หลังตื่นขึ้นมาจากความฝัน ผมก็เห็นพี่เฮดีสนอนอยู่ข้างๆ เฮ้อ~ แม้แต่ในความฝันของผมก็เต็มไปด้วยเรื่องของเขา ผมเนี่ยคงจะชอบพี่เฮดีสเอามากๆ เลยสินะ แต่ว่าขนาดในฝันของผมเองพี่เฮดีสก็ยังไม่วายมีเรื่องชกต่อยกับชาวบ้านไปทั่ว ในความเป็นจริงผมเห็นเขามีเรื่องล่าสุดตอนเกิดเรื่องที่ร้านของพี่ยู นี่ก็นานเกือบเดือนแล้วที่ไม่เห็นใครเข้ามาหาเรื่องพี่เฮดีส ผมก็รู้สึกโล่งอก หวังว่าจะไม่มีใครใช้มีดมาท้าต่อยกับพี่เฮดีสนะ ผมหันไปมองนาฬิกา ตอนนี้ยังเช้าอยู่ พอมีเวลานิดหน่อย ผมลุกขึ้นกำลังขยับตัวลงจากเตียงแต่ถูกใครบางคนที่ยังหลับคว้าตัวเข้าไปกอดก่ายต่างหมอนข้าง เสียงทุ้มต่ำครางในลำคอ
“จะไปไหน?”
“เช้าแล้วครับ ผมจะไปอาบน้ำ”
“อืม~ มอร์นิ่งคิสก่อน” พี่เฮดีสลืมตาขึ้นมาครึ่งหนึ่ง เขาชี้ปากตัวเอง เอ่ยเสียงอู้อี้กึ่งตื่นกึ่งหลับ ผมอมยิ้มแก้มปริกับท่าทางเหมือนเด็กๆ ของเขา ก้มตัวแตะริมฝีปากของเขาเบาๆ พี่เฮดีสทำเสียงในลำคอเหมือนไม่พอใจ แต่ก็ยอมปล่อยตัวผมไป เมื่อผมอาบน้ำเสร็จเดินกลับมาที่เตียงก็ยังเห็นพี่เฮดีสนอนหลับอยู่เหมือนเดิม ผมถอนหายใจแล้วส่ายหน้า
ตั้งแต่เราคบกันอย่างเป็นทางการก็ราวๆ อาทิตย์ได้ พี่เฮดีสขี้เซาขึ้นทุกวัน นิสัยเด็กน้อยขึ้นกว่าเดิมเยอะ! หรือนี่จะเป็นนิสัยจริงๆ ของเขากันวะ ผมเข้าไปปลุกเขาให้ตื่น คนตัวโตกลับพลิกตัวหนี ดื้อไม่ยอมให้แตะตัว ผมทำหน้าบึ้ง
“พี่เฮดีส! เดี๋ยวก็ไปเรียนไม่ทันหรอก มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอครับ!” ผมไม่ยอมแพ้เข้าไปสู้รบตบมือกับจ้าวนรกขี้เซา อีกฝ่ายก็ไม่ยอมตื่นง่ายๆ
“เพิ่งได้นอนนิดเดียวเอง”
“แล้วมันเพราะใครกันล่ะครับ?” ผมเอ่ยถามเสียงเย็น รู้สึกโมโหนิดหน่อย พี่นอนได้นิดเดียวแล้วผมล่ะ!? ผมก็ได้นอนพร้อมพี่นั่นแหละ
“ความผิดของนาย”
“ละเมออยู่ใช่ไหมครับ?”
