SeeeDz ที่ 22
ปกติผมกับนะมักมีเรื่องให้คุยกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่มหาวิทยาลัย เรื่องเรียน เรื่องเพื่อน หนัง เพลง ละคร ข่าว ครอบครัว ชีวิต อดีต อนาคต ความฝัน มากมายเต็มไปหมด ทั้งๆ ที่เมื่อคืนเรานอนคุยกันจนกว่าจะหลับก็ปาไปเกือบตีหนึ่งแล้ว แต่ในตอนนี้ ขณะที่กำลังนั่งกินข้าวเช้าด้วยกันอยู่ เราก็ยังมีเรื่องให้คุยกันต่ออีก เขาทำให้ผมรู้สึกว่าเรามีเรื่องให้เรียนรู้กันและกันได้อย่างไม่รู้จบ เรามีทัศนคติ ความคิด ความชอบ และสิ่งที่ไม่ชอบคล้ายคลึงกัน ซึ่งผมว่านี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้เขาเป็นกันยิ่งกว่าคนรัก แต่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและเป็นเหมือนกับพี่ชาย (หรือบางทีก็น้องชาย) ของผมอีกด้วย
ผมนั่งมองหน้าเขาแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่านานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้รู้สึกรัก รู้สึกผูกพัน มีความสุขกับการเป็นตัวของตัวเอง และที่สำคัญ... มีความสุขที่ได้ใช้เวลาอยู่กับใครสักคนมากถึงขนาดนี้
“ยิ้มอะไรวะ ไอ้ตี๋” เขามองหน้าผมยิ้มๆ ดูเหมือนว่าเขาเองก็จะพอรู้ล่ะว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่
“ป๊าววว ไม่มีอะไรสักหน่อย”
เขายิ้มกว้าง “กูว่ามึงต้องกำลังคิดเหมือนกูแน่ๆ”
“เหรอวะ งั้นบอกมาดิ๊ว่ามึงคิดอะไร”
“ป๊าววว ไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย” เขาย้อน
“กวนตีนนักนะมึง” ผมเตะขาของเขาที่อยู่ใต้โต๊ะ
“โอ๊ยย! เดี๋ยวเหอะมึง กลับขึ้นห้องไปจะจัดให้หนัก!”
“มึงทำลงเหรอวะ ไอ้ตูด กูยังเจ็บอยู่เลยนะ ใจคอมึงยังคิดจะ ‘ทำร้าย’ กูอีกเหรอ” ผมแกล้งเน้นคำ
“อ้าว มึงเจ็บอยู่จริงๆ เหรอวะ เจ็บมากมั้ย” น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปทันที
เขานี่แม่งโคตรซื่อจริงๆ ผมเลยตัดสินใจเล่นตามน้ำต่อไปอีกหน่อย “อือ ก็เจ็บอะว่ะ จริงๆ กูก็ไม่อยากบอกมึงหรอก กลัวมึงจะเป็นห่วงอีก แต่เมื่อเช้าตอนเข้าห้องน้ำ กู...”
“อะไรวะ นี่มึง มึง...” เขาลดเสียงลง สีหน้าเป็นกังวล “มึงอึออกมาเป็นเลือดอีกแล้วเหรอ”
“อือออ...” ผมก้มหน้า “จริงๆ เมื่อคืนกูก็เจ็บแหละ แต่ไม่อยากบอกมึง กลัวว่ามึงจะอารมณ์ค้าง”
“โธ่ ไอ้ซี...!!” คิ้วทั้งสองข้างของเขาขมวดเข้าหากัน “ทำไมมึงต้องทนแบบนี้ด้วย กูเป็นห่วงมึงนะเว้ย!”
“โถๆๆ ดูทำหน้าซิเนี่ย ไอ้ตูดหมึกของพี่” ผมเอื้อมมือไปลูบหัวเขาเบาๆ
นะมองหน้าผมงงๆ ก่อนจะรู้สึกตัวว่าเพิ่งโดนผมอำ “ไอ้เหี้ย! นี่ตกลงมึงเจ็บจริงรึเปล่าเนี่ย!!”
“ชู่วววว!” ผมจุ๊ปาก “กลัวคนอื่นไม่ได้ยินรึไง!” ผมปรามเขา ถึงแม้จะรู้ดีว่าในร้านไม่มีลูกค้าคนอื่นอยู่เลยนอกจากเราสองคนก็ตาม
“นี่ตกลงมึงเจ็บจริงรึเปล่า ไอ้ตี๋ กูเป็นห่วงมึงจริงๆ นะเว้ย”
“เอออ กูเจ็บจริงๆ กูยอมรับก็ได้ แต่ไม่เยอะหรอก มึงไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อกี้กูแค่หยอกมึงเล่นเฉยๆ”
“แน่ใจนะ” เขายังคงมีสีหน้าแคลงใจ
“เออ จริงๆ เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้วน่าาา เรียกป้าเค้าเก็บเงินเหอะ จะได้กลับไปนอนดูทีวีบนห้องกัน”
ระหว่างที่เดินกลับหอจนกระทั่งขึ้นขึ้นไปถึงในห้อง นะก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลยจนผมเริ่มไม่สบายใจซะแล้วว่าเขาจะโกรธผมเรื่องที่ผมแหย่เขาเมื่อครู่นี้หรือเปล่า
“เฮ้ยยย” ผมเดินเข้าไปโอบบ่าของเขา “เป็นอะไรวะมึง โกรธกูเหรอ จู่ๆ ก็เงียบไป”
“เปล่า ไม่ได้โกรธหรอก กูแค่คิดอะไรนิดหน่อยว่ะ จริงๆ ก็คิดมาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วล่ะ”
“คิดไรวะ”
เขาหันมามองหน้าผมแล้วยิ้มยิงเขี้ยว ก่อนจะโหมตัวดันผมจนเราทั้งคู่ล้มลงไปบนเตียง
“เฮ้ยย!!”
