บาปรัก...บาปบริสุทธิ์ 86 “ภัทรดิษ”
ฉันรักเธอเท่านั้น ใต้แสงจันทร์มีเพียงเราสอง นั่งมองแสงดาวที่พรั่งพราว บนฟ้าไกลไปด้วยกัน เปรียบดั่งความฝันในเวลานี้ เมื่อฉันมีเธออยู่แนบชิดกาย ด้วยสายตาและสัมผัสด้วยรักที่เรามีให้กัน โอ้ฉันจะจูบเธอ
“ไม่อาบน้ำเหรอ” ผมถามเจ้าของห้องหลังจากที่ตัวผมออกมาจากห้องน้ำแล้ว เนื่องจากเห็นเจ้าของห้องยังนอนลืมตาอยู่บนเตียงฝั่งติดผนังห้องอยู่ เมื่อไอ้สิงห์ไม่ตอบผมจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเสร็จก็เดินไปปิดไฟ ผมเดินกลับมานั่งบนเตียงสักพัก ผมยังเห็นสิงห์นอนลืมตานิ่งในความมืดชัดเจนจากแสงจันทร์ที่ค่อนข้างสว่างในคืนเดือนหงายส่องผ่านหน้าต่างหัวนอนเข้ามา
“นอนไม่หลับเหรอ” ผมถามออกไปเหมือนชวนคุย เพราะเดาไม่ออกว่าเจ้าของห้องกลังคิดอะไรอยู่ ไม่รู้เต็มใจให้ผมได้นอนบนเตียงเดียวกันจริงหรือเปล่า อีกทั้งอาการนอนลืมตานิ่งๆ บนเตียงเหมือนกำลังคิดอะไรไม่ตกยิ่งทำให้ผมรู้สึกอึดอัด อยากจะลุกออกไปนอนที่ห้องรับแขกเหมือนเดิม
“ทำไมคนรอบๆ ตัวกูต้องตายจากไปทีละคนวะ พอจบงานศพหนิงแม่เอื้อยก็ดันไปบวชชีอยู่ที่วัดไม่ยอมให้พวกกูไปเยี่ยมอีก กูมีหลานมึงก็มาพรากหลานไปจากกูอีก พี่ชายกูก็กำลังจะตาย ชีวิตนี้กูไม่เหลือใครอีกแล้ว กูมีไอ้ปันเป็นเพื่อนคนเดียว อีกไม่นานมันก็ต้องไปทำงานกับพ่อมันที่น่าน แล้วกูจะอยู่กับใครวะ ฮือ...” ไอสิงห์มันพร่ำเพ้อออกมาจากปากเบาๆ ผมไม่นึกว่าหน้าตารูปร่างอย่างมันจะกล้าร้องไห้ต่อหน้าผม
“ฮึก...กูจะขายสวนลิ้นจี่ของพ่อแล้วไปบวชเป็นพระตลอดชีวิตเหมือนแม่เอื้อยดีไหมวะ” ไอ้สิงห์มันถามผมทั้งน้ำตานองหน้า ผมนอนตะแคงข้างหันไปมองหน้ามันที่ยังนอนลืมตามองเพดานนิ่งอยู่อย่างนั้น หน้าตาผิวพรรณของมันนี่ถ้าเอาไปเดินแบบ หรือเล่นละครคงเป็นดาราที่มีชื่อเสียงได้สบาย
“แล้วนายไม่มีแฟนหรือไง แต่งงานไปก็มีครอบครัวของตัวเองได้นี่ ทำไมต้องยึดติดกับคนอื่นแบบนี้ล่ะ” ผมพยายามเสนอทางเลือกให้มันได้คิดมากขึ้น อาการสะอื้นของมันทำให้ผมได้กลิ่นแอลกอฮอล์ออกมาจากลมหายใจของไอ้สิงห์ชัดเจน สงสัยนอกจากจะไม่ได้อาบน้ำแล้วยังจะไม่ยอมไปแปรงฟันอีก
“กูจะมีใครได้ เคยมีแฟนแค่สมัยเรียนมอปลาย พอจบมากูก็ช่วยพี่ศรทำแต่งาน กูอยากส่งเสียให้หนิงเรียนสูงๆ พี่ศรก็ใช้เงินรักษาโรคประจำตัวที่ตอนนั้นกูไม่รู้ว่าแกเป็นมะเร็งไปเยอะมาก ชีวิตกูอยู่แต่ในสวนลิ้นจี่ อย่าว่าแต่แฟนหรือเมียเลยมึง กูยังไม่เคยแม่แต่ได้กอดหรือจูบใครเลยด้วยซ้ำ” ไอ้สิงห์มันพูดจบก็หันมามองหน้าผมหน้ามันมีรอยแดงเพิ่มขึ้นเหมือนกับว่ากำลังอายผมอยู่ที่มาสารภาพว่าตัวเองยังบริสุทธิ์แบบนี้