ผมไม่ได้ขอร้องให้พี่ทำสักหน่อย! ไม่ต้องมาโยนความผิดให้คนอื่นเลย ผมเหวี่ยงหมอนตีร่างคนขี้เซาที่แทบไม่กระดิกลงจากเตียง ทำไมถึงได้ปลุกยากปลุกเย็นแบบนี้นะ เมื่อก่อนเขาไม่เห็นจะเป็นอย่างนี้เลย ทำไมช่วงนี้ผมคิดถึงพี่เฮดีสในตอนเจอกันแรกๆ กันนะ ตอนนั้นเขายังนิสัยเนี้ยบกว่านี้เยอะ! ผมถอนหายใจแล้วเอ่ยทิ้งท้าย ยอมยกธงขาวให้
“ตามใจล่ะกัน งั้นผมไปเรียนก่อนนะครับ”
“อือ” ส่งเสียงตอบรับแล้วก็มุดหน้าเข้ากับหมอน นอนต่อหน้าตาเฉย ผมมองเขานิ่ง ไร้คำพูดจะกล่าว คนๆ นี้... ให้ตายเถอะ ผมไม่สนใจแล้ว!
ผมหันหลังเดินออกไปจากห้องนอนใหญ่ ไปที่ห้องนอนของตัวเองเพื่อใส่ชุดนักศึกษา ไม่นานผมก็แต่งตัวเสร็จสะพายกระเป๋าเตรียมพร้อมไปเรียนเช้า ผมยังเป็นห่วงคนที่ยังนอนเพลินไม่มีท่าว่าจะตื่นไปเรียน เดินเข้าไปดูอีกรอบก็เห็นเขานอนขึ้นอืดเหมือนเดิม
“พี่เฮดีส ต้องตื่นไปเรียนนะครับ”
“...” เงียบ ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก!
ผมถอนหายใจ เอาเถอะ นี่ก็ยังเช้าอยู่ด้วย หวังว่าเขาจะตื่นแล้วอาบน้ำอาบท่าไปเรียนทัน ส่วนผมต้องไปดูแปลงวันนี้ถึงตื่นเช้าเป็นพิเศษ ผมเดินออกมาจากบ้านปิดประตู เข็นรถเวสป้าคันซีดๆ ออกมา เตรียมตัวจะขี่ออกไป แต่ไม่วายเป็นห่วงคนที่บ้าน กุญแจบ้านเขาก็มีแล้ว ข้าวยังเหลือจากเมื่อคืนวาน เอาเข้าเตาเวฟอุ่นสักหน่อยคงกินได้ ก็เขาไม่ชอบกินข้าวนอกบ้านนี่เนอะ ผมเริ่มออกตัวขี่เวสป้าไปที่แปลงสาธิตในตัวมหาลัย
“ไง”
ผมกับซีเนียร์โบกมือทักทายกันสั้นๆ แล้วแยกย้ายกันไปดูแลแปลงของตัวเอง ซึ่งวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการดูแลแปลงแล้วครับ และเป็นวันที่รุ่นพี่จะลงมาประเมินคะแนนแปลงของพวกเราด้วย ปีหนึ่งถึงได้มาแปลงกันตั้งแต่เช้า ระหว่างที่รดน้ำให้แปลงของตัวเอง ซันเซ็ตก็เดินเข้ามาตบไหล่ผมแล้วเดินหาวไปที่แปลงของตัวเอง ผมมองตามมันไปแล้วส่ายหน้า ท่าทางเหมือนยังไม่ตื่นดี ซันเซ็ตเดินไปตบไหล่ซีเนียร์อีกคน
“ใจวะที่โทรปลุก”
“เออ”
หลังจากที่ซีเนียร์มาแล้วคนอื่นๆ ก็ทยอยกันมายืนประจำแปลงของตัวเองเพื่อให้รุ่นพี่เช็คชื่อและประเมิน ส่วนใหญ่แล้วก็ผ่านกันทุกคนนั่นแหละครับ ถ้าไม่มีปัญหาอย่างลืมรดน้ำจนมันเฉาตายก็ผ่านล่ะนะ พี่ซันไรส์เป็นคนประเมินแปลงของผม พี่ชายของเพื่อนสนิทส่งยิ้มให้กับผมแล้วเดินไปประเมินแปลงคนอื่นต่อ เฮ้อ แสดงว่าผ่าน ไม่มีปัญหา! ผมถอนหายใจโล่งอกเหลือบไปมองเพื่อนๆ ในกลุ่มที่ผ่านกันถ้วนหน้าก็ยิ้มโบกมือให้กับพวกนั้น
