สุดขั้ว 10“...เฮ้อ”
“นี่!!! แกเป็นอะไร ห๊ะ ฉันเห็นแกมานั่งถอนหายใจทิ้งตั้งแต่กลับมาแล้วนะ ขืนทำต่อไปอายุแกได้เหลือไม่ถึงปีแน่!”
ผมสะดุ้งตกใจกับเสียงแผดแหลมหันไปมองพี่ฟีฟ่าที่ยืนเท้าสะเอวจ้องผมด้วยสายตาน่ากลัวอย่างความแปลกใจ พี่ฟีฟ่ามาตั้งแต่เมื่อไรน่ะ? ทำไมผมไม่รู้สึกตัวเลย ตั้งแต่กลับมาบ้านผมก็มานั่งครุ่นคิดเรื่องพี่เฮดีสที่ม้านั่งข้างสวนผักหลังบ้าน นานแค่ไหนนั้นผมเองก็ไม่รู้สึกตัวเหมือนกัน เอ๊ะ มันค่ำขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ?
“ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
“โถ เจ้าหนู! ต่อให้อมศาลาการเปรียญมาพูดฉันก็ยังไม่เชื่อแกเลย ไม่ได้เป็นอะไรแต่มานั่งถอนหายใจอย่างกับคนถูกอกหักมาอย่างนั้นแหละ!”
พี่ฟีฟ่าแว้ดกลับแบบไม่ไว้หน้ากันสักนิด แล้วอีกอย่างศาลานั้นใหญ่มากผมย่อมอมมาพูดไม่ได้หรอกครับ ผมหันไปมองพี่สาวด้วยความข้องใจ ผมเหมือนคนอกหักจริงเหรอ?
“เหมือนคนอกหักขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
“แกอกหักมาจริงๆ เหรอ!!? ไอ้ฉันก็นึกว่าแกตัวสมองเท่ากับเด็กประถมซะอีก!”
พี่ฟีฟ่าเบิกตากว้างมองผมด้วยสีหน้าตกใจแบบสุดๆ แต่ผมตกใจความคิดของพี่มากกว่านะ! ไอ้ที่ว่าสมองเท่ากับเด็กประถมนี่มันยังไงกัน!? ผมขมวดคิ้วมองพี่ฟีฟ่าแอบเคืองนิดๆ พี่สาวผู้มาดมั่นยักไหล่กับสายตาของผม
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นย่ะ ฉันพูดถูกแล้วต่างหาก แกน่ะตัวมัธยม สมองประถม อารมณ์ทางเพศเด็กอนุบาล”
“...” ขนาดเลยเหรอ!?
“ผมไม่ได้อกหักซะหน่อย ก็แค่...”
ผมพยายามเปลี่ยนเรื่องในการพูดแต่ก็หยุดชะงัก นั้นสิ ตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่ารู้สึกยังไงอยู่ตอนนี้ ถ้าจะให้อธิบายมันก็มีอยู่หลายๆ อารมณ์ด้วยกัน ทั้งเสียใจ ทั้งสงสัย และแปลกใจมากๆ ที่ตัวเองมานั่งคิดมากกับเรื่องพรรณนี้
“แค่?” พี่ฟีฟ่านั่งลงข้างๆ ผมแล้วถามขึ้น
“วันนี้น่ะไปเจอคนรู้จักน่ะครับแต่เขากลับเดินผ่านไปไม่ทักกันสักคำเลย”ผมถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเล่าเรื่องแบบย่อๆ ให้พี่ฟีฟ่าฟัง
“จากนั้นแกทำยังไงต่อ?”
“ก็ไม่ได้ทำอะไร”
“เขาอาจจะไม่เห็นแกล่ะมั้ง คิดมากน่า”พี่ฟีฟ่ายกข้อแก้ต่างแล้วตบไหล่ของผมเพื่อไม่ให้คิดมาก แต่ว่า...
