ยอด – “ชอบฉากที่โจ้โดนบาสหล่นใส่จนสลบ โดยฝีมือของยอดนั้นเอง ที่ชอบเพราะดูฉากนี้กุ๊กกิ๊กดี เหมือนสองคนจะชอบกัน แต่ความเป็นจริงยอดไม่ได้ชอบ แค่รู้สึกดีกับโจ้เฉยๆ แต่โจ้นี้หลงหัวปักหัวปำเลย”
ในขณะที่ผมกำลังชะเง้อมองพี่ยอดอยู่นั่นเอง ผมรู้สึกว่ามีวัตถุบางอย่างกำลังเคลื่อนตัวมาทางผม
“เฮ้ย! ไอ้น้องระวัง” เสียงจากคนในสนามบาสตะโกนบอกผม
แทนที่ผมจะหลบกลับมองไปทางวัตถุนั้น
“อีกแล้วเหรอกู” ผมนึกในใจ พร้อมหลับตาปี๋ ยืนรับชะตากรรมอยู่ตรงนั้น
แต่แล้วผมก็รู้สึกว่าตัวผมโดนใครคว้าตัวไป
ลูกบาสตกลงพื้นโดยไม่โดนตัวผม
ผมลืมตาขึ้นมองว่า ใครช่วยผมไว้
“อีกแล้วเหรอโจ้ ท่าทางจะไม่ถูกกับลูกบาสนะ” พี่ยอดพูดกับผมทั้งๆที่ผมยังซบอกพี่ยอดอยู่ริมสนามบาส
ผมรีบผละตัวออก พร้อมขอบคุณพี่ยอด “ขะ ขอบคุณ ครับ” ผมก้มหน้าพยายามไม่ให้พี่ยอดเห็นว่าผมเขินขนาดไหน
“เดินระวังหน่อยหล่ะกัน พี่คงช่วยโจ้ไม่ได้ตลอดหรอก” พี่ยอดพูด พร้อมเดินกลับไปซ้อมบาสต่อ
ผมยืนยิ้มตรงนั้นอีกสองสามนาที เพื่อดูพี่ยอดซ้อมบาส
“ทำไมกูโชคดีอย่างนี้ว่ะ ซบอกเค้ามาตั้งสองครั้งแล้ว จะมีครั้งที่สามอีกไหมเนี้ย” ผมนึกในใจ เพราะชอบที่ได้ซบอกของคนที่ผมชอบ
ไม่ทันขาดคำ ลูกบาสโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ คราวนี้กระแทกหน้าผมอย่างจัง
ผมล้มไปทันที พร้อมตาของผมก็พร่าเบลอ จนผมหมดสติล้มไปข้างสนามบาสนั้น
ผมมารู้สึกตัวอีกที ก็ตอนมาอยู่ที่ห้องพยาบาลแล้ว
ผมลืมตามองไปรอบๆห้อง เห็นพี่ซุ่ยยืนมองผมที่ข้างเตียง
“ว่าไงโจ้ รู้สึกยังไงบ้าง” พี่ซุ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“มึนหัวนิดหน่อยครับ แต่ก็ไม่เป็นอะไรมาก” ผมเอามือมาจับที่หัว รู้สึกว่าหน้าผากตัวเองนูนออกมา
“ท่าทางโจ้จะไม่ถูกกับลูกบาสนะ เห็นต้องล้มเพราะลูกบาสทุกที” พี่ซุ่ยเอามือมาลูบที่หัวผมเบาๆ
“ผมจะระวังตัวให้มากกว่านี้ครับ ขอบคุณพี่ซุ่ยมากที่ช่วยผมไว้” ผมพูดกับพี่ซุ่ย เพราะคิดว่าพีซุ่ยคงเป็นคนพาผมมาที่ห้องพยาบาล
เพราะในห้องตอนนี้ก็มีแค่ผมกับพี่ซุ่ยเท่านั้น
“ป่าวหรอก พี่ไม่ได้ช่วยโจ้หรอก นู้น คนนู้น” พี่ซุ่ยชี้ไปที่หน้าห้อง
พี่ยอดกำลังยืนพิงประตู้อยู่ด้านนอกของห้อง
“พี่ยอดเหรอครับ” ผมถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“อืมม ยอดมันบอกว่าพอเห็นโจ้ล้มลง ก็รีบอุ้มมาที่ห้องพยาบาล แล้วก็ไปตามพี่ที่ชมรมนี้แหล่ะ”