ในช่วงเช้าพวกเราช่วยกันเก็บผักรวบรวมไปขาย หรือถ้ามีเพื่อนคนไหนหรือรุ่นพี่คนใดต้องการผักไปใช้ก็หยิบได้ตามสบาย คณะอื่นๆ ที่ผ่านมาขอพวกเราก็ใจดีให้ไป โดยเฉพาะสาวๆ รุ่นพี่กระตือรือร้นจะให้อย่างเต็มใจสุดๆ เลยล่ะครับ อ้อ ช่วงที่เก็บผักสดๆ จากแปลงมาขายจะเป็นตอนเย็นหลังเลิกเรียนแล้วนะ ตอนเช้าเนี่ยฟรีครับถ้าใครผ่านมาแล้วอยากได้ก็เชิญแวะที่แปลงเกษตรของเราได้เลย เต็มใจแบ่งปันผักอร่อยๆ มีประโยชน์ให้ทุกคนแน่นอน
หลังจากเก็บผักเรียบร้อยแล้วพวกเราก็หมดประโยชน์ ไม่ใช่หมดธุระกับแปลงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเหล่ารุ่นพี่ต่อ พวกปีหนึ่งเตรียมตัวไปทานมื้อกลางวันกัน บางกลุ่มไปกินข้างหน้ามอ บางกลุ่มกลับไปกินที่คณะ ส่วนพวกผมโอเล่ชวนให้ไปกินข้าวที่คณะวิศวะ พวกผมยืนเงียบไม่กล้าตอบรับคำชวนของเพื่อนตัวเล็ก
“เฮ้ย ไปเหอะน่า ไม่มีอะไรหรอก กูรู้จักคนคณะนี้เยอะ” โอเล่พยายามเกลี่ยกล่อมพวกเราให้คล้อยตาม มันมองพวกเราด้วยสายตาเปล่งประกายวิบวับ ซันเซ็ตทำหน้าบึ้งเหมือนจะไม่เห็นใจกับความคิดนี้
“เชื่อกูเถอะ วันนี้น่ะเป็นวันที่ปีสามวิศวะลงเวิร์ดช็อป สาวๆ จากคณะอื่นมีให้ดูเพียบเลยนะมึง” โอเล่หันไปเป่าลมเข้าหูสองหนุ่มที่อะไรๆ ก็ต้องขึ้นกับวิวทิวทัศน์ที่เจริญหูเจริญตา ซันเซ็ตหูกระดิก ซีเนียร์เม้มปากคิดหนัก ว่าแต่ปีสามวิศวะลงเวิร์ดช็อปแล้วมันเกี่ยวอะไรกับสาวๆ เยอะด้วย? อืม ปีสามงั้นเหรอ? นั่นก็รวมถึงพี่เฮดีสด้วยน่ะสิ รายนั้นลุกไปเรียนทันหรือเปล่า ลงเวิร์ดช็อปด้วยสิ คงจะสำคัญแน่ รู้แบบนี้ผมน่าจะบังคับปลุกให้เขาตื่น
“อีกอย่างวันนี้คนที่คณะวิศวะไม่มีเรียน มีแต่ปีสามเท่านั้น ไปเหอะมึง ป่านนี้พวกนั้นกลับกันหมดแล้วล่ะมั้ง” โอเล่เอ่ยโน้มน้าวไม่หยุด มอตโตมองนาฬิกาข้อมือแล้วเอ่ยขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“จะไปกินที่ไหนก็รีบตัดสินใจ เดี๋ยวจะไม่ทันเรียนตอนบ่าย”
“นั่นสิ! ตอนบ่ายเรียนที่คณะวิศวะด้วย ไปกินวิศวะนั่นแหละ เนอะรัญ?” โอเล่ยิ้มกว้างแล้วหันมาขอความเห็นจากผม ผมไม่รู้จะพูดอะไรก็เลยพยักหน้าเออออไปกับหนุ่มร่างเล็ก โอเล่ยิ้มร่าหันไปเอ่ยกับสองหนุ่มที่มีสีหน้าคิดไม่ตก
“ประชาธิปไตยว่ะ สามต่อสองเสียง เพราะฉะนั้นไปกินที่โรงอาหารวิศวะ!”