“เดินผ่านหน้าเลยนะครับจะไม่เห็นได้ยังไงล่ะ”
“... เขาจำแกไม่ได้ล่ะมั้ง?”
“เพิ่งเจอหน้ากันไม่กี่วันเนี่ยนะ?”
“แกไปทำอะไรให้เขาโกรธหรือเปล่า?”
“เปล่าสักหน่อย”
“เหอะ งั้นคราวหน้าถ้าเขาไม่ทักแก แกก็ไปทักเขาก่อนสิ ง่ายจะตาย!”
พี่ฟีฟ่าถอนหายใจแล้วพูดสรุปรวมอย่างหงุดหงิดเล็กๆ ผมเลิกคิ้วแล้วเงยหน้ามองพี่ฟีฟ่าด้วยความฉงนสนเท่ห์
“มองอะไรย่ะ?”
“เปล่า! ขอบคุณมากครับพี่ ทำไมผมลืมนึกเรื่องนี้ไปได้นะเขาไม่ทักผมผมก็เป็นคนไปทักเขาเองก็ได้นี่น่า! ใช่ๆ เรื่องมันง่ายๆ แค่นี้เอง!!”
ผมยิ้มออกมาแล้วหัวเราะสบายใจราวกับได้ยกภูเขาออกจากอกแต่แล้วผมก็หยุดหัวเราะ ก่อนจะขมวดคิ้วเป็นปมแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกลุ้มใจ
“แล้วถ้าเขาไม่ตอบกลับมาล่ะครับ?”
“โอ๊ยยย จะอะไรกันนักกันหนา ถ้ามันไม่ตอบก็ไม่ต้องไปสนใจหัวมันสิ!”
พี่ฟีฟ่าร้องเสียงแหลมแล้วจิ้มนิ้วผลักหน้าผากของผมสองสามที สีหน้าของพี่ฟีฟ่าเหมือนคนจนใจไม่มีทางไปต่อ ผมลูบหน้าผากที่ถูกจิ้มเบาๆ แล้วถอนหายใจแผ่วเบา
ไม่ต้องสนใจงั้นเหรอ?
ทำไมผมจะไม่อยากทำอย่างนั้นกันเล่า!? ผมไม่อยากจะสนใจ ไม่อยากจะคิดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขาคนนั้นแม้แต่เรื่องเดียว แต่ผมบังคับตัวเองไม่ให้คิดไม่ได้ พอเผลอตัวหน่อยก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงอีกฝ่ายจนได้ถึงจะพยายามควบคุมความนึกคิดของตัวเองแค่ไหนก็ตาม ลักษณะแบบนี้มันเริ่มเป็นหนักข้อขึ้นทุกทีจนผมหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ และบางทีผมอดที่จะหวาดกลัวคำตอบนั้นก็เป็นไปได้!
“....ดีล่ะ! ฉันตัดสินใจแล้ว!!”
“หือ? พี่พูดว่าอะไรน่ะครับ?”
“ฉันบอกให้แกโทรไปชวนเพื่อนๆ ของแกไปเที่ยวไนท์คลับกันไงเล่า!”
“ห๊า!!?”
