวหน้า อักษรหลับตาพริ้มด้วยริมฝีปากหยักที่มุมนิดหน่อยคล้ายกับว่ากำลังยิ้มอยู่แม้ในขณะหลับ...ผ้าห่มสีเข้าชุดกันกระเพื่อมขึ้นลงตรงหน้าอกที่มีมือข้างหนึ่งวางอยู่ อีกฝ่ายเป็นคนหายใจเร็วและสม่ำเสมอ...นั่นไม่ได้ทำให้ผมแปลกใจนัก
ผมเลือกที่จะเดินเข้าไปใกล้เขา เอื้อมไปดึงผ้าม่านกันแดดที่สาดส่องลงมาให้ปิดสนิท เขาจะได้ไม่ร้อน..ดูจากเหงื่อซึมชื้นที่ไรผมสีดำนี่ก็รู้แล้ว...
......มีเรื่องมากมายที่อยากจะถาม...
......แต่การปลุกคนที่กำลังหลับสนิทนี่ดูจะไม่ดีเท่าไหร่... ผมทิ้งตัวนั่งลงบนขอบเตียงเขา แล้วหันไปมองเสี้ยวหน้านั้นชัดๆนานๆอีกสักหน..อักษรไม่ใช่ผู้ชายที่เตี้ยอะไรเลย..แต่เพราะปริมาณกล้ามเนื้อที่น้อยเหลือเกินนี่กระมังทำให้เขาดูตัวเล็กนิดเดียว...ข้อมือบางโผล่พ้นแขนเสื้อนักเรียน...มีสีขาวจนเหมือนกระดูก..ตามต้นคอนี่ก็เหมือนกัน...
รู้สึกตัวอีกทีปลายนิ้วผมก็ไล้ตั้งแต่ใบหูนิ่มนั่นลงมาจนถึงซอกคอขาวๆนั่นซะแล้ว..
..บางที...
...ผม..อาจจะมองข้ามอะไรบางอย่างไป... เข็มวินาทีเหมือนจะหยุดอยู่ตรงนั้น ตอนที่อักษรลืมตาขึ้นมาช้าๆ..อาจจะเพราะอุณหภูมิของผิวของเราต่างกันเล็กน้อย..ไม่ตัวเขาเย็นเกินไปก็เป็นเพราะมือผมเนี่ยแหละที่ร้อนผ่าว แต่เอาเป็นว่าผมไม่ได้ละมือออกมาเหมือนที่ควรจะเป็น..
...ซ้ำร้าย..กลับค่อยๆเชยคางของอีกฝ่ายขึ้นมาเสียอย่างนั้น... ผมมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น...ที่ภายในใสแจ๋วจนสะท้อนภาพของผมชัดเจน...ชัดทุกวินาทีที่ผมค่อยๆโน้มลงไปใกล้...จนกระทั่งเห็นดวงตาคู่นั้นปรือลงช้าๆ.....
“ผม...ฝันไปรึเปล่า...” เสียงของเขาดังแผ่วเหมือนติดขัดตอนที่ปลายจมูกของเราชนกัน ผมเผยอริมฝีปาก..รู้สึกลำคอแห้งผากแต่ก็จำเป็นต้องตอบออกไป..
“..ไม่ใช่......” กริ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง.........~ เฮือก!! เสียงมือถือที่ร้องขึ้นมานั่นไม่ได้ดังลั่นจนน่าตกใจ แต่ก็ทำให้หัวใจที่แทบจะหยุดเต้นเมื่อครู่กลับระรัวขึ้นมาตูมๆจนผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากดันตัวให้ให้ลุกขึ้นมานั่งตัวตรงแล้วเสยผมแก้เก้อ
อีกฝ่ายก็ดูจะลนลานไม่แพ้กัน เขารีบคว้าเจ้ามือถือที่วางอยู่ข้างหมอนมากดตัด แล้วอธิบาย
“ขอโทษครับ ผม..ผมตั้งปลุกไว้..” ..อะไรมันจะพอดีขนาดนั้น.. ผมถอนหายใจออกมาทอดหนึ่ง สาเหตุประการแรกเพราะหงุดหงิดใจอยู่มิใช่น้อย ส่วนสาเหตุประการที่สอง...คือไม่รู้จะทำอะไรดีนอกจากนั่งเก๊กขรึมแล้วถอนหายใจฆ่าเวลา
“คุณ....เอ่อ...มาทำ....?”
