บาปรัก...บาปบริสุทธิ์ 85 “ภัทรดิษ”
หากเธอเป็นพระจันทร์ แน่นอนฉันต้องเป็นดาว จะอยู่เคียงข้างเธอ ไม่ให้เธอเหน็บหนาว แม้ในคราวทุกข์ใจจะอยู่ใกล้ๆ เธอ ก็เพราะว่าเธอ คือของขวัญที่สวรรค์ให้มา ฉันจะเก็บรักษามันเอาไว้ให้นาน
ผมไดเห็นหน้าเด็กทั้งสองผ่านกระจกในห้องปลอดเชื้อ ก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือทายาทของผมอย่างแน่นอน เค้าหน้าของหนิงมีน้อยมาก เรียกได้ว่าลูกของผมมีหน้าตาเหมือนผมมากที่สุด ดูๆ ไปแล้วนึกถึงรูปถ่ายใบใหญ่ของผมกับพลัสสมัยยังเป็นทารกที่ติดอยู่บนผนังห้องเด็กยังกับเป็นเด็กคนเดียวกัน เห็นแล้วผมอยากเข้าไปอุ้มลูกเหลือเกิน
“เด็กทั้งสองยังต้องอยู่ในตู้อบอีกสักพักครับ น้ำหนังแกทั้งคู่น้อยเกินไป หมอบอกว่าการอยู่ในตู้อบจะช่วยปรับอุณหภูมิ และความชื้นให้เด็ก ต้องให้ออกซิเจนแก่เด็กด้วย เด็กคลอดก่อนกำหนดต้องการสิ่งแวดล้อมที่สะอาด ผมจึงต้องยอมให้แกทั้งคู่อยู่ในตู้อบเพราะมีพยาบาลเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้ออยู่เสมอๆ ช่วงนี้แกจะติดเชื้อโรคหรือไวรัสได้ง่ายๆ ภูมิต้านทานแกน้อย และที่โรงพยาบาลยังมีน้ำนมแม่คนอื่นที่เหลือจาให้ลูกดื่มมาบริจาคให้แกได้ทานด้วย” คุณนรศรอธิบายยาวจนผมเข้าใจไม่ต้องถามอะไรเพิ่มเติม
“คุณตั้งชื่อเล่นให้แกด้วยสิครับ ผมบอกที่โรงพยาบาลว่าจะรอให้พอแกมาตั้งชื่อให้เอง ไอ้สิงห์มันอยากจะตั้งว่าน้องเสือ กับน้องกระต่าย ผมละขำมันจริงๆ ทำตัวยังกับเป็นพ่อของหลานเสียเอง” คุณนรศรพูดจบก็หันไปยิ้มให้น้องชาย ไอ้สิงห์ยังคงช็อกเรื่องพี่ชายเป็นมะเร็งอยู่จึงไม่ได้ตอบโต้อะไร ได้แต่หันมามองหน้าเฉยๆ
“บ้านนอกจังวะ” ผมพูดออกไปเท่านั้น ดูเจ้าตัวจะมีอารมณ์ขึ้นมาทันที หน้าตาดูเอาเรื่องทำท่าจะลุกขั้นมาหาผม แต่พอเห็นสายตาของพี่ชายเท่านั้นก็กลับลงไปนั่งที่เก้าอี้หนาห้องกระจกเหมือนเดิม ผมกับคุณนรศรได้แต่ยืนดูเด็กสองคนในตู้อบผ่านผนังกระจก เพราะโรงพยาบาลไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปในห้องปลอดเชื้อเด็ดขาด
“ผมขอตั้งให้ลูกชายว่าพอร์ช ลูกสาวให้ชื่อพีชแล้วกันนะครับ คุณนรศรคิดว่าเป็นยังไงครับ” ผมหันไปขอความเห็นจากคนข้างๆ เพราะไม่แน่ใจว่าจะดีไหม แต่ผมชอบที่เป็นตัวอักษรพอพาน แบบเดียวกับชื่อของผม ไอ้สิงห์หันมามองหน้าผมทำท่าคิดสักพักก็พยักหน้าเหมือนเห็นด้วย