“ร้องทำไม! เมื่อกี้กูบอกแล้วไงว่ารอขึ้นห้องเหอะกูจะเล่นงานให้...!!”
“อะไรของมึงเนี่ย! กูก็นึกว่ามึงงอนอะไรกูซะอีก!” ผมหยิบหมอนขึ้นมาฟาดหน้าเขา
“โอ๊ยย! ไม่ใช่เว้ย กูล้อเล่น เมื่อกี้กูกำลังคิดอะไรอยู่จริงๆ”
“งั้นอะไร บอกมา”
“ก็...” น้ำเสียงของเขาเริ่มจริงจังขึ้น “คิดเรื่องที่มึงเล่าให้กูฟังเมื่อคืนอะ”
“เรื่องไอ้ก้องกับไอ้โตน่ะนะ”
“ใช่” เขากลิ้งตัวลงนอนหงาย
“ทำไมวะ”
“กูว่ามันมีอะไรแปลกๆ นะ”
ผมรอฟัง
“มึงอยากฟังเหรอ...” เขามองหน้าผมด้วยแววตาไม่มั่นใจ “แต่ถ้ากูเล่าแล้วมึงห้ามใจร้อนอีกนะเว้ย”
“เออ ลองพูดมาดูดิ กูไม่อยากคิดอะไรมากแล้วว่ะ ปวดหัวเปล่าๆ”
“โอเค อย่างแรกเลยคือ... จากที่มึงเล่าอะนะ กูสงสัยว่าทำไมไอ้ก้องมันต้องย้ำกับมึงตั้งหลายหนว่าไม่ให้ไปบอกไอ้โต ไม่ให้ไปบอกคนอื่น แถมถ้ามึงมีอะไรก็ยังให้มึงไปคุยกับมันเองตรงๆ มันจะรับฟังเอง อะไรอย่างนั้นด้วยวะ”
“ก็ไม่แปลกมั้ง เพราะมันคงไม่อยากให้กูกับไอ้โตทะเลาะกันอีกนี่หว่า”
“ตอนแรกกูก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ซึ่งกูว่ามันก็อาจจะมีส่วนจริงแหละ แต่...”
“แต่อะไร” ผมพลิกเป็นนอนตะแคงหันไปหาเขา
“ไม่รู้ดิ ถ้าแบบนั้นก็เท่ากับว่าเรื่องของมึงจะมาจบอยู่ที่มันคนเดียวเลยน่ะสิ คนอื่นไม่รู้ว่ามึงคิดอะไรอยู่ ส่วนมึงก็จะไม่รู้ว่าไอ้โตและคนอื่นคิดยังไงเหมือนกัน กูแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมไอ้ก้องมันถึงต้องเป็นภาระแบกรับอะไรขนาดนั้นด้วยอะว่ะ มีอะไรทำไมไม่พูดกันให้มันเคลียร์ๆ ไปด้วยกันทุกฝ่ายวะ”
ที่นะพูดมันก็จริง พอเขาพูดออกมาแบบนี้แล้วจึงทำให้ผมคิดได้ว่าการกระทำอย่างนี้ของไอ้ก้องมันก็แปลกไปจากที่เคยจริงๆ ด้วย เพราะปกติแล้วเวลาพวกเราในกลุ่มมีปัญหาบาดหมางอะไรก็จะเคลียร์กันตรงๆ ทุกครั้ง หรืออย่างน้อยก็จะต้องมีคนรับรู้มากกว่าคนแค่เพียงคนเดียวแน่นอน โดยเฉพาะตัวไอ้ก้องเองจะเป็นคนที่พูดอยู่เสมอว่ามีอะไรให้พูดกันตรงๆ เคลียร์กันให้รู้เรื่อง ไม่ใช่ไปคุยอะไรกันลับหลังอย่างที่มันกำลังทำอยู่ในตอนนี้
“อีกอย่าง กูก็ยังสงสัยอยู่ว่ามันจะถามมึงว่าเราเป็นแฟนกันรึเปล่าทำไม มันได้อะไรจากเรื่องนี้วะ เพราะถึงไงมันก็คงไม่ได้ไปบอกไอ้โตเรื่องที่เราคบกันอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ ยิ่งการที่มันย้ำนักย้ำหนาว่ามันจะเป็นคนรับฟังมึงแต่ฝ่ายเดียวแบบนั้น ก็ยิ่งแปลว่ามันจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกไอ้โตด้วยแน่ๆ เพราะมันไม่อยากทำร้ายเพื่อนมัน ไม่อยากให้ไอ้โตที่กำลังทำใจอยู่คิดมากเข้าไปอีก ถูกมั้ย”
ผมนั่งฟังสิ่งที่นะพูดพร้อมกับคิดตามไปด้วย แล้วผมก็เริ่มคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้พร้อมกับความรู้สึกแปลกๆ ที่เริ่มก่อตัวขึ้นข้างในทีละน้อยด้วยเหมือนกัน
