ขอโทดที่มาช้า อย่าโกรธเค้าน๊า

บทที่ 15
รุ่งเช้า ผมตื่นขึ้นมาด้วยอารมณ์ที่ไม่สดใสนัก กลับกลายเป็นว่าผมซะเองที่ไข้ขึ้น เพราะติดจากชิพเมื่อคืน และ...เรื่องต่างๆที่รบกวนใจจนนอนไม่
หลับเลยสักนิดเดียว
“ผมต้องรีบกลับกรุงเทพฯก่อนบ่ายสองโมง มีประชุมทางโทรศัพท์กับบอร์ดในบริษัท คุณจะแวะซื้ออะไรก่อนกลับอีกมั้ย?”
ชิพถามขึ้นขณะกำลังแต่งตัว และจัดเก็บข้าวของลงใส่กระเป๋าเตรียมกลับบ้าน...ผมได้แต่พยักหน้าและลากสังขารตัวเองไปสู่ห้องน้ำ...ฝืนทนกับ
ความเจ็บตามกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย สงสัยจะโดนไข้หวัดใหญ่เล่นงานเอาก็คราวนี่ล่ะแฮะ =_+”
ออกมาจากห้องน้ำ เห็นชิพยืนคุยโทรศัพท์อยู่กับเลขาฯของเขา อย่างที่บอกอ่ะแหละครับ...ก็คือชิพมีธุรกิจซึ่งตกทอดมาจากต้นตระกูล บริษัทนำเข้า
และผลิตเครื่องสุขภัณฑ์ชื่อดังรายใหญ่ของประเทศ เมื่อสิบปีก่อนผมเคยฝึกงานอยู่บริษัทเดียวกับเขา นับตั้งแต่ตอนที่คุณย่าของชิพยังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่...จาก
ประสบการณ์บอกผมว่าชิพกำลังมีภาระที่ต้องดูแลอยู่หนักเอาการ ไหนจะทั้งส่งออกและผลิต ตอนนี้ชิพมีโรงงานที่ติดต่อทำธุรกิจร่วมกันกับชาวต่างชาติ เช่นที่เมืองจีน ญี่ปุ่น
และฮังการี
“ชิพ คุณไม่หยุดต่ออีกหน่อยเหรอ? คุณยังตัวอุ่นๆอยู่นะ”
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ คุณต่างหากที่น่าเป็นห่วง มานี่ซิ เดี๋ยวผมเช็ดผมให้”
ว่าแล้วชิพก็ต้องมาเช็ดผมให้ ซะงั้น =+=...เฮ้อ~~~ ช่างเหอะ
“แต่ความจริงแล้ว...หยุดงานแค่สามวัน คุณน่าจะได้พักผ่อนมากกว่านี้นะ”
“ไม่ได้หรอกแดน แค่นี้ที่ผมไม่เข้าบริษัท ลูกน้องผมก็ทำงานวุ่นกันหัวแทบขวิดอยู่แล้ว”
เฮ้อ~~~...ถอนหายใจรอบที่สอง ชิพเป็นคนสำคัญของบริษัท เขาต้องบริหารงานหนักแบบนั้น ผมเข้าใจดี...แต่ผมอดเป็นห่วงเขาไม่ได้นี่นา มีแฟน
เป็นคนบ้างานทั้งทีนี่ ก็ลำบากเหมือนกันแฮะ =_=”
“สมัยตอนที่คุณย่าบริหารงาน ท่านทำงานหนักเหมือนคุณตอนนี้มั้ยน๊อ?”
จู่ๆ มือของชิพก็หยุดชะงักลง...ผมลืมตามองเขาผ่านทางกระจก เห็นสีหน้าที่ไร้อารมณ์ ลูกกระเดือกของเขากลืนน้ำลายลงไปอย่างลากลำบาก โอ้ว...
ใจผมหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม แล้วเริ่มเต้นตึกตักด้วยความกลัว นี่ผมหลุดปากพูดอะไรออกไปอีกแล้วงั้นเหรอ?
“ไม่ต้องพูดถึงเขา...”
