SeeeDz ที่ 25
เมื่อเราตื่นขึ้นในวันถัดมา พ่อของนะก็ทำอาหารเช้ารอเราสองคนเอาไว้อยู่แล้ว ระหว่างที่กินข้าวด้วยกันอยู่นั้น เขาก็เล่าเรื่องของที่อู่ให้นะฟังเพิ่มเติม ซึ่งดูเหมือนว่าปัญหาต่างๆ น่าจะเริ่มคลี่คลายไปได้มากแล้ว แต่พ่อบอกว่าวันนี้จะต้องออกไปที่อู่อีก และคงจะกลับมาเย็นๆ ถ้าหากว่าผมกับนะไม่ไปไหนหรือยังไงก็ให้หาข้าวเย็นกินกันเองได้เลย
“แล้วเราจะไปไหนกันรึเปล่าวะ วันนี้อะ” ผมถามเขาในขณะที่เรากำลังเก็บล้างด้วยกันอยู่ในครัว
“อาจจะไม่ว่ะ กูว่าจะปล่อยให้มึงนอนพักไปน่ะ ตื่นเช้ามาสองวันแล้วนี่ เอาไว้ตอนเย็นเราค่อยออกไปกินข้าวกัน ดีมั้ย”
“แหมเว้ย กูรักมึงก็ตรงนี้แหละ รู้ใจกูซะจริงๆ” ผมหัวเราะ
เขายิ้มกว้าง เหลือบมองไปยังห้องกินข้าว แล้วจึงกระซิบเบาๆ “กูอยากจะฟัดมึงซะจริงๆ ไอ้ตี๋เอ๊ยยย!”
“ฝันไปเหอะ ไอ้ตูด!”
“นะ!” เสียงพ่อของเขาดังขึ้นจากในบ้าน
เราสองคนสะดุ้งเฮือก
“ค... ครับพ่อ!”
“พ่อไปก่อนนะ ถ้าจะออกไปไหนก็อย่าลืมปิดบ้านดีๆ ล่ะ!”
“ครับ!”
สักพักผมก็ได้ยินเสียงเปิดและปิดประตูบ้าน ตามมาด้วยเสียงสตาร์ทรถ กว่าที่ผมจะแน่ใจได้ว่าพ่อขับรถออกไปแล้วจริงๆ ก็ทำเอาผมหายใจไม่ทั่วท้องเลยทีเดียว
“ตกใจหมดเลย ไอ้เหี้ย!” ผมต่อยแขนเขาแรงๆ “เพราะมึงนั่นแหละ ไอ้ตูด! เสือกพูดอะไรไม่คิด เกิดพ่อมึงได้ยินขึ้นมาจะทำไงวะ!”
“ทำไงล่ะ ก็ซวยอะดิ ถามได้ ฮ่าๆๆ”
“ยังจะมาหัวเราะอีกเว้ย!”
“เอาน่าๆ แต่พ่อก็ไม่ได้ยินสักหน่อยไม่ใช่รึไง” เขารวบตัวของผมเข้าไปกอด
“ล้างจานต่อให้เสร็จเลย ไอ้ตูด กูจะไปนอนดูทีวีรอ” ผมแกะแขนของเขาออก เขาเบะปากแบบเด็กๆ แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไร “ดีมาก มันต้องว่าง่ายๆ แบบนี้สิวะ”
ผมเดินออกจากห้องครัวไปนั่งรอเขาอยู่ที่ห้องนั่งเล่น อีกไม่กี่นาทีถัดมา นะก็เดินตามออกมานั่งอยู่ข้างๆ ผม เราสองคนนั่งเอนอิงดูทีวีด้วยกันอยู่พักใหญ่ๆ จนกระทั่งไม่มีรายการอะไรน่าสนใจให้ดูแล้วผมก็เริ่มอ้าปากหาววอด และในที่สุดก็เผลอผล็อยหลับลงไป
เมื่อผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองกำลังนอนหนุนอยู่บนตักของนะ ในขณะที่เขากำลังนั่งกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ อยู่
“งืมมม กี่โมงแล้ววะ...” ผมบิดขี้เกียจ
เขาก้มลงมายิ้มให้ผม “ยังไม่เที่ยงเลย มึงเพิ่งหลับไปไม่ถึงชั่วโมงเอง ไอ้ตี๋”
“แล้วมึงอะ ไม่เมื่อยเหรอวะ กูนอนหนุนตักอยู่แบบเนี้ย” ผมดันตัวจะลุกขึ้นนั่ง
“ไม่ต้อง” เขากดหน้าอกผมเอาไว้ “นอนไปเถอะ กูไม่เมื่อยหรอก”
“หือออ” ผมเลิกคิ้วขึ้น
“กูอยากอยู่แบบนี้สักพักว่ะ สบายใจดี” เขาลูบหัวผมเบาๆ
ผมยิ้มกว้างแล้วหลับตาลง ปล่อยให้เขาลูบหัวผมต่อไปแบบนั้น สัมผัสจากนิ้วมือของเขาที่ไล่ผ่านเส้นผมและหนังศีรษะของผมนั้นทำให้รู้สึกเพลินจนแทบจะหลับลงไปอีกครั้ง...