“ผมไม่สบาย" ผมสวนควับ "ว่าจะมา...นอน"
เขาตาโต “เอ๊ะ? เป็นอะไรมากรึเปล่าครับ!?”
“ไม่หรอก นอนสักตื่นก็คงหาย"
“แล้วยา...”
“กินแล้ว" ผมโกหกเรื่องเดียวกันสองครั้งในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง..
น่าชื่นชมชะมัด "คุณล่ะ เป็นอะไร?”
“ผมก็...ปวดหัวนิดๆ"
“โกหก"
“เปล่านะ!”
“สีครามบอกว่าคุณไม่ต้องเข้าเรียนพละ" ผมยิงคำถามตรง คิดว่าถ้านั่งนิ่งๆต่อไปบรรยากาศมันคงจะเป็นใจให้อะไรๆมันเลยเถิดกว่าเดิมแน่ๆ
“มันหมายความว่ายังไง?” ข้ออ้างสารพัดสารพันที่ผมเชื่อว่าคนอย่างอักษรคงคิดมันออกมาได้ง่ายๆแน่ๆผุดขึ้นมาเต็มไปหมดในหัว ไม่ว่าจะเป็นคำโกหกหรืออะไรก็ตาม..ผมพร้อมจะฟัง บางทีคนเราก็จำเป็นต้องโกหกเพื่อให้ใครอีกหลายๆคนสบายใจ ทั้งนี้อยู่ที่ทักษะความชำนาญในการโป้ปดของคนพูดด้วย...ว่าจะเนียนมากน้อยแค่ไหน
ผมภาวนา..ให้เขาพูดอะไรสักอย่าง...
....แต่ความเงียบที่ผมไม่ต้องการกลับเกิดขึ้น
มันง่ายชะมัด เพียงแค่ไม่มีใครพูดอะไรก็สร้างความอึดอัดได้ขนาดนี้...ง่ายเกินไปแล้ว..
ผมหันไปมองหน้าเขา อีกฝ่ายไม่ได้หลบตาเหมือนที่ผมคิด..เขามองหน้าผมด้วยแววตานิ่งงัน..ไม่มีแม้กระทั่งการกระพริบตาหรือกลบเกลื่อนใดๆทั้งนั้น..
ในที่สุดเขาก็เอ่ยออกมาจนได้..
“สีคราม..บอกว่าอะไรนะครับ?” ผมไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจากคำถามนั้น "บอกว่าคุณไม่ต้องเข้าเรียนพละ และอยู่ที่นี่"
“เขาบอกอะไรอีกรึเปล่า?”
“...อย่างน้อยก็ไม่ได้บอกในเรื่องที่คุณสมควรบอกผม"
“งั้นผมไม่บอก"
“อย่ามียียวนน่า"
“ผมไม่ได้ยียวน เพียงแค่..ผมไม่เห็นสาเหตุอะไรที่ต้องบอก"
“คุณเป็นอะไร?”
“ผมไม่ได้เป็นอะไรนี่"
“ผมถามว่าคุณเป็นอะไร?”
“ผมก็บอกแล้วไงว่าผมไม่ได้เป็นอะไร"
คำพูดแถสีข้างถลอกขนาดนั้นทำให้ผมฉุนขึ้นมาดื้อๆ "นี่ อย่ามาชวนทะเลาะได้มั้ย?”
“...ผมไม่ได้ชวนคุณทะเลาะ"
“แล้วที่ทำอยู่เรียกว่าอะไร?”
“เทียน ผมไม่เข้าใจ...ผมก็แค่ตอบคำถามของคุณแต่คุณกลับมาหาว่าผมชวน....”
“เงียบน่ะ" “เทียน...”
“แค่บอกผมมาว่าคุณเป็นอะไร..”
“หอบ" เขาสวนควับ
“โรคตลาดของลูกคุณหนู คุณก็รู้..เด็กในเมืองใครก็เป็นได้ทั้งนั้น" ผมมองหน้าเขา เขาหลบตาผม
“ให้ตาย...คุณโกหก" “ผมเปล่า"
“บอกความจริงมา"
“ผมเป็นหอบ นั่นเป็นความจริงทั้ง....”
ตึง!! ..อาการฉุนจัดแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก อย่างน้อยก็ไม่ได้เกิดตั้งแต่ที่ผมมีเขาเข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิต...และขนาดที่ต้องใช้กำลังรุนแรงเพื่อผลักเขาจนติดชนักเตียงนี่ก็ดูไม่ใช่ที่เท่าไหร่ เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมปล่อยให้อารมณ์มีอำนาจเหนือการตัดสินใจแบบนี้..