ผมนึกภาพตามที่พี่ซุ่ยพูด พี่ยอดอุ้มเราเหรอเนี้ย เสียดายที่ตอนนั้นผมไม่รู้สึกตัว
“ไม่เป็นอะไรมาก พี่กลับชมรมก่อนแล้วกัน เดินไหวแน่นะ” พี่ซุ่ยถามผม
“ไหวครับ” ผมยิ้ม
พี่ซุ่ยจึงเดินออกไป พร้อมคุยกับพี่ยอดที่อยู่หน้าห้อง
สักพักพี่ซุ่ยก็ไปชมรม แต่พี่ยอดยังอยู่หน้าห้อง
ผมมองดูว่าพี่เค้าจะทำอะไร สักพักพี่ยอดก็เดินเข้ามาในห้อง
“เป็นไงบ้าง ความจำเสื่อมหรือเปล่า” พี่ยอดแซว ผมเลยหัวเราะ
“55555 ความจำยังดีอยู่ครับ แถมรู้ว่าด้วยว่าใครเป็นคนอุ้มผมมาที่นี้” ผมแซวกลับ พี่ยอดก็หัวเราะ
“55555 เหรอ แล้วรู้หรือเปล่าว่าตัวเองหนักขนาดไหน พี่เกือบให้เพื่อนอีกสองคนช่วยอุ้มแล้วนะเนี้ย” พี่ยอดไม่ยอมแพ้แซวผมกลับอีก
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ยังไง ก็ขอบคุณนะครับ ที่ช่วยผมไว้ทุกครั้งเลย” ผมยิ้มให้พี่ยอด พี่ยอดก็ยิ้มให้ผมเหมือนกัน
โจ – “ฉากที่โจสารภาพความรู้สึกทั้งหมดให้กับโจ้ ดูเป็นฉากที่หักมุมเหมือนกัน เพราะโจดูเหมือนไม่ได้ชอบโจ้เลย เพราะโจไม่ใช่สเป็คของโจ้ อีกอย่างยังชอบแกล้ง และชอบพูดจาประชดประชัน พอโจ้รู้ความจริงก็อึ้งไปเลย แต่ถือว่าโจเป็นสุภาพบุรุษในมาดเถื่อนนะ เพราะเค้าก็ไม่ได้บังคับโจ้ แถมยังให้โจ้ทำอะไรก็ได้ตามใจ”
หลังจากผมอาบน้ำเสร็จ โจก็เข้าไปอาบต่อ ผมเลยมายืนที่ระเบียง พร้อมมองออกไปข้างนอก
ภาพตึกราบ้านชนในเมืองหลวง ทำให้ผมนึกถึงสังคมที่อีกไม่กี่ปีที่ต้องไปเผชิญ
ผมยังจะต้องเจอคนที่ไม่จริงใจแบบพี่หมีอีกไหม แล้วเขาคนนั้นจะทำร้ายจิตใจของผมเหมือนพี่หมีหรือเปล่า
หรือมันอาจจะเลวร้ายกว่านั้น ผมน้ำตาไหลอีกแล้ว ผมอ่อนแอเกินไปหรือเปล่า
“ร้องไห้อีกแล้ว” โจเดินออกมายืนข้างๆผม ผมรีบเช็ดคราบน้ำตา
“ทำไมคนที่จริงใจกับเราถึงมีน้อยจัง” ผมหันไปถามโจ
โจส่ายหัว “แค่ผิดหวังจากคนๆเดียว อย่าพาลถึงคนที่เขายังเป็นห่วงนายซิ”
ใช่สิ ผมลืมเพื่อนๆของผมไป ผมลืมท่านอธิการ ลืมซิสเตอร์มีเรียม ลืมน้องๆในสถานสงเคราะห์
“แล้วอีกอย่าง เราอีกคนที่ยังมีความจริงใจให้นายเสมอ” โจพูดแบบเขินๆ แล้วก็หันหน้าไปทางอื่น
“นายคงไม่เคยรู้หรอกว่า คนที่นายเห็นว่าไม่เอาไหน ไม่เอาถ่าน อยากจะทำตัวให้ดี เพื่อคนที่เขาไม่คิดจะหันมองมาเลยสักนิด นายคงไม่รู้หรอกว่า สองปีที่ผ่านมา มีใครแอบมองนาย มีใครแอบชอบนาย ชื่นชมกับความขยัน ความตั้งใจในการทำงาน แอบมองรอยยิ้มที่ยิ้มอย่างจริงใจให้ทุกคน”