ที่จริงผมก็อยากจะทำแบบนั้นอยู่หรอก แต่เสียงของรถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งเข้ามาในบ้านก็ทำให้เราสองคนต้องผละออกจากกันราวกับถูกไฟช็อตทันที
“ใครมาวะ” นะลุกขึ้นยืนและเดินไปยังหน้าประตูบ้าน เขามองออกไปข้างนอกแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง
เสียงของรถมอเตอร์ไซค์คันนั้นดับลงไปแล้ว
“ใครวะ ไอ้นะ”
เขาไม่ตอบ ซึ่งเขาก็ไม่จำเป็นต้องตอบด้วยเหมือนกัน เพราะอีกไม่กี่วินาทีถัดมาผมก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงที่คุ้นเคยดังขึ้น
“นะ อยู่รึเปล่า”
“นั่นเสียงกิ๊กนี่หว่า กิ๊กมาเหรอวะ” ผมถามขึ้นอีกครั้งทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่จำเป็นต้องถามเลย
เขาหันมามองหน้าผมครู่หนึ่งเหมือนเป็นการขออนุญาต และเมื่อผมพยักหน้าให้เขา เขาก็เปิดประตูบ้านแล้วเดินออกไป
ผมนั่งรออยู่ครู่หนึ่ง คิดว่าเขาจะพากิ๊กมานั่งในบ้าน แต่สุดท้ายก็ดูไม่เหมือนว่าใครจะเดินเข้ามาสักที ผมจึงลุกออกจากโซฟาและเดินไปหยุดอยู่ที่ประตู จากตรงนั้นผมเห็นว่าเขาสองคนกำลังยืนคุยกันอยู่ตรงลานจอดรถ ดูท่าทางพวกขาจะคุยกันเรื่องเครียดไม่เบา เพราะสีหน้าของกิ๊กจากที่ผมเห็นไกลๆ นี้ดูไม่สู้ดีเลย... ที่จริงผมคิดว่าเธอกำลังร้องไห้อยู่ด้วยซ้ำ
ใช่แล้ว กิ๊กกำลังร้องไห้อยู่จริงๆ
ผมรอดูว่านะจะทำอย่างไรต่อไป ซึ่งผมคิดไว้ในใจอยู่แล้วว่าเขาคงจะต้องดึงตัวของกิ๊กเข้ามากอดเพื่อปลอบใจแน่ๆ แต่ว่าเขากลับไม่ทำอย่างนั้น ผมยืนดูพวกเขาคุยกันต่ออีกสักพักก็ไม่เห็นวี่แววว่านะจะกอดหรือแม้แต่สัมผัสร่างกายของกิ๊กเลย เขาที่ยืนหันหลังให้ผมดูสงบนิ่งจนผมรู้สึกแปลกใจ แต่จะว่าไปผมก็ไม่ได้เห็นสีหน้าของเขาอยู่แล้วน่ะนะ และในตอนที่ผมกำลังคิดจะหันหลังกลับไปนั่งดูทีวีต่อบนโซฟา เขาก็หันกลับมามองยังที่ๆ ผมกำลังยืนอยู่พอดี
เขาดูไม่แปลกใจที่เห็นผมยืนอยู่ตรงนี้ แต่แค่ส่ายหน้าให้ผมเบาๆ ก่อนจะหันกลับไป
ผมเดินกลับไปนั่งลงบนโซฟา รู้สึกตัวเองดูงี่เง่าชอบกลที่ไปยืนดูแฟนตัวเองยืนคุยกับแฟนเก่าแบบนั้น ถึงใจผมจะไม่ได้คิดอะไรและเชื่อใจนะ แต่ไม่รู้ทำไม ผมกลับรู้สึกไม่สบายใจเลยที่ต้องเห็นว่ากิ๊กกำลังร้องไห้และอาจจะทำให้นะใจอ่อนแบบนั้น ผมคงเชื่อใจเขาได้สินะ เขาคงจะไม่มีทางกลับไปคืนดีกับกิ๊กเพียงเพราะแค่เห็นน้ำตาของคนที่เคยรักกันมานานหรอกใช่มั้ย
ไม่สิ เขาไม่มีทางทำแบบนั้นแน่นอน เขารักผม เขาสัญญากับผมแล้วด้วยซ้ำว่าจะไม่ทำให้ผมเสียใจ และที่สำคัญเขายังเคยบอกผมด้วยว่าเขายังไม่สามารถให้อภัยกิ๊กได้เลย แล้วเขาจะไปใจอ่อนง่ายๆ แบบนั้นได้อย่างไร
