2
น้ำตา
วิพารันต์...หากดูทั่วไปแล้วก็เป็นเหมือนเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง เขาสามารถทำทุกอย่างได้อย่างคนปกติทั่วไป ทว่าจะยกเว้นก็แต่อาการผิดปกติของกล่องเสียงที่มีมาตั้งแต่กำเนิดเท่านั้นที่ทำให้เขาไม่สามารถเปล่งเสียงพูดออกมาจากลำคอได้เหมือนคนอื่น และด้วยความผิดปกตินี้เองจึงทำให้ตลอดชีวิตสิบเก้าของเขาต้องทนถูกคนรอบข้างกดขี่ข่มเหงอย่างหนักไม่เว้นแม้กระทั่งแม่แท้ๆของตัวเอง
ในด้านของการศึกษา วิพารันต์ได้รับอนุญาตจากแม่ให้ไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนเหมือนกับคนอื่นๆได้เพียงแค่จบมัธยมศึกษาปีที่สามเท่านั้น และถึงแม้เขาจะพยายามขอแม่เรียนต่อยังไงคำตอบที่ได้รับกลับมาก็คือ
‘แกมันไร้ค่าเกินกว่าที่ฉันจะต้องเสียเงินเสียทองส่งเสียเลี้ยงดู’ หรือ
‘ส่งแกเรียนไปก็เสียเงินเปล่า เป็นใบ้อย่างแกใครเขาจะให้งานดีๆทำ’ถ้อยคำเหล่านั้นจากผู้เป็นแม่ทำให้เขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในชะตาชีวิตของตัวเองอยู่ไม่น้อย จนบางครั้งถึงกับต้องไปแอบนั่งร้องไห้คนเดียว บางที...แม่คงไม่เข้าใจว่าไม่มีใครเลือกเกิดได้ เพราะถ้าเลือกได้ เขาก็คงไม่เลือกที่จะเกิดมาในสภาพแบบนี้...
.........................
......................................
ขนาดคอนโดที่นิธิศอาศัยอยู่ตอนนี้มีสองห้องนอนสองห้องน้ำ เขาตัดสินใจให้วิพารันต์นอนที่ห้องนอนอีกห้องหนึ่งที่ว่างอยู่ซึ่งเล็กกว่าห้องของเขาและไม่มีห้องน้ำในตัว
สภาพเนื้อตัวของเด็กหนุ่มในตอนนี้ดูสกปรกมอมแมมเกินกว่าที่นิธิศจะรับได้ ตามเนื้อตัวมีรอยเขียวช้ำโผล่ออกมาให้เห็นนอกร่มผ้าเป็นบางส่วน อีกทั้งผมเผ้าก็รุงรังเหมือนไม่ได้หวีมาเป็นอาทิตย์ ซึ่งหากเป็นใครก็คงจะทนไม่ได้แน่ๆถ้าตัวเองต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ แต่วิพารันต์ก็ยังคงเลือกที่จะนั่งนิ่งๆอยู่ที่โซฟารับแขกแบบนั้นไม่ยอมขยับไปไหนจนทำให้นิธิศนึกอยากจะจับร่างบางๆนี่เข้าห้องน้ำไปอาบน้ำสระผมเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“ฉันไม่รู้ว่านายทนอยู่ในสภาพแบบนี้ได้ยังไง แต่ฉันไม่ชอบอะไรที่มันไม่สะอาด เพราะฉะนั้นรีบไปอาบน้ำซะ”