ผมฟังสิ่งที่โจพูดอย่างตั้งใจ สองปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยคิดจะสนใจโจเลย ทั้งๆที่เป็นเพื่อนร่วมห้อง
“อย่าถามนะว่าเราชอบนายตั้งแต่เมื่อไหร่ เราเองก็ไม่รู้” โจยังพูดต่อไป
“เรารู้แค่ว่า เราคงไม่ใช่คนที่นายหวัง คนที่นายอยากรู้จัก แต่เรามั่นใจว่าความจริงใจที่เรามีให้นายไม่แพ้กับคนอื่นๆแน่”
สิ้นสุดประโยค ผมฟังได้แต่อึ้ง อาจไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนมาสารภาพรักกับผม แต่ผมถือว่านี้เป็นการสารภาพรักที่ผมประทับใจที่สุด
“อย่าทำหน้าแบบนั้นดิว่ะ เราไม่ได้หวังอะไรหรอก แค่ไม่อยากให้นายเศร้ามากไปกว่านี้” โจหันมามองหน้าผม
“ขอบใจนะ ขอบใจนายจริงๆ” ผมร้องไห้อีกแล้ว แต่คราวนี้ เป็นน้ำตาของความดีใจ
ดีใจที่ยังมีคนเห็นคุณค่าในตัวของผม ทั้งๆที่คนๆนั้นผมไม่เคยเห็นคุณค่าเขามาตลอด
ผมค่อยๆเอื้อมมือไปจับมือของโจ บีบมือของเขาเบาๆ
โจมองหน้าผม เขาทำท่าจะเขยิบตัวมาใกล้ แต่สักพักเขาก็ถอยกลับไปเหมือนเดิม
ผมเลยเดินเข้าไปหาเขาและกอดเขาแทน
“สิ่งที่เราตอบแทนนาย ก็คงเป็นความจริงใจที่เพื่อนคนหนึ่งจะมอบให้”
โจได้ยินสิ่งที่ผมพูดก็คงเข้าใจในความหมายของมัน เขาเลยกอดรับอ้อมกอดของผม
มิตรภาพนั้นอาจยั่งยืนยาวนานกว่าความรักที่ผมตามหาก็ได้
เต๋า – “ฉากที่เต๋าไปขอโทษเชียร์ที่แกล้งเชียร์มาตลอด แต่เชียร์มาปรี๊ดแตกตอนเล่นวอลเล่ย์ และเป็นฉากที่ทำให้เชียร์เริ่มสับสน ว่าตัวเองยังมั่นคงในความรักกับแฟนอยู่หรือเปล่า”
ผมนั่งร้องไห้ไปเรื่อยๆ จนรู้สึกเหมือนมีใครคนหนึ่งมานั่งอยู่ข้างหลังผม
ผมไม่หันหลังกลับไปมอง เพราะรู้ว่าเป็นใคร
“เชียร์ พี่ขอโทษ” พี่เต๋าพูด แต่ผมไม่อยากฟัง ผมนั่งเงียบเช็ดน้ำตาตัวเอง
พี่เต๋าเห็นผมเงียบก็เลยเอามือมาแตะที่บ่าของผม “พี่ขอโทษจริงๆน่ะ พี่จะไม่แกล้งเชียร์อีกแล้ว”
ผมไม่อยากฟังคำพูดของผู้ชายคนนี้อีกแล้ว ผมเลยลุกจะเดินออกจากที่นั่น
แต่พี่เต๋าก็เดินมาคว้ามือผมไว้ แล้วดึงตัวผมมาใกล้ตัวของพี่เต๋า
พี่เต๋าจับตัวผมแล้วหันหน้าไปทางเขา “พี่ขอโทษแล้วน่ะ ยังโกรธทำไมอีก”
ผมสะบัดตัวพยายามให้มือของพี่เต๋าที่เกาะไหล่ผมออกไป
“ปล่อยเชียร์น่ะ ไม่ต้องมาขอโทษหรอก ถ้ามันไม่ได้มาจากใจจริงๆ”
ผมพูดพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมา พี่เต๋าตกใจที่ผมเป็นอย่างนั้น
ผมเองไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าใครหรอก แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงได้เสียใจกับการกระทำของพี่เต๋ามากก็ไม่รู้
“เชียร์พี่ขอโทษจริงๆน่ะ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เชียร์เสียใจ พี่ขอโทษจริงๆ”
เสียงพี่เต๋าเองก็ดูสั่นๆ พร้อมสายตาที่แปลกไปจากเดิม รู้เพียงแต่ว่าสายตานั้นมันแสดงถึงความจริงใจ
ผมอึ้งไปพักหนึ่ง ผมจ้องตาของพี่เต๋า ผมตอบตัวเองไม่ได้ว่าจะยกโทษให้พี่เต๋าหรือไม่
แต่ผมเกิดรู้สึกแปลกๆกับสายตาที่พี่เต๋าจ้องมองมาที่ผม
“เชียร์จะยกโทษให้พี่ไหม พี่สัญญานะว่าจะไม่แกล้งเชียร์อีกแล้ว” พี่เต๋าถามผมอีกครั้ง
ผมก้มหน้า นึกถึงเรื่องที่ผมเสียใจ ผมเสียใจที่โดนแกล้ง เสียใจที่กลายเป็นตัวตลกต่อหน้าคนอื่น
แต่ผมเองก็รู้สึกดีที่มีคนมาขอโทษผม และคนๆนั้นเป็นพี่เต๋าด้วย
ผมเช็ดน้ำตา ผมเงยหน้าขึ้น ผมสบกับสายตาพี่เต๋าที่มองมาที่ผมเหมือนกัน
“ผม...” ผมกำลังจะพูดออกไป แต่แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
ผมรีบรับโทรศัพท์ เพราะรู้ว่าคนที่โทรมาเป็นใคร
“ว่าไงครับ ทำอะไรอยู่”เสียงปลายสายที่ผมคุ้นเคยทักทาย
“หวัดดีพี่แจ๊ค เชียร์กำลังเล่นกีฬาอยู่” ผมพยายามทำเสียงให้เป็นปกติ
ผมพูดกับพี่แจ๊คหลายเรื่อง เพราะอาทิตย์นี้ยังไม่ได้คุยกับพี่แจ๊คเลย
พี่เต๋ายังคงอยู่ใกล้ๆกับผม แต่อยู่ห่างจากผมพอสมควร ผมไม่รู้ว่าพี่เต๋าจะได้ยินสิ่งที่ผมพูดกับพี่แจ๊คหรือเปล่า
“ปิดเทอมมาหาพี่สิ จะได้มาเที่ยวด้วย” พี่แจ๊คชวนผม
“นึกว่าจะไม่ได้มาเจอกันแล้ว เห็นส่งโปสการ์ดมาว่าจะไม่กลับมา” ผมทำเสียงประชด
“พี่ต้องเรียนจะได้รีบจบไง ก็บอกแล้วว่าให้มาหามาน่ะครับ” พี่แจ๊คทำเสียงอ้อน
“ครับ ไปแน่ครับ” ผมยิ้มดีใจที่จะได้เจอแฟน
“พี่รักเชียร์น่ะ คิดถึงมากด้วย” สิ่งที่พี่แจ๊คพูดทำเอาผมรู้สึกแปลก ไม่ใช่ว่าไม่เคยฟังที่พี่แจ๊คพูดหรือบอกว่ารักผมหรอกน่ะ
แต่ผมกับรู้สึกแปลกในความรู้สึกของตัวเองเมื่อได้ยินคำว่ารักต่างหาก
ผมหันไปมองพี่เต๋าที่ยืนอยู่แถวนั้น พี่เต๋าเองก็มองผมที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่
ผมสบตาพี่เต๋าอีกครั้ง ผมตอบตัวเองไม่ได้ว่าผมรู้สึกอะไรเมื่อได้มองตาของพี่เต๋า
“เชียร์เป็นอะไร ว่างไปแล้วเหรอ” พี่แจ๊คถามเมื่อเห็นผมเงียบไป
ผมรีบกลับมาคุยโทรศัพท์ต่อ โดยรีบหันหลังใมห้พี่เต๋า