และในตอนที่ผมกำลังนั่งกดปุ่มรีโมทเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้สนใจภาพที่ฉาบแวบไปมาบนจอทีวีเลยแม้แต่นิดอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินกลับขึ้นมาบนบ้าน ตามมาด้วยเสียงของล้อรถมอเตอร์ไซค์บดถนนที่วิ่งจากไป
“ไร้สาระว่ะ” นะพูดพร้อมกับถอนหายใจและส่ายหน้า
“ทำไมวะ”
“ไม่มีอะไรหรอก แม่งก็แค่ไปกับแฟนใหม่มันไม่ได้ดีเหมือนที่คิดไว้ แล้วก็เลยคิดถึงกู ที่จริงมันไม่เคยอยากเลิกกับกูเลยสักนิด อะไรแบบนั้นน่ะ”
ผมอดที่จะยิ้มประชดประชันออกมาน้อยๆ ไม่ได้ “คุ้นๆ มั้ยวะ ประโยคพวกนั้น”
“เออดิ เหมือนที่มึงกับเพื่อนๆ กูเคยบอกเอาไว้ไม่มีผิดเลย”
“บางทีชีวิตแม่งก็ไม่ต่างจากละครหรือนิยายเท่าไหร่หรอกว่ะ” ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ “แล้วไงวะ สรุปกิ๊กมันเลยมาขอมึงคืนดีเหรอ”
“เปล่า ไม่ได้มาขอคืนดีหรอก มันบอกว่าแค่อยากมาเจอ อยากมาเล่าให้ฟังเท่านั้นแหละ แล้วก็บอกว่าก่อนกูกลับไปกรุงเทพฯ ก็อยากจะชวนกูไปกินข้าวด้วยกันบ้าง ไรเงี้ย”
“แล้วมึงว่าไง”
“ก็ไม่ว่าไงหรอก คือเรื่องกินข้าวเย็นกูก็ไม่ได้บอกไปว่า ‘ไม่ได้’ อะนะ แค่บอกไปว่าขอดูก่อน ตอบๆ ไปแบบแบ่งรับแบ่งสู้อะว่ะ” เขาเดินมานั่งลงข้างๆ ผม
“ใจอ่อนเหรอวะ”
“กูเปล่าใจอ่อนนะเว้ย กูแค่สงสารมัน จะให้ปฏิเสธเลยก็ทำไม่ลงอะว่ะ แต่กูไม่ได้อยากจะไปไหนกับมันอีกแล้วนะเว้ย ยิ่งไปเป็นแฟนกับมันอะ ยิ่งไม่มีทางเลย มึงไม่เชื่อกูเหรอ”
“เชื่อออ กูก็ไม่ได้ว่าอะไรมึง แต่ก็ดีแล้วล่ะที่มึงไม่อยากไป กูจะได้ไม่ต้องเตือน”
“เตือนอะไรวะ”
“เตือนว่าจริงๆ แล้ว สิ่งที่มันกำลังทำอยู่นี่แหละ คือการขอคืนดีชัดๆ ว่ะ แต่แค่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แล้วก็การที่มันอยากจะไปกินข้าวเย็นกับมึงสองคนเนี่ย บางทีมันอาจจะอยากใช้โอกาสนี้ในการมอมมึงแล้วจับมึงอีกครั้งก็ได้นะเว้ย”
“มึงพูดเล่นใช่มั้ยเนี่ย ไอ้ซี” เขาทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ
“มึงหมายถึงเรื่องไหน”
“ทั้งสองเรื่องนั่นแหละ”
“งั้นกูบอกเลยว่ากูไม่ได้พูดเล่น มึงมันอ่อนต่อโลกไป ไอ้นะ และที่สำคัญ กูเองก็เคยเจอแบบนี้มาก่อนด้วย” ผมตบบ่าเขาเบาๆ “กูขึ้นห้องก่อนนะ ง่วงว่ะ อยากนอนสักงีบแล้วพอตื่นมาค่อยหาอะไรแดก มึงจะขึ้นไปด้วยกันมั้ย”
เขายิ้มให้ผมพร้อมกับพยักหน้า “ไปสิวะ แต่คราวนี้กูขอนอนกอดมึงบ้างล่ะนะ”