“แล้ว...เอ่อ...นายอายุเท่าไรแล้วล่ะ” ผมไมรู้จะถามอะไรมันออกไปดี รู้สึกอึดอัดที่โดนมันจ้องหน้าแบบนี้ สักพักมันก็หันกลับไปมองเพดานเหมือนเดิม เสียงถอนหายใจของมันดังออกมาเหมือนกับมีเรื่องทุกข์ใจค้างอยู่ข้างในมากมาย
“กูจะยี่สิบหกปีอยู่แล้ว เพิ่งเกณฑ์ทหารออกมาได้ไม่นาน เพื่อนๆ กูแต่ละคนก้มีเมียมีลูกกันครบหมดแล้ว เหลือกูโสดอยู่คนเดียว สาวที่ไหนจะมาสนใจคนจนอย่างกู ที่มึงเห็นสภาพชีวิตพวกกูอยู่ทุกวันนี้ มึงจะรู้ไหมว่าพี่กูติดหนี้ธนาคารอยู่หลายล้าน คนแถวนี้มันรู้กันทั่ว ไม่มีใครอยากยกลูกสาวมาให้แต่งงานกับคนบ้านกูกันหรอก” ไอ้สิงห์พูดเหมือนบ่นกับตัวเอง ไม่มีอาการสะอื้นเหมือนในตอนแรก
“ยิ่งเรื่องของหนิงมาตายตอนคลอดลูกดังออกไป ชาวบ้านแถวนี้ยิ่งไม่อยากให้ลูกชายลูกสาวมาคบค้าพูดคุยกับพวกกูเลย มีแต่คนนินทาว่าบ้านกูมันอัปมงคล ขนาดญาติกูเองยังไม่มีใครสนใจครอบครัวกูเลย เพื่อนๆ เก่ากูก็ไม่เคยมาเยี่ยมหรือทักทายกูเลยสักคน คนที่นี่ถือเรื่องโชคลางกันทั้งนั้น ต่อไปก็จะไม่เหลือใครอีกแล้ว” ไอ้สิงห์มันพูดจบด้วยเสียงแหบแห้ง เหมือนคนขาดน้ำ อาการแบบนี้ทำให้ผมใจหาย
“ผมไง...ผมเป็นญาติของนายคนหนึ่ง ผมเป็นพ่อของหลานนาย ยังไงนายยังมีผมอยู่อีกคนนะ” ผมไม่รู้จะปลอบไอ้สิงห์ยังไง ยิ่งมันพร่ำเพ้อออกมา ผมก็ยิ่งสงสารมันมากขึ้น ได้แต่เอื้อมมือไปแตะแขนหนาของมันเบาๆ ไอ้สิงห์เพียงหันมามองหน้าผมแล้วยิ้มให้น้อยๆ แต่แววตาของมันกลับไม่ได้ยิ้มไปด้วยเลย
“ความจริงมึงกับกูนับญาติกันไม่ได้หรอก กูไม่อยากปิดบังอะไรทั้งนั้น กูกับพี่ศรเป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่หนิงไม่ใช่น้องแท้ๆ ของพวกกู หนิงเป็นลูกติดของแม่เลี้ยงพวกกู ดังนั้นมึงกับกูจึงไม่มีอะไรเกี่ยวดองกันทั้งนั้น” ไอ้สิงห์มันบอกให้ผมรู้ในส่วนที่ปันได้เล่าให้ผมฟังไปแล้ว
“อย่าคิดอย่างนั้น ยังไงผมก็จะให้ลูกเรียกนายว่าลุงอยู่ดี ผมสัญญากับพี่ชายนายแล้วว่าจะอยู่ดูแลนายแทนคุณนรศร ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ผมจะดูแลนายเอง” ผมพูดออกไปด้วยท่าทีจริงจัง ไอ้สิงห์มองหน้าผมเหมือนไม่เชื่อสายตา แต่ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา
“ทำไม...มึงจะมาดีกับพวกกูขนาดนี้ทำไม เมื่อวานกูยังทำไม่ดีกับมึงไว้ตั้งเยอะด้วยซ้ำ แถมมึงกับกูเพิ่งจะรู้จักกัน” ไอ้สิงห์เอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงจริงจังกลับมา เหมือนไม่อยากเชื่อว่าผมจะพูดความจริง ความรู้สึกว่ามันทำไม่ดีกับผมในตอนแรกนั้นใช่ แต่ผมไม่ได้ถือสาอะไร