ผมถลึงตาเมื่อได้ยินคำพูดที่เพิ่งหลุดออกมาจากปากอันอวบอิ่มของพี่สาวคนสวย ไปเที่ยวไนต์คลับนี่นะ!? ผมอ้าปากเหวอระบบสมองรวนไปชั่วขณะ แต่เมื่อตั้งสติได้ก็ขมวดคิ้วส่ายหน้าปฏิเสธอย่างแข็งขัน
“ไม่ครับ! พวกเราไม่ควรไปเที่ยวในที่แบบนั้น”
“ก็แบบนี้แหละฉันถึงบอกว่าแกมันเด็กอนุบาล!”พี่ฟีฟ่าชัดสีหน้าใส่ผมแล้วเบ้ปากอย่างไม่พอใจ
“เที่ยวกลางคืนมันไม่ดีนะครับ อีกอย่างวันพรุ่งนี้ยังมีเรียนตอนเช้าด้วย”
ผมพยายามอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง สถานที่เที่ยวแบบนั้นมันเป็นแหล่งอบายมุขชัดๆ เป็นที่เสี่ยงต่ออันตรายมากมายโดยเฉพาะผู้หญิง ผมไม่ได้เป็นห่วงตัวเองหรอกนะแต่เป็นห่วงพี่สาวคนสวยข้างกายในตอนนี้ต่างหากล่ะ
“สมัยที่ฉันเรียนอยู่ก็เที่ยวจนเช้าก็ยังไปเรียนได้เลย ข้ออ้างนี้ตกรอบย่ะ”
“พี่เป็นผู้หญิงน่ะครับ”
“ฉันก็ยังไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นผู้ชายนี่! แล้วที่สำคัญนะเจ้าเด็กอนุบาล แกไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกย่ะห่วงแต่ตัวเองเถอะ! อีกอย่างฉันแค่จะพาแกไปเปิดหูเปิดตาเรียนรู้สังคมแบบนี้บ้างจะได้รู้เอาไว้ประดับสมองกลวงๆ นี้ยังไงล่ะ แถมได้ไปปลดอารมณ์เบื่อๆ เซ็งๆ ไปด้วย ไม่เห็นความห่วงใยของพี่สาวคนนี้หรือไงยะ!?”
พี่ฟีฟ่าร่ายยาวไม่หยุดหายใจแม้แต่น้อย ผมกำลังอ้าปากจะเถียงตอบไป แต่พี่ฟีฟ่าก็ใช้มือปิดหูของตนแล้วส่ายหน้าไปมาไม่ยอมรับฟัง
“โทรไปชวนเพื่อนแกมาเลย ยิ่งเยอะยิ่งดี ณ บัด นาววว!!”
“...”
ผมมองดูท่าทางเอาแต่ใจและไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นใดๆ ของพี่ฟีฟ่าแล้วอดที่จะทอดถอนใจไม่ได้ ผมจำยอมต้องพยักหน้ารับ ไม่เช่นนั้นหูของผมต้องมีอันเป็นไปเป็นสิ่งแรกแน่ๆ ถ้ายังปล่อยให้พี่ฟีฟ่าบ่นเสียงดังประชิดหูอยู่แบบนี้ พอผมพยักหน้ารับ พี่ฟีฟ่าก็กระโดดตัวลอยทำหน้าดีอกดีใจที่เอาชนะผมได้ เฮ้อ เห็นท่าทางมีความสุขแบบนั้นทำให้ผมจนคำพูดจริงๆ
“เอาล่ะๆ แกโทรไปนัดเพื่อนด่วนจี้ เดี๋ยวฉันจะไปแต่งตัวรอ โอเคนะ?”
“ครับๆ”
“น้องรักของพี่ น่ารักจริงๆ เลย!”พี่ฟีฟ่ายิ้มแก้มปริพร้อมกับหันมาดึงแก้มของผมเบาๆ แล้วรีบผละเข้าไปในบ้าน
ผมมองตามร่างอรชรที่หายลับไปจากสายตาแล้วล้วงเอามือถือขึ้นมากดหาเบอร์เหล่าเพื่อนๆ คนที่น่าจะชวนแล้วไม่ปฏิเสธคนแรกก็ต้องเป็น... ซันเซ็ตแน่นอนอยู่แล้ว! ผมกดโทรออกไม่นานปลายทางก็รับสาย ซันเซ็ตทักด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้นตามแบบฉบับของหนุ่มแอ็กทีฟ
[ โหล~! สิบขีด! มีอะไรวะ? หรือว่ามึงจะโทรมาชวนไปเที่ยวไนต์คลับ? ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ! ]
“อืม ไปเที่ยวไนต์คลับไหม?”
[ … ]
“เฮ้ย ซัน เป็นอะไรวะ?”
