วันจันทร์ผมมีสอบด้วย ฮือๆ เอาเป็นว่าพร่งนี้มาต่อตอนต่อไปแล้วกัน อีกแค่5ตอนก็จบแล้วนะครับ
เรื่องต่อไป คงต้องขอเป็นปีหน้านู่นเลยนะครับ
รักทุกคนมาก ขอบคุณอยู่เสมอ ขอบคุณครับ
ปล. ยืนยันคำเดิม นิยายเรื่องนี้จบแบบ...
บทที่ 21
วันที่เหนื่อยล้าจากการทำงานได้หมดไปอีกหนึ่งวันแล้ว พร้อมๆกับวันเวลาในการอยู่ประเทศญี่ปุ่นของผมก็เหลือน้อยลงทุกที T-T
เริ่มตั้งแต่เข้าพบลูกค้าตอนเช้า งานของผมไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ติดสอยห้อยตาม ดูการทำงาน แล้วก็คอยเป็นเลขาฯดูแลเอกสารกับช่วยเรื่องการสื่อสารอะไรเล็กน้อย มีคนไทยของบริษัทเราที่ประจำอยู่ประเทศญี่ปุ่นด้วยสองคน ซึ่งหนึ่งในนั่นเป็นคนจดชวเลขให้ชิพทั้งหมดเพราะผมจดไม่เป็น =_=”
ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่า...ว่าชิพดูเคร่งเครียดกับงาน พยายามเลี่ยงคำพูดกับผม จะเป็นเพราะเรื่องเมื่อคืนหรือเปล่านะ?
แต่ตอนเย็นที่เราไปดื่มเบียร์กับลูกค้าเขาก็ยังคงยิ้มหัวเราะ เพียงแต่ยังมีการมองงอนๆมาที่ผมบ้างเป็นบางครั้ง...ช่างเถอะ ผมก็พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดแล้ว
เป็นเวลาประมาณสามทุ่มกว่าๆ ชิพเดินนำผมขึ้นมาถึงห้องสูทของเรา ร่างสูงเดินเร็วมากจนเกือบตามแทบไม่ทัน...เฮ้อ วิ่งตามออกกำลังกายอีกแล้ว
เปิดประตูเข้ามา ยังไม่ทันสังเกตว่ากระเป๋าและข้าวของทุกอย่างได้ถูกเก็บลงใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ชิพเดินไปคว้ากระเป๋าของเค้า ผมงงๆ
“นี่คุณจะไปไหน?”
ร่างสูงในโอเวอร์โค้ตสีครีมหยุดกึก หันมามองพร้อมทั้งเอ่ยเรียบๆ
“คืนนี้เราไม่ได้นอนที่โอซาก้า”
วะ...ว่าไงนะ?
โอ้ว ไม่นะ!!!!
ผมกะชวนเขาไปเดินเที่ยว ขึ้นชิงช้าชมวิวแถวๆย่านอูเมดะสักกาหน่อย
ม๊าย~~~
“นี่คุณจะบอกผมว่าเราต้องกลับเมืองไทยกันคืนนี้น่ะเหรอ?”
สีหน้าของผมคงเหว๋อมาก...ก็มันช็อคจริงๆนี่ อุตสาห์ได้มาญี่ปุ่นทั้งทีแบบนี้ ให้กลับง่ายๆได้ยังไงกัน ไม่ยอม ฮึ๊ย~!!
ชิพเห็นสีหน้าของผมแล้วก็หัวเราะเบาๆ
“ไม่ต้องทำหน้าผิดหวังขนาดนั้นก็ได้ ผมหมายถึง คืนนี้เราจะไปเกียวโตกัน ผมซื้อตั๋วรถไฟชินคันเซนไว้เรียบร้อยแล้ว”
ได้ยินดังนั้น...ไอ้กิเลสที่จะได้เที่ยวต่อก็ทำเอาหูตาลายฟังไม่รู้เรื่องไปสามสิบวินาทีเต็ม นี่หมายความว่าผมจะได้เที่ยวต่อแล้วใช่มั้ย? เย้ ยิบปี้!!!~~~
“แต่...ทำไมคุณไม่เห็นบอกผมเลย ว่าต้องไปเกียวโต”
“ก็ ผมคิดว่ามันจะเซอร์ไพรส์คุณ”
“แล้ว...เราต้องไปทำงานที่นั่นหรือ? ผมไม่ยักรู้ว่าคุณต้องไปพบลูกค้าที่เกียวโต”
เราก้าวเข้ามาในลิฟต์ ชิพยื่นกุญแจห้องให้ผมเอาไปคืน
“ว่าไง? คุณต้องไปพบลูกค้าอีกเหรอครับ?”