...แย่ชะมัด... เขาเงยหน้ามองผมทันทีที่ตั้งสติได้ แม้จะมีท่าทีเจ็บปวดกับต้นแขนที่ถูกผมบีบไม่น้อย...แต่ดวงตาคู่นั้นดูไม่ยอมแพ้ทีเดียว และให้ตายสิ..วินาทีนี้มันกลับดูกวนตีนสิ้นดี..
ผมข่มอารมณ์ฉุนให้อยู่ในระดับกลาง ขณะกดเสียงต่ำ
"อยากโดน...นักใช่มั้ย?” คู่สนทนาเชิดหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“อยากทำก็ทำเลย ไม่ต้องขู่..ผมพร้อมมานานแล้วล่ะ" ..เป็นอีกครั้ง..ที่เขาทำให้หัวใจอันร้อนรุ่มของผมสงบลงได้ในประโยคเดียว.. ผมปล่อยมือจากแขนของเขาแล้วถอนหายใจ อีกฝ่ายยังคงนิ่งอยู่ตรงนั้นนิ่งๆคล้ายกับว่ากำลังดูสถานการณ์ ซึ่งมันดีแล้ว..อย่างน้อยไอ้คำพูดหยอดไม่รู้จักกาลเทศะแบบนั้นก็ทำให้ผมยิ้มออก...แบบนิดๆน่ะนะ
เขายิ้มตามผม "ขอบคุณครับที่เป็นห่วง ผมไม่เป็นไรจริงๆ"
“ใครบอกกันว่าผมเป็นห่วงคุณ"
“อันนั้นผมคิดเข้าข้างตัวเองเองล่ะ"
บ้าชะมัด..เราสองคนเริ่มต้นเถียงกันเมื่อไหร่ผมแพ้ทุกทีสิน่า "ผม...จะนอน"
“งั้นผมจะอยู่เงียบๆนะ"
“ตามใจคุณสิ"
ผมหันหลังถอดรองเท้าหนังสีดำวางไว้ไม่เป็นระเบียบก่อนทิ้งตัวนอนลงบนเตียง พอหันไปก็สบกับนัยน์ตาใสแจ๋วที่อยู่ในท่านอนตะแคงมองหน้าผมพร้อมเสร็จสรรพ..ด้วยรอยยิ้ม..รอยยิ้มที่ทำเอาผมเขินอย่างบอกไม่ถูก..เลยได้แต่พลิกตัวหันหนีอย่างกระฟัดกระเฟียด....เหมือน...เด็กๆ....
...แย่ชะมัด...
...ไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันทำให้คนอย่างผมกลายเป็นคนงี่เง่าได้ในทันทีสิน่า... พอกันที ยิ่งคิดยิ่งสับสน..ดูผมสิกลายเป็นไอ้บ้าปัญญาอ่อนยังไงก็ไม่รู้ แต่ทำไมทุกการกระทำของอักษรไม่เห็นจะงี่เง่าเหมือนที่ผมกำลังทำอยู่สักนิดกันนะ? หรือนี่คืองี่เง่าของเขาแล้ว? ไม่น่าเป็นไปได้แหะ...
“ฝันดีนะครับเทียน" เขาพูดออกมาคำหนึ่ง..เสียงไม่ได้ดังอะไรเลยด้วยซ้ำถ้าเทียบกับเสียงหัวใจของผมเอง แต่มันกลับทำให้รู้สึกเหมือนเขาอยู่เพียงแค่ผมพลิกหน้าไป ใกล้เพียงแค่เอื้อมมือ...
สิ่งสุดท้ายที่ผมเห็นก่อนจะตัดสินใจหลับตาคือมือของผมเอง..มือที่ยังมีสัมผัสนุ่มละมุนของอีกฝ่ายอยู่จางๆ ไม่สิ..ที่จริงมันไม่ได้นุ่มละมุนหรอก..ติดจะแข็งซะด้วยซ้ำ...คำว่ากระดูกดูจะมากไปหน่อยสำหรับร่างกายนั้น...แต่มันก็คือกระดูกจริงๆซะด้วย ผิวหนังนุ่มๆที่ห่อหุ่มกระดูกต้นคอนั้นให้ความรู้สึกดีใช่เล่น...และ...
....และอะไรอีก...... ผมหลับตาลง กลั้นใจหยุดความคิดสุดจะคุกคามทางเพศพวกนั้นซะให้เกลี้ยง
นี่มันชักจะ...มากไปแล้ว...