เมื่อกี้เหมือนผมได้ยินเสียงของอะไรบางอย่างล้มตึงเสียงดังและเสียงของซันเซ็ตที่ร้องโอดโอยตามหลังเสียงนั้นมาติดๆ อะไรของมัน? จู่ๆ ก็ล้มงั้นเหรอ? เสียงกึกกักๆ ดังลอดออกมาตามด้วยเสียงของซันเซ็ตที่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอันดังก้องหู
[ มึงว่าอะไรนะ!? ]
“หา อ้อ ไปไนต์คลับกันไหม? หรือว่ามึงไม่ว่าง?”
[ มึงเป็นใครรร!? เอามือถือไอ้เนรัญมาได้ยังไง!? ]
ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยกับเสียงตวาดของเพื่อน อะไรของมันวะ?
“กูก็เนรัญไง”
[ ไม่ใช่แน่ๆ มึงต้องเป็นไอ้รัญตัวปลอม ไอ้เนรัญเพื่อนกูไม่มีทางโทรมาชวนไปเที่ยวกลางคืนแบบนี้หรอก! อย่างมันต้องโทรมาชวนไปฟังเทศน์ที่วัดหรือไม่ก็ไปทอดผ้าป่านู้น! ]
“...กูเนรัญตัวจริง”
ถึงที่พูดมานั้นจะเป็นเรื่องจริงก็เถอะ แต่ไม่ใช่ผมสักหน่อยที่ชวนไปแต่เป็นพี่ฟีฟ่าต่างหากล่ะ ผมแค่มีหน้าที่มาชวนเท่านั้นเองนะ
[ ไอ้ขี้ฮก! มึงไม่ใช่เนรัญญญ~! ]
ผมถอนหายใจอย่างอับจนหนทาง จากนั้นก็พยายามพูดทำความเข้าใจกับเพื่อนที่เริ่มสติแตกไปแบบกู่ไม่กลับ ผมก็พอจะเข้าใจอยู่ความรู้สึกของซันเซ็ต ไอ้การที่ผมโทรชวนไปเที่ยวแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้พอๆ กับที่จะให้ไอ้ซันเซ็ตเลิกนิสัยกะล่อนของมันนั้นแหละ ถ้าเกิดวันหนึ่งจู่ๆ ซันเซ็ตก็ทำตัวจริงจังมีสาระผมคงจะมีปฏิกิริยาแบบเดียวกับมันตอนนี้แน่ๆ
[ สรุปว่าพี่สาวมึงมัดมือชกให้ไปเที่ยวเป็นเพื่อน? ]
“อืม”ผมยอมรับแบบไม่สู้ดีนัก ไอ้ซันเซ็ตก็เงียบไปสักพักมันก็ถามขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็น
[ พี่สาวของมึงสวยเปล่าวะ? ]
“อืม สวย”
[ งั้นโอเคเลย! กูถึงบ้านมึงภายในหนึ่งนาทีนี่แหละ! ]
ไอ้ซันเซ็ตตอบตกลงอย่างรวดเร็วแล้วชิงตัดสายไปไม่รอดให้ผมพูดเออออกับมึงแม้แต่คำเดียว ไอ้นี่นิพอพูดถึงเรื่องนี้ก็มาเร็วเชียวนะ ผมส่ายหน้าเอือมระอากับนิสัยเจ้าชู้ไก่แจ้ของเพื่อนคนนี้แล้วกดค้นหารายชื่อคนต่อไป และตามเคยครับผมต้องเสียเวลาอธิบายอยู่นานโขกว่าพวกนั้นจะหายตื่นตระหนกตกใจ
[ กูนึกว่าโลกกำลังจะแตกซะแล้ว! หลวงพี่เลยเปลี่ยนมาเข้าโลกโลกีย์แทน! ]
โอเล่หัวเราะขบขัน สักพักก็พยายามเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้นหัวเราะ ผมถอนหายใจรู้สึกเหนื่อยกับการที่ต้องอธิบายให้เพื่อนที่เคารพรักแต่ละคนเข้าใจ โอเล่ตอบตกลงแล้ววางสายไปผมก็โทรไปหาคนสุดท้ายของกลุ่ม นั้นก็คือมอตโตนั้นเอง เสียงรอสายดังเป็นเวลานานสุดท้ายมอตโตก็รับสายด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวหนองน้ำที่ไร้คลื่น