“ไม่รู้ดิ กูอาจจะแค่คิดมากไปเองก็ได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยคือคืนนั้นอะ สุดท้ายแล้วคนที่นอนอยู่กับมึงก็คือไอ้ก้อง ไม่ใช่ไอ้โตอยู่ดีไม่ใช่เหรอวะ ถึงจะลองคิดว่าไอ้โตมันแอบทำอะไรมึงตอนรุ่งสางก็เหอะ แต่มันจะไม่เสี่ยงสำหรับไอ้โตไปหน่อยหรือไง อีกอย่าง กูว่าคนแม่งเมาและกลับเช้าขนาดนั้นอะ ยังไงก็น่าจะอยากนอนมากกว่าทำอย่างอื่นนะ”
ผมลุกขึ้นนั่งทันที “มึงจะบอกกูว่าจริงๆ แล้วคนที่แอบชอบกูอยู่และทำอะไรกูคืนนั้นคือ... ไอ้ก้องใช่มั้ย”
เขาลุกขึ้นนั่งตามผม จากนั้นก็จับมือผมเอาไว้ “มึงโกรธเพื่อนมึงรึเปล่าวะ ไอ้ซี ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นไอ้ก้องหรือไอ้โตก็ตามน่ะ”
ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง “กูคงโกรธพวกมันมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วว่ะ กูก็ไม่รู้เหมือนกัน”ผมถอนหายใจเบาๆ “แต่สิ่งที่กูรู้แน่ๆ อยู่อย่างหนึ่งก็คือถ้าหากว่าพวกมันพูดความจริงกับกู กูก็คงจะไม่เอาเรื่องอะไรพวกมันหรอก”
“ดีแล้ว”
“แล้วมึงล่ะ”
เขายักไหล่ “กูไม่โกรธแล้วว่ะ กูรักมึงอะ แล้วกูก็เห็นมึงเครียดมาพอแล้ว อะไรที่ผ่านแล้วก็ผ่านไป ช่างแม่ง เพราะถึงไงกูก็รู้ดีว่ามึงรักกูมากแค่ไหน จริงมะ” เขาปิดท้ายประโยคด้วยรอยยิ้มกว้าง ผมจึงชะโงกหน้าเข้าไปจูบปากเขาทันที และเมื่อเราถอนริมฝีปากออกจากกัน เขาก็จับหัวของผมไว้ แล้วแตะหน้าผากของเขาลงบนหน้าผากของผม ทำให้ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่นิ้วเท่านั้น “กูก็แค่คิดว่ามึงควรจะไปคุยกับไอ้โตกูก่อนว่ะ ไอ้ซี ถ้าหากว่ามึงอยากจะรู้เรื่องนี้ให้แน่ชัดจริงๆ น่ะนะ แต่กูอยากให้มึงรู้เอาไว้ว่าคนอื่นมันจะคิดยังไงก็ไม่สำคัญหรอก ตราบเท่าที่เรายังรักกันและเชื่อใจกันแบบนี้ จริงมั้ย...”
เช้าวันจันทร์ ผมตัดสินใจที่จะทำอย่างที่นะแนะนำ เพราะผมคิดว่าการกระทำของไอ้ก้องมันก็พิลึกจริงๆ ดังนั้นหลังจากเรียนคาบแรกเสร็จและทุกคนกำลังเก็บของเพื่อแยกย้ายกันไปกินข้าวกลางวันอยู่นั้น ผมจึงหันกลับไปหาไอ้โตที่นั่งอยู่ด้านหลังของผม
“ไอ้โต กูมีเรื่องอยากคุยกับมึงหน่อยว่ะ ว่างปะวะ”
เพื่อนคนอื่นของเราที่นั่งอยู่ตรงนั้นหันไปมองหน้ากันทันที เพราะพวกมันต่างก็รู้ว่าผมกับไอ้โตตึงๆ ใส่กันมาสักพักแล้ว แต่โชคดีอยู่อย่างหนึ่งที่วันนี้ไอ้ก้องไม่ได้มาเรียนเพราะไม่สบาย ทำให้ผมสามารถดึงตัวไอ้โตออกมาจากกลุ่มได้อย่างไม่มีปัญหามากนัก
มันเดินตามผมออกจากตึกไปยังบริเวณลานจอดรถที่คนไม่พลุกพล่าน เราตรงไปยังโต๊ะหินอ่อนที่ว่างอยู่แล้วนั่งลงพร้อมกัน แต่พอนั่งได้ไม่นาน ยังไม่ทันที่ผมจะเริ่มพูดอะไร ไอ้โตก็ยืนขึ้นอีก มันล้วงเอาบุหรี่ออกมาจุดสูบแล้วก็ยืนอยู่อย่างนั้น