“จะว่าแบบนั้นก็ได้ แต่คุณก็ถือซะว่าได้ไปท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตาเป็นของแถมแล้วกัน ส่วนผมมีธุระที่ต้องทำนิดหน่อย”
รถลิมูซีนจอดหึ่งๆรอเราอยู่ข้างนอก ผมรีบทำการเช็คเอ๊าท์แล้วตามไปหาชิพซึ่งนั่งรออยู่แล้ว รถเคลื่อนตัวสู่สถานีรถไฟทันที
“ที่เกียวโต...มีบริษัทของลูกค้าด้วยเหรอ?”
บรรยากาศเงียบๆทำให้อดถาม(ซอกแซก)ไม่ได้ ชิพที่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างไม่หัน แต่ยังคงจ้องออกไปอย่างไร้จุดหมาย
“เปล่าหรอก เผอิญผมมีเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันอยู่ที่นั่น อีกอย่างงานของเราที่โอซาก้านี่ก็เสร็จแล้ว เลยถือโอกาสให้คุณได้ไปเที่ยวเมืองเก่าๆอย่างเกียวโต-นาราไง ไม่ชอบเหรอ?”
ไม่ชอบงั้นเหรอ? ฮะๆๆๆ รักเลยล่ะ >.< ได้เที่ยวต่ออีกตั้งหนึ่งวันแหนะ
“แล้วคุณต้องการให้ผมไปเป็นเพื่อนมั้ย?”
ชิพส่ายหน้า “ผมไปทำธุระแปบเดียว เดี๋ยวก็กลับ คุณเที่ยวให้สนุกเถอะ”
ท้ายเสียงออกแนวประชดเล็กน้อย
“ชิพ?...”
ผมเอื้อมไปจับมือเขา โห ทำไมมันเย็นเชียบแบบนี้
“ผมว่าดีซะอีก...คุณจะได้ไม่มีผมอยู่ใกล้ๆคอยกวนใจเวลาที่อยากอยู่คนเดียว เราสองคนจะได้ทำหน้าที่ให้จบๆก่อนกลับเมืองไทย”
มันเป็นคำพูดของคนกำลังงอนชัดๆ ในที่สุดเจ้านายของผมก็เผยความรู้สึกออกมาแล้วว่าเขายังคงโกรธเรื่องระหว่างเราสองคนตั้งแต่เมื่อคืนอยู่(ฮือ...)
ขึ้นรถไฟทันเวลาพอดี แน่นอน ต้องที่นั่งชั้นหนึ่งอยู่แล้ว กว่าจะถึงอีกทีคงเป็นประมาณสี่ทุ่มครึ่ง(มั้ง?) ชิพกำลังเก็บของเข้าที่อยู่เหนือศีรษะ ส่วนผมไม่พูดอะไร ยังคงนั่งนิ่งแบบไม่มีเรื่องพูด จนกระทั่งเขาทิ้งตัวลงข้างๆ
“ชิพ...ผมรู้ว่าคุณยังโกรธผมอยู่นะ...”
ชิพถอนหายใจยาว พยายามกอดอกข่มตาหลับ ไม่ยอมหันมาพูดกับผม
“ผมขอโทษ…”
เสียงเครือๆทำให้ชิพหันมา “ช่างเถอะแดน ผมไม่ได้โกรธอะไร ผมเองก็เริ่มคิดว่าขอเวลาให้เราสองคนได้ห่างกันบ้าง...สักเล็กน้อย ผมจะได้ทบทวนสิ่งต่างๆอีกครั้งเหมือนกัน บางทีเราอาจจะต้องพักเรื่องราวต่างๆไว้สักพัก...คุณก็ต้องการแบบนี้ไม่ใช่เหรอ?”
แล้วเขาก็พลิกตัวหันหลังให้ หลับไป...ถ้าผมต้องการแบบนี้ แล้วทำไมมันถึงต้องเจ็บปวดทรมานแบบนี้ด้วยล่ะชิพ?...
