3
เที่ยว
นับตั้งแต่วันแรกที่เจอกันจนถึงวันนี้วิพารันต์ก็มาอาศัยอยู่กับนิธิศเป็นเวลาเกือบจะสองอาทิตย์แล้ว โดยในช่วงวันธรรมดาที่นิธิศออกไปทำงาน วิพารันต์จะต้องทำงานบ้านอยู่ในห้องคนเดียว จะมีก็แต่ช่วงวันหยุดเท่านั้นที่นิธิศจะอยู่ในห้องเป็นเพื่อนด้วยได้ตลอดทั้งวัน
รู้สึกเหงา แต่นั่นก็เป็นความเหงาที่สามารถทนได้ ความเหงาที่ให้ความรู้สึกแตกต่างไม่เหมือนเมื่อก่อน เพราะอย่างน้อยเขาก็รู้...รู้ว่ามันจะสิ้นสุดลงเมื่อถึงเวลาใครอีกคนกลับมา
“กลับมาแล้ว...”
เสียงของนิธิศดังขึ้นที่หน้าประตูทำให้วิพารันต์รีบปิดโทรทัศน์แล้ววิ่งออกมารับที่หน้าประตูเหมือนทุกที
“เอ้าๆ เดินดีๆสิอย่าวิ่ง เดี๋ยวก็ล้มหรอก”
ร่างสูงเอ่ยปากดุก่อนจะเดินนำเข้าไปในห้องโดยมีคนตัวเล็กเดินตามเข้าไปติดๆ
“วันนี้รันไม่ได้ส่งข้อความไปบอกพี่ว่ากินข้าวกลางวันแล้ว...ไม่ได้กินใช่ไหม”
สรรพนามที่เปลี่ยนไปโดยที่แม้แต่คนเรียกเองก็ยังลืมไปแล้วว่าเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่
ช่องว่างของความสัมพันธ์ที่ถูกลดขนาดให้เข้ามาใกล้กันมากขึ้น หรือ อะไรก็ตามที่ทั้งสองคนก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ทว่าไม่ว่าเหตุผลนั้นจะเป็นเรื่องของอะไร แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปนี้ก็ทำให้ความรู้สึกและบรรยากาศการพูดคุยของทั้งสองคนดูเป็นกันเองมากขึ้นกว่าในช่วงแรกๆที่ใช้เรียกแทนกันว่า ‘ฉัน’ กับ ‘นาย’ นั่นล่ะนะ
‘รัน...ลืม...’เครื่องมือสื่อสารของวิพารันต์ที่เคยเป็นกระดาษกับปากกาถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นกระดานไวท์บอดขนาดเล็กกับปากกาเมจิกหลากสีที่นิธิศเป็นคนไปซื้อให้เองกับมือ ส่วนเหตุผลที่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์สื่อสารนั้น นิธิศได้ให้เหตุผลสั้นๆแต่เข้าใจง่ายๆไว้ว่า
‘กระดาษมันล้นห้อง’
“ลืม? ก็เห็นทำได้มาตั้งหลายวัน ทำไมวันนี้ถึงลืมได้ล่ะหือ”
นิธิศทำหน้าดุใส่ เพราะไม่อยากให้คนตรงหน้าลืมกินข้าวแบบนี้อีกบ่อยๆ
‘ก็วันนี้ล้างห้องน้ำเพลิน...เลย...ลืมกิน’