[ โทษที วันนี้คงไม่ได้ เพราะพี่ชายของฉันพาพวกเรามาทานข้าวที่ภัตตาคารน่ะ ]
“งั้นเหรอ? ไม่เป็นไร! แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ ทานให้อร่อยล่ะ”
[ อืม ไว้คราวหน้านะ ]
ผมวางสายจากมอตโตไป ตอนนี้รู้สึกราวกับได้ปฏิบัติภารกิจสุดหินสำเร็จอย่างไรอย่างนั้น ผมยังซึมซับเอาความรู้สึกยินดีไม่ได้มากก็มีเสียงเรียกดังแปดหลอดขัดบรรยากาศฉลองชัยเงียบๆ ของผม
“รัญโว้ยยย! พี่สาว...เอ๊ย รัญมึงอยู่ไหนนน~!?”
ครับ ไอ้คนที่สนองหน้ามาคนแรกก็คือไอ้ซันเซ็ตที่อยู่หอใกล้ๆ นี่เอง และเมื่อกี้มันก็แย้มสันดานเบื้องลึกออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะเปลี่ยนตลบประโยคอย่างรวดเร็วเพื่อรักษาภาพพจน์ที่เจ้าตัวมันคิดว่ายังมีอยู่ ผมลุกขึ้นเดินเข้าบ้านเพื่อไปเปิดประตูรับเพื่อน
แต่ผมก็ชะงักเมื่อเห็นพี่ฟีฟ่าเดินออกมาจากห้องด้วยรูปลักษณ์ที่แต่งองค์ทรงเครื่องพร้อมพรรค พี่ฟีฟ่าส่งสัญญาณบอกผมว่าตัวเองจะไปเปิดประตูให้ ผมพยักหน้าแล้วเดินตามหลังพี่สาวไปเงียบๆ รอดูปฏิกิริยาของไอ้เพื่อนตัวดีว่าจะเป็นอย่างไร
ก็ขนาดผมยังแอบชื่นชมเล็กๆ พี่ฟีฟ่าที่แต่งจัดเต็มสวยอย่างกับนางแบบบนปกนิตยสารแน่ะ ชุดเดรสสั้นรัดรูปสีดำที่เน้นส่วนเว้าส่วนโค้งของเพศหญิงออกมาได้น่ามอง สีดำเข้มของชุดขับให้สีผิวยิ่งขาวเนียน ช่วงคอเว้าลึกที่แอบหวาดเสียวเล็กน้อยเมื่อก้มตัวลง ด้านหลังโชว์แผ่นหลังเปลือยเปล่า ผมลอนใหญ่คลอเคลียใบหน้าที่แต้มสีสันสวยงาม พูดได้เต็มปากว่าพี่ฟีฟ่าช่างเป็นผู้หญิงที่สวยชวนให้หลงใหลคลั่งไคล้จริงๆ!
“จะไปกันเลยหรือยังวะระ...รัญ?”
เมื่อประตูบ้านเปิดออกซันเซ็ตก็รีบพูดทักแต่พอเห็นคนเปิดประตูให้ก็ถึงกับหยุดชะงักตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ ผมแอบหัวเราะกับท่าตกตะลึงของเจ้าเพื่อนจอมกะล่อน พี่ฟีฟ่าแย้มยิ้มทรงเสน่ห์
“เข้ามาก่อนสิจ้ะ”
“...คร้าบ~”ไอ้ซันเซ็ตตาลอยเอ่ยรับอย่างว่าง่าย
La Mano Arriba Cintura Sola
ยกมือขึ้น ส่ายสะโพกหน่อย
Da Media Vuelta Danza Kuduro
ส่ายไปรอบๆ เต้นให้กับ Kuduro
No Te Canses Ahora Que Esto Sólo Empieza
อย่าเพิ่งถอดใจ มันเพิ่งจะเริ่ม
Mueve La Cabeza Danza Kuduro
ส่ายหัว เต้นให้กับ Kuduro
(Don Omar - Danza Kuduro ft. Lucenzo)
http://www.youtube.com/watch?v=ReNKBjMPOlM“...”
