บาปรัก...บาปบริสุทธิ์♥นิยายรักหื่นเซ็กเศร้าเอาฮา ตอนพิเศษ (9) หน้า 89 (24-02-14)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บาปรัก...บาปบริสุทธิ์♥นิยายรักหื่นเซ็กเศร้าเอาฮา ตอนพิเศษ (9) หน้า 89 (24-02-14)  (อ่าน 1001763 ครั้ง)

ออฟไลน์ lidelia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-1
เอ๋ 2 คนนี้จะใช่คู่กันไหมนะ ติดตามๆ  :L2:

ออฟไลน์ ujen

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2455
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +183/-13

ออฟไลน์ PetitDragon

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +343/-5

ออฟไลน์ ChaBuShi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-1
อย่าบอกน๊าว่านี่คู่ใหม่ ขนาดยังไม่ได้เจอกันยังปะทะคารมกันขนาดนี้

ถ้าเจอกันแล้วจะขนาดไหนเนี้ย รอๆ คู่ของพีทคร๊า ว่าจะดุเดือดขนาดไหน  :z1: :z1:

paulla

  • บุคคลทั่วไป
อีก 1 คู่ที่กำลังจะเริ่ม ว่าแต่ใครเมะ ใครเคะกันล่ะเนี่ย

ออฟไลน์ Noi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-2

ออฟไลน์ bytoey

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 865
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +197/-3

ออฟไลน์ entirom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1010
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-2
ศึกหนักนะพีช

ทั้งลูกทั้ง ว่าที่สามี
คุณแม่ยายว่างัยค่ะ ได้ทั้งสะไภ้และเขยพร้อมๆกับหลานอีกสอง

totoken

  • บุคคลทั่วไป
บาปรัก...บาปบริสุทธิ์ 83 “ภัทรดิษ”
อย่าเข้าใจฉันผิด โปรดอย่าเข้าใจฉันผิด ฉันขอให้เธอลองเดินมาดูให้ลึกถึงข้างใน ฉันขอให้เธอสัมผัสและอยากให้เธอได้เข้าใจ ว่าทำไมฉันถึงทำอย่างนั้น

        “สวัสดีครับคุณนรศร” ผมยกมือไหว้พี่ชายของหนิงทันทีที่เปิดประตูรถปิกอัพคันใหญ่เข้าไปนั่งฝั่งข้างคนขับ คุณนรศรเพียงพยักหน้าให้ ผมรู้สึกถึงบรรยากาศของความมาคุได้ทันทีที่ขึ้นไปนั่งบนรถ ไอ้ปกติผมก็ไม่ได้เป็นคนพูดมากนักหรอก แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันแล้ว ผมไม่มีอะไรติดค้างในใจเรื่องน้องชายผมอีกแล้ว ดังนั้น ผมจึงกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้มากขึ้น ไม่ต้องเก็บความรู้สึกเหมือนเมื่อก่อน

        “ทำไมคุณมารับผมดึกขนาดนี้ล่ะครับ” ผมเอ่ยถามไปทันทีที่นึกสงสัย รู้สึกแปลกที่ไม่ได้เกรงกลัวคนข้างๆ เลยแม้แต่น้อย พี่ชายของหนิงเป็นคนตัวสูงใหญ่ ผมคิดว่าผมกับพลัสสูงมากแล้วนะ แต่พี่ชายของหนิงน่าจะสูงกว่า รูปร่างใหญ่ผิวค่อนข้างคล้ำ ผมค่อนข้างบาง ใบหน้าคมสันแต่ดูหม่นหมอง รูปกรามหนามีหนวดเคราค่อนข้างดกเขียวครึ้มไปทั้งใบหน้า แววตาดุเฉี่ยว จมูกค่อนข้าวใหญ่ แต่ดูโด่งสวย ท่าทางตอนวัยรุ่นคงหล่อน่าดู ริมฝีปากหนาได้รูปเม้มอยู่นานกว่าจะขยับเปิดปากออกมาได้

        “ท่าทางคุณนี่จะไม่ได้รู้สึกกลัวผมเลยเหรอไง คุณทำให้น้องสาวผมท้องไม่พอ ยังทำให้หนิงต้องตายหลังจากคลอดเด็กอีก” น้ำเสียงเข้มแต่ราบเรียบ ไม่บอกถึงอารมณ์ใดๆ ว่าโกรธ หรือเกลียดผม ยิ่งทำให้รู้สึกใจหาย ผมรู้สึกผิดมากที่ทำให้หนิงต้องประสบชะตากรรมแบบนี้ แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกกลัวพี่ชายหนิงเลยแม้แต่น้อย

        “ผมไม่ได้รู้สึกกลัวคุณหรอกครับ แต่ผมรู้สึกผิดกับครอบครัวคุณ และหนิงมากกว่า ผมหวังจะมาอธิบายให้ครอบครัวหนิงได้เข้าใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าผมไม่ยอมรับผิด ที่ผมมาที่นีเพื่อจะบอกว่าเรื่องทั้งหมดผมมีส่วนผิดแน่นอน แต่ขอโอกาสให้ผมได้อธิบาย และรับผิดชอบลูกของหนิงจากพวกคุณ” ผมพูดออกไปด้วยความจริงใจ

        “ดี...คุณยังมีความเป็นลูกผู้ชายอยู่พอสมควร ถือว่าคุณโดนใจผม เรื่องของหนิงกับลูก ผมขอกลับไปคุยที่บ้านผมดีกว่า ส่วนที่ผมมารับคุณช้าเพราะผมมีธุระสำคัญจริงๆ ผมไปหาหมอด้วยโรคประจำตัว อาการผมไม่ค่อยดีก็เลยพักนานไปหน่อย” พี่ชายหนิงอธิบายโดยไม่มองหน้าผม สายตายังจับจ้องไปบนถนน เรากำลังขับไปในเส้นทางนอกเมือง