“มีไรวะ” มันถาม
ผมตัดสินใจที่จะพูดตรงๆ ไม่มัวอ้อมค้อมอีกต่อไป “มึงชอบกูรึเปล่าวะ”
ไอ้โตผงะไปทันที “มึงถามเหี้ยอะไรนะ”
“กูถามว่ามึงคิดอะไรกับกูรึเปล่า เปิดอกคุยกันอย่างลูกผู้ชายเลย มีอะไรคุยกันตรงๆ”
“ถุยเหอะ ไอ้เหี้ย!” มันหัวเราะเบาๆ ทำให้ผมรู้สึกผิดคาดกับปฏิกิริยาของมัน “กูก็รู้นะว่ามึงแม่งหล่อและหลงตัวเอง แต่นี่มึงหลงตัวเองได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ ไอ้เชี่ยซี” มันนั่งลงแล้วจ้องหน้าผม “เอาดีๆ ไอ้ส้นตีน อย่ามาพูดเล่นอยู่ เข้าเรื่องได้แล้ว”
“หน้ากูเหมือนพูดเล่นเหรอวะ”
มันจ้องตาผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง รอยยิ้มที่เคยมีเริ่มจางหายไป มันดูดบุหรี่เข้าเต็มปอดอีกครั้งก่อนจะดีดทิ้งลงบนพื้น
“เปล่า กูไม่ได้ชอบมึง กูไม่ได้เป็นเกย์ มึงเห็นกูเหมือนคนเป็นเกย์รึไง”
“ไม่เหมือน แล้วมึงคิดว่ากูเหมือนมั้ยล่ะ”
“เฮอะ ถ้าไอ้เพลย์บอยอย่างมึงเป็นเกย์ กูว่าแม่งก็ไม่มีใครแมนแล้ว ไอ้เหี้ย” มันเอนตัวไปด้านหลังทำท่าบิดขี้เกียจ
“กูไม่ได้เพลย์บอยเว้ย และอีกอย่าง กูก็ไม่อยากจะพูดว่ากูเป็นเกย์หรอกนะ แต่กูมีแฟนเป็นผู้ชาย”
ไอ้โตดีดตัวกลับทันที “มึงว่าไงนะ”
“เออ แฟนกูเป็นผู้ชาย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นว่ะ ตอนนี้กูมีเรื่องสำคัญกว่าอยากจะคุยกับมึง มึงอยากจะฟังกูรึเปล่า”
มันตีหน้าแคลงใจ แต่สุดท้ายก็พยักหน้าและบอกให้ผมเล่าให้มันฟังโดยไม่ได้แย้งหรือถามอะไรออกมาอีก
ข้อดีของมันก็อยู่ตรงที่เป็นคนเปิดเผย และเข้าใจอะไรง่ายแบบนี้นี่แหละ
ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟังโดยตัดข้อมูลเกี่ยวกับสภาพของผมในตอนเช้าวันนั้นออกไป แต่เน้นในเรื่องที่ผมคุยกับไอ้ก้องและสิ่งที่ไอ้ก้องเล่าให้ผมฟัง ซึ่งพอไอ้โตได้ยินว่าไอ้ก้องบอกว่ามันชอบผม มันก็แสดงความโกรธออกมาอย่างชัดเจน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็บอกให้ผมเล่าต่อไปจนจบโดยไม่ได้พูดอะไรแทรกเลย
“เรื่องมันก็แบบนั้นแหละ เพราะงั้นมึงเข้าใจรึยังว่าทำไมกูถึงได้ไม่พอใจมึงสองคนช่วงหลังๆ นี้ กูไม่ได้จะโทษมึงนะเว้ย แต่กูไม่รู้จะเชื่อใครดีจริงๆ จนเพิ่งเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่แหละที่ไอ้ก้องมันบอกแบบนั้นกับกู ซึ่งกูก็ยังข้องใจอยู่ดี เลยอยากจะคุยกับมึงให้แม่งชัดๆ ไปเลย”
“ไอ้เหี้ย!” ไอ้โตสบถออกมาพร้อมกับคว้ากระเป๋าแล้วยืนขึ้น
“มึงจะไปไหนวะเฮ้ย”
“ไปหอไอ้เชี่ยก้อง ไปคุยกับแม่งให้รู้เรื่อง ถ้าแม่งอยากจะเป็นเพื่อนกูและมึงอยู่ แม่งต้องเลิกตอแหลแล้วโยนเรื่องเหี้ยๆ แบบนั้นมาให้คนอื่นได้แล้ว!”