“เออ เชียร์ไปเล่นวอลเล่ย์ต่อน่ะ” ผมพูดกับพี่แจ๊คบอกเป็นนัยๆว่าจะวางโทรศัพท์แล้ว
“ครับ เมื่อกี้พี่บอกว่ารักเชียร์แล้วน่ะ” พี่แจ๊คพูดเพื่อทวงสัญญาที่เคยบอกกับผมว่า ถ้าจะวางโทรศัพท์ต้องบอกรักกันก่อน
“ครับ ผมเองก็รักพี่ครับ ตั้งใจเรียนน่ะ บาย”
ผมกดวางโทรศัพท์พร้อมหันกลับไปหาพี่เต๋า แต่พี่เต๋าเดินออกไปแล้ว
ผมเริ่มสับสนกับความรู้สึกตัวเองว่าผมกำลังจะนอกใจพี่แจ๊คหรือเปล่า
บิ๊ก – “ฉากที่ปอและบิ๊กบอกความในใจ ดูกุ๊กกิ๊กน่ารักเหมือนกับความรักของเด็กวัยรุ่นจริงๆเพราะเวลาอื่นๆทั้งสองดูตึงเครียดและมีความลับ ความสับสนวุ่นวาย จึงเป็นตอนเดียวที่ดูคู่นี้แล้วน่ารักที่สุด”
พอนั่งข้างๆบิ๊ก ผมก็หันไปมอง แม้ในห้องจะมืดแต่ผมก็ยังเห็นใบหน้าของคนที่ผมกำลังรอคำตอบว่าเขารู้สึกยังไงกับผมกันแน่
“อย่าจ้องหน้าเราดิ เราอึดอัดนะ” บิ๊กหันมาดุ
“ขะ ขะ ขอโทษ” แล้วผมก็ต้องหันหน้ากลับไป
แล้วก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก ได้แต่นั่งเงียบเกือบสิบนาที ผมทนไม่ไหว เป็นไงเป็นกันว่ะ
“บิ๊ก” ผมหันไปหาบิ๊ก พร้อมจับมือแน่น
“อะ อะ อะไร” บิ๊กทำหน้าเหวอ
“ยังไม่รู้อีกเหรอว่า เราจะพูดอะไร” ผมเริ่มคาดคั้น
“รู้ เรารู้ตลอดว่านายคิดยังไงกับเรา” บิ๊กพูดเสร็จก็หันหน้าหนีไป
“แล้วนายหละ บอกมาเถอะ เรารับได้” ผมพยายามไม่บีบคั้นอะไรมาก แม้จะอยากรู้ใจขาดก็ตาม
บิ๊กไม่ตอบ คงอึกอัดอยากจะพูดออกมา ผมเห็นท่าทีก็คงพอรู้ว่ามันคืออะไร
ผมเลยปล่อยมือบิ๊ก พร้อมลุกจะเดินออกจากห้อง
“ไม่เป็นไรหรอก เราเข้าใจ เอาเป็นว่าเรายังรู้สึกกับนายเหมือนเดิม นายก็ถือว่าเราไม่ได้พูดอะไรออกไปแล้วกัน” แม้ปากบอกว่ารับได้แต่มันก็ทำไม่ได้อย่างที่พูด
“เฮ้ยๆเดี๋ยวก่อน” บิ๊กรีบมาคว้าตัวไว้ก่อน
“ยังไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย ฟังเราพูดก่อนดิ” บิ๊กพูดอย่างนี้ แสดงว่าผมมีลุ้นใช่ป่ะ
บิ๊กลากผมมาที่ระเบียง พร้อมจับมือผมทั้งสองข้าง
“ไม่รู้จะพูดไงดีว่ะ” บิ๊กอมยิ้ม
“ถ้าไม่พูดเรากลับห้องนะ” ผมแกล้งขู่ แล้วทำท่าจะเดินกลับห้อง
“พูดแล้ว พูดแล้ว” บิ๊กเริ่มสักที
“เอ่อ แบบว่า แต่ก่อนเราชอบคนๆหนึ่ง ไม่ใช่มาสเตอร์เบิร์ดรหรอกนะ” ผมรู้ว่าคนนั้นคือพี่ยอด
“แต่เรารู้แล้วว่า เรารักคนนั้นไม่ได้”บิ๊กพูดออกมาพร้อมจ้องตาผม
“รู้ไหมทำไม” บิ๊กถามผม ผมงงกับคำถามเลยไม่ได้ตอบอะไร