        “คุณเป็นอะไรเหรอครับ แล้วขับรถไหวหรือเปล่า ให้ผมช่วยขับแทนได้นะครับ คุณจะได้พัก” ผมถามไปเรื่อยเหมือนชวนคุย และคิดว่าอาการของคุณนรศรยังดูไม่ดีเท่าไร เพราะท่าทางดูทรุดโทรมเหมือนคนเพิ่งฟื้นไข้

        “ไว้ผมจะบอกคุณทีหลัง แต่ผมยังขับรถได้อยู่ ขอบใจที่เป็นห่วง” พี่ชายหนิงตอบเสียงเรียบ แล้วไม่พูดอะไรต่อ จนผมเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมา อยากจะกดปุ่มเครื่องเสียงในรถเพื่อเปิดเพลง แต่ยังไม่กล้าทำขนาดนั้น จึงได้แต่นั่งมองวิวข้างทางที่มืดมิดจนแทบมองอะไรไม่เห็น เห็นแต่เงาในกระจกหน้าต่างประตูรถสะท้อนไปยังคนขับรถแทน

        “โรคของคุณต้องเข้ามารักษาที่ตัวเมืองบ่อยแค่ไหนเหรอครับ” ผมอดสงสัยไม่ได้จึงต้องถามออกไป หากเป็นโรคประจำตัวที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลบ่อยๆ ทำไมคุณนรศรถึงไม่พักในตัวเมืองเสียเลย กลับขับรถไปกลับไกลขนาดนี้ หากเป็นอะไรระหว่างทางขึ้นมาจะทำอย่างไร

        “ผมต้องเข้ามาหาหมอให้ดูอาการทุกเดือน ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อนผมก็ไม่ต้องมาบ่อยกว่านั้น ที่สำคัญ ผมมีงานที่ต้องรับผิดชอบหลายอย่าง เลยไม่อยากให้ครอบครัวต้องคิดมากเรื่องผม เอาไว้ผมจะบอกรายละเอียดกับคุณอีกทีแล้วกัน” คุณนรศรยังคงพูดโดยไม่มองหน้าผมเหมือนเดิม ลังจากนั้นเราก็เงียบกันไปตลอดทาง

        “ใกล้จะถึงบ้านผมแล้ว ผมกับน้องชายทำสวนลิ้นจี่ที่นี่ และคนงานอีกไม่กี่คนก็พักอยู่ในสวนเลย ที่นี่ไม่สะดวกเหมือนโรงแรมที่คุณพัก ผมหวังว่าคุณคงอยู่ได้นะ” คุณนรศรพูดเหมือนเหยียดใส่ผม แต่ถึงยังไงผมก็ตั้งใจแล้วว่าจะพยายามไม่คิดมากกับคำพูดของครอบครัวนี้ เพราะผมตั้งใจจะมารับผิดชอบความผิดที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว จึงไม่แปลกหากคนในครอบครัวของหนิงจะไม่ชอบผม

        “ผมพักที่ไหนก็ได้ครับ อากาศที่นี่ดีจังเลยนะครับ” พอลงมาจากรถ ผมชวนคุณนรศรคุยแบบไม่ใส่ใจคำพูดของคุนรศรเท่าไร บรรยากาศเงียบสงัดมาก มีเพียงลมเย็นๆ ที่พัดมากับเสียงลมกระทบใบไม้ของต้นไม้รอบๆ บริเวณก่อให้เกิดเสียงธรรมชาติที่ไพเราะ ช่วยให้จิตใจผมสงบอย่างไม่น่าเชื่อ

        “คุณคงชินกับอากาศในเมืองสินะ ธรรมชาติยังไงก็ต้องดีกว่าแสงสีในเมืองอยู่แล้วล่ะ ตามผมมาข้างในได้แล้ว ที่นี่ยิ่งดึกอากาศยิ่งเย็น” คุณนรศรไม่วายกัดผมอีก พูดจบก็เดินนำผมไปยังบ้านไม้ชั้นเดียวที่สร้างขึ้นอย่างง่ายๆ แต่ดูมีสไตล์ ตัวบ้านทั้งหลังเน้นการโชว์สีธรรมชาติของเนื้อไม้เหมือนบ้านในรีสอร์ททั่วไป หน้าบ้านมีสวนเล็กๆ บนสนามหญ้าที่เรียบง่าย เมื่อลมพัดพริวดอกไม้จากตนไม้รอบๆ ล่วงหล่นเล่นลมสู่พื้นสนามหญ้า คุณนรศรพาผมเดินไปตามทางที่เว้นพื้นที่ส่วนหนึ่งไว้สำหรับเป็นช่องว่างทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินธรรมชาติจากสวนหน้าบ้าน

        คุณนรศรล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบกุญแจบ้านออกมาเปิดประตู แล้วเปิดสวิทย์ไฟด้านใน จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างใน ผมจึงเดินตามเข้าไปเงียบๆ ภายในบ้านไม้ดูกว้างไม่มีฝ้าเพดาน ลักษณะเหมือนบ้านพักในรีสอร์ททั่วไป เสาไม้กลางบ้านเป็นตัวรับน้ำหนักคานที่เปิดโล่ง