“ชื่อเท่ห์แล้วก็น่ารักดีครับ เหมาะสมกับเป็นลูกหลานมหาเศรษฐี” คุณนรศรบอกเสียงเรียบๆ ไม่แน่ใจว่าแอบบจิกกัดผมหรือเปล่า แต่ผมไม่สนใจ ผมขอใช้ชื่อนี้แล้วกัน พยาบาลนำกระดาษมาใช้ผมจดชื่อเล่นของลูกทั้งสอง เพื่อนำไปทำสายคล้องแขนเด็ก
“เด็กชายศรัณภัทร กับเด็กหญิงศิริภัทร” ผมเอ่ยชื่อจริงที่ผมคิดเอาไว้ ผมไม่อยากใช้ชื่อที่หนิงตั้งให้ เพราะไม่อยากให้เด็กยึดติดกับแม่ที่ได้จากไปแล้ว อยากให้เด็กทั้งสองมีชีวิตใหม่ที่สมบูรณ์ในอนาคต ผมเขียนชื่อจริงลงไปในกระดาษด้วย ไอ้สิงห์รีบเดินมาดูชื่อที่ผมเขียนให้ลูกจนหน้ามันแทบจะติดกับหน้าผม
“ชื่อเพราะจังวะ มึงคิดมานานหรือยัง” มันหันหน้าถามผมจนปากเกือบจะชนแก้มผมอยู่แล้ว ผมจึงถอยใบหน้าห่างออกมานิดหน่อย เพราะลมหายใจขอมันพุ่งมาโดนหน้าผมเต็มๆ ผมแปลกใจความคิดตัวเองที่ไม่ได้รู้สึกรังเกียจเสียด้วย แต่รู้สึกเขินมากว่า อาจเป็นเพราะเหตุการณ์เมื่อเช้าที่นี้ที่มันกับผมแก้ผ้ายืนทายาให้กัน
“เพิ่งคิด” ผมตอบสั้นๆ พยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะตื่นเต้นทำไม ในเมื่อไอ้สิงห์ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเลย นอกจากจะทำท่าทีสบายๆ เหมือนผมเป็นเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง แม้ว่าผมจะเคยแก้ผ้ายืนคุยกับฝรั่งในห้องอาบน้ำสมัยเรียนที่อเมริกา หรือว่าจะก้มหน้าคุยกับเพื่อนชายเรื่องงานอย่างใกล้ชิดระหว่างดูแผนงานจนหน้าแทบจะติดกันแบบที่ไอ้สิงห์ทำกับผม แต่ทำไมหัวใจผมไม่เห็นจะเต้นแรงแบบตอนนี้เลย
“มึงเก่งนะ ตั้งชื่อลูกได้แนวดี ละอ่อนน้อยตั้งจื่อน่าฮักขนาด เป๋นจื้อตี้เท่ห์อย่างคึเลยเนาะอ้ายปันเนาะ...อะหยังคิงบ่ะอ้ายปัน คิงเป๋นซึมเส้าตึ้มตื้ออะหยังของคิงบ่ะ ตำหน้าอย่างกะควายสะตวง” ไอ้สิงห์มันพูดกับผมแล้วหันไปยิ้มพยักเพยิดกับนายปันที่ยังนั่งอยู่ตรงข้าวอี้ข้างหลัง พอเห็นนายปันยังทำหน้าแบบโลกอยู่ก็ด่าเป็นภาษาเหมือนที่ผมฟังดูแล้วค่อนข้างตลก และแปลไม่ออกอยู่หลายคำ
“อ้ายศรครับ อ้ายจะเป๋นมะเร็งต๋ายอ้ายศรบะหันบอกไผละครับ” นายปันไม่สนใจคำพูดไอ้สิงห์ แต่หันไปถามคุณนรศรด้วยใบหน้าเศร้าหมอง คุณนรศรไม่พูดอะไร เพียงยิ้มให้นายปันน้อยๆ แต่แววตาคลอไปด้วยน้ำตา เดินมาลูบหัวนายปันท่าทางเหมือนเอ็นดูนายปันดังน้องชายคนหนึ่ง