วิพารันต์หันมามองหน้าเขาเล็กน้อยก่อนที่จะรีบลุกขึ้นยืนทันทีที่ได้ยินคำสั่ง เพราะเคยชิน เคยชินกับการทำตามที่คนอื่นสั่งมาตลอด ใครให้ทำอะไรก็ต้องทำ ถึงแม้ว่าบางทีทำออกมาแล้วจะไม่ได้เรื่องก็ตาม ที่ตอนนี้นั่งนิ่งๆ ที่ไม่ไปไหน ก็เพราะไม่มีใครสั่ง เลยไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร กลัวทำแล้วผิด ผิดแล้วก็จะโดนว่า โดนตี โดนมองว่าเป็นคนไม่มีค่าอีก
ร่างบางเดินเข้าไปในห้องเพื่อรื้อกระเป๋าเป้ใบเล็กของตัวเองซึ่งมีเสื้อผ้าอยู่ไม่กี่ชุดก่อนจะเดินออกมาเข้าห้องน้ำด้านนอกพร้อมกับเสื้อผ้าที่จะต้องใช้เปลี่ยน
“...ของใช้ที่จำเป็นฉันเตรียมไว้ให้ในห้องน้ำแล้ว อย่าลืมสระผมด้วยล่ะ”
วิพารันต์พยักหน้ารับรู้ ก่อนเดินจะหายเข้าไปในห้องน้ำ นิธิศมองตามหลังอีกฝ่ายไปแล้วพลูถอนหายใจยาวเป็นรอบที่ร้อยของวัน ทำไมผู้ชายโสดหน้าตาดีอายุยี่สิบเจ็ดปี ที่มีหน้าที่การงานมั่นคงอย่างเขาต้องมานั่งทำอะไรเหมือนพี่เลี้ยงเด็กแบบนี้กันด้วยนะ ให้ตายสิ
ร่างบางใช้เวลาในการจัดการอาบน้ำสระผมให้ตัวเองไม่นานก็ออกมาจากห้องน้ำในชุดเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงขาสามส่วนที่ใส่ซ้ำไปซ้ำมาจนเริ่มเปื่อย นิธิศที่กำลังนั่งรื้อของกล่องยาอยู่เหลือบตาขึ้นมามองเจ้าตัวนิดหน่อยก่อนจะก้มหน้าลงไปหายาที่ต้องการต่อ
....อย่างน้อยสภาพหลังอาบน้ำก็ดูเป็นผู้เป็นคนมากกว่าก่อนเข้าไปล่ะนะ
“รีบเช็ดผมให้แห้งแล้วมาเอายาไปทาซะ ที่เขียวๆช้ำๆบนตัวนั่นจะได้หาย ทาเสร็จแล้วจะได้ไปนอนได้ วันนี้ดึกมากแล้วและฉันก็เหนื่อยมาก เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เราค่อยคุยมากันใหม่ว่าจะเอายังไงกับชีวิตนายต่อไป”
นิธิศส่งยาทาแก้ฟกช้ำให้วิพารันต์รับไว้ ทว่าในขณะที่กำลังจะหันหลังเดินกลับเข้าห้องตัวเองนั้นก็ต้องชะงักเท้าลงเพราะถูกใครอีกคนดึงชายเสื้อเอาไว้ ซึ่งพอเขาหันกลับไปก็เห็นวิพารันต์ยืนถือปากกาเอาไว้ในมือพลางสายตาก็ดูเหมือนว่ากำลังจะมองหาอะไรบางอย่างที่เขาคิดว่าน่าจะเป็น...กระดาษ
“ถ้าไม่ยาวมาก จะเขียนใส่มือฉันก็ได้...”
ร่างสูงตัดสินใจยื่นมือของตัวเองให้คนตรงหน้าเมื่อพอจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่อสารกับเขา วิพารันต์ทำท่าลังเลเล็กน้อยในตอนแรกแต่สุดท้ายแล้วเจ้าตัวก็ยอมจรดปลายปากกาลงฝ่ามือใหญ่ของนิธิศ
‘ขอบคุณนะ’
……................
……………....................