“ถ้าอยากกอดก็เล่าให้กูฟังด้วยว่าเมื่อกี้มึงคุยอะไรกันมั่ง เอาละเอียดๆ เลย กูอยากรู้”
“สุดท้ายมึงก็หึงกูจนได้สินะ” เขาหัวเราะเบาๆ
ผมลุกออกจากโซฟาและมองเขาด้วยหางตา “จะไปได้รึยัง”
“คร้าบบ ไปๆๆ” เขารีบปิดทีวี
เราสองคนเดินขึ้นไปบนห้องของเขา นอนลงบนเตียงโดยที่เขากอดผมเอาไว้จากทางด้านหลัง จากนั้นเขาก็เริ่มเล่าเรื่องเมื่อสักครู่ให้ผมฟังทุกอย่างตั้งแต่ประโยคแรกที่กิ๊กพูดกับเขาจนถึงประโยคสุดท้ายที่เขาบอกลากัน ผมเองก็ได้แต่นอนฟังเงียบๆ ไม่ได้พูดหรือถามอะไรแทรก น่าแปลกดีเหมือนกันที่พอได้ฟังเรื่องทุกอย่างออกจากปากของเขาแบบนี้ เมื่อได้ยินน้ำเสียงอันอ่อนโยนของเขา ความไม่สบายใจและไม่มั่นใจทั้งหมดที่เคยมีก็พลันหายไปในทันที
ผมว่าเขานี่แหละ คือความรักที่ผมตามหามาตลอดจริงๆ ในเวลาปกติ เขาดูเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว แต่ในบางเวลาอย่างเช่นตอนนี้ เขากลับแลดูอ่อนโยน เปราะบาง ผมจึงสามารถเป็นทั้งผู้ที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ และสามารถเป็นผู้ที่คอยปกป้องทะนุถนอมเขาได้ในเวลาเดียวกัน เขาไม่เคยเรียกร้องอะไรจากผม เราไม่เคยเรียกร้องอะไรจากกัน เราอยู่กันด้วยความเข้าใจ ความเชื่อใจ และความเชื่อมั่นในความสัมพันธ์ของเรา ผมไม่เคยรักใครแล้วรู้สึกมีอิสระแต่ก็ยังผูกพันกับคนๆ นั้นมากเท่านี้มาก่อนเลย
แม่ง... ถ้าหากรู้ว่ามีแฟนเป็นผู้ชายแล้วชีวิตจะดีขึ้นขนาดนี้ล่ะก็ ผมคงมีไปตั้งนานแล้วล่ะว่ะ
“เฮ้ย มึงยังฟังกูอยู่รึเปล่าเนี่ย”
“อืออออ... ฟังอยู่” ผมพยักหน้าทั้งๆ ที่หลับตา
“ฟังอะไร มึงหลับแล้วชัดๆ ไอ้ตี๋”
“ไม่ได้หลับเว้ย แค่พักตาเฉยๆ”
“แล้วเมื่อกี้มึงยิ้มอะไร”
ผมลืมตาขึ้นแล้วพลิกตัวเป็นนอนหงาย “หืออ เมื่อกี้กูยิ้มเหรอ”
“เออ มึงนอนหลับตาพริ้มแล้วยิ้มอะไรก็ไม่รู้ เมื่อกี้กูชะโงกไปดูอยู่ กูเห็นนะ”
ผมยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก “ก็แค่คิดเรื่องของมึงเฉยๆ อะว่ะ”
“เรื่องของกูกับกิ๊กที่เพิ่งเล่าจบเนี่ยนะ” เขาทำหน้างง
“เออๆ ก็ประมาณนั้นแหละ อย่าถามมากน่า นอนเหอะ กูง่วงว่ะ” ผมพลิกตัวหันหลังให้เขาอีกครั้ง
“นั่นไง แล้วเมื่อกี้บอกว่าแค่พักตา” เขาหัวเราะเบาๆ
“จะนอนรึไม่นอนวะ เฮอะ ไอ้ตูด พูดมาก เดี๋ยวกูถีบตกเตียงเลย”
“โอเคครับ นอนก็นอน ผมขอโทษครับ พ่อ” เขาชะโงกหน้ามาหอมแก้มผมเร็วๆ แล้วจากนั้นก็ซุกตัวลงใต้ผ้าห่มและกอดผมเอาไว้จากทางด้านหลังในท่าเดิม “เมียกูแม่งดุชิบ...”