“บะต้องกึ๊ดอันหยังฮื่อมันนักปะหล่ำปะเหลือไอ้ปันเอ้ย” คุณนรศรยังคงปลอบนายปันอยู่สักพัก ผมกับไอ้สิงห์ไม่พูดอะไร ได้แต่ยืนมองสองคนนั้นอยู่กับที่ ไอ้สิงห์มันทำท่าเหมือนกำลังจะร้องไห้ ต่พอเห็นผมมองอยู่ก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่แววตายังคลอหน่วยไปด้วยหยาดน้ำใสๆ
“ไป...วันนี้ไปกินเหล้ากันดีกว่า ถือว่าเลี้ยงต้อนรับคุณพีทพ่อแท้ๆ ของหลานชายผม ไปดื่มกันนะครับคุณพีทผมเลี้ยงเอง” คุณนรศรลุกพรวดพราดขึ้นมา แล้วพูดเสียงดังจนพวกผมตกใจสะดุ้ง ไม่มีใครปฏิเสธ ทุกคนจึงเดินออกมาขึ้นรถปิกอัพคันเดิม คุณนรศรเข้าร้านสะดวกซื้อมองหาสั่งเหล้ายี่ห้อดังมาหลายขวด โซดา น้ำแข็ง
ท่าทางเหมือนตั้งใจจะกลับไปดื่มกันที่บ้าน เวลานี้เย็นมากแล้ว เรามัวเสียเวลาอยู่ที่โรงพยาบาลกันนานหลายชั่วโมง เพราะผมเองก็อยากอยู่กับลูกนาน กว่าลูกจะออกจากโรงพยาบาลได้ก็อีกเป็นเดือน หากไม่เกรงใจผมคงขอไปเยี่ยมลูกทุกวัน แต่คุณหมอบอกว่าเราได้แค่เพียงมองผ่านกระจกเท่านั้น จึงไม่มีประโยชน์ที่จะไปนั่งเฝ้าลูกบ่อยขนาดนั้น ถึงแม้ผมอยากจะกินนอนอยู่หน้าห้องลูกมากแค่ไหนก็ตาม
“ป้าคำแก้วทำอาหารเย็นไว้ให้ตรงโรงครัว ผมไม่ทานมื้อเย็น คุณไปทานกับสิงห์แล้วกัน ผมกับปันจะจัดโต๊ะกินเหล้าที่หน้าบ้าน” คุณนรศรสั่งจบก็เดินไปหน้าบ้านพักพร้อมกับปันทันที ไอ้สิงห์ก็ไม่รอผมเดินนำไปยังโรงครัวที่ผมไปทานอาหารเมื่อเช้านี้ ท่าทางคนงานจะทานอาหารกันเสร็จแล้ว
“ป้าคำแก้วยะอะหยั๋งกิ๋นกา” ไอ้สิงห์ทักป้าคำแก้วเป็นภาษาเหนือทันทีที่เห็นหน้า เดินไปเปิดฝาชีดูกับข้าวที่วางอยู่ในจานสามสี่ใบ ท่าทางจะเป็นอาหารพื้นเมืองทั้งสิ้น มีที่ผมสนใจอยู่หนึ่งจานคือหมูสามชั้นทอดจนเหลืองกรอบผสมใบมะกรูด ตะใคร้ซอยทอดกรอบที่ผมคิดว่าน่าจะเอาไปกินแกล้มกับเบียร์คงจะเหมาะมาก
“ไปตังใดมาเจ้า กิ๋นข้าวแลงแล้วกาเจ้า มีปะหล่ำปะเหลือเจ้า” ป้าแก้วยิ้มหวานมาให้ผม เหมือนกลัวว่าจะไม่เข้าใจภาษาเหนือ พร้อมส่งจานใส่ข้าวสวยร้อนๆ จนขึ้นไอน้ำเป็นควันฉุยมาให้ผมสองจาน ไอ้สิงห์ไปหยิบช้อนส้อมมาสองคู่นั่งรอก่อนแล้ว ผมจึงกล่าวขอบคุณป้าแก้วแล้วรับจานข้าวไปนั่งข้างไอ้สิงห์ส่วนป้าแก้วก็ขอตัวไปทำงานในห้องครัวของแกต่อ
“มึงกินได้หรือเปล่ามีจิ้นส้มทอดกับไข่ หมูฮุ่ม แกงฮังเล จิ้นทอดใบมะกรูด กูว่าน่าจะตักไปเป็นกับแกล้มด้วยท่าจะดี” ไอ้สิงห์มันอธิบายอะไรของมัน ใช้ภาษาเหนือปนภาษากลาง ผมต้องเดาเอาเองว่ามีแหนมชุบไข่ทอด หมูต้มซีอิ้ว แกงฮังเล กับหมูทอดใบมะกรูด ดูน่ากินดีทั้งนั้น