“เฮ้ย! สามตรงไหน!?” ซันเซ็ตแย้งขึ้นมาอย่างงุนงง
“ก็กู ไอ้รัญ ไอ้มอตโตไง” หนุ่มตัวเล็กฉีกยิ้มแล้วชี้นิ้วรับจำนวนเสียง ผมขมวดคิ้ว มอตโตมันลงเสียงตอนไหนวะ ซีเนียร์โวยวายขึ้นบ้าง
“มึงถามมอตโตตอนไหนไม่ทราบ?”
“โอ๊ย ตอนนี้ก็ได้ มอตโตไปกินข้าวที่วิศวะไหมวะ?”
“แล้วแต่” พ่อหนุ่มแว่นจอมชิวเอ่ยประโยคประจำตัวขึ้นมา ทำให้หนุ่มตัวเล็กหันไปเชิดหน้าใส่สองหนุ่มที่ทำหน้าบูดทันที ยกนี้พวกผมก็เลยยกพลไปกินข้าวที่โรงอาหารวิศวะตามความคิดเห็นของโอเล่หนุ่มตัวเล็กสุดของกลุ่มด้วยเสียงเอกฉันท์ สามต่อสองเสียง
โรงอาหารคณะวิศวะเป็นครั้งแรกที่พวกผมเข้ามาเหยียบที่นี้ เป็นโรงอาหารติดแอร์ที่สะอาดและมีระดับมากครับ โต๊ะกินข้าวก็สะอาดเรียบร้อยกว่าที่คิดเอาไว้เยอะเลย แถมจำนวนคนก็น้อยอย่างที่โอเล่บอกไว้ ส่วนใหญ่ที่มากินที่นี้จะเป็นอาจารย์และนักศึกษาหญิงมากกว่า โอเล่นำพวกเราไปนั่งโต๊ะอย่างคุ้นเคยเหมือนเคยมาหลายครั้ง เจ้าตัวแอบกระซิบบอกว่าพี่ดราฟต์พามากินโรงอาหารนี้บ่อยๆ มิน่าถึงได้ดูคุ้นเคยขนาดนั้น ผมหันไปรอบๆ อย่างสนใจ โรงอาหารคณะวิศวะดูแตกต่างจากที่จินตนาการเอาไว้มากจริงๆ ครับ
“สั่งเลยๆ เดี๋ยวกูจะไปส่งบิลให้” โอเล่เดินกลับมาพร้อมกับกระดาษเขียนเมนูอาหารตามสั่ง ซันเซ็ตกับซีเนียร์ขมวดคิ้วมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเหมือนผมเป๊ะ ไม่อยากจะเชื่อสายตาหรือผิดคาดสุดๆ ซันเซ็ตยื่นเมนูไปให้หนุ่มแว่นมอตโตเลือกก่อน ส่วนเจ้าตัวก็หันมาถามหนุ่มตัวเล็กชื่อยี่ห้อลูกอมสีแดง
“นี่โรงอาหารวิศวะจริงๆ เหรอวะ?”
“ก็จริงน่ะเซ่ มึงคิดว่าโรงอาหารคณะเราหรือไง?”