ผมหยิบสมุดหนังสือของตัวเองขึ้นจากโต๊ะแล้วรีบออกเดินตามมันไป
“นี่แปลว่ามึงไม่ได้ทำอะไรกูและก็ไม่ได้คิดอะไรกับกูจริงๆ ใช่มั้ยวะ ไอ้โต”
มันหันมามองผมด้วยสีหน้าไม่พอใจ “กูไม่ได้คิดเหี้ยอะไรกับมึงเลยเว้ย! กูเป็นผู้ชายนะ ไอ้ซี มึงห้ามมาสงสัยอะไรเหี้ยๆ แบบนั้นกับกูอีก จำไว้เลย”
“เออๆ กูขอโทษก็ได้วะ แต่กูจะไปรู้ได้ไงเล่า...” ผมพูดพลางสังเกตว่ามันเหลือบมองผมด้วยหางตาอยู่ “อะไร”
“มึงชอบผู้ชายจริงๆ เหรอวะ ไอ้ซี ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ถ้าถามว่ากูมีแฟนเป็นผู้ชายตั้งแต่เมื่อไหร่ก็... เทอมที่แล้วว่ะ”
“ใครวะ”
“มึงคิดว่าใครล่ะ”
ไอ้โตอ้าปากทำท่าจะถามอะไรบางอย่างออกมาอีก แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ มันคิดอยู่พักหนึ่ง “...ไอ้นะเหรอวะ”
“เออ”
มันถอนหายใจเบาๆ “ไอ้ห่าเอ๊ยยยย กูไม่เห็นเคยรู้เลยวะเนี่ย”
“มึงจะรู้ได้ไง ก็กูไม่ได้บอกใครสักคน... นอกจากไอ้ก้องเมื่อวันก่อนเนี่ย”
ไอ้โตส่ายหน้า
“เหี้ยไร ส่ายหน้าทำไมวะ มึงรับไม่ได้รึไง” ผมหยุดเดิน
มันที่เดินล้ำหน้าผมไปนิดหน่อยหยุดลงแล้วหันกลับมาหาผม “ไม่ใช่เว้ย ไอ้เหี้ย กูแค่ตกใจแล้วงงๆ นิดหน่อย โดยเฉพาะเรื่องที่ไอ้ก้องพูดน่ะ”
ผมเลิกคิ้วขึ้น ส่วนมันก็เดินกลับมากอดคอผมแล้วลากให้ผมเดินต่อไปพร้อมๆ กับมัน
“กูไม่ได้โกรธมึง ไม่ได้เกลียดมึง และไม่ได้มองมึงในแง่ลบอะไรทั้งนั้นด้วย โอเคปะ มึงเพื่อนกูเว้ย กูรักมึง ง่ายๆ แค่นั้นแหละ จบ”
“แล้วกับไอ้ก้องล่ะ” ผมถาม
ไอ้โตคิดอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งเราเดินมาถึงที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย มันก็ยกแขนลงพร้อมกับโบกแท็กซี่ที่กำลังแล่นเข้ามาหาพวกเรา
“หึ... อันนั้นก็ขึ้นอยู่กับคำตอบของมันวันนี้ว่ะ” มันพูดพลางเปิดประตูรถออก
เราสองคนนั่งรถแท็กซี่ไปลงที่หน้าหอของไอ้ก้อง โชคดีที่มีคนกำลังจะเดินเข้าหอพอดี พวกเราจึงเข้าไปพร้อมกับเขาโดยไม่ต้องโทรตามให้ไอ้ก้องลงมาเปิดประตูให้ และเมื่อออกจากลิฟท์ ไอ้โตก็เดินนำผมไปรัวกำปั้นลงบนประตูห้องของไอ้ก้องทันที
“ไอ้ก้อง! อยู่ป่าววะ!!” ไอ้โตถามเสียงดัง
“เฮ้ยๆ อะไรของมึงวะ” เสียงของไอ้เจ้าของห้องดังแว่วมาจากข้างใน
อีกไม่กี่อึดใจต่อมาประตูห้องก็ถูกเปิดออก และเมื่อไอ้ก้องเห็นว่าคนที่มาพร้อมกับไอ้โตคือผม มันก็ผงะไปทันที มันมองเราสองคนด้วยความแปลกใจ แต่ไม่ใช่แค่มันคนเดียวหรอกที่ต้องรู้สึกแบบนั้น เพราะผมเองก็กำลังรู้สึกแปลกใจที่เห็นสภาพโทรมสุดๆ ของมันแบบนี้ด้วยเหมือนกัน
ไอ้โตผลักประตูห้องให้เปิดกว้างจากนั้นก็ดันตัวไอ้ก้องเข้าไปในห้อง “โห ไอ้เหี้ย! นี่มึงอาบน้ำมั่งมั้ยวะเนี่ย สารรูปดูไม่ได้เลยนะมึง แถมยังเหม็นอีกต่างหาก!”
“พวกมึงมีอะไร มาที่ห้องกูทำไม”
“นี่ตกลงมึงป่วยหรือว่าเมาค้างกันแน่วะ ไอ้เชี่ยก้อง” ไอ้โตพูดพลางทำจมูกฟุดฟิดๆ
“เรื่องของกูน่า! สรุปพวกมึงมาที่นี่ทำไม!” ไอ้โตปัดมือของไอ้ก้องที่จับแขนเสื้อของมันอยู่ออก
“มึงเคยคุยอะไรกับไอ้ซีเอาไว้” ไอ้โตพูดตรงเข้าประเด็น
ไอ้ก้องมองหน้าของไอ้โตกับผมสลับกันด้วยแววตาหวั่นๆ ใบหน้าของมันแดงก่ำแถมยังดูมอมแมม ผมมองไปรอบห้องแล้วก็เห็นด้วยกับไอ้โตที่ว่าไอ้ก้องมันหยุดเรียนวันนี้น่าจะเป็นเพราะมันเมาค้างหรือไม่ก็เมาจนไปเรียนไม่ไหวมากกว่า เพราะทั้งบนพื้นห้อง บนหัวเตียง และปลายเตียง ต่างก็มีกระป๋องเบียร์วางกระจัดกระจายอยู่มากจนผมไม่คิดว่าจะเพิ่งเริ่มดื่มมาตั้งแต่เช้าวันนี้หรือแม้แต่เมื่อวานแน่ๆ เพราะเมื่อดูจากจำนวนกระป๋องเปล่าเหล่านี้ ผมคิดว่าอย่างน้อยมันก็น่าจะดื่มเบียร์อยู่แบบนี้มาไม่ต่ำกว่าสองหรือสามวันแล้วล่ะ
เมื่อผมเงยหน้ากลับไปสบตากับไอ้ก้อง มันก็รีบหลบสายตาของผมทันที
“เอ้า มึงมีอะไรจะพูดก็พูดมา พวกกูรอฟังอยู่”
พวกเราสามคนเงียบกันลงไปอึดใจหนึ่ง แต่แล้วทั้งผมและไอ้โตต่างก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆ ไอ้ก้องก็ร้องไห้ออกมา
“ไอ้เหี้ยเอ๊ยยย!!” มันสบถพร้อมกับคว้าคอเสื้อของไอ้โตทั้งๆ ที่น้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม “เอาสิวะ! มึงจะเกลียดกู! จะต่อยกู จะทำเหี้ยอะไรกับกูก็เอาเลย!!”