ร่างสูงมองข้อความบนกระดานไวท์บอร์ดแล้วก็ได้แต่พยายามกลั้นยิ้ม ล้างห้องน้ำเพลินจนลืมกินข้าวเนี่ยนะ เป็นคำตอบที่เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆให้มันได้อย่างนี้สิ
“แล้วถ้าปวดท้องขึ้นมาเหมือนวันนั้นอีกจะทำยังไง พาไปให้หมอฉีดยาเลยดีไหม”
พูดพลางเดินเอากระเป๋าไปวางที่โซฟา เพราะตั้งแต่คราวนั้น ตอนที่เขาไม่ได้ไม่ได้บอกเรื่องอาหารกลางวันกับวิพารันต์เอาไว้เจ้าตัวก็ไม่ยอมกินอะไรไปจนถึงตอนเย็นที่เขากลับมา
พอถามว่าทำไมไม่กินทั้งๆที่ก็รู้ที่เก็บของแห้งแล้ว อีกฝ่ายก็ก้มหน้าก้มตาเขียนตอบกลับมาทั้งน้ำตาคลอเบ้าว่าปวดท้องมากจนกินอะไรไม่ลง ลำบากถึงนิธิศต้องรีบพาไปหาหมอคลีนิคใกล้ๆ ซึ่งหลังจากที่ได้รับการตรวจอย่างละเอียดแล้วก็สรุปได้ว่าที่เจ้าตัวปวดท้องแบบนี้ก็เพราะเป็นโรคกระเพาะ หมอจึงจ่ายยามาให้ชุดหนึ่งพร้อมกับเตือนว่าถ้าหากไม่อยากปวดท้องแบบนี้อีกก็ต้องกินข้าวให้ตรงเวลาและครบทุกมื้อ
พอหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา นิธิศก็เลยต้องจัดแจงซื้อกับข้าวทิ้งเอาไว้ในตู้เย็นให้วิพารันต์อุ่นกินตอนกลางวัน และอุปกรณ์สำคัญอีกหนึ่งอย่างที่เขาตั้งใจซื้อมาให้เจ้าตัวก็คือโทรศัพท์มือถือ ซึ่งนิธิศต้องการให้อีกฝ่ายเอาไว้ใช้ส่งข้อความมาบอกเขาทุกวันว่ากินข้าวแล้วหรือติดต่อกันในกรณีที่คิดว่าจำเป็น
‘ไม่เอานะ ลืมวันเดียวไม่ปวดท้องหรอก วันอื่นไม่ลืมแล้ว’วิพารันต์รีบเขียนกระดานตอบนิธิศอย่างรวดเร็วเนื่องด้วยกลัวว่าหากตัวเองเกิดปวดท้องขึ้นมาจริงๆจะถูกจับไปให้หมอฉีดยา ไม่ใช่ว่าตอนเด็กๆไม่เคยฉีดยา แต่เพราะเคยน่ะสิ...ถึงได้กลัวมาจนถึงทุกวันนี้
“แล้วถ้าลืมอีกล่ะ...”
‘ไม่ลืมหรอก สัญญาก็ได้’นิ้วก้อยเล็กๆของวิพารันต์ถูกยื่นออกมาข้างหน้าโดยที่แขนอีกข้างหนึ่งก็ยังกอดกระดานไวท์บอร์ดเอาไว้แนบอก
...ดูเหมือนเด็กตัวเล็กๆที่ต้องการความอบอุ่นและการเอาใจใส่
นิธิศยิ้มให้กับภาพที่เห็นก่อนจะตัดสินใจยื่นนิ้วก้อยของตัวเองไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยของอีกฝ่าย
“เกี่ยวก้อยสัญญากันแล้วก็ต้องทำให้ได้ด้วยล่ะ...”
.......................
.......................................