        “เชิญตามสบาย ที่นี่มีห้องนอนสองห้อง คือห้องผมกับห้องน้องชาย แต่ผมไม่สะดวกให้คุณนอนห้องผม คุณนั่งรอที่นี่ก่อน เดี๋ยวผมมา” คุณนรศรพูดจบก็เดินเข้าไปด้านใน ภายในบ้านทั้งหลังตกแต่งทุกอย่างด้วยไม้ขดเงา แม้แต่เฟอร์นิเจอร์ที่ดูเรียบง่ายแต่ประณีตสวยงาม โถงกลางบ้านเป็นพื้นที่ว่าง มีเสาสองต้นแบ่งพื้นที่ตัวบ้าน บริเวณขวามือเป็นพื้นที่ห้องนั่งเล่นมีชุดรับแขกทำด้วยไม้ ไม่มีทีวี ไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก แต่ยังมีไฟฟ้าให้ใช้ บริเวณด้านซ้ายคงเป็นห้องทานอาหาร เพราะมีโต๊ะไม้แบบยาวพร้อมชุดเก้าอี้อีกแปดตัว เหมือนโต๊ะประชุมวางอยู่เท่านั้น ผนังห้องมีหน้าต่างค่อนข้างเยอะ แต่ไม่มีรูปภาพ หรือของประดับแม้แต่ชิ้นเดียว

       เดินสำรวจไม่นานก็ทั่วบ้าน อยู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงเอะอะมาจากผนังห้องด้านใน ตรงกลางเป็นช่องทางเดิน มีผนังกั้นห้องฝั่งซ้ายกับฝั่งขวา สุดทางเดินเป็นประตูออกไปสู่หลังบ้าน ผมยังยืนอยู่ตรงกลางบ้านรอเจ้าของบ้านมาบอกผมว่าจะให้ผมนอนตรงไหน

        “พี่ให้มันนอนหน้าห้องก็ได้นี่นา ทำไมต้องให้มันมานอนในห้องผมด้วย โธ่โว้ย...เซ็งชิบ” พอประตูห้องนอนฝั่งซ้ายเปิดออก ผมก็ได้ยินเสียงของชายหนุ่มอีกคนดังออกมาก่อน ผมยังยืนอยู่ที่เดิมรอดูสถานการณ์ไม่นานคุณนรศรก็เดินออกมาปิดสวิทย์ไฟห้องโถง

        “คุณเข้าไปนอนในห้องนี้ได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาคุยกันเรื่องธุระของหนิง” คุณนรศรพูดกับผมจบก็เดินไปเปิดประตูห้องฝั่งขวาเข้าไปข้าง ปิดประตูเสียงค่อนข้างดังเหมือนไม่สบอารมณ์เท่าไร ประตูห้องฝั่งซ้ายยังเปิดอยู่ แสงสว่างจากภายในห้องส่องออกมา ผมจึงเดินไปยังหน้าประตูห้องฝั่งซ้าย

        “ขอโทษนะครับที่มารบกวน” ผมบอกชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียว ผิวขาวจัด หน้าตาหล่อเหลาไร้ที่ติ ตัดผมสกินเฮด ร่างกายแข็งแกร่งพร้อมหน้าท้องเป็นลอนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยงาม เหมือนคนออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ กำลังก้าวเดินลงจากเตียง ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่กางเกงบ็อกเซอร์สีขาวสะอาดนุ่งอย่างหมิ่นเหม่เพียงตัวเดียวเท่านั้น

        “มึงนอนที่พื้นแล้วกัน กูไม่ชอบให้ใครมานอนบนเตียงส่วนตัวกู” ผู้ชายคนนี้ท่าทางจะอายุใกล้เคียงกับผม สีหน้าบ่งบอกได้เลยว่าไม่พอใจในตัวผมสูงมาก ดูจากอาการที่เดินไปเปิดตู้ไม้ใบริมผนังห้องเพื่อดึงผ้านวมหนึ่งผืนโยนลงมากลางห้องให้ผม แล้วก็เดินกลับไปล้มตัวลงนอนบนเตียงเสียงดังโดยไม่มองหน้าผมสักนิด

        “ปิดประตูด้วย กูจะนอนแล้ว มึงรีบปิดไฟซะทีสิวะ” เสียงของชายคนนี้ค่อนข้างดังกว่าเดิมเมื่อหันมามองผมที่ยังยืนอยู่กลางห้องนอน ผมตัวรู้ว่าครอบครัวนี้คงไม่ยินดีต้อนรับผมเท่าไร และรู้ว่าผมเป็นใครมาทำอะไรที่นี่ ดังนั้นผมจึงก้มตัวหยิบผ้านวมผืนนั้น แล้วเดินไปปิดไฟห้องนอนให้น้องชายคุณนรศร แล้วปิดประตูออกมาจากห้องอย่างเงียบๆ ผมเดินไปที่ชุดรับแขก วางกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่ไว้บนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง จัดการปูผ้านวมลงบนเก้าอี้รับแขกตัวยาว แล้วหยิบผ้าเช็ดตัวที่เตรียมมาในกระเป๋าเป้มาม้วนเป็นหมอน แล้วนอนบนเก้าอี้รับแขกตัวนั้น ผมดึงชายผ้าที่เหลือจากการรองนอนมาห่มตัวเนื่องจากอากาศที่นี่ค่อนข้างเย็น

        คืนนี้ผมนอนไม่หลับ ไม่ใช่เพราะแปลกที่ หรือที่นอนไม่อำนวยต่อการหลับอย่างสบาย แต่ผมมีเรื่องที่ต้องคิดในใจมากมาย ผมคิดว่าลูกของผมไปอยู่ที่ไหน แล้วตอนนี้ใครเป็นคนดูแล อยากจะถามคุณนรศรแต่ก็ไม่กล้า เพราะคิดเอาเองว่าควรจัดการเรื่องขอขมาต่อหนิงให้เสร็จเรียบร้อยก่อน แล้วค่อยจัดการเรื่องลูกของผมอีกที