คณะเราไม่หรูขนาดนี้ ไม่ติดแอร์ด้วย ผมโบกมือปฏิเสธแทนเพื่อนในใจ ซันเซ็ตทำหน้าหงุดหงิด
“กูหมายถึงทำไมมันเรียบร้อยดูสะอาดสะอ้านขนาดนี้ต่างหาก”
“อ้อ! เรื่องนั้นก็...” โอเล่หัวเราะอย่างขบขัน เหล่ตามองผมเล็กน้อย อะไรวะ เกี่ยวอะไรกับกู? “เพราะว่าพี่เฮดีสมากินข้าวที่โรงอาหารนี้น่ะสิ ฮิๆ” โอเล่หัวเราะมีความสุขที่เห็นสีหน้าไม่เข้าใจของพวกเรา พี่เฮดีสมากินข้าวที่นี้? แล้วมันเกี่ยวอะไรกันด้วยเล่า
“ตอนปีหนึ่งที่เข้ามาใหม่ๆ โรงอาหารคณะวิศวะก็อย่างที่พวกมึงจินตนาการไว้นั่นแหละ แต่พอพี่เฮดีสเข้ามาเรียนที่นี้แต่หาที่กินข้าวดีๆ ที่ใกล้คณะไม่ได้ พี่ชายของเขาก็เลยบริจาคเงินให้คณะสร้างโรงอาหารนี้ขึ้นมาน่ะสิ เรียกได้ว่าใช้พลังอำนาจของเงินฟาดหน้านั่นแหละ ตั้งแต่นั้นโรงอาหารของวิศวะก็ติดอันดับโรงอาหารคนนิยมเลยนะ กรี๊ดดดด อยากได้แฟนรวยๆ แบบนี้จัง อิจฉาไอ้รัญชะมัดยาก!” พูดจบโอเล่ก็กรี๊ดกร๊าดบิดตัวไปมาอย่างมีความสุข
“แม่ง คนรวย” ซันเซ็ตกับซีเนียร์พึมพำด้วยความอิจฉา มอตโตถอนหายใจแบบไม่สนใจ ส่วนผมก็ยิ้มแห้งๆ รับ ถ้ามาคิดดีๆ แล้วไอ้คนที่ทำให้พี่เฮดีสนิสัยเสียแบบนี้คงไม่พ้น... พี่โพไซดอน! อย่างแน่นอน รายนั้นตามใจน้องแบบสุดกู่ เรื่องบริจาคเงินสร้างโรงอาหารให้น้องชายคงจะเป็นฝีมือพี่ชายนิสัยแปลกๆ ผู้รักน้องโอเวอร์คนนั้นสินะ
พวกเราชาวคณะเกษตรนั่งทานมื้อกลางวันที่โรงอาหารคณะวิศวะที่ถือว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันอย่างสบายอารมณ์ อาหารราคาถูก รสชาติอร่อย แอร์เย็นฉ่ำ เยี่ยมมากเลยครับ ซันเซ็ตยังบ่นอุบว่าทำไมไม่รีบบอกให้เร็วกว่านี้ว่ายังมีโรงอาหารดีๆ อยู่ในมอของเรา แถมทุกคนที่เข้ามาทานข้าวในโรงอาหารนี้ก็ทำตัวเรียบร้อยผิดวิสัยวิศวะเฮฮาสุดๆ และแน่นอนว่าโอเล่ผู้เชี่ยวชาญสนิทสนมกับคนของคณะวิศวะก็เล่าให้ฟังว่า ที่ทุกคนทำตัวเรียบร้อยแบบนี้เพราะกลัวคำสาปแช่งของพี่เฮดีส ไปกันใหญ่! ผมอยากจะหัวเราะชะมัด นี่ตกลงคนในคณะมองพี่เฮดีสเป็นอะไรกันแน่เนี่ย ผมชักจะสงสัยแล้วสิ เขาจะรู้เรื่องพวกนี้บ้างไหมเนี่ย?