วันเสาร์...วันหยุดงานของคนส่วนใหญ่ในประเทศไทย นิธิศตื่นสายกว่าวันธรรมดาที่จะต้องออกไปทำงานนิดหน่อย แต่ไม่ใช่สำหรับวิพารันต์ที่ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาเจ้าตัวค่อนข้างจะตื่นตรงเวลาเกือบทุกวัน
“ขอกาแฟให้พี่แก้วนึงสิ”
ร่างสูงเดินเข้ามานั่งเก้าอี้ในครัวพร้อมกับหันไปบอกคนตัวเล็กที่กำลังง่วนกับการปิ้งขนมปังที่เขาซื้อมาตุนเก็บไว้ในตู้เย็นเมื่อสองสามวันก่อน
‘ขนมปังด้วยไหม’สีเขียว...วันนี้วิพารันต์เลือกที่จะใช้ปากกาเมจิกสีเขียวเขียน จากตอนแรกที่เขาก็ไม่ได้นึกใส่ใจอะไรกับสีสันของตัวหนังสือที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่บ่อยๆของวิพารันต์ แต่หากพักนี้ที่ลองสังเกตดูดีๆแล้วก็พบว่า เจ้าตัวจะเลือกหยิบสีมาเขียนตามอารมณ์ของตัวเองโดยที่บางทีตัวเองก็อาจจะไม่รู้ตัว
สีโทนสว่างมักจะถูกใช้เมื่ออยู่ในอารมณ์ปกติหรือธรรมดา ส่วนสีโทนมืดๆนั้นจะถูกหยิบมาใช้เวลาโดนดุหรือไม่ก็เวลาซึมๆ
“อืม ซักแผ่นก็ดีนะ”
ตอบกลับไปก่อนที่สักพักกาแฟพร้อมกับขนมปังปิ้งร้อนๆจะถูกยกมาเสิร์ฟลงบนโต๊ะ
“เบื่อไหม อยู่แต่ในห้อง”
นิธิศเอ่ยถามพลางยกกาแฟขึ้นดื่ม เพราะตั้งแต่ที่วิพารันต์มาอยู่กับเขานั้นเจ้าตัวยังแทบจะไม่เคยได้ออกจากห้องไปไหนเลย
อยู่คนเดียว ทำงานบ้าน แล้วก็นั่งรอเขากลับมา จะมีก็แต่วันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่นิธิศอยู่ในห้องด้วย แต่ก็ทำได้เพียงแค่นั้นเพราะตัวเขาเองก็เหนื่อยจากการทำงานมาตลอดทั้งสัปดาห์จนไม่อยากจะออกไปไหนถ้าไม่จำเป็นในวันหยุด
ส่วนตัวคนถูกถามเองพอได้ยินแบบนั้นก็อยากจะพยักหน้าเป็นคำตอบกลับไปตามความจริง แต่ทว่าก็รู้สึกเกรงใจจนไม่กล้าตอบ ที่นิธิศยอมให้อยู่ด้วย ทำดีด้วย แค่นี้มันก็น่าจะมากเกินพอสำหรับคนอย่างเขาแล้ว...
“อยากออกไปข้างนอกไหม วันนี้ว่าง จะพาไป”
นิธิศเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมตอบคำถามแรก แต่ก็พอจะมองออกอยู่หรอกว่าเจ้าตัวอยากไปทว่าไม่กล้าบอก...
“ถ้ารันไม่ตอบ พี่เปลี่ยนใจไม่พาไปแล้วนะ...”
เจอคำพูดเร่งรัดแบบนี้เข้าไปวิพารันต์ก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก ทำไงดี อยากไป อยากไปแต่ไม่กล้าบอก...แต่ถ้าไม่บอกก็จะอดไป แล้วจะทำยังไงดี...
‘ไปๆ ไปด้วย’นิธิศมองตัวหนังสือที่ถูกเขียนตอบกลับมาอย่างรีบๆ แล้วก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆอย่างนึกเอ็นดู
“ไปก็รีบไปแต่งตัวสิ เร็วเข้า เดี๋ยวสายแล้วได้เที่ยวน้อยไม่รู้ด้วยนะ”
หันไปบอกวิพารันต์ยิ้มๆก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องของตัวเอง แต่ก็ยังมิวายแอบชะโงกหน้าออกมามองปฏิกิริยาของคนที่ยังยืนอยู่ข้างนอกอีกสักหน่อย
...ร้องไห้อีกแล้ว ยังไม่ชินอีกเหรอเนี่ย
....................
.................................