        ผมเฝ้าวนเวียนคิดเรื่องหนิงกับลูกอยู่จนเช้า ดูนาฬิกาข้อมือเป็นเวลาตีห้าครึ่ง ได้ยินเสียงประตูห้องด้านในเปิดออก คุณนรศรเดินออกมาจากห้องตรงไปยังประตูบ้าน ผมจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ยาว แล้วสะบัดผ้านวมพับให้เรียบร้อย และเก็บผ้าเช็ดตัวที่รองหัวลงกระเป๋าเป้อย่างรวดเร็ว

        “อรุณสวัสดิ์ครับคุณนรศร” ผมหันมาเห็นคุณนรศรยืนมองผมค้างอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่สีหน้าดูไม่พอใจเท่าไร คนบ้านนี้หน้าตาเป็นแบบนี้ทุกคนเลยหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ หรือเป็นเฉพาะกับผมสุดแท้จะเดาได้

        “คุณออกมานอนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร” คุณนรศรไม่กล่าวทักทาย แต่กลับยิงคำถามใส่ผมเสียงดุ ท่าทางจะไม่พอใจมากที่ผมออกมานอนข้างนอกตรงนี้ ผมจึงไม่รู้จะตอบยังไง เมื่อคุณนรศรเห็นว่าผมยังไม่ตอบคำถามจึงเดินย้อนกลับไปยังด้านในบ้าน เคาะประตูห้องน้องชายเสียงดัง

        “ไอ้สิงห์...ไอ้สิงห์ เปิดประตู ตื่นแล้วออกมามาคุยกันหน่อย” คุณนรศรทุบประตูเสียงดัง ดูเหมือนน้องชายคุณนรศรที่ชื่อสิงห์จะล็อกห้องเอาไว้ด้วย เดาว่าคงกลัวผมจะเปลี่ยนใจกลับเข้าไปนอนในห้องกลางดึกหรือเปล่า สักพักประตูห้องก็เปิดออก

        “อะไรวะพี่ศร คนจะหลับจะนอน แหกปากโวยวายอะไรแต่เช้า” นายสิงห์ออกมาในสภาพไม่ต่างจากเมื่อคืน ต่างกันเพียงตรงเป้ากางเกงบ็อกเซอร์ที่ตุงโด่งรับอรุณยาวเช้า ดูท่าทางคงจะแข็งแรงน่าดู ลำตัวเอนพิงกรอบประตูเหมือนยังงัวเงียเต็มที่ มือข้างหนึ่งล้วงลงไปด้านหลังเกาก้นแบบไม่อายสายตาใคร คงเห็นว่าที่นี่มีแต่ผู้ชาย พูดจบปากก็หาวออกมาด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อนใดๆ

        “ทำไมแกปล่อยให้คุณพีทนอนนอกห้อง” คุณนรศรถามน้องชายเสียงเข้ม

        “โธ่...นึกว่าเรื่องอะไร ผมไม่ได้ไล่หรือบังคับมันเลยนะพี่ มันออกไปนอนของมันเอง ไม่เชื่อถามมันดูดิ” นายสิงห์พูดออกมาด้วยนำเสียงเบื่อหน่ายเต็มที่ ผมคิดว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีจึงรีบเดินเข้าไปอธิบาย

        “ใช่ครับคุณนรศร ผมอยากออกมานอนข้างนอกเองครับ ให้ผมนอนตรงนั้นเถอะครับ ผมนอนที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น เรื่องเล็กแค่นี้เอง อย่าให้มีเรื่องกันเลยนะครับ” ผมรีบแก้ตัวให้นายสิงห์แทน ไม่อยากให้พี่น้องต้องมามีเรื่องกันด้วยที่หลับที่นอนของผม ในเมื่อผมตั้งใจจะมาขอขมาในเรื่องของหนิงก็แย่พอแล้ว

        “เห็นมะ มันยากออกมานอนของมันเอง ผมไม่ได้ไล่มันซะหน่อย เสียเวลานอนชิบ” นายสิงห์พูดจบก็ทำท่าจะปิดประตู แต่คุณนรศรยังจับบานประตูเอาไว้

        “แกไม่ต้องนอนแล้ว ให้คุณพีทเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อในห้องแก แล้วแกก็พาคุณพีทออกมากินข้าวเช้าด้วยกันที่บ้านพักคนงาน” คุณนรศรสั่งจบก็เดินผ่านหน้าผมออกไปข้างนอก ส่วนนายสิงห์หันมามองหน้าผมตาขวาง เหมือนเกลียดชังในตัวผมมานานแรมปี

        “มึงจะยืนรอให้กูไปอุ้มมึงเข้ามาอาบน้ำหรือไงวะ” นายสิงห์มันตะโกนใส่หน้าผมด้วยเสียงดังเหมือนไม่พอใจมากที่เห็นผมยังยืนดูท่าทีอยู่แบบนั้น ผมได้แต่ถอนหายใจด้วยความระอา แล้วหันไปหยิบเป้เดินผ่านเจ้าของห้องที่ยืนกอดอกพิงกรอบประตูเข้าไปข้างใน

        “อาบเร็วๆ นะโว้ย” นายสิงห์ตะโกนใส่ผมอีกรอบก่อนจะเดินไปยังเตียงนอน ล้มตัวตะแคงหันหลังให้ผมเหมือนรำคาญผมเต็มที่ ผมชักอึดอัดกับท่าทีเจ้าของห้องมากขึ้นทุกที แต่จำเป็นต้องอดทนเอาไว้เพื่อลูก หลังจากรื้ออุปกรณ์เตรียมตัวอาบน้ำออกมาจนครบผมก็ถอดเสื้อผ้าเหลือแต่กางเกงในตัวเดียว หยิบผ้าขนหนูและอุปกรณ์เดินเข้าห้องน้ำไป