เพลงอะไรวะ? ฟังไม่รู้เรื่องสักกะติ๊ด!
ผมนั่งงงๆ อยู่บนเก้าอี้มองเหล่าเพื่อนๆ ที่ไปแด๊นซ์ออนเดอะฟลอร์อย่างสนุกเมามันสุดเหวี่ยง พี่ฟีฟ่าที่คว้าสองหนุ่มหล่อ ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ ก็ซันเซ็ตกับซีเนียร์นั้นแหละ ตอนเข้ามาในร้านพวกสาวๆ มองพี่ฟีฟ่าอย่างอิจฉาที่ควงหนุ่มหล่อมามากมาย ขวาซันเซ็ต ซ้ายซีเนียร์แถมจูงมือผมมาตามหลังอีก พวกผู้ชายก็มองพี่ฟีฟ่าด้วยสายตาเสียดายและอิจฉาพวกผมที่ควงสาวสวยสุดเซ็กซี่เข้ามา
พี่ฟีฟ่าพาพวกผมเข้าไนต์คลับที่หรูหรา ดูจากการแต่งตัวของคนในร้านก็รู้เลยว่าร้านนี้อยู่ในระดับสูงพอสมควร แถมเมนูแต่ละอย่างแพงหูฉีก! ผมเลยสั่งเครื่องดื่มที่ราคาถูกที่สุดนั้นก็คือน้ำส้มคั้น (หนีไม่พ้นจริงๆ!) ภายในไนต์คลับที่มืดสลัวที่มีแสงสีส่องหมุนไปมาแทบจะทำให้ผมเวียนหัวตาลาย
พวกพี่ฟีฟ่านั่งจิบน้ำมึนเมาอารมณ์มึนๆ สักหน่อยก็ชวนกันไปเต้นกลางฟลอร์ที่มีดนตรีโคตรน่าเต้นเปิดอยู่ตลอดเวลา เสียงร้องคลอตามเพลงอย่างมัน ขนาดผมที่ปฏิเสธไม่ไปร่วมวงแด๊นซ์ยังอดโยกตัวตามดนตรีไม่ได้เลยครับ เสียอย่างเดียวที่มันเสียงดังเกินไปนี่แหละ!