“เฮ้ย! มึงเป็นเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย ไอ้ก้อง!!” ไอ้โตคว้าข้อมือของเพื่อนมันเอาไว้
ไอ้ก้องสะบัดมือออก จากนั้นก็หันมามองหน้าผมแล้วจึงเดินตรงเข้ามาคว้าข้อมือของผมขึ้น “เอาสิวะ!! มึงก็ด้วยเหมือนกัน! ไหนๆ มึงก็คงเกลียดกูไปแล้วนี่! งั้นมึงต่อยกูเลย!! เผื่อมันจะทำให้กูตาสว่างมากขึ้น!!”
กลิ่นแอลกอฮอล์เหม็นเปรี้ยวที่โชยออกมาจากปากของมันทำให้ผมต้องย่นจมูกและเบือนหน้าหนีเล็กน้อย
“มึงใจเย็นๆ ก่อนได้มั้ยวะ ไอ้ก้อง! มึงเป็นเหี้ยอะไรของมึงเนี่ย!!” ผมสะบัดมือออก
“ไอ้ก้อง!!” ไอ้โตเดินมาจับหัวไหล่ของไอ้ก้องแล้วกระชากให้หันกลับไปเผชิญหน้ากับมัน และแล้วผมก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆ ไอ้โตก็เหวี่ยงหมัดเข้าใส่หน้าของไอ้ก้องอย่างเต็มรัก ผมได้ยินเสียงดัง ‘พลั่ก’ ของกระดูกข้อมือที่กระแทกเข้าสู่แก้มซ้ายและกรามของไอ้ก้องอย่างชัดเจน ร่างของมันหมุนไปตามแรงหมัดของไอ้โต มันเซเล็กน้อยก่อนจะตั้งหลักได้ทัน แต่แล้วผมก็ต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อจู่ๆ ไอ้ก้องที่ดูเหมือนจะตั้งหลักได้แล้วกลับล้มทรุดลงไปนั่งอยู่บนพื้นเสียเฉยๆ
“เฮ้ยยย จู่ๆ มึงไปต่อยมันทำไมวะ!” ผมเดินเข้าไปนั่งยองๆ ตรงหน้าของไอ้ก้อง คั่นกลางระหว่างมันสองคน
“ก็มันขอเองนี่หว่า แล้วกูก็ไม่ได้ต่อยแม่งแรงขนาดนั้นหรอกน่ะ แค่จะเรียกสติมันเฉยๆ”
ผมส่ายหน้าเบาๆ พลางสำรวจใบหน้าของไอ้ก้องไปด้วย “แล้วแบบนี้จะคุยกันรู้เรื่องมั้ยวะเนี่ย”
“แม่งเมาขนาดนี้คุยยังไงก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดีนั่นแหละว่ะ”
“มันเมาแน่เหรอวะ มึงถามมันแล้วรึไง” ผมหันกลับไปมองไอ้โต
มันอ้าปากจะเถียงผมต่อ แต่สุดท้ายก็ถูกเสียงของไอ้ก้องที่ชิงพูดขึ้นก่อนกลบไป
“กูไม่ได้เมา...”
“แล้วทำไมกลิ่นตัวมึงแม่งถึงได้เหม็นกลิ่นเหล้ากลิ่นเบียร์ขนาดนี้วะ ไอ้ควาย” ไอ้โตถาม
ไอ้ก้องไม่ตอบ แต่กลับนั่งชันเข่าก้มหน้าอยู่อย่างนั้น เราสามคนจึงตกลงสู่ความเงียบอันน่าอึดอัดอีกคร้ง แต่ว่าหนนี้นานกว่าเมื่อครั้งที่แล้วมาก มากจนไอ้โตหมดความอดทนอีกจนได้
“โว้ยยยยย!! เมื่อไหร่จะได้คุยกันวะ! มึงจะเอายังไงก็รีบๆ พูดมาได้มั้ย ไอ้ก้อง!!”