ผม...แค่ต้องการเวลา ไม่ใช่ระยะห่าง...
ใช่ มันคือความผิดของผมเอง
เสียงฝนพรำจอกแจกตกกระทบหลังคามุงแบบญี่ปุ่น ผมค่อยๆเปิดเปลือกตาหนาหนักขึ้น รู้สึกง่วงอยากนอนต่อทว่าอากาศภายในห้องหนาวเหลือเกินจนต้องลุกไปหยิบเสื้อมาสวมทับอีกชั้น
เช้าแล้ว...และตอนนี้ผมก็พักอยู่ ณ โรงแรมชั้นหนึ่งในจังหวัดเกียวโต คงเป็นฝนหลงฤดูที่กำลังตกปรอยปรายอยู่ข้างนอก ผมตัดสินใจนอนต่อเพื่อฟังเสียงฝนและตักตวงความอบอุ่นอยู่บนเตียงสักพัก
เมื่อคืนที่รถไฟเทียบสถานีเกียวโตก็ประมาณสี่ทุ่มกว่าๆตามคาดหมาย ทว่ากว่าจะเข้าที่พัก อาบน้ำก็เกือบเที่ยงคืน ทำให้ชิพและผมต่างเพลียนอนหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้? ตื่นอีกทีก็เป็นเช้าที่หนาวเหน็บ แถมฝนยังตกอีกต่างหาก ว่าแต่...ชิพหายไปไหน?
ที่หัวเตียงมีโน๊ตข้อความของชิพทิ้งไว้ว่า
‘ผมไปแล้ว คุณอยู่คนเดียวได้นะ? ผมจะรีบกลับ ที่โรงแรมมีบ่อน้ำร้อนอยู่คุณลองไปแช่ดูได้ อย่าลืมแช่เผื่อผมด้วย แล้วออกไปเดินเที่ยวได้ตามสบายเลยนะครับ ผมอาจจะต้องกลับค่ำหน่อย’
ขมวดคิ้ว ชิพไปไหนของเขานะ? ถึงได้รีบออกไปแต่เช้า แถมยังไม่ยอมปลุกผม...เขาคงมีเหตุผล อีกอย่างผมไม่อยากถกเถียงกับเขาให้มากเรื่องในตอนนี้ เพราะรู้ๆอยู่ว่ากำลังไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไร =_=”
หาวฟอดใหญ่ เฮ้อ~~~ยังเช้ามากอยู่เลย ผมคว้าเอายูคาตะลายสวยจากทางโรงแรมมาสวมทับอีกชั้น เฝ้ามองหยาดฝน แสงแดดมัวสลัวที่พยายามจะสาดส่องลงมาท่ามกลางเมฆหมอกมืดครึ้ม
จะว่าไป...พอไม่มีชิพอยู่ ผมก็ไม่รู้จะไปไหนกับใคร พูดกับใคร...ใครบอกว่าผมต้องการอยู่คนเดียว เขาพูดเองเออเองทั้งหมด แล้วไอ้ความรู้สึกโหวงเหวงบ้าๆนี่ก็ทำเอาใจผมสั่นไปหมด บ้าชะมัด
ได้ยินเสียงหัวใจเต้นตึกตัก กอดตัวเองไว้...อยากได้ไออุ่นของเขาและอยู่ในอ้อมกอดนั้นไว้ ผมต้องต้านทานความรู้สึกเหงาแปลกๆนี่อย่างบ้าคลั่ง ถ้าไม่รีบลุกออกไปทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซะก่อน
...โปรแกรมแรกเป็นของบ่อน้ำพุร้อนทางด้านหลังโรงแรมที่ชิพแนะนำ ไปแช่น้ำร้อนตอนเช้าๆนี่ให้หายปวดเมื้อยซะหน่อย เผื่อจะเรียกความสดชื่นคืนมาได้บ้าง
จริงดั่งความคาดหมาย บ่อน้ำร้อนนี่เป็นสุดยอดแห่งความสุขเลยครับ(ถ้าไม่ติดตรงที่ต้องแก้ผ้าลงอาบนะ...แต่ไม่เป็นไร คนยังน้อย) ความร้อนระดับที่ผิวมีไอจางๆลอยขึ้น ผมลงไปแช่พลางนึกถึงข้อความของชิพ...ที่บอกว่าให้แช่เผื่อเขาด้วย
นั่นซิ...ตอนนี้เขาจะอยู่ไหนนะ?