       ภายในห้องน้ำค่อนข้างเล็กแต่มีอุปกรณ์ครบครัน ทั้งอ่างล้างหน้า ฝักบัว ชักโครก ผนังกรุด้วยหิน ด้านบนมีช่องระบายอากาศทำให้ห้องน้ำไม่อับชื้น ผมวางอุปกรณ์อาบน้ำบนชั้นติดผนังที่ค่อนข้างโล่ง มีแค่ของใช้ของนายสิงห์คือสบู่กับแชมพูเท่านั้น หน้ากระจกบนอ่างล้างหน้าก็มีแค่มีดโกนหนวด แปรงสีฟันกับยาสีฟัน ราวแขวนผ้ามีผ้าเช็ดตัวสีน้ำเงินเข้มของเจ้าของห้องแขวนอยู่

       ผมเลื่อนผ้าเช็ดตัวเจ้าของห้องไปชิดฝั่งด้านหนึ่ง แล้วแขวนผ้าเช็ดตัวของผม ถอดกางเกงในแขวนทับที่ราวผ้าเช็ดตัวแล้วรีบอาบน้ำ ใช้เวลาประมาณสิบนาทีก็เสร็จ  ผมหยิบผ้าเช็ดตัวมาเช็ดหยดน้ำตามเนื้อเช็ดตัว เช็ดหัวที่เปียกไปด้วยน้ำ แล้วนุ่งผ้าขนหนูเปิดประตูห้องน้ำเดินออกมารื้อเสื้อผ้าอกจากกระเป๋าเป้

       นายสิงห์เดินสวนผมเข้าไปข้างในห้องน้ำแล้วปิดประตูเสียงดัง ผมจึงปลดผ้าจนหนูออกจากร่างกายจนเปลือยเปล่า แล้วก้มลงหยิบกางเกงในตัวใหม่มาสวมขณะที่กำลังดึงกางเกงผ่านขาสองข้างขึ้นมา ประตูห้องน้ำก็เปิดออก พร้อมคนในห้องน้ำที่เนื้อตัวเปียกปอนโผล่ออกมาครึ่งตัว

       “สัด...เอากางเกงในใช้แล้วของมึงออกไปจากห้องน้ำกูด้วย” นายสิงห์ตะโกนใส่หน้าผม จ้องมองผมในสภาพเปลือยเปล่ากางเกงในคาแค่เข่า ไม่ใช่ว่าไม่เคยแก้ผ้าต่อหน้าผู้ชายที่ไหน แต่ความตกใจที่นายสิงห์พรวดพราดเสียงดังออกมาจากห้องทำทำให้ผมรีบหันหลังเบี่ยงตัวเองหลบสายตา แต่กางเกงในยังตาอยู่ที่ขาจึงล้มลงกระแทกพื้นเสียงดังโครม

       “โอ้ย...” ลำตัวด้านข้างผมล้มลงฟาดกับพื้น ไหล่กระแทกพื้นห้องอย่างรุนแรงจนเจ็บแปลบไปทั้งร่าง กางเกงในก็ยังคาอยู่ที่หน้าแข้ง ทั้งเจ็บทั้งอาย จนต้องด่าไอ้สิงห์ในใจว่าจะเสียงดังหาปู่มันหรือไง ทำให้ผมตกใจขนาดนี้ ถ้าหัวกูฟาดพื้นตายในสภาพนี้กูจะเอาหน้าไปไว้ไหน

       “อ้าว...ฉิบหายแล้วมึง” ไอ้สิงห์ตะโกนอุทานเสียงดัง รีบเดินออกมาจากห้องน้ำทั้งที่ยังแก้ผ้าตัวเปียกปอนมาช่วยพยุงผมให้ลุกขึ้น ลำตัวเปลือยเปล่าของเราทั้งคู่สัมผัสกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ไอ้สิงห์มันสูงกว่าผมนิดหน่อย ร่างกายแข็งแกร่งไปทุกส่วนจนน่าอิจฉา แม้กระทั้งส่วนกลางลำตัวก็มีขนาดที่ค่อนข้างเกินมาตรฐานชายไทยทั่วไป

       “แขนหักไม่วะ ขวัญอ่อนไปได้นะมึง แค่นี้เสือกตกใจ ฮ่าๆๆ สภาพมึงเมื่อกี้ตลกดีว่ะ ทุเรศชิบ” มันช่วยผมลุกขึ้นมาได้ก็หัวเราะใส่หน้าผมอีก มันหัวเราะเสียงดังจนปากกว้าง รอยยิ้มเยอะยิงฟันขาวโชว์เขียวของมันน่าเอาตีนถีบให้หงายหลังนัก

       “เชี่ยเอ้ย...เจ็บโคตร” ผมบ่นออกมาด้วยอาการเจ็บที่ไหล่ด้านซ้าย มือขวาจับไหล่บีบนวดไปมาเพื่อให้บรรเท่าอาการเจ็บมากที่สุด ไม่อยากจะสนใจไอ้สิงห์ให้มากนัก ตอนนี้เริ่มจะทนเก็บอาการไม่อยู่แล้ว อยากจะชกหน้ามันเหลือเกิน ติดที่เจ็บแขนจนแทบขยับไม่ได้