“เฮ้อ เต้นแล้วคอแห้ง”โอเล่เดินโซเซมานั่งที่แล้วยกเครื่องดื่มขึ้นมาจิบดับกระหายจากการเสียเหงื่อไปมาก
จากนั้นโอเล่ก็ชวนผมคุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างเพราะเสียงเพลงดังจนแทบไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไร ก็ได้แต่เออๆ ออๆ ตามน้ำไป ไม่นานโอเล่ก็เหล่สายตาไปมองกลางฟลอร์แด๊นซ์แล้วทำหน้าบึ้งลุกพรวดจ้ำเข้าไปในวงแด๊นซ์ ผมมองตามไปอย่างงงๆ เกิดอะไรขึ้น? พอโอเล่เข้าไปกันท่าเหล่าสาวๆ ที่เต้นรอบๆ ตัวของพี่ดราฟต์ จะถามว่าพี่ดราฟต์มาได้ยังไงน่ะเหรอ? พี่เขามาพร้อมกับโอเล่น่ะครับ สองคนนี้สนิทกันจริงๆ สินะ
ผมนั่งเฝ้าโต๊ะอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินของสถานที่แห่งนี้ นั่งปลงกับตัวเองได้ไม่นานผมก็รู้สึกปวดเบาขึ้นมา จะไม่ให้ปวดได้ยังไงล่ะครับตั้งแต่เข้ามาที่นี้ผมก็เอาแต่จิบน้ำอยู่ตลอดนี่น่า ผมลุกขึ้นไปถามทางห้องน้ำกับพี่ฟีฟ่าที่กำลังอินกับเพลง คำตอบคือการชี้นิ้วไปมั่วๆ อย่างไม่ใส่ใจมากนักผมก็ต้องทอดถอนหายใจแล้วเดินหาห้องน้ำด้วยตัวเอง พอมาถึงที่นี้ก็ถูกทิ้งขวางไม่สนใจไยดีกันเล๊ย
ระหว่างทางที่เดินหาห้องน้ำผมรู้สึกกระดากอายเป็นบ้า ยิ่งเข้าเส้นทางมือสลัวก็ยิ่งเจอเป็นคู่ๆ นัวเนียกันไม่ห่าง ให้ตายเถอะ ไอ้เรื่องแบบนี้เขามาทำกันโจ่งแจ้งขนาดนี้ไม่อายหรือไงนะ? ไอ้แค่ลูบๆ คลำๆ จูบกันผมจะไม่อะไรมากมายหรอกนะครับแต่ไอ้เกินขอบเขตจากนั้นนี่สิเป็นปัญหา! ผมพยายามจะไม่มองให้เสี่ยงต่อการเป็นตากุ้งยิงแล้วรีบจ้ำเข้าห้องน้ำที่เห็นอยู่ลิบๆ
ผมเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วปลดเบาแล้วโล่งท้องไปเลย จะว่าไปแล้วผมยังไม่ได้ทานมื้อเย็นเลยนี่น่า เฮ้อ ที่นี้ก็มีแต่กับแกล้ม ไม่มีของให้กินอิ่มท้องเลยสักอย่าง ผมล้างไม้ล้างมือแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วถูกสาวสวยที่ยืนหน้าห้องน้ำเอ่ยทัก
“สุดหล่อ~ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ?”
“เอ่อ...ไม่ครับ ไม่มี”
ผมโบกมือปฏิเสธสาวสวยสุดเซ็กซี่ในชุดนุ่งห่มน้อยชิ้นที่ปิดแต่ส่วนที่ไม่ควรเปิดเผยไว้อย่างหวาดเสียวจนผมไม่รู้จะเอาตาไปวางไว้ตรงส่วนไหน ผมกระแอมแล้วเซสายตาไปมองด้านอื่นแล้วขอตัวไปอย่างสุภาพ
“คิก น่ารักจัง หรือว่าเพิ่งจะมาที่แบบนี้ครั้งแรก?”
“เอ๋ รู้ได้ยังไงครับ?”
ผมเผลอไปตอบรับอีกฝ่ายด้วยการถาม อ๊า! ไอ้รัญบ้าเอ๊ย!! พอเห็นรอยยิ้มที่ลงลึกอย่างเจ้าเล่ห์และดวงตาที่หวานเหยิ้มพยายามจะหว่านมนต์เสน่ห์ ผมก็ยิ่งเสียใจเข้าไปใหญ่
“แหม ดูออกง่ายจะตาย แต่แบบนี้แหละที่ตรงกับสเปก”
เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงยั่วยวนแล้วเขยิบพาตัวเข้ามาคลอเคลียผม มือจับคอเสื้อของผมแล้วลูบไล้เบาๆ ลิ้นสีแดงเลียไล้ริมฝีปากที่ทาลิปสติกสีสด ผมยิ้มรับแห้งๆ แล้วถอยตัวเดินจ้ำหนีมา เดินหนีมาได้ไม่เท่าไรก็ถูกฉุดแขนเอาไว้
“มาคนเดียวเหรอครับ?”
เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายถามด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ขนลุกซู่ ผมยืนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก ผู้ชายตัวโตตรงหน้าเขยิบเข้ามาใกล้มากพร้อมกับกระซิบเสียงพร่า เอาแล้วไง งานเข้ากูจนได้! แค่มาปลดเบาเฉยๆ ทำไมกลายเป็นว่าผมถูกเชิญชวนล่ะเนี่ย!?
“มาสนุกด้วยกันนะครับคนสวย?”
คนสวยบ้าอะไรเล่า!?
ผมพยายามเดินเลี่ยงแต่อีกฝ่ายก็เดินตามไม่ยอมปล่อยผมไปง่ายๆ ผมถอยหลังจนไปชนกำแพงหมดหนทางหนีจนได้!
ใครก็ได้ช่วยผมด้วย!!!“จะหนีทำไมเล่า หรือว่าไม่เคย?”
ผมไม่ตอบอะไรออกไปพยายามคิดหาทางออกอย่างสุภาพมากที่สุด เมื่อผมเงียบเขาก็ยิ่งได้ใจ ชะอุ้ย! ประทานโทษครับ! มือคุณไปจับอะไรอยู่มิทราบ!!? ผมเหงื่อไหลพรากทั้งๆ ที่อากาศไม่ได้ร้อนสักนิด ชายหนุ่มตรงหน้าเอื้อมมือมาจับไหล่ของผมแต่ผมจับแขนเขาไว้ขัดขืนเต็มความสามารถแต่ก็พยายามไม่ทำรุนแรง
แม่เจ้า! ผมจะโดนทำมิดีมิร้ายแล้วคร้าบ!
ไม่น่ามาที่นี้จริงๆ นั้นแหละ!!!
“โอ๊ย!!!”
“อื้ม!!!”
ทุกอย่างเกิดอย่างรวดเร็วจนผมงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น! จู่ๆ เจ้าคนที่กำลังข่มเหงผมก็ร้องเสียงหลงกระเด็นวูบไปชนกำแพงเสียงดัง จากนั้นเงามืดๆ ก็เข้ามาประชิดรวบตัวผมเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนที่แน่นรัด ก้มลงมาขโมยจูบแบบไม่ทันตั้งตัว ผมขัดขืนพยายามดิ้นรนออกจากอ้อมกอดหนาแน่น จูบที่ดุดันและรุนแรงแทบจะทำให้หมดเรี่ยวแรงทั้งยืน
“เฮ้ย! แม่งเอ๊ย!! มึงทำเหี้ยอะไรวะ!!?”
“ไสหัวไปไกลๆ”
ร่างสูงตรงหน้าผละริมฝีปากออกไปแล้วหันไปพูดเสียงเย็นเฉียบน่ากลัวเสียจนผู้ชายคนนั้นสะดุ้งตัวหน้าซีดแล้วกุลีกุจอหนีไป หัวใจของผมเต้นรัวแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมองหน้าของคนที่สูงกว่า บังเอิญเกินไปแล้ว! ผมเบิกตากว้างมองเสี้ยวใบหน้าหล่อเหลาที่เย็นชาเหมือนเคยอย่างสับสนไม่เข้าใจ
“พี่เฮดีส”
“...” เขาหันกลับมาแล้วก้มหน้าลงมองผมไม่พูดอะไร
ไปปีนภูลังกาที่บึงกาฬมา คิดว่าจะไม่มีชีวิตรอดกลับมาซะแล้ว 
เป็นอะไรที่ทรหดมากกกกก! หลังจากลงมาจากภูขาเดี้ยงเลยทีเดียว
บ่นพอประมาณแหละ กลับมาสู่นิยายก่อนเถิด ตอนนี้ก็... อืม!
เฮดีสกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งและสร้างความงุนงงกับเนเน่และคุณผู้อ่าน(?)
ตอนต่อไปความลับเล็กๆ(?)ของเฮียเฮและพี่ยูที่ได้ออกจากโรงบาลสักที 555