“อ๊ะ พี่ดราฟต์!” โอเล่เงยหน้าไปเห็นกลุ่มหนุ่มๆ วิศวะเดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้นแล้วโบกมือเรียกแฟนของตัวเอง พวกผมก้มหน้ากินข้าวต่อแต่ตาก็แอบสบกันแวบหนึ่ง ส่งซิกเนลเป็นอันรู้กันว่าจริงๆ โอเล่นัดแฟนว่ากินข้าวที่นี้แต่พ่วงพวกเขามาด้วยสินะ พวกเพื่อนๆ ของพี่ดราฟต์เดินเข้ามาทักทายพวกเราด้วยท่าทางเป็นมิตรไม่มีความเป็นศัตรูกันเลย
“โอ๊ะโอ๋ น้องโอเล่ มีเพื่อนผู้หญิงด้วยงั้นเหรอครับ? น่าจะบอกพี่ก่อนนะ”
หือ!? พวกผมชะงักตัวกึกพร้อมกันเมื่อมีคนตาถั่วมองเห็นผู้หญิงในกลุ่มชายล้วน เขาคนนั้นหัวเราะร่าแล้วแตะมือที่ไหล่ของซีเนียร์ โอเล่ทำหน้าเหมือนจะกลั้นหัวเราะ ซันเซ็ตพ่นน้ำที่กำลังกินออกเป็นสาย มอตโตนั่งกินข้าวต่อหน้าตาเฉย ส่วนผมก็โล่งอกที่คนถูกเข้าใจผิดไม่ใช่ตัวเอง จะว่าไปแล้ววันนี้ซีเนียร์ปล่อยผมมานี่น่า อย่างที่เคยบอกซีเนียร์ดูจากข้างหลังแล้วเหมือนผู้หญิงจริงๆ ครับ คนถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิงนั่งนิ่งก่อนจะเงยหน้าส่งสายตาเย็นชาไปให้คนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ซีเนียร์ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนปะชันหน้ากับคนๆ นั้น พอซีเนียร์ยืนเท่านั้นแหละ ความสูงเป็นเสาไฟฟ้าของมันก็ข่มพี่วิศวะคนนั้นให้เตี้ยทันที
“ผู้ชายทั้งแท่งครับลุง อยากลองไหมล่ะ?”
“...” พี่คนนั้นเงยมองไอ้ซีเนียร์ตาโต พวกผมก็กังวลใจว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกำลังจะลุกขึ้นไปห้ามปรามเพื่อน แต่พี่วิศวะคนนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างร่าเริง ตบไหล่ของไอ้ซีเนียร์อย่างไม่ถือสาท่าทางหาเรื่องของมัน
“โทษทีๆ ไอ้น้อง เอ็งตัวผอมแถมยังไว้ผมยาวเลยเข้าใจผิดน่ะ แต่หน้าเอ็งก็หวานเหมือนผู้หญิงดีนะ โทษทีๆ ที่เข้าใจผิด งั้นเป็นการไถ่โทษที่เข้าใจผิดมื้อนี้เฮียเลี้ยงข้าวฟรีเลย”
“...ก็ดีครับ” ซีเนียร์นิ่งครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วพยักหน้ารับด้วยใบหน้าเฉยชา
ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ซีเนียร์นั่งลงกินข้าวต่อ ส่วนพวกเพื่อนๆ ของพี่ดราฟต์เดินไปนั่งโต๊ะเพื่อสั่งข้าวกิน ผมถอนหายใจโล่งอกนึกว่าจะมีเรื่องกันซะอีก ดีนะที่พี่คนนั้นนิสัยแมนเป็นผู้ใหญ่ไม่ถือสาหาเรื่องกับซีเนียร์ พวกเราทานกันต่อแล้วจู่ๆ เสียงในโรงอาหารก็เงียบลงอย่างพร้อมเพรียงกัน ผมยิ้มออกมานิดๆ บรรยากาศอันคุ้นเคยก่อนที่ใครบางคนจะปรากฏตัว พอหันไปมองทางเข้าของโรงอาหารผมก็เห็นพี่เฮดีสกับพี่ยูเดินเข้ามาด้วยกัน ท่าทางเหนื่อยๆ เหมือนเพิ่งเลิกเรียน
มาเรียนทันสินะ ค่อยยังชั่ว ผมหันกลับมาทานต่อด้วยความรู้สึกสบายใจหายเครียดเป็นปลิดทิ้ง กังวลตั้งแต่เช้าว่าเขาจะมาเรียนทันหรือเปล่า ทำเอาผมเสียสมาธิอยู่หลายครั้ง แต่พอเห็นเขามาเรียนทันก็โล่งอกทันที อีกเรื่องที่ผมกังวลคิดไม่ตกไม่แพ้เรื่องสอบไฟนอลที่กำลังจะใกล้เข้ามาแล้วก็คือ อีกหนึ่งอาทิตย์ก็จะวันเกิดของพี่เฮดีสแล้วน่ะสิ ผมควรจะให้ของขวัญวันเกิดเป็นอะไรดี อีกอย่างนี้ก็ใกล้จะสิ้นเดือนแล้ว อย่างที่ทุกคนต้องเป็นกัน เงินมันช็อตตอนสิ้นเดือน! ผมต้องไปทำงานเก็บตังค์ซื้อของขวัญให้พี่เฮดีสสินะ แล้วจะซื้ออะไรดี? อย่างพี่เฮดีสเนี่ยคนอย่างผมจะซื้ออะไรให้ได้อีกล่ะ?