ผมรีบเอาผ้าชุบน้ำโปะหน้าตัวเองเพื่อไล่ความคิดถึงเขาออกไปจากหัว ไม่อยากทำตัวอ่อนแอเสียน้ำตาโดยไม่ใช่เรื่องอีก...ว่าแล้วก็เสร็จจากการอาบน้ำร้อนที่สบายตัวจริงๆ(เขาห้ามแช่เกินสิบห้านาทีเองครับ =_=”)
อาบน้ำบนห้องพักอีกรอบ แต่งตัวด้วยเครื่องแต่งกายหนาสุดๆ เปลี่ยนมาใส่รองเท้าเดินสบายๆ คว้ากระเป๋ากับกล้องดิจิตอล แล้วเตรียมตัวออกทัวร์เกียวโต-นาราแบบฟรีทามตามใจกระผม -_-
ฝนหยุดตกพอดี แดดอุ่นๆเริ่มทอแสงจ้า เพียงแต่พื้นถนนยังคงมีย่อมน้ำเฉอะแฉะไปหมด ผมค่อยๆเดินทอดน่องตรงไปยังสถานีรถไฟ ซึ่งใหญ่โตมโหราฬมากขนาดที่หัวลำโพงบ้านเราเทียบไม่ติด(นี่แค่ภายในจังหวัดนะ) กางแผนที่มาดูแล้วควรมุ่งตรงไปยังวัดที่มีชื่อเสียงสักที่หนึ่งก่อน จากนั้นก็หาอะไรกินแถวนั้น แหม อะไรมันจะสุขขีปานนั้น
แต่รู้มั้ย...ผมอยากให้เขาอยู่ข้างๆด้วยกันตอนนี้
สถานที่แรกที่ไปก็คือวิหารเฮอัน แวบแรกที่เห็นก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดากับวัฒนธรรมอันแปลกใหม่ ผมยืนถ่ายรูปอยุ่ตรงนั้นนานสองนาน พลางรับแสงแดดอบอุ่นที่อาบไปทั่วสนามโล่ง มองดูผู้คนและนักท่องเที่ยวมากมายต่างพากันเดินทางมาเยี่ยมชม โอโห! ผมเห็นเด็กนักเรียนญี่ปุ่นมาทัศนศึกษาด้วย คงเป็นชั้นมัธยม แต่แปลกนะ พวกเด็กผู้ชายก็ยังไว้หัวเกรียนเหมือนบ้านเรา แต่น่ารักมากๆเลย >///<
ว่าแล้วก็หิวข้าว ผมหากินอะไรง่ายๆตามแถวนั้น ได้ไปเจอร้านข้าวแกงกะหรี่หมูทอดที่อร่อยเหาะพอดิบพอดี จากนั้นก็เดินลัดมาตามคลองใหญ่เรื่อยๆ ช่วงนี้น้ำแห้งคอด ไม่เหมือนคลองประปาบ้านเราที่ล้นปรี่ตลอดปี(<<<เผื่อบางคนอยากรู้ง่ะ =_=”)
เที่ยวชมนกชมไม้ ดูชีวิตผู้คนและชนบทไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอวัดซันจูซานเก็นโดะ(Sanjusangendo)เข้า ตอนแรกผมไม่นึกว่าจะมาเจอของดีซะแล้ว แต่อ่านะ...จะเล่าให้ฟังแล้วกัน
ตัววัดกินเนื้อที่บริเวณไม่มาก แต่โฆษณาไว้ชัดเจนเลยว่าเปิดเป็นคล้ายๆพิพิธภัณฑ์ ค่าบัตรไม่แพงมากแต่ก็เสียดายตังค่าขนมอยู่เหมือนกัน T-T ตัววัดเป็นอาคารไม้สีน้ำตาลเข้มชั้นเดียว หลังยาวเฟื้อย คนต่อคิวกันตรงที่ถอดรองเท้าเยอะมาก แต่ผมลัดคิวพวกชาวจีนเขาอ่าคับ(เลวเนอะ) เข้าไปข้างในก็ค่อนข้างมืดและหนาวมาก เท้าที่ต้องสัมผัสกับพื้นไม้เย็นๆทำให้ผมหนาวไปหมดทั้งตัว คือมันหนาวไปถึงข้างในร่างกายจริงๆเลยอ่าครับ