น้ำเสียงของชิพแข็ง หยาบกระด้าง และเย็นชาพอๆกับแววตาเวลาที่เอ่ยถึงคุณย่า เขาเลิกเป่าผมให้ แล้วเดินไปเก็บของต่ออย่างค่อนข้างใส่อารมณ์...
ผมงง
“นี่...นี่มันเกิดอะไรขึ้นชิพ? ผมทำอะไรผิดหรือไง?...ผมงงไปหมดแล้ว”
“ก็แค่คุณไม่พูดถึงชื่อนั้นก็พอแล้วไง!”
ชิพยังคงไม่หันมามอง
“แต่...ผมก็พูดแค่ว่าตอนที่คุณย่า-“
“พอได้แล้ว...ผมไม่มีวันทำตัวเหมือนเขา ผมพอใจที่จะทำงานหนักกว่า เพื่อให้งานออกมาดีกว่า ผมไม่เคยเดินตามรอยเขาเลย ได้ยินมั้ย? ทีนี้พอ
ใจหรือยัง”
ชิพหันมาพูดเสียงเข้มใส่ผม กระชากห้วนจนผมอดสะดุ้งไม่ได้...กลัว เห็นแววตาดุดันของเขา ท่าทางที่น่ากลัวบวกกับน้ำเสียง...เมื่อห้องเงียบงันก็
พบว่าหัวใจเต้นแรงอย่างหยุดไม่อยู่ ส่วนชิพยืนนิ่งอยู่ตรงข้าม
“~ทำไม?...คุณต้องไม่อยากพูดถึงท่านด้วย”
“ก็เพราะผมไม่อยากน่ะซิ...ผมไม่อยากแม้แต่จะนึกถึง ไม่อยากพูด ไม่อยากอยู่บ้านเดียวกับที่เขาอยู่ เพราะผมเกลียดเขา เกลียดที่เขาทำให้เราสอง
คนต้องเสียเวลามากมายแบบนี้! นี่คุณไม่รู้สึกเกลียดเขาบ้างหรือยังไง?”
“เกลียดเหรอ? ชิพ คุณเกลียดท่านไม่ได้นะ เพราะท่านเป็นคุณย่าของคุณ...ท่านมีบุญคุณต่อคุณนะ”
“บุญคุณของเขาผมทดแทนหมดไปแล้ว...”
“ไม่มีทางหรอก คุณไม่มีวันชดใช้บุญคุณคนที่ชุบเลี้ยงเรามาตลอดชีวิตได้หมด”
“แล้วจะให้ผมทำยังไง?”
“คุณก็อย่าโกรธ อย่าเกลียดท่านซิ พยายามนึกถึงแต่สิ่งดีๆของท่านไว้”
พยายามเกลี้ยกล่อมเขา ทั้งๆที่น่าจะรู้...เปลี่ยนใจชิพมันยากมากแค่ไหน
“มันไม่มีสิ่งดีๆอันไหนหลงเหลือน่ะซิ ผมถึงไม่อยากพูดถึงเขา!”
ชิพเหวี่ยงกระเป๋าลงสู่พื้น แล้วทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้...เขาเอามือกุมใบหน้า ทำให้ผมไม่สามารถรู้ได้ว่าเขาร้องไห้...หรือว่าทำอะไร?...
“ชิพ...แล้วท่านรู้มั้ยว่าคุณ เอ่อ...พยายามฆ่า...”
รวบรวมความกล้าแล้วถามออกไป...ชิพไม่ตอบ นั่นยิ่งทำให้ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี
“ชิพ...คุณควรปล่อยวางความเกลียดชังเหล่านั้นทิ้งไปซะ...มันไม่ดีสำหรับคุณ”
เขาเงยหน้าขึ้นมา ขอบตาแดงแต่ไม่มีร่องรอยของน้ำตา
“คุณจะเอาอะไรจากผม...คุณจะคาดคั้นเอาอะไรจากผม? ผมบอกแล้วไงว่าผมมันไม่เคยเป็นคนที่เขารัก ผมมันไม่มีค่าสำหรับใคร แม้แต่ย่าคน
เดียว!...หากคุณคิดว่าผมไม่มีค่าอีกก็เชิญไปเลยซิ ไป!”