“ผมเข้าใจว่านายทำไปเพราะรักน้อง นายรักหนิงมากก็เลยเกลียดผมมาก แต่ผมยังรู้สึกว่าลึกๆ แล้วนายไม่ได้เป็นอย่างที่แสดงออกกับผม ตอนผมเจ็บแขนนาย...เอ่อ...ยังเอายามาทาให้ผม...ทันทีเลย เอ่อ...แสดงว่านายเป็นเป็นดีเหมือนกัน” ผมพูดติดขัดออกไปเพราะนึกถึงตอนที่ไอ้สิงห์แก้ผ้าทายาให้ผม ทำให้ใบหน้าร้อนผ่าววูบวาบขึ้นมา
“มะ...มึงอายเหรอ” ไอ้สิงห์ทำหน้ายิ้มล้อเลียนใส่ผม เหมือนจับได้ว่าผมกำลังเขินเมื่อนึกถึงสภาพของเราทั้งคู่ ผมไม่ตอบแต่หลบตาไอ้สิงห์หันไปมองเพดานแทน เราทั้งคู่ได้แต่เงียบกันไป ผมแน่ใจว่าคนที่นอนข้างๆ ยังไม่หลับเช่นกัน แต่ไม่กล้าหันไปสบตาอยู่ดี
“หากพี่ชายนายไม่อยู่แล้วนายจะทำยังไงต่อไป” ผมถามออกไปโดยไม่ตั้งใจ ทำไมผมถึงเป็นห่วงไอ้สิงห์มันนักก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่อายุมันก็มากกว่าผมสองปี แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าควรต้องรับผิดชอบดูแลมันแทนคุณนรศรให้ได้ อยู่ๆ ผมก็นึกถึงคำพูดของไอ้โตโต้ขึ้นมา “ก็...คือกูรู้สึกว่ากูอยากดูแลพี่บาส กูรู้สึกดีเวลาได้ปกป้องพี่บาส กูก็เป็นห่วงพี่บาสตลอดเวลาที่ไม่ได้เจอกัน แล้วกูก็รู้สึกมีความสุขดีมากที่ได้อยู่ใกล้ๆ กันทุกวัน แค่นี้มันเรียกว่ารักได้หรือยังวะ กูไม่สนหรอกว่าพี่บาสจะเป็นหญิงหรือชาย ขอแค่กูรู้สึกแบบนี้กูก็ปฏิเสธหัวใจตัวเองไม่ได้แล้ว” นี่ผมกำลังมีความรักเหรอ เฮ้ย...ไม่ใช่หรอก มันเป็นเพราะผมสงสารไอ้สิงห์ต่างหาก
“กูคงทำสวนทำไร่ไปตามเรื่อง แต่คิดว่าคงไม่มีเงินจ้างคนงานแบบทุกวันนี้ ตอนนี้บางคนอยู่กับพวกกูโดยไม่เอาค่าจ้างก็มี อยู่กันมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นพ่อยันรุ่นลูกรุ่นหลาน กูคงทำของกูคนเดียวดีกว่า พอมีพอกิน ถ้าทำไม่ไหวกูก็ขายเอาเงินไปใช้หนี้ธนาคาร แล้วไปขอทำงานที่ฟาร์มเลี้ยงหมูกับพ่อไอ้ปัน หรือว่าอาจจะไปบวชตลอดชีวิตก็ได้จะได้มีข้าวกินทุกวัน กูยังไม่รู้เหมือนกัน” ไอ้สิงห์มันพูดไปเรื่อย แต่คนฟังอย่างผมรู้สึกเหมือนตกเหว ทำไมชีวิตคนเรามันช่างรันทดอย่างนี้
“ทำไมนายไม่หางานอย่างอื่นทำเป็นเรื่องเป็นราวล่ะ ทำสวนมันต้องลงทุนสูงอยู่ ไหนจะค่าน้ำ ค่าปุ๋ย ค่าขนส่ง แล้วเป็นเจ้าของอยู่ดีๆ จะไปเป็นลูกจ้างคนอื่น พอไม่รู้จะทำอะไรก็จะไปบวช คิดสั้นจังวะ” ผมบ่นออกมาจนได้ ไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงไม่วางอนาคตตัวเองให้ฉลาดกว่านี้