หลังจากตื่นนอนในเช้าของวันรุ่งขึ้น นิธิศก็นึกอยากให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นเพียงแค่ฝันไป แต่นั่นก็คงจะเป็นไปไม่ได้เพราะรอยปากกาบนฝ่ามือของเขาที่ถูกเขียนโดยวิพารันต์เมื่อคืนนี้มันยังปรากฏอยู่ตอกย้ำถึงความจริงเรื่องนี้ทั้งๆที่เขายังไม่ได้ลุกขึ้นจากเตียงด้วยซ้ำ
วันนี้ยังไงก็คงต้องคุยกันให้รู้เรื่องว่าสรุปแล้วจะเอายังไงกันดีล่ะนะ
“ทำอะไรน่ะ...”
ร่างของวิพารันต์ที่ก้มๆเงยๆอยู่ในห้องครัวสะดุ้งเล็กน้อยเมื่ออยู่ดีๆเจ้าของห้องก็เดินมาอยู่ข้างหลังชนิดที่ไม่ให้ซุ่มให้เสียง เจ้าตัวลุกลี้ลุกลนรีบมองหาปากกากับกระดาษที่ตอนเดินออกมาจากห้องก็คิดว่าเอามาด้วยแล้ว แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าหายไปไหน
“...อยู่นี่”
นิธิศยื่นอุปกรณ์สื่อสารให้ วิพารันต์จึงรีบคว้าไว้อย่างรวดเร็วก่อนจะอาศัยกำแพงใกล้ๆนั้นเป็นที่รองเขียน
‘ขอโทษ...ที่ไม่ได้บอกก่อน อย่าโกรธนะ...แต่ตอนนี้ หิวมาก’
แผ่นกระดาษถูกส่งกลับคืนไปให้นิธิศอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มก้มอ่านข้อความในกระดาษแล้วเงยหน้าขึ้นมามองวิพารันต์ที่ตอนนี้ยืนก้มหน้านิ่งเหมือนนักเรียนที่รอครูทำโทษ
ยังไม่ได้ว่าอะไรเลยสักคำ ก็แค่ถามว่าทำอะไร ทำไมต้องทำท่ากลัวกันขนาดนั้นด้วย...
“มีโจ๊กซองอยู่ในตู้ด้านบน ถ้าจะกินก็เปิดหยิบเอา ส่วนน้ำร้อนก็ใช้กาไฟฟ้าต้มเอา ทำเองเป็นใช่ไหม?”
วิพารันต์เงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจนัก..ทำแบบนี้ก็ไม่โดนว่าอย่างนั้นหรอ ทำไม ทำไมล่ะ ปกติตอนที่อยู่กับแม่หรืออรอนงค์ ถ้าเขาลุกขึ้นมาทำอะไรโดยพลการแบบนี้อย่างน้อยๆก็คงต้องโดนดุไปแล้ว แต่นี่...
“...ยืนอึ้งอะไรอยู่ล่ะ หิวมากไม่ใช่รึไง อย่าบอกนะว่าทำไม่เป็น”
ร่างบางส่ายหน้ารัวๆก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูตู้ที่อยู่ส่วนบนของซิงค์ล้างจาน หยิบโจ๊กออกมาซองหนึ่งแล้วเดินไปรองน้ำใส่กาไฟฟ้า
ปกตินิธิศเป็นพวกไม่ทำกับข้าวกินเองอยู่แล้วดังนั้นภายในตู้เย็นของเขาจึงไม่มีของจำพวกของสดที่จะสามารถนำมาประกอบอาหารอะไรได้ ที่ซื้อเก็บไว้ก็จะมีแต่พวกของแห้งแบบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหรือไม่ก็โจ๊กซองเท่านั้น
‘กินด้วยกันไหม? จะทำให้’เครื่องมือสื่อสารของวิพารันต์ถูกยื่นส่งมาให้นิธิศอย่างกล้าๆกลัวๆอีกครั้ง...กลัว เพราะไม่ค่อยได้ถามคำถามแบบนี้กับใคร กลัว เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครเปิดโอกาสให้ถาม และกลัว เพราะก่อนหน้านี้ สิ่งที่เขารู้จักส่วนใหญ่มักจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘คำสั่ง’ เท่านั้น
“ขอบใจ แต่ไม่ต้องหรอก ฉันเป็นพวกไม่ค่อยกินข้าวเช้าน่ะ แต่ถ้าอยากทำ ขอกาแฟซักถ้วยได้ไหมล่ะ”
‘ขอบใจ’ คำที่หลายคนอาจจะได้ยินกันจนชิน แต่สำหรับวิพารันต์ นานเท่าไหร่แล้วนะ นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่มีใครพูดคำคำนี้กับเขา...หนึ่งปี...ห้าปี...สิบปี...หรือ...อาจจะมากกว่านั้น...