“เพราะเรารักนายแล้วไง” แล้วบิ๊กก็ยื่นหน้ามาจุ๊บปากผม
ผมเหวอไปนานเลยครับ ทำอะไรไม่ถูกเลย
พอเรียกสติมาได้ ผมเลยคว้าตัวบิ๊กมากอด ความรู้สึกที่อัดอั้นมาทั้งปีก็ได้เปิดเผยหมดแล้ว
คืนนั้นเราสองคนเลยนอนห้องของบิ๊กด้วยกัน ผมกับบิ๊กก็เป็นอย่างที่ไอ้เชียร์คิดสักที
เหน่ง – “ฉากที่พลาดไม่ได้คงเป็นตอนที่เหน่ง ไปซบหลังปอ แม้จะไม่ได้พูดอะไรออกไปมาก แต่ภาษากายที่แสดงออกมาก็ทำให้รู้ว่าเหน่งคิดอะไรกับปอ เรื่องนี้บรรยายความสัมพันธ์ของปอกับเหน่งน้อยไปหน่อย คิดว่าภาค 3 คู่นี้น่าจะมีความสัมพันธืมากขึ้น”
ผมงัวเงียตื่นขึ้นมา เห็นนาฬิกาบอกเวลาก็ต้องกระเด้งลุกขึ้นจากเตียง
"เฮ้ยๆ ไอ้เหน่ง สายแล้ว มีเรียนเช้าใช่ไหม"ผมรีบปลุกไอ้เหน่ง
"อืมม รู้แล้ว ตื่นแล้ว"ไอ้เหน่งลุกขึ้นมาขยี้ตา ปกติผมจะตื่นเพราะจะตั้งเวลานาฬิกาปลุกไว้ แต่เมื่อคืนคุยกับเหน่งจนดึกเลยลืมตั้งนาฬิกาปลุกไว้
เหน่งรีบถอดเสื้อผ้าเพื่อเข้าอาบน้ำ
"ไปแก้ผ้าในห้องน้ำซิว่ะ"ผมด่าไอ้เหน่ง
"มึงเห้นของกูตั้งแต่เด็กแล้ว ยังจะมาอายอะไรว่ะ"
ผมกับเหน่งอาบน้ำด้วยกันบ่อยๆ
"เข้ามาอาบด้วยกันดิว่ะ จะได้ไม่เสียเวลา" เหน่งเรียกผมเข้าไปอาบน้ำด้วย ผมยังนึกถึงคำพูดของเหน่งเมื่อวาน เลยยังลังเลที่จะทำตัวกับมันแบบเดิม แต่ถ้าผมทำตัวผิกปกติ อาจจะทำให้เหน่งเสียความรู้สึก เลยตกลงเข้าไปอาบน้ำกับเหน่งด้วย
นานแล้วที่ผมไม่ได้อาบน้ำกับเหน่ง ตั้งแต่เข้ามหาลัยเหน่งไม่ค่อยได้มาค้างที่บ้านผม
"ไอ้ปอถูหลังให้กูหน่อยดิ"
"อืมม" ผมทำตามที่เหน่งขอร้อง แล้วเหน่งก็มาถูหลังให้ผมเช่นกัน
แต่แทนที่เหน่งจะถูหลังกลับเข้ามากอดผมแล้วเอาหน้าซบกับหลังของผม ผมตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก
"มึงไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น กูแค่ขอกอดมึงเท่านั้น แล้วกูจะไม่ขออะไรจากมึงอีก กูสัญญา"
ผมรู้สึกถึงหยดน้ำตาของเหน่งที่มากระทบกับไหล่ของผม ผมทำได้แค่เพียงกุมมือของเหน่งไว้
อยากให้คนที่เรารัก รัก เหมือนกับคนที่รักเรา
คงมีอีกหลายฉากที่ประทับใจ แต่นี้เป็นส่วนหนึ่งของความประทับใจในตัวละคร หวังว่าเรื่องนี้จะเป็นอีกหนึ่งเรื่องในความประทับใจของใครหลายๆคนนะครับ
**********************************************************************************
(ยังมีอีกนะครับ สิ่งที่คุณควรรู้ และ ตัวอย่างSeason3)