“กินได้สบาย” ผมตอบมันพร้อมตักข้าวเข้าปาก เพราะรู้สึกหิวมากแล้ว ไม่นายนายปันก็เดินเข้ามาในโรงครัว ตักข้าวมานั่งทานกับพวกผมโดยไม่พูดอะไร แต่ดูท่าทางไอ้สิงห์มันเหมือนเป็นปกติ ไม่ได้โศกเศร้าเรื่องพี่ชายเหมือนเมื่อตอนเช้าเท่าไร มันกับผมตักอาหารทานอย่างเอร็ดอร่อยจนอิ่ม นายปันก็ดูจะอิ่มแล้วเช่นกันทั้งที่ทานไปนิดเดียว เราจึงไปขออาหารจากป้าแก้วมาเป็นกับแกล้มเพิ่มเติม แล้วเดินกลับไปยังบ้านพัก
“มาเร็วๆ นั่งด้วยกันเร็วๆ ไอ้ปันไปหยิบแก้วมาชงเหล้าด้วย” คุณนรศรนั่งดื่มเหล้าอยู่คนเดียว ดูท่าทางจะดื่มนำไปหลายแก้วแล้วด้วย หน้าตาเริ่มแดงจนเห็นได้ชัด นายปันส่งแก้วเหล้าที่ชงแล้วมาให้ผมโดยไม่ถามเลยว่าผมดื่มแบบไหน ท่าทางจะมีแต่เหล้ากับโซดา และน้ำแข็ง สถานการณ์แบบนี้ผมไม่เรื่องมากอยู่แล้ว พวกเราดื่มไปคุยกันไปเรื่องลมฟ้าอากาศ พืชผลในสวน สถานการณ์บ้านเมืองทั่วไปจนผ่านไปหลายชั่วโมง มีทั้งภาษากลางภาษาเหนือปนกันไปหมด ไม่มีใครพูดเรื่องของหนิง เรื่องของลูกผม หรือเรื่องของคุณนรศรเลยแม้แต่คำเดียว
“ไปนอนกันได้แล้ว พรุ่งนี้ไม่ต้องตื่นแต่เช้าอย่าให้ใครมาปลุกกูนะโว้ย กูเตะไส้แตก ไอ้ปันไปเรียกป้าคำแก้วพาคนมาช่วยเก็บกวาดด้วย” คุณนรศรลุกขึ้นยืนทันทีที่พูดจบ ท่าทางเหมือนทรงตัวไม่ค่อยอยู่เพราะเมามาก นายปันกับผมจะเข้าไปช่วยพยุงก็ไม่ยอม เดินลิ่วเข้าบ้านไปนอนอย่างรวดเร็วทิ้งพวกเราไว้สามคน
“มึงทำไมไม่รักหนิงวะ มึงทิ้งหนิงไปทำไม” นายปันหันมาถามผมหลังจากที่คุณนรศรเข้าบ้านไปสักพักหนึ่งแล้ว ผมรู้ว่าทุคนเริ่มมีอาการเมา รวมถึงตัวผมเช่นกัน เหล้าหมดไปสามขวดขนาดนี้ กับแกล้มแทบไม่มีใครแตะเลยด้วยซ้ำ ไอ้สิงห์ก็หันมาจ้องหน้าผมเหมือนรอคำตอบเช่นกัน
“คือ...หนิงมาขอคบกับผมก่อน จากนั้นผมกับหนิงเราตกลงกันว่าจะคบกันเป็นแฟน แต่พอผมตัดสินใจจะไปเรียนต่อก็เพิ่งเข้าใจตัวเองว่าไม่ได้รักหนิง จึงไม่อยากเหนี่ยวรั้งตัวหนิงเอาไว้ ผมรู้สึกว่าหนิงทุ่มเทให้ผมมากเกินไปจนไม่เป็นตัวของตัวเอง ผมก็เลยบอกเลิกกับหนิง” ผมอธิบายสั้นๆ ไม่มีใครพูดอะไรตอบกลับมา