“เอ้า อยู่ดีๆร้องไห้ทำไมล่ะนั่น เป็นอะไร เจ็บตรงไหนรึเปล่า?”
หยาดน้ำที่ค่อยๆไหลออกมาจากตาโดยไม่รู้ตัว วิพารันต์ส่ายหน้าพรืดเป็นคำตอบให้นิธิศแต่กระนั้นน้ำตาก็ยังไหลไม่หยุดจนอีกฝ่ายต้องเดินเข้ามาสำรวจร่างกายอีกฝ่ายให้แน่ใจว่าไม่ได้มีอะไรผิดปกติ
“ไม่ได้เป็นอะไรแล้วร้องไห้ทำไม ตกใจหมด”
ใจดี...คนคนนี้จะใจดีกับเขาเกินไปแล้ว ไม่รู้จริงๆ ไม่รู้ว่าเวลาเจอเหตุการณ์แบบนี้ต้องทำตัวยังไง ก็เพิ่งจะเคยสัมผัส ก็เพิ่งจะเคยรู้ว่าเวลามีคนมาทำดีด้วยมันจะรู้สึกดีได้ขนาดนี้ พอรู้ตัวอีกทีน้ำตามันก็ไหลไม่หยุดเสียแล้ว
“มีอะไรจะบอกฉันไหม?”
นิธิศส่งกระดาษกับปากกาให้วิพารันต์ ซึ่งเจ้าตัวก็รับไว้ มือเล็กยกขึ้นปาดน้ำตาออกจากหางตาอย่างลวกๆก่อนจะลงมือเขียนข้อความที่ตัวเองอยากจะสื่อให้อีกฝ่ายได้รับรู้
‘ไม่รู้ว่าเวลาเจอคนใจดีด้วยต้องทำตัวยังไง...’ ตัวหนังสือที่ถูกส่งกลับมา ข้อความในกระดาษที่นิธิศได้อ่านมันทำให้เขารู้สึกสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่รู้ว่าที่ผ่านมาวิพารันต์ต้องเจอกับอะไรมาบ้าง แต่มันคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เพราะไม่อย่างนั้น ประโยคแบบนี้ คงจะไม่ถูกถ่ายทอดออกมาพร้อมกับน้ำตา...
“ก็นะ...แต่แน่นอนล่ะว่าต้องไม่ใช่ร้องไห้แบบนี้...”
มือใหญ่ของนิธิศยกขึ้นไปลูบศีรษะของร่างตรงหน้าเบาๆอย่างนึกเห็นใจ
ทำไมถึงได้ดูเปราะบางได้ขนาดนี้นะ...
เพียงแค่นั้น...การตัดสินใจที่ดูยากลำบากในตอนแรกก็ดูเหมือนจะเริ่มเห็นทางออก หนึ่งความคิดที่แล่นเข้ามาในหัวสมอง ความคิดที่ว่า...
บางที...การที่เขาคิดจะรับเด็กคนนี้เอาไว้ดูแลสักคนมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายอะไรนัก...
....................
......................................