       “มานี่...กูทายาให้” ไม่รู้มันไปหยิบหลอดยามาตอนไหน แต่มันดึงมือขวาผมที่จับไหล่ซ้ายตัวเองอยู่ออก แล้วบีบยาลงบนไหล่ซ้ายผมพร้อมนวดไปมา ตัวยาค่อนข้างเย็นซ่า สักพักก็เริ่มรู้สึกสบายขึ้น มันยังคงนวดไหล่ผมลงมาจนถึงต้นแขนซ้าย ไอ้สิงห์มันทายาให้ผมจนทั่วแขนจนเริ่มรู้สึกว่าอาการดีขึ้น

       “เฮ้ย...พวกแกทำอะไรกันวะ” เสียงประตูห้องเปิดออก พร้อมคุณนรศรที่ตะโกนเข้ามา ผมจึงรีบหันไปดูคุณนรศรที่ยืนตาโต ทำหน้าตกใจสุดขีดกับสภาพของผมที่ยืนแก้ผ้ากางเกงในคาอยู่ที่หน้าแข้ง และไอ้สิงห์ที่แก้ผ้าตัวเปลือยเปล่าเช่นกันหันหน้าเข้าหาผมในระยะประชิด มือยังจับแขนผมอยู่ที่สองข้าง เป็นแบบนี้ใครๆ ก็เข้าใจผิดกันได้อย่างไม่ต้องแปลกใจ

ออฟไลน์ Noi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-2
อ่านตอนที่แล้วคิดว่าพีทจะคู่กับคนพี่แต่พออ่านตอนนี้เริ่มคิดว่าน่าจะคู่กับคนน้องมากกว่า  ชักดาบ เฮ๊ย ฟันธง   o13 o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ NOO~KUNG

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 718
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +175/-3
+1 ให้ก่อนอ่าน
งานนี้พี่พีทน่าจะมีปั๋ว....อิอิ
ดูจากขนาด....ตัว....555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-04-2012 04:25:54 โดย NOO~KUNG »

หมูกระต่าย

  • บุคคลทั่วไป

totoken

  • บุคคลทั่วไป
บาปรัก...บาปบริสุทธิ์ 84 “ภัทรดิษ”
คนเราจะมีพรุ่งนี้ได้อีกกี่วัน เวลามีเหลือกันเท่าไหร่ คนเราจะมีลมหายใจอีกกี่ครั้ง ใครจะรู้... คนเรายังมีสมองที่แตกต่างกัน ยังมีความฝันได้มากมาย คนเราถ้ามีชีวิตแล้วไม่ได้ใช้ คงน่าเสียดาย

        “ชิบหายแล้ว ไม่ใช่อย่างที่พี่คิดโว้ย” ไอ้สิงห์ตะโกนสวนคุณนรศรกลับไป คุรนรศรยังทำหน้าตกใจค้างอยู่หน้าห้องอย่างนั้น ผมจึงก้มตัวลงดึงกางเกงในขึ้นมาสวมอย่างรวดเร็ว ไอ้สิงห์ก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ ปิดน้ำแล้วออกมาพร้อมผ้าเช็ดตัวผืนสีน้ำเงินเข้มพันกายท่อนล่างออกมา

        “ผมอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ แล้วไอ้นี่มันใส่กางเกงในสะดุดขาตัวเองล้มไหล่ฟาดกับพื้นเสียงดัง ผมก็เลยออกมาทายาให้มันแค่นั้นเองพี่” ไอ้สิงห์มันเล่าเรื่องตัดตอน ดัดแปลงเสียจนผมดูโง่มากที่ล้มทั้งๆ ที่ใส่กางเกงในให้ตัวเองอยู่ แต่ไม่อยากจะพูดมากจึงได้แต่มองหน้ามันด้วยสายตาอาฆาตแค้นกลับไป ดูท่าทางมันไม่สะทกสะท้านกลับยักคิ้วข้างเดียวด้วยท่าทียียวนใส่ผมอีก

        “แล้วไป...คุณพีทเป็นไงมั่ง ต้องไปหาหมอหรือเปล่า” คุณนรศรดูมีท่าทีเป็นห่วงผมมากขึ้นต่างจากเมื่อวานทันที คงเป็นเพราะเห็นผมบาดเจ็บอยู่ ดูๆ ไปแล้วท่าทีของคนบ้านนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียทีเดียว แต่ที่ตั้งแง่รังเกียจผมคงจะมาจากสาเหตุการตายของหนิงแน่นอน

        “ไม่เป็นไรแล้วครับ ดีขึ้นมากแล้ว เดี๋ยวผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จจะตามออกไปครับ” ผมรีบเดินกลับไปหยิบเสื้อผ้าที่กองไว้ข้างกระเป๋าเป้มาสวม ส่วนไอ้สิงห์ก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อผ้ามาสวมเช่นกัน นี่ท่าทางมันเหมือนจะอาบน้ำเสร็จแล้วหรือยังไงไม่รู้ แต่ผมว่ามันเพิ่งเข้าไปในห้องน้ำได้ไม่นานเอง ช่างมัน...ไม่ใช่เรื่องของผม คุณนรศรออกไปจากห้องแล้ว ผมจึงยืนรอไอ้สิงห์แต่งตัวอยู่ในห้อง

        “ตามกูมา” ไอ้สิงห์มันพูดใส่ผมห้วนๆ แต่ไม่ตะโกนใส่หน้าเหมือนทุกที ผมจึงเดินตามมันออกมาจากบ้านเข้าไปในสวนที่ห่างจากตัวบ้านไม่มากนัก ไม่นานก็เห็นบ้านพักคนงานเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวสามห้องติดกัน ด้านข้างเป็นเพิงเหมือนที่พักทานอาหาร มีโรงครัวปลูกติดกัน ผมเห้นคุณนรศรนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้กลางโรงครัวทานข้าวต้มกับคนงานสี่คน