อะไรกัน?~จู่ๆเขาก็หาเรื่องผม!!! คงเพราะอารมณ์โมโหที่ทำให้เขาพูดจาแบบนี้ ผมไม่โกรธเขาหรอก...เพียงแต่แค่งงๆแล้ว...แอบน้อยใจเล็ก
น้อย
เป็นเพราะผมรู้ธรรมชาติของชิพ แม้ภายนอกของเขาอาจจะดูเข้มแข็ง แต่แท้จริงแล้วชิพไม่ต่างอะไรจากเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ที่มีทั้งความขี้โกรธขี้โมโห
ขี้น้อยใจ บางทีก็มีความสดใส...ร่าเริง ซุกซ่อนอยู่ในตัว...ความเย็นชาต่างๆเป็นเพียงสิ่งที่เขาแสดงออกมา ไม่ใช่ตัวตนแท้จริงที่ผมรู้จัก...
“ไม่มีใครคิดว่าคุณไม่สำคัญหรอกนะชิพ...คุณสำคัญที่สุดในชีวิตของผมในตอนนี้ เวลานี้ผมไม่มีใครอีกแล้วนอกจากคุณ คุณคือหัวใจของผม...เช่น
เดียวกับคุณย่า ท่านรักคุณ...ผมรู้ดี”
วันที่ท่านมาเสนอข้อตกลง...ในแววตานั้นมีบางครั้งที่ฉายแววอ่อนแอออกมา เหมือนชิพ...แววตาที่ปกติจะแข็งกระด้างแสนเย็นชา...ท่านมองผม
เหมือนกับจะอ้อนวอน อ้อนวอนให้ผมปล่อยหลานชายของท่านไป เพื่อสิ่งที่ดีกว่า อนาคตที่ดีกว่า เพื่อทุกอย่างที่ดีกว่า...ใช่ ตอนนั้นผมอาจจะยังไม่มีอะไรที่สามารถให้เขา
ได้เลย แต่ตอนนี้ผมรู้ว่าผมสามารถรักเขา รักได้มากสุดหัวใจ...นั่นหมายความว่าคุณย่าไม่ได้นึกทอดทิ้งชิพ หรือไม่รักเขาหรอก เพียงแต่ท่านไม่รู้วิธีที่สมควรในการมอบ
ให้เท่านั้นเอง
“คุณจะไปรู้อะไร? คุณยกยอเขา ก็เพราะคุณรับเงินจากเขาไปเมื่อสิบปีก่อน ใช่มั้ยล่ะ?”
ผมอึ้ง...ชิพวกกลับมาที่เรื่องเก่า ความผิดของผมเอง...เรื่องที่ตัดสินใจรับเงินสินบน...จะเรียกอย่างนั้นก็ได้...แต่เงินที่ผมรับไป ก็เพื่อรักษาชีวิต
ของพ่อที่ป่วยหนักในตอนนั้น...มันอาจจะฟังดูน้ำเน่า แต่นี่แหละคือชีวิตของผม...ชีวิตจริงที่ต้องเจอเรื่องเน่าๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...
“ชิพ!”
“ไหน...ไหนคุณลองบอกผมหน่อยซิ ว่าคุณใช้เงินนั้นไปเพื่ออะไร? คุณใช้เสวยสุขได้มากแค่ไหนกัน? ผมอยากรู้แต่ก็ไม่ได้ถาม...ถ้าคุณกล้าพอ
ตอบผมมาซิ คุณกล้าพอหรือเปล่า?!”
ชิพลุกขึ้นตะคอกใส่ผม คราวนี้เสียงดังมาก และเขาโมโห...ผมไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์แบบนี้มันเริ่มเกิดขึ้นตอนไหนและยังไง แบบว่างงมาก ทว่า...