“เฮ้ย ไอ้รัญ!”
“หือ!?” ผมสะดุ้งตกใจมองโอเล่ที่เป็นคนเรียกอย่างงุนงง หนุ่มตัวเล็กยักคิ้วขึ้นพร้อมเหลือบตาขึ้นสูง ผมหันไปมองด้านหลังก็ชนเข้ากับใครบางคนที่ยืนชิดอยู่ อ๊ะ กลิ่นหอมแบบนี้... ผมเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้มกว้าง พี่เฮดีสจริงๆ แถมยังใส่แว่นด้วย! เขาก้มมองผมด้วยสายตานิ่งผ่านกรอบแว่นใส ยกมือวางบนไหล่ของผมแล้วโน้มตัวลงมากระซิบถามข้างหูของผม
“เหม่ออะไรอยู่?”
“อ๊ะ เปล่าครับ ก็แค่คิดอะไรนิดหน่อย”
แล้วทำไมพี่ต้องก้มหน้ามากระซิบกันข้างหูแบบนี้ด้วยเนี่ยยยย!? ผมจั๊กจี้นิดๆ อย่ามาลูบหูของผมนะ! โธ่เอ๊ย เล่นอะไรของเขาเนี่ย แถมตอนนี้ก็ไม่ใช่อยู่ด้วยกันสองคนสักหน่อย มีสายตาหลายสิบคู่มองอยู่นะครับ แถมพวกเพื่อนที่ทำเหมือนไม่สนใจแต่กลับผึ่งหูรอฟังสลอน
“คิดถึงฉัน?”
“เปล่า!” ผมปฏิเสธเสียงดังชัดเจน
“งั้นเหรอ เสียใจนิดๆ แฮะ”
จะเสียใจทำไมเล่า ก็กำลังคิดเรื่องพี่อยู่นั่นแหละ พี่เฮดีสพูดกับผมข้างหูเสียงเบาเหมือนไม่อยากให้ใครได้ยินอยู่สองสามประโยค ก่อนจะยกมือโยกหัวผมไปมาเบาๆ แล้วเอ่ยลา
“แล้วเจอกัน ตั้งใจเรียนล่ะ”
“คนตื่นสายน่ะบอกตัวเองก่อนเถอะครับ”
“ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันตั้งใจเรียนอยู่แล้วเพื่ออนาคตของเรา จุ๊บ!”
ตูม!!!พี่เฮดีสจูบลงบนขมับของผมอย่างรวดเร็วแล้วจากไปหลังจากวางระเบิดไว้ หน้าของผมค่อยๆ แดงก่ำจนระเบิดตูม บ้าเอ๊ยยยย! ตั้งใจเรียนไปสิ ไม่ต้องมาทำเพื่ออนาคตของใครทั้งนั้นแหละ แล้วจะจูบทำไมกัน คนเยอะแยะขนาดนี้! โอ๊ยยย! ไอ้คนงี่เง่าาาาา!!! ผมไม่กล้าเงยหน้าสบตากับใครเลยสักคน ได้ยินเสียงกัดฟันกรอดๆ เสียงบ่นพึมพำจากซันเซ็ตที่เริ่มสวมบทเป็น ‘พ่อจ๋า’ อีกครั้ง
“แม่จ๋า! ดูมันทำ ไอ้ลูกเขยเฮงซวยนั้น ต่อหน้าต่อตาคนทั้งบางมันยังกล้า!”