“มึงจะให้กูไปทำอะไรได้ กูจบแค่มอหก ความรู้ของกูก็ไม่มีมากมาย กูปลูกต้นไม้เก็บเกี่ยวเป็นอย่างเดียว นอกนั้นกูก็ไม่เคยทำอะไรอีกเลย กูไม่เหมือนมึงนี่จบมาจากอเมริกา มีเงินมีทอง มีทุกอย่าง มีแม้กระทั่งลูก กูไม่มีใครให้เป้นความหวังนี่ กูจะสู้ชีวิตไปเพื่อใครวะ” ไอ้สิงห์มันพูดใส่หน้าผมเสียงดัง ทำให้ผมได้สติขึ้นมา ไม่น่าไปพูดกับมันแบบนั้นเลย
“ผมขอโทษ ผมได้ตั้งใจจะพูดดูถูกนาย” ผมพูดเสียงเบาเหมือนคนสำนึกผิด ดูท่าทางไอ้สิงห์ใจเย็นลง มันหันตัวนอนตะแคงข้างมาทางผม เอาศอกตั้งกับพื้นเตียงใช้ฝ่ามือรองศีรษะมองหน้าผม
“ถ้ามึงกลับไปแล้วจะหาเมียใหม่มาเป็นแม่ให้หลานกูหรือเปล่า” ไอ้สิงห์ยื่นหน้าเข้ามาถามผมใกล้มากจนจมูกโด่งเป็นสันของมันเกือบจะชนแก้มผมอยู่แล้ว ใจผมเต้นแรงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ นี่ผมจะตื่นเต้นทำไมกัน ก็แค่ผู้ชายด้วยกันคนหนึ่งเท่านั้น ผมได้แต่ปลอบใจตัวเองให้สงบลง
“ยังไม่คิด และคิดว่าถ้าเป็นไม่ได้คงไม่ทำ” ผมพูดออกไปอย่างใจคิด แต่ดูท่าทางเหมือนคนข้างๆ ผมจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไร ผมต้องนอนตัวแข็งเพราะไอ้สิงห์มันกำลังจ้องหน้าผมเขม็ง ที่สำคัญหน้ามันใกล้กับผมมากจนได้กลิ่นลมหายใจ
“ทำไมล่ะ ชีวิตมึงก็พร้อมขนาดนี้ จะมีเมียกี่คนก็ยังได้” มันถามผมเหมือนกำลังลองเชิง หน้าตาดูจริงจังกับคำถามของมันมาก และยังไม่ยอมถอยห่างออกไปเสียที ผมก็ไม่กล้าขยับเพราะกลัวมันจะจับได้ว่าผมกำลังตื่นเต้นกับการได้ใกล้ชิดมันขนาดนี้
“ผมอยากจะมีเมียก็ต่อเมื่อผมเจอกับคนที่ผมรักจริงๆ เท่านั้น ถ้าไม่ใช่ผมก็จะไม่มีเสียดีกว่า ผมไม่อยากให้ใครต้องมาทรมานกับการทนอยู่อย่างอึดอัด หรือปราศจากความรักที่แท้จริง ผมเป็นคนรักแล้วรักจริง และไม่เคยล้อเล่นกับความรัก” ผมอธิบายออกไปอย่างราบเรียบตามทัศนคติที่มีต่อความรักของตัวเอง
“สุดยอดเลยว่ะ มิน่ามึงถึงยอมทิ้งน้องสาวกูไป เออ...แล้วมึงไปพลาดท่ามีลูกกับหนิงได้ยังไงวะ” ไอ้สิงห์มันถามผมเหมือนเด็กอยากรู้อยากเห็น มันเอาคางวางบนไหล่ผม ท่าทางมันเหมือนเด็กน้อยกำลังรอคุณพ่อให้เล่านิทานก่อนนอนให้ฟัง แต่ตอนนี้ร่างกายผมกลับเกร็งจนจะเป็นตะคริวอยู่แล้ว
“เอ่อ...ถ้าผมเล่าแล้วคุณจะไม่โกรธผมเหรอ” ผมถามออกไปก่อน เพราะไม่แน่ใจว่าหากเล่าความจริงให้ฟังแล้ว ไอ้สิงห์จะเชื่อผมหรือเปล่า พาลจะคิดว่าผมกุเรื่องขึ้นมาทำลายความไว้ใจที่มีต่อน้องสาวตัวเอง
“ทำไมวะ หนิงปล้ำมึงเหรอ...เฮ้ย...อะไรกัน ตัวมึงออกจะใหญ่โต สูงก็เท่ากู หนิงตัวกะเปี๊ยกเดียวจะเอาแรงที่ไหนไปปล้ำมึงวะ” ไอ้สิงห์ลุกพรวดขึ้นมานั่งขัดสมาธิมองหน้าผมเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่เพิ่งคิดออกมา