ผมรับปากไว้กับคุณย่าแล้วว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับชิพ ว่าผมหายไปทำอะไรมาเป็นเวลาสิบปี...ความจริง มันอาจจะผิดสัญญาตั้งแต่ผมเริ่มกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีก
ครั้งแล้วก็ได้
แต่ผมก็ไม่อยาก...ให้โอกาสครั้งนี้หลุดลอยไปอีก
“ผม...ผมไม่มีอะไรจะพูดตอนที่คุณโมโหแบบนี้”
“ใช่ผมอาจจะโมโห แต่ผมมีสติทุกอย่าง...ผมก็แค่อยากรู้ ว่าสรุปแล้วคุณหายไปไหนมา คุณหายไปจากชีวิตผมเพื่ออะไรกันแน่...แล้วตอนนี้คุณยัง
จะมาตอกย้ำเรื่องที่ผมอยากลืม...แค่นี้...ชีวิตผมมันก็คงไม่แย่ไปกว่านี้อีกแล้วใช่มั้ย?”
ชิพยกกระเป๋าด้วยมือทั้งสองข้างแล้วเดินลิ่วออกไปที่รถ...ผมใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะเรียกสติกลับคืน ก่อนจะรีบแต่งตัวแล้วเดินตามชิพออกไปที่รถ
เพื่อเช็คเอาท์โรงแรมที่ล็อบบี้
ชิพนั่งอยู่บนรถที่พนักงานเอามาจอดไว้ให้ เขาใส่แว่นตาดำมองตรงไปข้างหน้า...
“ผมขอโทษ…”
“...”
“ก็บอกว่าขอโทษไง พูดอะไรบ้างซิ”
เขาไม่หันมามองอยู่ดีอ่ะ
“สักวัน...คุณต้องบอกผม เรื่องที่คุณเอาเงินของ...ย่า...ไปทำอะไร”
ผมกลับเป็นฝ่ายเงียบ
“เอาล่ะ...ถ้าคุณยังไม่บอกผม เราก็คงไม่มีเรื่องต้องพูดกันอีก”
“คุณทำแบบนี้กับผมไม่ได้นะชิพ!”
“ทำไมล่ะ? ในเมื่อผมไม่เคยมีเรื่องปิดบังคุณเลย...คุณคิดซะว่าผมไม่ได้โกรธคุณก็แล้วกัน ผมแค่...ไม่อยากพูดกับคุณในตอนนี้”
เอาล่ะ...ชักเริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว ไรว่ะเนี้ย??? เชี้ยเอ๊ย~~~แล้วไอ้น้ำตาอุ่นร้อนเหี้ย’ไรเนี้ยมันเอ่อมารวมตรงหัวตากรูตั้งแต่เมื่อไรกัน...ฮึ
แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นน้ำตาแห่งความโกรธ หรือ ความเสียใจกันแน่…
“คุณทำแบบนี้กับผมไม่ได้นะ...”
ร้องออกมาแล้ว น้ำตา...ไหลริน ผมเกลียดช่วงเวลาแบบนี้ มันรู้สึกอ่อนแอ และสับสน...
“งั้นคุณคงต้องเลิกพูดให้ผมสำนึกในบุญคุณบ้าบออะไรนั่น แต่ยังไงซะ ผมก็ต้องการจะรู้เหตุผลที่แท้จริงของคุณอยู่ดี”
“...”
เขามองผมร้องไห้เงียบๆ...ไอ้หมอนี่จะรู้สึกอะไรบ้างมั้ยหา?!!!
“อะไร?”
“คุณ...คุณทำให้เรากลับมาทะเลาะกันอีก...คุณอยากให้ผมออกไปจากชีวิตคุณมั้ยล่ะ แล้วคราวนี้ผมจะไม่เสียใจอีก”
แทนที่ชิพจะโกรธจัดกว่าเดิม เขากลับนั่งเฉยๆ แต่ผมเห็นเขากัดฟันแน่นจนกรามนูนเป็นสัน
“ขึ้นรถเหอะ เราต้องไปกันแล้ว”
ผมก้าวขึ้นรถ ปิดประตูอย่างแรงแล้วโยนกระเป๋าไปข้างหลัง
“~ได้! ต่อไปนี้ผมจะทำตามคุณบอกทุกอย่าง คุณจะทำกับผมยังไงก็เชิญ แต่ขอบอกว่าผมเบื่อมากที่ต้องมาทะเลาะกับคุณ! พอคุณทำดีกับผมวันนี้
พรุ่งนี้คุณอาจจะร้ายกับผม...จนผมเดาไม่ถูก ฉะนั้นหากคุณพอใจทำอะไรลงไปก็ตามใจ...ผมไม่แคร์อยู่แล้ว”
ปากแข็งไปงั้น...ยอมรับ ว่าในใจทั้งน้อยใจ โกรธ โมโห และแคร์เขามากที่สุด...รู้ทั้งรู้ว่ายังรักเขา แต่พอมันเจ็บปวดจากเหตุการณ์ต่างๆ การ
กระทำที่ชิพก่อ...ทั้งเกลียดทั้งโกรธ แต่ผมก็ยังรักเขา ไม่รู้เพราะอะไร มันเป็นเวรกรรมอะไรของผมนักหนาที่ต้องเฝ้าทนความเจ็บปวดแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
“...คุณโกรธผมหรือเปล่า?”