“อะไรนะ”
“เปล่าจ้า ที่รัก นอนเถอะนะ คนดีของพี่” เขาพูดอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับกระชับวงแขนที่กอดผมให้แน่นขึ้นอีก
แอร์เย็นๆ และความอบอุ่นจากร่างกายของนะที่ถ่ายทอดมาถึงผม ทำให้ผมหลับลงไปอย่างอันรวดเร็ว ซึ่งในฝันของผมนั้น ผมเห็นเราสองคนกำลังนั่งกินข้าวอยู่พร้อมกับเพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัย และหนึ่งในคนที่นั่งร่วมโต๊ะกับพวกเราก็มีไอ้ก้องอยู่ด้วย จากนั้นภาพก็เปลี่ยนไปเป็นผมกับครอบครัวที่ชายทะเล แต่มันดันแปลกตรงที่มีไอ้ล่ำอยู่กับพวกเราด้วยเนี่ยสิ ดูท่าทางว่ามันจะอยู่กับผมมากจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของผมไปแล้วล่ะมั้ง
ผมเห็นภาพของเราสองคนกำลังนั่งคุยกันอยู่ที่ริมหาด ในขณะที่ไอ้เป๊ปซี่กำลังวิ่งไล่จับปูลมอยู่ไม่ไกล บรรยากาศรอบข้างเราช่างเงียบสงบ ลมเย็นๆ ที่พัดเข้าสู่ฝั่งทำให้เสื้อของผมโบกสะบัด และ...
ปึง!!!
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นพร้อมกับนะ เราสองคนมองหน้ากันเลิกลั่ก ในตอนแรกผมก็ยังไม่รู้ว่าเสียงดังเมื่อครู่นี้มันเกิดจากอะไรและมาจากที่ไหน แต่ผมมั่นใจว่ามันต้องเกิดขึ้นใกล้ตัวเรามากๆ ในชั่วเสี้ยววินาทีที่ผมยังงุนงงอยู่นั้น สีหน้าของนะกลับเริ่มซีดเผือดไปทุกที เขาที่ดูเหมือนจะคิดอะไรออกก่อนผมสบถเบาๆ กระโดดลุกออกจากเตียง แล้วจากนั้นก็พุ่งตัวไปที่หน้าต่าง เขากวาดสายตามองภายในอยู่เพียงแค่ครู่สั้นๆ เท่านั้น
“ชิบ...!!” ใบหน้าของเขายิ่งซีดลงกว่าเดิมเสียอีก
“อะไรวะ ไอ้นะ!” ผมรีบคว้าแขนของเขาเอาไว้ก่อนที่จะทันวิ่งไปยังประตูห้อง “เมื่อกี้เสียงอะไรวะ แล้วมึงเห็นอะไร!”
“พ่อกลับมาแล้ว!! แล้วเมื่อกี้ก็...”
“ไอ้นะ!!!”
เราสองคนสะดุ้งเฮือกขึ้นพร้อมๆ กัน ตอนนี้ผมเองก็เริ่มหน้าถอดสีและเหงื่อเริ่มไหลออกมาทั้งๆ ที่อากาศภายในห้องนอนนั้นเย็นเฉียบแล้วด้วยอีกคน
เสียงตะโกน... ไม่สิ เสียงตะคอกของพ่อของเขาดังกึกก้องไปทั่วทั้งบ้าน และมันก็ทำให้เลือดในกายของผมเย็นเฉียบ
นะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงที่เบาจนแทบไม่ต่างอะไรกับเสียงกระซิบ เสียงของเขาสั่นเครือเล็กน้อย “...แล้วเมื่อกี้พ่อคงเปิดประตูห้องเข้ามาเห็นเรานอนอยู่ด้วยกันน่ะ”
ผมหลับตาลง รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงจนราวกับว่ามันแทบจะหลุดออกมาจากหน้าอก
“กูไปก่อนนะ” เขาพูดขึ้น
“เดี๋ยว...” ผมรั้งเขาไว้ แต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี ผมอยากจะห้ามเขา ไม่อยากให้เขาเดินออกจากห้องนี้ไป แต่ก็ทำไม่ได้ แม้แต่คำพูดจะให้กำลังใจผมยังไม่สามารถพูดออกไปได้เลย
นะมองหน้าผม เขาพยักหน้าเบาๆ อาจจะเพื่อเป็นการให้กำลังใจผม เพื่อบอกว่าเขาไม่เป็นอะไร หรืออาจจะแค่บอกว่าเขาเข้าใจว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ก็ได้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วผมก็ยอมปล่อยมือออก แล้วเขาก็เดินออกจากห้องไป