“ทำไมไม่เป็นกูวะ กูทั้งรักทั้งดูแลเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก หนิงกลับไม่เคยสนใจกู มองกูเป็นแค่พี่ชายคนหนึ่ง กูมันไม่ดีตรงไหน” นายปันพูดออกมาเบาๆ ไอ้สิงห์หันไปมองหน้านายปันแล้วก็ส่ายหน้า ทำให้ผมเข้าใจทันทีว่าปันแอบรักหนิง แต่หนิงคงไม่เคยสนใจปันเลย
“หรือเพราะกูจน กูไม่รวยเหมือนไอ้นี่ กูไม่หน้าตาดีเหมือนมัน กูมันบ้านนอกอยู่บนดอยไม่ใช่เสี่ยหนิงถึงไม่เคยสนใจกูเลย” ไอ้ปันหันมามองหน้าผมเหมือนคนหาเรื่อง จนไอ้สิงห์เริ่มทำหน้าไม่พอใจ เหมือนหักห้ามใจอะไรสักอย่าง มือสองข้างกำเอาไว้แน่น ท่าทางเหมือนอยากจะชกหน้าปัน
“อ้ายปัน ถ้ามึงไม่หนุยพูดดูถูกน้องสาวกูอีก กูจะชกมึงให้ปากแหกตรงนี้” ไอ้สิงห์กัดฟันพูดออกมา เหมือนนายปันจะได้สติมากขึ้น คำพูดที่พร่ำเพ้อออกมาเหมือนดูถูกหนิงว่าเป็นคนเห็นแก่เงินจึงมาชอบผมคงไม่เข้าหูพี่ชายที่รักน้องสาวมากมายอย่างไอ้สิงห์เท่าไร หากเป็นผมมีใครมาว่าพี่น้องผมแบบนี้ผมก็คงไม่ยอมเหมือนกัน
“หนิงเป็นคนดีโว้ย กูเลี้ยงน้องกูมาอย่างดี ถ้าน้องกูชอบไอ้หนุ่มกรุงเทพนี่ขนาดยอมมีลูกกับมัน แสดงว่ามันต้องมีอะไรดีแน่นอน น้องสาวกูถึงรักมันขนาดนี้ ตอนนี้กูทำใจแล้วว่ะ กูจะยอมรับมันเป็นน้องเขยเพื่อน้องสาวกู พ่อแม่กูตายไปตั้งแต่ยังเล็ก แม่หนิงเลี้ยงกูกับพี่มาจนโต ยังไงกูก็รักหนิงเหมือนน้องสาวในไส้ มึงรักมึงชอบน้องสาวกูมากกูก็รู้ แต่ถ้ามึงว่าน้องสาวกับน้องเขยกูอีกกูตัดเพื่อนกับมึงแน่นอน จำไว้ไอ้ปัน” ไอ้สิงห์มันพูดจบก็ยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มจนหมด แล้วลุกจากเก้าอี้เดินเข้าบ้านไป
“เอ่อ...หนิงกับคุณนรศร และคุณสิงห์ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ หรอกเหรอครับ” ผมอดถามไม่ได้ เพราะสงสัยเหมือนกันว่าเคยได้ยินคุณนรศรบอกว่าพ่อแม่เสียชีวิตไปตั้งแต่เด็ก แต่ผมยังเคยเจอแม่หนิงอยู่ที่บ้านในตัวเมืองเชียงรายสมัยที่ยังเคยคบกันอยู่เลย นายปันหันมามองผมด้วยหางตาทีหนึ่งโดยไม่พูดอะไร สักพักก็ก้มหน้าลงแล้วพูดดอกมา
“พ่อแม่พี่ศรกับไอ้สิงห์ประสบอุบัติเหตุตายตั้งแต่ไอ้สิงห์ยังเล็ก ส่วนแม่ของหนิงเป็นเมียน้อยพ่อพี่ศร หนิงเป็นลูกติดจากผัวเก่าของแม่หนิง พ่อพี่ศรซื้อบ้านในตัวเมืองให้อยู่กันสองแม่ลูก พอพ่อแม่พี่ศรตายญาติทุกคนก็อยากจะมาขอแบ่งสมบัติ แต่แม่ของหนิงไม่ยอมทั้งที่เป็นแค่เมียน้อย กลับมาปกป้องดูแลสวน ดูแลคนงานส่งเสียให้พี่ศรเรียนหนังสือจนจบ พี่ศร ไอ้สิงห์ และหนิงก็เลยรักกันเหมือนพี่น้องตลอดมา” นายปันพูดไปเรื่อยๆ เหมือนคนรำลึกความหลัง
“กูอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก เมื่อก่อนสวนลิ้นจี่ของพ่อเลี้ยงใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของเชียงราย แต่นับวันเศรษฐกิจยิ่งไม่ดี ที่ดินในสวนลิ้นจี่ก็ถูแบ่งขายเอาเงินไปให้หนิงเรียน และคงเอาไปรักษาโรคมะเร็งของพี่ศรด้วย แต่ไม่เคยมีใครกล้าถาม คนงานก็ลาออกไปหมดจนเหลืออยู่ไม่กี่คนอย่างที่เห็น นี่ถ้าพี่ศรตายด้วยโรคมะเร็งก็คงไม่เหลืออะไร ไอ้สิงห์คงหมดตัวกับค่ารักษาพี่ชายมันแน่ๆ ยังไงมันก็ไม่ยอมให้พี่ศรตายง่ายๆ หรอก” นายปันพูดจบก็ถอนหายใจ นั่งกันเงียบๆ สักพักก็ลุกขึ้นเดินกลับที่พักคนงานไป เหลือผมนั่งอยู่คนเดียว
ผมเก็บกวาดพื้นที่ได้สักพักก็มีคนงานผู้หญิงมากับป้าคำแก้วช่วยเก็บที่เหลือจนสะอาดเรียบร้อย ผมจึงเดินเข้าบ้านพักไป คิดจะนอนตรงชุดรับแขกที่เดิมแต่นึกขึ้นได้ว่าลืมกระเป๋าเป้เอาไว้ในห้องไอ้สิงห์ ผมเดินไปจับลูกบิดประตูดูไม่ได้ล็อกห้องก็เลยเปิดเข้าไป ภายในห้องปิดไฟมืดแต่สามารถมองเห็นเจ้าของห้องนอนในสภาพกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียวเหมือนเมื่อคืนชัดเจน เพราะสีผิวที่ขาวเนียนไปทั้งร่าง ผิวขาวสว่างใสจนอมชมพูจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ ดูท่าทางคงยังไม่ได้อาบน้ำ ส่วนตัวผมก็ไม่อยากรู้สึกอาบเพราะอากาศที่นี่เย็นมากแม้ในบ้านไม่มีเครื่องปรับอากาศหรือพัดลม
“มึงจะไปนอนข้างนอกอีกเหรอ” เสียงไอ้สิงห์ถามผมขณะที่ผมกำลังก้มหยิบของที่วางอยู่รอบๆ กระเป๋ายัดเข้าไปข้างใน เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นเจ้าตัวลุกขึ้นนั่งบัดสมาธิอยู่บนเตียงแล้ว ผมไม่พูดแต่พยักหน้าตอบเบาๆ เพราะจำได้ว่าเจ้าของห้องไม่ชอบใครมาวุ่นวาย แต่ไอ้สิงห์กลับลุกขึ้นเดินไปเปิดไฟในห้องแล้วกลับไปนั่งที่เตียงเหมือนเดิม
“มึงนอนห้องนี่ล่ะ นอนบนเตียงกูนี่ เตียงกว้างนอนสองคนได้สบาย ถ้าจะอาบน้ำก็รีบๆ แล้วมานอนได้แล้ว” ไอ้สิงห์พูดจบก็ล้มตัวลงนอนโดยไม่ห่มผ้าเหมือนเดิม ผมเดาว่าคืนนี้มันคงจะเมาหนัก เมื่อคืนนี้จนถึงเมื่อเช้า ยังตะโกนใส่หน้าผมจนหูชา ทำอะไรก็ไม่ถูกหูถูกตามันไปหมด แต่ตอนนี้กลับพูดกับผมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แถมยังใจดีให้ผมนอนบนเตียงเดียวกับมันอีก