        “เชิญนั่งคุณพีท ไอ้ปันไปตักข้าวต้มมาให้แขกหน่อย” คุณนรศรสั่งผู้ชายที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะ ชายคนนั้นหันมามองผมด้วยหางตาเหมือนไม่พอใจ แต่ก็ยอมลุกไปตักข้าวต้มมาให้ผมแต่โดยดี ผมจึงนั่งข้างๆ คุณนรศร ส่วนไอ้สิงห์ก็นั่งฝั่งตรงข้ามกับผม

        “ขอบคุณครับ” ผมบอกนายปันหลังจากที่วางชามข้าวต้มตรงหน้าผม

        “เอามาให้กิน ไม่ได้เอามาให้ขอบคุณ” นายปันพูดโดยไม่มองหน้าผมแล้วเดินกลับไปนั่งที่ตัวเอง

        “น้อยๆ หน่อยไอ้ปัน” คุณนรศรเงยหน้ามาปรามคนงานของตัวเอง ท่าทางคนที่นี่คงรู้ดีว่าผมเป็นใคร และแสดงท่าทีรังเกียจผมจนออกนอกหน้า สงสัยผมคงต้องรีบจัดการธุระให้เสร็จแล้วไปจากที่นี่เสียที

        “รีบๆ กินซะ ผมจะได้พาคุณไปขอขมาต่อหนิง แล้วพาไปหาลูกคุณ” คุณนรศรพูดพลางอ่านหนังสือพิมพ์โดยไม่มองหน้าผมเช่นเคย ผมจึงพยักหน้าตอบแล้วก้มหน้าก้มตาทานข้าวต้มจนหมดชามอย่างรวดเร็ว พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นไอ้สิงห์จ้องมองหน้าผมอยู่

        “มึงจะเติมข้าวอีกไหม กูจะกินอีกถ้วย” ไอ้สิงห์มันถามผม แต่ผมส่ายหน้าปฏิเสธ มันเลยลุกไปตักข้าวต้มมากินต่อ คุณนรศรก็ยังไม่ยอมลุกจากที่นั่ง กลับอ่านหนังสือพิมพ์อย่างใจเย็น ผมอยากจะบอกว่าไปกันได้แล้ว ผมพร้อมแล้ว แต่ก็ไม่กล้าเร่งใครในที่นี้ บรรยากาศมันช่างน่าอึดอัด ไม่นานคนงานก็ทยอยลุกออกไปทีละคน เหลือแค่นายปันที่ยังนั่งจ้องหน้าผมอยู่

        “ไปพี่...ผมอิ่มแล้ว” ไอ้สิงห์พูดจบ คุณนรศรก็พับหนังสือพิมพ์วางไว้บนโต๊ะ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่รถทันที ที่แท้ก็รอน้องชายนี่เอง ผมจึงลุกตามไป แต่นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เก็บชามข้าวต้ม จึงหันมาดูว่าคนอื่นเก็บชามข้าวต้มไปไว้กันตรงไหน หรือต้องเอาไปล้างกันหรือเปล่า

        “ปล่อยไว้งั้นล่ะ เดี๋ยวป้าคำแก้วมาเก็บไปล้างเอง” ไอ้สิงห์เหมือนเดาความคิดผมออก ผมจึงเดินตามไปที่รถ นายปันกระโดดขึ้นไปนั่งกระบะหลังรถปิกอัพพร้อมไอ้สิงห์ ส่วนคุณนรศรขึ้นไปนั่งเป็นคนขับรถ ผมจึงไปนั่งข้างคนขับเหมือนเมื่อคืน

        “เราต้องไปกันที่ไหนครับ” ผมถามคุณนรศรหลังจากออกรถมาไม่นาน ผมมองไปที่กระจกส่องหลังรถ เห็นนายปันกับไอ้สิงห์คุยกันหน้าเครียด คงไม่พ้นเรื่องของผมแน่นอน ในมือนายปันยังจับปิ่นโตพร้อมดอกไม้ธูปเทียน ดูเหมือนจะเตรียมเอาไว้บนรถก่อนแล้ว

        “วัด” คุณนรศรตอบสั้นมาก ไม่มองหน้าผมเหมือนเดิม ผมจึงไม่อยากชวนคุยอะไรมากมาย จึงได้แต่นั่งเงียบไปตลอดทาง มองวิวสองข้างทางที่มีแต่ต้นไม้รกครึ้ม เส้นทาที่นี่ค่อนข้างคดเคี้ยวเนื่องจากเป็นที่ดินบนภูเขา หมอกในตอนเช้าค่อนข้างหนา แต่ดูคุณนรศรจะชำนาญทางอยู่แล้วจึงไม่เป็นปัญหาเท่าไร

        “ถึงแล้ว นี่คือวัดประจำหมู่บ้าน ผมเก็บอัฐิของหนิงเอาไว้ที่นี่” คุรนรศรพูดจบก็เลี้ยวรถเข้าไปในตัววัด จอดรถไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ คุณนรศรลงจากรถเดินนำพวกเราไปยังหน้าโบสถ์ ทุกคนยืนนิ่งรอหน้าทางเข้าโบสถ์ ผมอยากถามเหลือเกินว่ารออะไรกันแต่ก็ไม่กล้า จึงได้แต่ยืนนิ่งๆ เหมือนคนอื่น