ก่อนจะออกมาทำงานในเช้าวันนี้ นิธิศตัดสินใจบอกกับวิพารันต์ว่าเขาตกลงที่จะให้เจ้าตัวอาศัยอยู่ด้วยกันได้แลกกับการที่จะต้องช่วยเขาทำงานบ้านเล็กๆน้อยๆบ้าง ซึ่งเจ้าตัวเองพอได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับยืนร้องไห้โชว์เขาเป็นรอบที่สองของวัน เล่นเอานิธิศทำอะไรแทบไม่ถูก ถ้าภูมิคุ้มกันเรื่องคนทำดีใส่จะต่ำขนาดนี้ คงต้องฝึกกันอีกนานกว่าจะชินล่ะนะ
“กาแฟค่ะ”
เสียงของเลขาคนสวยที่ประจำอยู่ที่หน้าห้องดังขึ้นก่อนที่เธอจะเดินเข้ามาเสิร์ฟกาแฟให้คนเป็นเจ้านาย
“ขอบคุณครับ”
นิธิศเงยหน้าจากกองเอกสารขึ้นมาตอบสั้นๆก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไปโดยไม่สนใจเลขาสาวที่ยืนทำหน้างอแสดงถึงความไม่พอใจเล็กน้อยอยู่ข้างๆ เนื่องจากวันนี้เธออุตส่าห์ลงทุนแต่งตัวมาเสียเต็มที่หวังจะให้เป็นที่สะดุดตาของนิธิศบ้างแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่แม้แต่จะหันมาสนใจ
“มีอะไรรึเปล่าครับคุณพัดชา”
คนเป็นเจ้านายเอ่ยถามเมื่อเห็นเลขาของตนเองยังยืนอยู่กับที่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกับเขาอยู่แต่บางทีการทำเป็นไม่รู้แบบนี้น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดถ้าหากยังต้องการรักษาระยะห่างของความสัมพันธ์เจ้านายกับเลขาเอาไว้
“อะ...เอ่อ ไม่มีค่ะ งั้นพัดออกไปก่อนนะคะ”
พัดชาละล่ำละลักตอบเหมือนเพิ่งได้สติ ก่อนจะจำใจเดินออกไปจากห้อง ซึ่งหลังจากนั้นนิธิศก็นั่งทำงานไปอีกพักใหญ่ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้บอกเรื่องอาหารกลางวันให้วิพารันต์รู้เอาไว้
ถ้าหิวก็คงพอจะหาอะไรในห้องกินรองท้องได้เองล่ะมั้ง เพราะเมื่อเช้าก็บอกที่เก็บของแห้งไปแล้ว ก็ได้แต่หวังว่าเจ้าตัวคงจะไม่นั่งหิ้วท้องรอเขากลับไปจนถึงตอนเย็นนะ
ทว่าถึงจะคิดได้แบบนั้นแต่ตัวนิธิศเองก็อดที่จะห่วงไม่ได้อยู่ดี สงสัยเย็นนี้ก่อนกลับไปเขาจะต้องรีบไปหาซื้อโทรศัพท์มือถือไว้ให้วิพารันต์พกติดตัวไว้ใช้สักเครื่องแล้วล่ะ เพราะถึงจะคุยกันไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็คงจะยังส่งข้อความบอกกันได้บ้าง เขาจะได้ไม่ต้องมานั่งคิดเองเออเองอยู่แบบนี้คนเดียว
TBC.
Rewrite
มาลงให้อีกตอน พรุ่งนี้สอบ ว๊ากกกก ไม่ได้แตะหนังสือเลยซักตัว เหอๆ ว่าแล้วก็ ไปนอนดีกว่า ฟิ้วว
ป.ล.เป็นไงบ้างอะ เขียนแล้วแอบงงตัวเอง 555
ป.ล.2 มีคนถามว่ามาม่าไหม เอ...คิดว่าไม่นะ ไม่ชอบกินมาม่า แต่ชอบความอบอุ่น เอิ๊กก