“กูขอเข้าห้องน้ำแป๊บนึง” ไอ้ก้องตอบเบาๆ พลางชันตัวขึ้นยืน
ผมกับไอ้โตมองหน้ากันงงๆ ในขณะที่ไอ้ก้องเดินเข้าห้องน้ำไป ผมเลื่อนตัวขึ้นไปนั่งบนเตียง ส่วนไอ้โตก็ลากเก้าอี้เขียนหนังสือมานั่งอยู่ไม่ไกลจากผม เราได้ยินเสียงน้ำก๊อกที่อ่างล้างหน้าไหล ตามมาด้วยเสียงวักน้ำ และเมื่อเสียงเงียบลงไป ทั้งผมและไอ้โตต่างก็หันไปมองที่ประตูห้องน้ำเป็นตาเดียวกัน
ไอ้ก้องเดินออกมายืนพิงผนังห้องไว้ มันถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยอ่อน
“กูกำลังจะซิ่ว...”
“ฮะ! ว่าไงนะ!” ไอ้โตถามซ้ำ
“และ... ใช่ กูเองแหละ ที่แอบชอบมึงอยู่ ไอ้ซี” ไอ้ก้องพูดต่อโดยไม่สนใจคำถามของไอ้โต
“สรุปคือมึงยอมรับ...” ผมพูดขึ้นบ้าง
“ใช่ กูยอมรับ กูขอโทษ เรื่องทั้งหมดกูทำเอง กูโกหกพวกมึงทั้งสองคน แต่ที่เหี้ยคือกูโกหกตัวเอง เพราะกูไม่อยากให้มึงโกรธและเกลียดกู ไอ้ซี ไหนๆ กูก็จะลาออกแล้ว กูอยากจะ...” มันกลืนน้ำลาย “อยากจะ ‘รัก’ มึง อยากจะให้มึงรักกูบ้าง ถึงแม้ว่ามึงจะคิดกับกูแค่เพื่อนก็ตามเหอะ” น้ำเสียงของมันเริ่มสั่นเครือ “แต่สุดท้ายกูก็ทำพังหมดทุกอย่าง! กูขอโทษ กูไม่ได้อยากให้เราเป็นแบบนี้เลย!”
“เดี๋ยวนะๆ นี่มึงจะซิ่วจริงๆ เหรอวะ ไอ้ก้อง มึงจะออกเมื่อไหร่ ปลายเทอมนี้ใช่มั้ย” ไอ้โตถาม
“ก็คงงั้น...”
“โอ๊ยยยย!! มันอะไรกันนักกันหนาวะเนี่ย!” ไอ้โตลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ มันคว้ากระเป๋าสะพายของตัวเองขึ้นจากพื้นแล้วเดินตรงไปยังประตูห้อง “พวกมึงเคลียร์กันให้เรียบร้อยแล้วกัน กูเหนื่อยแล้วว่ะ”
“อ้าว จู่ๆ มึงจะไปไหนวะ ไอ้เหี้ย” ผมถาม
“หาอะไรแดกอะดิ กูหิว และกูก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วด้วย ไหนๆ ไอ้ก้องมันก็ยอมรับแล้ว งั้นมึงก็คุยกันต่อเองแล้วกัน”
“เออ” ผมรับคำ ถึงแม้จะไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นักว่าผมจะยังมีเรื่องอะไรเหลือให้ต้อง ‘เคลียร์’ กับไอ้ก้องอีกหรือเปล่า
“ไอ้ก้อง มึงมองหน้ากู” ไอ้โตพูด “กูบอกให้มึงมองหน้ากูไง”
ไอ้ก้องเงยหน้าขึ้นช้าๆ แล้วสบตากับไอ้โต
“กูเป็นเพื่อนมึงนะเว้ย และมึงก็ยังเป็นเพื่อนกูเหมือนเดิม ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด กูให้อภัยมึง” ไอ้โตพูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะเดินออกจากห้อง
เมื่อประตูถูกปิดลง ความเงียบก็เข้ามาปกคลุมเราสองคนทันที และหนนี้มันยิ่งน่าอึดอัดกว่าเมื่อสองครั้งแรกเสียอีก
ไอ้ก้องยืนพิงผนังอยู่หน้าห้องน้ำ ส่วนผมก็นั่งอยู่บนเตียง เราต่างก็ไม่พูดอะไรออกมาเลยเป็นเวลาหลายนาที จนในที่สุดไอ้ก้องก็ยอมเอ่ยคำๆ แรกออกมาจนได้
“แล้วไอ้นะล่ะ...”
ผมปรี๊ดขึ้นทันที “มึงจะทำไมวะ แฟนกูมันทำไม เกี่ยวอะไรกับมึงหรือเรื่องนี้!”
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร กูขอโทษๆ” น้ำเสียงของไอ้ก้องบาดลึกเข้าไปในหัวใจของผมจนผมรู้สึกผิดที่เผลอใช้น้ำเสียงเมื่อครู่ออกไป
ผมถอนหายใจ “งั้นกูถามตรงๆ เลย ไอ้ก้อง คืนนั้นมึงทำอะไรกู”
“กู... กู...” มันอึกอัก
“บอกมาตรงๆ เถอะว่ะ ก่อนที่กูจะโกรธมึงอีก”
“กูใช้มือให้มึง...” มันพูดเสียงค่อยจนแทบจะเป็นกระซิบ
“แค่มืองั้นเหรอ”
“ใช่...”