จู่ๆชิพก็ถามขึ้นขณะกำลังขับรถมุ่งตรงเข้ากรุงเทพฯ
“ใช่”
“...แต่พรุ่งนี้คุณจะไม่ว่างโกรธผม เพราะคุณต้องไปทำงานที่บริษัทกับผม ทุกวัน ผมมีแขกสำคัญมาจากญี่ปุ่น...พอจะได้ยินชื่อเสียงคุณมาบ้าง คุณ
คิดว่าพอมีความสามารถพอจะช่วยงานผมได้มั้ย?”
ผมไม่ตอบ หน่ำซ้ำยังค้อนใส่ คนอะไรอารมณ์ร้ายกาจ ป่าเถื่อน น่ารังเกียจที่สุด!
นอกจากจะไม่ช่วยแล้ว ผมจะป่วนให้สะใจเลยคอยดู
...แต่มานั่งคิดดูดีๆแล้ว อยู่บ้านว่างๆก็น่าเบื่อ เหงา ไม่มีอะไรทำ ฉะนั้นคงต้องติดสอยห้อยตามเขาไป...ทั้งๆที่เรายังมีเรื่องข้างคากันอยู่
ระหว่างทางชิพคุยโทรศัพท์มือถือเรื่องเตรียมประชุดบอร์ดของเขาตลอด ถึงบ้านเราก็ไม่พุดคุยกันเลย เขาเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวที่มุนหนึ่ง ส่วน
ผมนั่งดูโทรทัศน์ฆ่าเวลา จนจะนอนก็อาบน้ำแล้วไปนอนที่ห้องเดิมของตัวเอง ไม่ใช่ห้องของเขา
...ตอนดึกๆยังอุตส่าห์มาแอบเปิดประตูดู ฮึ แต่ผมไม่สนใจหรอก เขาคงแค่แวะมา...แวะมาเพื่ออะไรไม่รู้ล่ะ! ไม่อยากสนใจ อยากทำอะไรก็เชิญ!
นี่ไม่ใช่บ้านผม
“ผมรู้ว่าคุณยังไม่นอน...”
จู่ๆเขาก็เอ่ยขึ้น ผมตัวแข็งทื่อทันที
“ถึงแม้เราจะทะเลาะกัน...ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องมานอนแยกห้องแบบนี้”
“…”
~แล้วไงล่ะ
“สมมติ...ถ้าคุณอยากกลับไปนอนห้องผม ก็แค่เปิดประตูเข้าไป ไม่ต้องเคาะ ผมจะเตรียมหมอนกับผ้าห่มไว้ให้...คุณได้ยินแล้วใช่มั้ย?”
เกือบจะเผลอตัวพยักหน้าไปแล้วมั้ยนั่น =_+” แย่แน่ๆหากทำจริงๆ…(ก็มันเสียเซล์ฟหมดพอดี) แต่ใครกันจะยอมกลับไปนอนเตียงเดียวกับไอ้
หมอนั่น เหอะ! ผมยอมนอนข้างถนนดีกว่าต้องไปเป็นเครื่องรองรับอารมณ์เขา...จริงมั้ยล่ะ
แต่ไม่รู้ซิ...เสียงเจือความรู้สึกผิดของเขาทำให้ผมหายโกรธแล้วจริงๆ
เดี๋ยวมาต่อนะคร้าบ