“หนิง...เอ่อ...หนิงชวนผมดื่มด้วยกันเป็นครั้งสุดท้าย แล้ว...เอ่อ...คือ...หนิง...คือ” ผมไม่กล้าเล่าด้วยความกระดากปาก และไม่อยากให้หนิงเสียเกียรติและศักดิ์ศรีจึงไม่อยากพูดออกไป แต่คนที่ผมกำลังจะเล่านั้นเป็นพี่ชายของหนิงเอง ผมก็เลยไม่กล้าปฏิเสธออกไป
“อะไรวะ...พูดสักทีสิวะ อ้ำๆ อึ้งๆ กูรำคาญ” ไอ้สิงห์ทำหน้าเหวี่ยงใส่ผมเต็มที่ มันยกขาข้างหนึ่งชันขึ้นมาแล้วกอดเข่าข้างเดียวเอาไว้ เหมือนตั้งใจรอฟังให้ผมเล่าต่อจนจบเสียที
“หนิงใส่ยาปลุกเซ็กส์ลงในแก้วให้ผมดื่ม แล้ว...เอ่อ...เราก็มีอะไรกันหลายครั้งในคืนนั้น แล้วผมก็ไม่เจอหนิงอีกเลย” ผมเล่ารวบรัดตัดความไป แต่ดูท่าทางไอ้สิงห์มันเหมือนอึ้งกับสิ่งที่ผมเล่า เดาไม่ออกว่าสีหน้าแบบนี้จะเชื่อเรื่องที่ผมบอกออกไปหรือเปล่า
“มิน่า...กูขอดูไดอารี่ของหนิง ขออ่านจดหมายของหนิงพี่ศรก็ไม่ยอมให้กูอ่าน ที่แท้เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง” ไอ้สิงห์มันยังมองหน้าผมนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ขยับเขยื้อน
“มึงบอกว่ามีอะไรกันตั้งหลายครั้ง เพราะยาเหรอวะ ถึงว่า...มึงทำหนิงติดลูกแฝด น้ำเชื้อมึงคงข้นแล้วก็เยอะมาก” ไอ้สิงห์มันยังคงวิเคราะห์สถานการณ์ออกมาอย่างคนมีความรู้น้อย แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะแบบนั้นหรือเปล่า ผมถึงมีลูกแฝดชายหญิง
“แล้วมึงตัวใหญ่ขนาดนี้ แต่น้องสาวกูขนาดตัวแทบจะครึ่งหนึ่งของตัวมึง หนึงมันรับมึงไหวได้ยังไงวะตั้งหลายรอบ แถมมึงยังโดนยาปลุกเซ็กส์อีก กูไม่อยากนึกภาพเลย” ไอ้สิงห์มันลงลึกเข้าไปสู่รายละเอียดแล้วแน่นอน ผมสังเกตได้จากปฏิกิริยาตรงกลางลำตัว ที่เริ่มพองนูนจนดันกางเกงโป่งออกมา
“พอแล้ว นอนเถอะ ดึกมากแล้วนะ” ผมเอ่ยออกไปอย่างยากลำบาก น้ำลายในปากข้นเหนียวขึ้นมาจนกลืนลงคอได้ยากเย็นเหลือเกิน และดูท่าทางไอ้สิงห์มันยังไม่ยอมฟังผม สายตาของมันกลับมองผมไปทั่วร่างจนไปหยุดอยู่ตรงจุดกึ่งกลางลำตัว ผมไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ แต่ตัวผมไม่อยากจะคิดอะไรมากกว่านี้อีกแล้วจึงรีบพลิกตัวตะแคงหันไปอีกทางแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมทับตัวหลับตาลงนอนอย่างรวดเร็ว
“กูยังไม่เคยมีอะไรกับใครเลยว่ะ กูอยากจูบ อยากกอดกับใครสักคน กูควรไปเที่ยวซ่องไหมวะ” ไอ้สิงห์มันถามผมจนผมต้อตกใจ รีบหันตัวกลับมามองหน้ามันทันที มันยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิม แต่จุดกึ่งกลางลำตัวกลับโด่งดันเป้ากางเกงพุ่งออกมา ขากางเกงอ้าออกจนเห็นถุงไข่เนียนใสสีขาวอมชมพูเหมือนผิวเจ้าของ ผมต้องเปลี่ยนมุมมองมาที่ใบหน้าของสิงห์แทน