ถึงจะบอกว่าแต่งตัวแล้วก็เถอะ แต่เสื้อผ้าของวิพารันต์ที่ใส่อยู่ในตอนนี้มันก็เหมือนกับที่ใส่อยู่ทุกวัน เสื้อสีซีดบางๆ บางจนเกือบจะเปื่อยกับกางเกงขาสั้นที่มองแทบไม่ออกแล้วว่าเคยเป็นสีอะไรมาก่อน
...เห็นทีออกมาคราวนี้ คงต้องซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้หลายตัวหน่อย
“อยากไปที่ไหนเป็นพิเศษรึเปล่า”
นิธิศหันไปถามร่างบางที่นั่งอยู่เบาะข้างๆขณะจอดติดไฟแดงอยู่ อุปกรณ์สื่อสารสำหรับนอกสถานที่แบบนี้เปลี่ยนมาเป็นสมุดโน๊ตเล็กๆกับปากกาเฉพาะกิจแทน เพราะถ้าขืนให้วิพารันต์ถือไวท์บอร์ดเดินไปไหนมาไหนคงได้มีแต่คนมองเป็นแน่
‘ไม่มีหรอก ไปไหนก็ได้’เมื่อได้คำตอบมาแบบนั้น ตลาดนัดจตุจักรจึงเป็นที่ที่นิธิศเลือกจะพาวิพารันต์มา เนื่องจากอีกฝ่ายอยู่แต่ในห้องทั้งวันเขาเลยคิดว่าพามาเดินออกแดดออกกำลังกายเสียหน่อยก็ท่าจะเป็นความคิดที่ดี
สองเท้าสาวเดินเคียงข้างร่างสูงใหญ่ของใครอีกคนไปเรื่อยๆ ถึงวิพารันต์จะเคยมาที่นี่แล้วบ้างก่อนหน้านี้ แต่วันนี้เขากลับรู้สึกตื่นเต้นกว่าที่เคย...
ที่ที่เดิม บรรยากาศเดิมๆ ทว่าความรู้สึก...ไม่เหมือนเดิม
ไม่เหมือนเพราะไม่ได้มาในฐานะคนถือของ ไม่เหมือนเพราะไม่ต้องเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินตามหลังใคร และที่สำคัญ ไม่เหมือน เพราะคนที่พามา...เป็นนิธิศ
“ไปเดินซะห่างกันขนาดนั้นเดี๋ยวก็หลงกันพอดี ไม่กลัวหรือไงหือ”
นิธิศหันมาดุวิพารันต์เล็กน้อย เนื่องจากยิ่งเดินไป เจ้าตัวก็ดูเหมือนจะยิ่งเดินห่างจากเขาไปเรื่อยๆ จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าอีกฝ่ายหลงกับเขาขึ้นมาการตามหาคงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก
‘ขอโทษ’วิพารันต์ทำหน้าหงอย แต่ที่ทำแบบนี้...ก็เพราะแค่ไม่อยากให้คนอื่นมองนิธิศไม่ดีที่มาเดินกับคนอย่างเขา
“ขอโทษแล้วก็ขยับเข้ามาใกล้ๆนี่ จับเสื้อไว้ด้วย ถ้าหลงขึ้นมาพี่ให้หาทางกลับเองเลยนะ”
คำขู่ของนิธิศทำเอาวิพารันต์นึกกลัวขึ้นมาหน่อยๆ เจ้าตัวจึงต้องตัดสินใจเอื้อมมือไปจับชายเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้หลวมๆ พอไม่ให้คลาดกันได้หากต้องเข้าไปเดินท่ามกลางฝูงคนมากๆ
หลังจากจากสามชั่วโมงที่นิธิศพาวิพารันต์เดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้เป็นว่าเล่น ร่างบางก็ได้เสื้อผ้าชุดใหม่มาประมาณห้าชุด ซึ่งนิธิศเป็นคนเลือกให้ทั้งหมดเพราะหากจะรอให้เจ้าตัวเลือกเองแล้ววันนี้ทั้งวันก็คงจะไม่ได้สักชุดเพราะไม่ว่าจะไปร้านไหนเจ้าตัวเอาแต่ส่ายหน้ายืนยันที่จะไม่เอาท่าเดียว
ก็แค่อยากออกมาข้างนอกบ้าง...ไม่ได้อยากได้ของ...ไม่ได้อยากให้ซื้ออะไรให้...ไม่อยากทำตัวเป็นภาระ...