“พ่อจ๋าเคยทำมากกว่านี้อีก จะบ่นทำไม” ‘แม่จ๋า’ เอ่ยตอบด้วยเสียงเนิบนาบ
“โอ๊ยยย ไม่ยอมๆ พ่อจ๋าไม่ยอมมมมม!”
“แม่ง แบบนี้ไม่ใช่แค่คณะเกษตรแล้วข่าวลือลามทั่วมอแน่ๆ” โอเล่มองผมด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย
ผมถอนหายใจ ไม่ได้จะตั้งใจปิดเป็นความลับแต่ผมรู้สึกกลัว ทุกคนที่คณะเกษตรรู้เรื่องของเราแล้วล่ะครับ แน่ล่ะ! พี่เฮดีสเล่นบุกเข้าไปในคณะเกษตรหน้าตาเฉย แค่จะบอกผมว่าจะพาไปกินข้าวเย็นนอกบ้าน เรื่องแบบนี้โทรมาก็ได้ ไม่เห็นต้องถ่อสังขารไปที่คณะของผมเลย แต่เขากลับเดินลุยเดี่ยวเข้าคณะศัตรูตัวฉกาจ เหมือนจงใจไปประกาศความเป็นเจ้าค่าเจ้าของในตัวผม วันนั้นเล่นเอาผมลำบากแทบแย่ ถูกคลื่นมวลชวนถล่มยิงคำถามไม่หยุดไม่หย่อน น่ากลัวกว่าโดนนักข่าวรุมทึ้ง
ตอนนี้ปัญหามันอยู่ที่ไม่ใช่แค่คณะเกษตรน่ะสิ แทบจะเป็นทั้งมอ เดินไปทางไหนก็มีแต่คนมอง ซุบซิบนินทา พี่เฮดีสไม่สนใจแต่ผมเป็นพวกอ่อนไหวง่าย ต้องสนใจบ้างแหละ และเพราะมีพี่เฮดีสอยู่ผมก็เลยไม่วิ่งหนีไปซะก่อน ผมมองไปที่โต๊ะอีกฝั่งโรงอาหาร พี่เฮดีสกับพี่ยูกำลังนั่งกินข้าวกับเพื่อนๆ ซึ่งพี่เฮดีสนั่งกินข้าวอย่างเดียวฟังคนอื่นๆ พูดฝ่ายเดียว เขาเปิดเผยแบบนี้แปลว่าเขาจริงจังกับผม ผมควรจะดีใจ ไม่ใช่มานั่งกลัวเหมือนคนขี้ขลาดตาขาว
ยังไงผมก็จะคบกับพี่เฮดีส!
อืม... ก่อนอื่นเลย ผมต้องหางานพิเศษทำเพื่อเก็บตังค์ซื้อของขวัญวันเกิดให้พี่เฮดีส ผมมองพี่เฮดีสที่มองพี่ยูกำลังพูดบางอย่างอยู่ อ่า ร้านพี่ยูคงจะเปิดแล้วสินะ ผมไปทำงานพิเศษชั่วคราวที่ร้านพี่ยูได้ไหมนะ เดี๋ยวเย็นนี้ต้องถามพี่ยูซะหน่อย ยิ่งทำงานไว้ก็ยิ่งเก็บตังค์ได้เยอะขึ้น เรื่องเงินคงจะหมดปัญหาแล้วแต่อีกปัญหาน่ะสิ
ผมควรจะซื้ออะไรเป็นของขวัญพี่เฮดีสดี?
แง่ววววววววววว!!! ปอยไม่ใช่วันนั้นของผู้หญิงนะ
ถึงจะมาเดือนละครั้ง (เปรียบเทียบซะ น้ำตาไหลเบย)
เดือนนี้เค้ามาครั้งที่สามแล้วด้วย! >3<
ปล.นอกจากจะลงเล้าแล้ว เรื่องนี้ปอยยังลงเว็บเด็กดีและเว็บธัญวลัยด้วยค่ะ
ขอบคุณที่เตือนเข้ามานะคะ