“อย่าเลย นายไม่กลัวโรคเหรอ ไว้รอให้นายเจอคู่ของนายก่อนก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องรีบมีประสบการณ์แบบนั้นเลย มันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรที่จะไปมีอะไรกับใครก็ได้ ใช่ว่ามีแล้วมันจะรู้สึกดีไปเสียทุกครั้งเมื่อไร” ผมพูดจากประสบการณ์ของตัวเอง เพราะหลังจากผมมีอะไรกับหนิงครั้งนั้นแล้ว ผมไม่มีอารมณ์กับใครอีกเลย ผมไม่รู้สึกดีเลยสักนิดจากเซ็กส์ครั้งนั้น
“มึงสอนกูจูบหน่อยดิ” ไอ้สิงห์มันพูดเสียงเบา แต่ทำเอาผมอึ้งไปสนิท ยังไม่ทันได้ปฏิเสธมันก็คร่อมตัวลงมากดร่างผมไว้ ประกบริมฝีปากลงบนปากผมแน่นจนเจ็บ ผมตกใจจึงพยายามดันร่างมันออก แต่มันเอามือมาจับแขนผมไว้ทั้งสองข้าง อ้าปากงับผมริมฝีปากผมเข้าปาก เหมือนคนจูบไม่เป็น
“ฮะ...เฮ้ย...ปล่อยก่อน” ผมพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ไหนๆ ก็โดนผู้ชายประกบปากจูบไปแล้ว และน้ำหนักตัวที่มันกดลงมาทับผมซ้ำตรงไหล่ที่ยังระบบจากการล้มกระแทกพื้นเมื่อเช้านี้ ผมจึงต้องรีบตั้งสติ หากยิ่งขัดขืนแล้วดูจากท่าทางหื่นกระหายของคนตรงหน้า มีหวังผมคงโดนข่มขืนแน่นอนในคืนนี้
“ค่อยๆ ก่อน ผมเจ็บ” พอผมพูดออกไปแบบนั้น ไอ้สิงห์ก็ทำท่าตกใจ รีบผละร่างออกจากผม แต่ท่าทางจะกลัวผมเปลี่ยนใจหนีจึงยังคล่อมตัวผมเอาไว้อยู่อย่างนั้น ผมจึงต้องค่อยๆ ใช้ฝ่ามือประคองใบหน้าสิงห์ให้โน้มลงมาใกล้ ตัวสิงห์สั่นมากจนผมรู้สึก ท่าทางจะตื่นเต้นไม่น้อย แม้แต่ตัวผมเองก็เหมือนกัน
“ค่อยๆ อ้าปาก นิดเดียวพอ กลืนน้ำลายช้าๆ อย่าให้ไหลออกมา” ผมทำหน้าที่เป็นครูสอนคนอายุมากกว่าจูบ เมื่อริมฝีปากของสิงห์โน้มลงต่ำเรื่อยๆ แล้วค่อยทาบทับริมฝีปากของผมประกบลงอย่างอ่อนโยน ผมเริ่มขยับริมฝีปากให้เสียดสีกันเบาๆ ลมหายใจของผมกับสิงห์ราดรดใส่กันอย่าหนักหน่วง
สิงห์ถึงกับขนลุกเกรียว สะดุ้งวาบเมื่อโดนเรียวลิ้นของผมแตะไปตามริมฝีปากบางสีชมพูดสดทั้งบน และล่าง ฝ่ามือของผมลูบไล้ไปบนไหล่แกร่ง ลำแขนหนาล่ำ คนด้านบนยังคงตัวสั่นอยู่ตลอดเวลา เสียงครางอือ...ดังออกจากลำคอของสิงห์เมื่อผมส่งเรียวลิ้นชุ่มฉ่ำละเลียดเลียไปทั่วกลีบปากสีชมพู เพียงไม่กี่วินาทีสิงห์ก็เผยเผยอแยกปากออกจากกันส่งผลให้เรียวลิ้นของผมได้เข้ามาล้วงล้ำลึกซึ้งยังโพรงปากภายใน ลิ้นของเราสองคนพันเกี่ยวกระหวัดหลอมรวมจนเกือบจะเป็นหนึ่งเดียว