ทางเดินเป็นแถวตอนไป-กลับแคบๆรอบตัวอาคาร ตรงกลางมีรูปปั้นเทพเจ้าพันกรของชาวญี่ปุ่นนับร้อยๆองค์(ลืมไปแล้วว่าจำนวนเท่าไรกันแน่) แต่ผมคิดว่ามันงดงามมากเลยครับ เห็นแล้วน้ำตาจะไหลT-T แถมยังมีหมวกกับดาบซามูไรเก่าที่เก็บไว้ในตู้โชว์ พอเดินไปอีกด้านหนึ่ง ตรงกลางจะเป็นรูปปั้นเทพเจ้าขนาดใหญ่บนดอกบัว มีพันกร สง่างามท่ามกลางพุทธรูปองค์อื่นๆ ทุกองค์ล้วนสร้างมาจากไม้สนญี่ปุ่น และขนาดเท่าตัวคนจริงทั้งหมดเลยครับ(มิน่าล่ะมันถึงได้ชวนขนลุกตะหงิดๆ)
ประวัติคราวๆก็คือวัดนี้เคยถูกไฟไหม้ และสร้างขึ้นโดยจักรพรรดิพระองค์หนึ่ง เพื่อให้ทหารนักรบได้เข้ามาสักการะบูชา และยังมีความเชื่ออีกว่าเป็นที่รักษาโรคปวดหัวแก่ทหารอีกด้วย
เผลอแปบเดียว ดูนาฬิกาอีกทีก็บ่ายโมงแล้ว สงสัยผมจะถ่ายรูปเพลินไปหน่อย เอาเป็นว่ารถบัสเที่ยวต่อไปคงจะจอดเร็วๆนี้ ซึ่งเป็นอะไรที่ตรงเวลามากๆๆ o_O*(เฮ้อ~~~แล้วรถเมล์ไทย...) จากนั้นผมก็นั่งรถไปเรื่อยๆ พอใจตรงไหนก็หยุดลงแวะดูของต่างๆ แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อหรอกครับ มัวแต่ชิมฟรีกับถ่ายรูปของเขามากกว่า แฮะๆ
รถบัสจอดตรงทางขึ้นวัดคิโยมิซึส(Kiyomizu) ซึ่งก็เป็นการขึ้นเขาที่ยาวนานและเหนื่อยเอาการเลยทีเดียว ทว่าผมก็เก็บภาพมาได้เยอะ ยิ่งไปถึงตรงตัววัดบนภูเขา แล้วมองตามทางที่ทอดลงมาเห็นบ้านเมืองเกียวโตโบราณๆ เป็นภาพที่น่าประทับใจไม่น้อย ผมเลยถ่ายเก็บเอาไว้เยอะพอสมควร โดยหวังว่าหากคนขี้งอนที่งอนผมอยู่ได้ดูภาพเหล่านี้แล้ว...เขาคงจะคลายโกรธผมลงบ้าง
เข้าไปไหว้ขอพรจากองค์พระประทาน งืมๆ คนเยอะดีแท้น้อ =_=’
ยอมควักตักตั้งหลายพันเยนเพียงเพื่อแลกกับเครื่องราง ที่สลักชื่อของชิพไว้ เป็นเครื่องรางที่ปลุกเสกจากทางวัดโดยตรง และผมเห็นว่าควรเป็นของฝากชิ้นสำคัญสำหรับเขา นอกเหนือจาก...ขนมล้านแปดที่ผมหิ้วเต็มสองมือ จากร้านของฝากแอนด์ที่ระลึกรอบๆวัด แหม...ก็เวลาชิมไปกินไปผมก็นึกถึงชิพ นึกถึงคนนู่นคนนี้ ขากลับเลยลำบากหน่อย(ซะงั้น) เพราะต้องนั่งรถเมล์ออกมาขึ้นรถไฟกลับโรงแรม
สงสัยคงเที่ยวเพลินมากไปหน่อย จนเย็นมาก พอกลับถึงโรงแรมเกือบหนึ่งทุ่มตรงพอดี และญี่ปุ่นก็มืดเร็วมากใช่ม่ะคับ? ผมก็กลัวมากว่าชิพที่อาจจะกลับก่อนเป็นห่วงเอา แล้วเดี๋ยวโดนดุอีก ขานี้ยิ่งชอบดุผมเสมอเวลากลับบ้านไม่ตรงเวลา บรือ...