“เดี๋ยวพักกันหน่อยละกัน ปะ ไป กินไอติมกัน”
อากาศที่ร้อนอบอ้าวในวันนี้ทำให้ใครหลายคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหนียวตัว นิธิศหันไปเอ่ยบอกวิพารันต์ที่ตอนนี้พวงแก้มขาวๆเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อเรียบร้อยแล้วจากความร้อน ก่อนจะเอื้อมมือไปจับแขนเล็กๆของเจ้าตัวให้เดินตามตัวเองมาที่ร้านขายไอครีมใกล้ๆแถวนั้น
ไอครีมโคนเย็นๆสีขาวนวลถูกส่งให้วิพารันต์รับไว้ก่อนที่นิธิศจะรับเอาไว้อีกอัน
ร่างบางจ้องสิ่งที่อยู่ในมืออยู่พักหนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงไปใช้ลิ้นเลียเบาๆ น้ำตามันพาลจะไหลเอาเสียง่ายๆ แต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้
ความสุข...ความรู้สึกแบบนี้มันใช่สิ่งที่เรียกว่าความความสุขหรือเปล่านะ กลัว กลัวว่าจะได้รับมากเกินไปเพราะหากสิ่งนี้เรียกว่าความสุขแล้ว...บางทีตอนนี้
...เขาอาจจะกำลังใช้ความสุขของทั้งชีวิตจนหมด...
เอาอีกแล้ว ทำตาแดงๆแบบนั้นกำลังกลั้นน้ำตาอยู่สินะ โรคชอบร้องไห้ตอนมีคนทำดีด้วยเนี่ย จะรักษายังไงให้หาย หรือจะต้องลองบังคับดู บังคับให้เปลี่ยนเป็นยิ้มแทน ยิ้ม ยิ้มอย่างนั้นเหรอ นั่นสิ...ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาเขาเองก็ยังไม่เคยเห็นวิพารันต์ยิ้มเลยสักครั้ง
อยากจะรู้...อยากรู้ว่าวิพารันต์เองเคยยิ้มหรือหัวเราะเหมือนคนอื่นบ้างไหม...
นิธิศรู้สึกตกใจในความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยเพราะเมื่อกี้เสี้ยวหนึ่งของจิตใต้สำนึกของเขาเผลอคิดไปว่า
หรือบางที...ตลอดชีวิตที่ผ่านมา...วิพารันต์ไม่แม้แต่จะเคยรู้จักกับมัน...TBC.
Rewrite
ปาดเหงื่อ เสร็จเสียทีตอนนี้ ไม่อยากจะบอกว่าต่อไปตอนนึงอาจต้องรอซักสองสามวัน // โดนตบ 555 การบ้านยังมี ฮือ งานยังเข้า เด็กม.6 ภาษาไรฟระ อาจารย์ยังไม่ปราณี อีกอย่าง...มีโปรเจ็คไปเขียนเรื่องสั้นร่วมกับ cn9095 แต่ยังไม่รู้จะออกมาในรูปแบบไหน แหะๆ ถามกันจริงเรื่องมาม่า รับรองไม่มาม่า มั้ง // ตบอีกที 55 จริงๆก็คิดว่าจะไม่หรอกค่ะ อยากให้บรรยากาศมันอบอุ่นๆแบบนี้ไปเรื่อย แต่ถ้ามันหมดปัญญาเขียนเมื่อไหร่ล่ะไม่แน่ กร๊ากกกก