“ถ้าแค่นั้นแล้วทำไมมึงไม่สบตากู”
มันเหลือบมองผมด้วยหางตาแวบหนึ่งก่อนจะหลุบตาลงต่ำไปอีกหน “ก... ก็ใช้ปากนิดหน่อย... แต่แค่นิดเดียวนะเว้ย” มันรีบพูดประโยคหลัง “ล... แล้วก็ชักให้มึงจนมึงแตก และพอมึงแตกแล้วกูก็ทำความสะอาดให้ แค่นั้นแหละ” มันเล่าด้วยเสียงที่แทบไม่ต่างจากกระซิบ
“แล้วมึงล่ะ”
“ก... กูทำไม”
“มึงได้ช่วยตัวเองรึเปล่า”
มันดูประหลาดใจกับคำถามของผม “ทำไมมึงถามอย่างนั้นวะ”
“ตอบกูมาเหอะ ตอบกูมาตามตรง”
มันหน้าแดงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก “กูชักว่าวเองหลังจากทำความสะอาดให้มึงเสร็จแล้ว”
“ที่ไหน”
“หมายความว่าไงวะ ที่ไหนอะ”
“กูก็หมายความตามนั้นแหละ มึงไปชักว่าวที่ไหน”
“ก็ต้องในห้องน้ำสิวะ”
ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“กูขอโทษ... ไอ้ซี”
“ช่างเหอะ กูไม่อยากคิดอะไรแล้วว่ะ” ผมส่ายหน้า “กูเดาว่าเรื่องทั้งหมด ความรู้สึกของมึงทั้งหมดที่มีต่อกู ก็คงเป็นอย่างที่มึงเคยเล่าให้กูฟังเมื่อตอนนั้น แต่แค่เปลี่ยนจากชื่อของไอ้โตเป็นมึง ใช่มั้ยวะ”
มันไม่ตอบ แต่ผมถือว่านั่นคือคำตอบว่า ‘ใช่’
“เพราะฉะนั้นกูก็รับรู้แล้วว่ามึงเจ็บปวดขนาดไหน แค่นั้นก็น่าจะเป็นการลงโทษมึงที่เพียงพอแล้ว” ผมบอกมัน ซึ่งที่จริงผมก็ไม่ได้คิดหรือทำใจได้ขนาดที่ปากพูดหรอก แต่ผมคิดว่าถ้าเป็นนะ เขาก็คงจะคิดอย่างนี้แน่ๆ “แล้วว่าแต่ทำไมมึงถึงจะซิ่ววะ ไอ้ก้อง... อย่าบอกนะว่าเพราะกูน่ะ”
“เปล่า เพราะพ่อกูเค้าอยากให้กูเรียนที่อื่นคณะอื่นน่ะ”
“แล้วทำไมมึงไม่บอกพวกกู”
“กูจะบอกได้ยังไงวะ ในเมื่อบรรยากาศระหว่างพวกเรากำลังเป็นกันอยู่แบบนี้ และในเมื่อกูทำทุกอย่างให้แม่งพังไปหมดแล้วแบบนี้น่ะ” มันพูดอย่างขมขื่น ร่างกายของมันสั่นเทาน้อยๆ ราวกับกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ได้ทุกเมื่อ
ผมส่ายหน้า “ไม่พังหรอก อาจจะมีรอยร้าวบ้าง แต่ไม่พังแน่นอน” ผมลุกขึ้นจากเตียง “วันนี้คุยกันแค่นี้ก่อนเหอะว่ะ ถ้ามึงอยากจะระบายอะไรอีก ก็บอกมา กูจะรับฟังมึงเอง ยังไงกูกับมึงก็เพื่อนกัน แต่วันนี้มึงไปพักผ่อนเหอะ อาบน้ำอาบท่า แดกข้าวปลาให้เรียบร้อย เลิกแดกเหล้าเบียร์เหี้ยอะไรพวกนี้ได้แล้ว เพราะแม่งไม่ได้ช่วยให้มึงแก้ปัญหาอะไรสักอย่างหรอก และจากนี้ถ้ามึงพร้อมเมื่อไหร่ก็ค่อยโทรมาหากู”
ไอ้ก้องไม่ตอบอะไร มันยังคงยืนก้มหน้าอยู่อย่างนั้น มันในตอนนี้ดูแตกต่างจากไอ้ก้องคนที่ผมเคยรู้จักตั้งแต่ตอนเรียนปรับพื้นฐานด้วยกันราวกับเป็นคนละคน และยิ่งผมคิดแบบนี้เท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกเห็นใจมันมากขึ้นเท่านั้น เพราะมันคงต้องเก็บซ่อนความอึดอัด ความขมขื่นทุกอย่างเอาไว้ในใจเพียงลำพังอยู่คนเดีวอย่างทรมานมานานแล้วจริงๆ
ผมเดินตรงเข้าไปหามัน
“ไอ้ก้อง”
มันเงยหน้าขึ้นมาหาผม
“กูให้ความรักแบบนั้นแก่มึงไม่ได้ แต่กูให้สิ่งนี้มึงได้นะเว้ย”
มันมองหน้าผมงงๆ ผมจึงดึงตัวของผมเข้าไปกอดอย่างแนบแน่น กอดแบบที่เพื่อนผู้ชายกอดกัน ผมตบหลังมันแรงๆ 2-3 ทีแล้วจึงคลายวงแขนออก
“แล้วเจอกันพรุ่งนี้ที่มหาลัย” ผมพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนเดินไปคว้าสมุดหนังสือขึ้นแล้วออกจากห้องไป