แต่พอเปิดประตู ห้องกลับเงียบและว่างเปล่า...ไร้ร่องรอยของชิพ
ผมใจหายวูบเล็กน้อย นึกสะท้อนใจว่า เออน่ะ...ชิพคงกำลังทำธุระส่วนตัวของเขาอยู่ ไอ้ความรู้สึกเป็นห่วงเหล่านี้เขาก็คงเผชิญมาแล้วเวลาที่ผมไม่กลับบ้านตรงเวลา เป็นเหตุให้เขาต้องใช้อารมณ์กับผมทุกครั้งที่พูดเรื่องนี้กัน
...ตอนนี้เข้าใจความรู้สึกนั้นแล้ว ว่ามันทรมานแค่ไหนที่แต่ละวินาทีผ่านไป...แต่ไม่มีร่างของเขาปรากฏขึ้นตรงหน้าประตูสักที
โชคดีที่ผมซื้อสตอเบอร์รี่กับของกินสองสามอย่างเข้ามาด้วย ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินมาทั้งวัน ล้มตัวลงนอน...เปิดทีวีดูรายการจืดๆของจังหวัดชนบทอย่างเกียวโต ยังพอฟังออกก็ไม่ทำให้ผมฟุ้งซ่านมากเกินไปว่า...ตอนนี้ชิพอยู่ไหน? เขาอยู่กับใคร? ทำอะไรอยู่? จะเกิดอะไรขึ้นกับเขามั้ย?
...สัมผัสแผ่วเบาตรงแก้มทำให้ผมสะดุ้งตื่น มึดแล้ว...ไฟที่เปิดไว้ถูกปิดสนิท เหลือเพียงแสงสลัวจากโคมไฟตั้งโต๊ะเท่านั้น
“ผมกลับมาแล้ว”
ชิพ!
ผมชันตัวขึ้นมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง ปรายตามองดูนาฬิกาแล้วต้องตกใจเพราะนี่มันห้าทุ่มกว่าแล้ว
“นี่คุณเพิ่งกลับเหรอ?”
ชิพพยักหน้า สีหน้าอิดโรยเหนื่อยล้า นี่เขาไปไหนมาทั้งวัน?
“ผมมีขนมมาฝากคุณด้วยนะ แล้วก็มี...”
“ทำไมคุณไปไหนมา ไม่บอกผมสักคำ! แล้วกลับมาตอนนี้ รู้มั้ยว่าใครจะเป็นห่วงมากแค่ไหน?”
เสียงมันทั้งสั่นทั้งดัง โมโห...แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ด้วยเมื่อเขากลับมาแล้ว
ชิพน้ำตาคลอ...ยิ้มแปลกๆ
เขาเป็นอะไรของเขาเนี้ย?
“ขอบคุณนะที่เป็นห่วงผม”
ผมจ้องหน้าเขา บ้าแล้วหากไม่เป็นห่วง...มันทั้งร้อนใจ กระวนกระวาย ผมนั่งรอเขาจนต้องเผลองีบหลับไปก่อน รู้ตัวอีกทีก็ห้าทุ่ม ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเขาหายตัวไปไหนทั้งวัน แถมยังไม่บอกผม ปล่อยให้ผมต้องออกไปเดินเล่นคนเดียวทั้งวันโดยที่คิดถึงเขาตลอดเวลา...นี่เขาคิดอะไรอยู่กันแน่?
“แล้วนี่คุณหายไปไหนทั้งวัน...ผมเป็นห่วงมากรู้มั้ย?”
ชิพถอนหายใจ ส่ายหน้า
“ที่ผมกลับช้าเนี่ย...ก็เพราะคนที่โอซาก้าติดต่อมาว่าเจ้าของโรงงานลูกค้าของเราเขายังไม่ยอมเซ็นสัญญาที่ตกลงกันเมื่อวาน ผมเลยต้องนั่งรถไฟกลับไปที่โอซาก้าตั้งแต่ตอนเที่ยง...สรุปแล้วผมต้องไปตกลงกับเขาที่นิวยอร์ก”
ได้แต่อึ้ง...นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น
“แต่...แต่เมื่อวานเราก็ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว?”
“ใช่ ผมก็ไม่คิดว่ามันจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้น...แต่เป็นเพราะเรื่องภายในของเขาเอง เลยทำให้ต้องเลื่อนการเซ็นสัญญาออกไป ผมก็แค่ต้องการให้มันแน่นอนเลยต้องไปคุยกันแบบตัวต่อตัวที่สำนักงานใหญ่”
อะไรกัน...สรุปว่าทั้งวันนี้ชิพวิ่งวุ่นเพราะเรื่องงานอย่างนั้นเหรอ?
มิน่าล่ะ...เขาถึงได้ดูโทรมแบบนี้ คงเหนื่อยมากแน่ ผม...ไม่น่าไปพูดขึ้นเสียงระเบิดอารมณ์กับเขาเลย…
“ผมคงต้องไปนิวยอร์กภายในสองวันนี้...คุณไปกับผมได้มั้ย?”
มันเร็ว กระทันหัน จนพูดอะไรไม่ถูกนอกจากยอมตกลง...ผมจะให้เขาไปคนเดียวได้ยังไง
“ครับ แต่เรื่องเสื้อผ้า…”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ที่อพาร์ทเม้นท์ของผมยังพอมีเสื้อผ้าอยู่ ผมบินไปบ่อย ถ้าคุณจะซักก็ซักได้เพราะมีเครื่องซักผ้าเรียบร้อย”
ชิพทรุดตัวลงนั่งกับพื้น หลับตา ถอนหายใจอย่างอ่อนล้า...ภาพตอนนั้นทำให้ผมพลอยหนักใจร่วมไปกับเขาด้วย
“ชิพ...”
อยากกอดเขา เพื่อคลายความทุกข์เหล่านั้นไป...
“คุณเข้านอนเถอะ ผมก็จะนอนเหมือนกัน เพลียๆยังไงไม่รู้”
จู่ๆเขาก็ลุกขึ้น ช้อนตัวผมเข้าอ้อมแขนแล้วอุ้มไปไว้บนเตียง ด้วยความเหว๋อเลยไม่ทันได้โวยวาย =_=” ชั่วอึดใจเขาก็ค่อยๆวางตัวผมลง หลังสัมผัสเตียงที่ตึงเรียบ...เรามองหน้ากัน วินาทีนั้นที่เขาโน้มตัวลงมา ผมได้ยินเสียงหัวใจเต้นตึกตักขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แสงไฟจากนอกห้องส่องให้เห็นเพียงเสี้ยวแห่งแววตาที่เปี่ยมความหมาย...
เขาก้มลงมา ผมหลับตา...แต่แล้วเขาก็แค่ค่อยๆวางผมลง แล้วปล่อยให้ผมนอนลงไปทั้งอย่างนั้น
ง่ะ? =_=”
ชิพเข้าไปอาบน้ำ...ผมแกล้งทำเป็นนอนหลับไปแล้ว แต่แอบมองร่างสูงที่เดินเข้ามาที่เตียงโดยไม่...แม้แต่จะมองผมเลย ดูเขาเหนื่อยๆ...หรือว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
ล้มตัวลงนอนตะแคงข้างให้ผม สักพักผมก็ได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจเบาบาง...ทำไมเราถึงต้องทำตัวเหินห่างเย็นชากันแบบนี้ด้วย? ทำไม...
ได้แต่มองแผ่นหลังกว้าง กับสติข่มใจอยากเข้าไปกอด...
ค่อยๆขยับตัวเข้าไปหา ผมได้แต่จ้องแผ่นหลังนั้น เขาจะว่าหรือเปล่านะถ้าผมจะ...
“พรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้า เครื่องออกสิบโมงตรง...ผมขอโทษด้วยที่ต้องให้คุณลำบาก แต่เราจำเป็นต้องไปจริงๆ...”
มือของผมชะงักค้างอยู่เช่นนั้น แล้วค่อยๆลดลง...ความเงียบคืบคลานเข้าปกคลุมแทนเสียงของชิพ...จริงซินะ เขาต้องทำงาน ผมไม่น่ากวนใจเขาอีก...แต่ทำไมตอนนี้ผมถึงอยากถูกเขากอดนัก อยากถูกเขารัก...อ๋อ มันเจ็บปวดทรมานแบบนี้นี่เอง กับการที่เราต้องหักห้ามใจ ไม่ให้เผลอใจไปกับความต้องการของตัวเอง...เข้าใจแล้วล่ะ
โปรดติดตามตอนต่อไป