        “นิมนต์ครับตุ๊เจ้า” คุณนรศรร้องนิมนต์พระที่เดินถืบาตรกลับเข้ามาที่วัดเป็นภาษาเหนือ มีเด็กวัดสะพายย่ามถือของพะรุงพะรังตามมา ทุกคนถอดรองเท้าคุกเข้าลงกับพื้น ผมจึงทำตาม คุณนรศรรับของที่นายปันส่งให้ใส่บาตรพระจนหมด แล้ววางดอกไม้บนฝาบาตร ยกมือไหว้รับพรเป็นภาษาเหนือ ฟังดูแปลกดี

        “ไปกรวดน้ำกัน” คุณนรศรพูดหลังจากพระท่านเดินเข้าไปในโบสถ์แล้ว พวกเราจึงลุกตามคุณนรศรไปยังผนังโบสถ์อีกด้านหนึ่ง มีรูปขาวดำติดเป็นช่องๆ เหมือนจะมีอัฐิเก็บไว้ในช่องบริเวณผนังรอบโบสถ์ ผมเห็นรูปหนิงแล้วก็รู้สึกใจหาย คุณนรศรนั่งลงตรงหน้ารูปพร้อมกับรับขวดน้ำมาจากนายปันนำมากรวดน้ำ ไอ้สิงห์ดึงแขนผมให้นั่งลง มันวางมือไว้บนขาคุณนรศรแล้ววางมือผมไว้บนขามันเอง นายปันก็เตะไปที่ขาของคุณนรศร

        คุณนรศรกรวดน้ำลงรากต้นไม้ข้างโบสถ์ ตรงหน้าป้ายรูปของหนิง พอกรวดน้ำเสร็จคุณนรศรก็ลุกขึ้นจุดธุปสี่ดอก ส่งให้ผมหนึ่งดอก ผมรับไว้แล้วนั่งลงอธิฐานขอขมาต่อสิ่งที่ผมทำให้หนิงต้องเสียใจ และประสบชะตากรรมทั้งหมดนี้ ผมขอรับเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ขอให้หนิงอโหสิกรรมกับให้ผม ผมสาบานว่าจะรัก และดูแลลูกของเราให้ดีที่สุด ขอให้หนิงปล่อยวางสามารถไปสู่สุขติได้อย่างหมดห่วง

        “ผมมีจดหมายของหนิงจะให้คุณอ่าน” คุณนรศรหยิบซองจดหมายออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ตแขนสั้นลายสก็อตที่สวมอยู่ส่งให้ผม ซองจดหมายถูกฉีกออกอ่านเรียบร้อยแล้ว ด้านหน้าซองไม่ได้เขียนจ่าหน้าถึงใคร ผมจึงดึงกระดาษจาซองออกมาคลี่อ่าน

        “อ่านดังๆ กูก็อยากรู้ พี่ศรไม่ยอมให้กูอ่าน” ไอ้สิงห์มันสั่งผม ท่าทางเหมือนอยากรู้จริงๆ ส่วนนายปันก็ทำหน้าตาเหมือนอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน ผมจึงหันไปมองหน้าคุณนรศรเชิงขอความเห็น คุณนรศรไม่ตอบแตพยักหน้าให้ผมเบาๆ เป็นการอนุญาต ผมจึงอ่านออกเสียงให้ทุกคนได้ยิน

        “พี่ศร หนิงขอโทษที่ทำแบบนี้ หนิงขอฝากลูกให้พี่ศรดูแล หมอบอกหนิงว่ามีลูกแฝดชายหญิง เด็กในท้องหนิงคือสิ่งเดียวที่หนิงคิดว่าของขวัญที่ได้รับจากพีท หนิงรู้ตัวมาตลอดว่าหนิงรักพีทข้างเดียว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นความตั้งใจของหนิงเอง หนิงเป็นคนทำให้เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยที่พีทไม่เต็มใจด้วยซ้ำ หากพี่ศรไม่สามารถรับลูกของหนิงไว้เลี้ยงดูได้ หนิงขอรบกวนพี่ศรเป็นครั้งสุดท้ายด้วยการฝากลูกของหนิงให้กับพีทด้วย หนิงฝากขอโทษพีทที่ทำกับพีทแบบนี้ ทุกอย่างหนิงทำไปเพราะความรักที่หนิงมีต่อพีทจนไม่สามารถหักห้ามใจตัวเองได้ หนิงขอโทษที่ทำให้พี่ศรต้องเสียใจ ต้องผิดหวังกับการกระทำของหนิง หนิงขอชดเชยความผิดทั้งหมดกับพี่ศรในชาติหน้า รักและเคารพพี่ศรเสมอ” ผมอ่านจดหมายจบก็รู้สึกว่าคอแห้งผาก หนิงรู้ได้ยังไงว่าตัวเองจะตาย ผมไม่เข้าใจ

        “จดหมายนี้ พยาบาลคนที่ช่วยทำคลอดให้หนิงเป็นคนเขียน พยาบาลเล่าว่าเพิ่งออกเวรกลับมาที่หอพักก็เจอคนโวยวายว่ามีคนคลอดลูก เธอจึงเข้าไปช่วย แต่หนิงเสียเลือดมากเกินไป รถพยาบาลก็มาไม่ทันช่วยชีวิต เธอบอกว่าหนิงรู้ตัวเองว่ากำลังจะตายจึงวานให้พยาบาลช่วยเขียนจดหมายตามคำพูดของหนิงฝากส่งให้ผม” คุณนรศรมองหน้าผมแล้วบอกเล่าที่มาจนเข้าใจ

        “ไม่จริง มันทำหนิงท้องแล้วไม่รับผิดชอบ ทำให้หนิงอายคนต้องหนีไปอยู่คนเดียวจนต้องมาเป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอพี่ ผมไม่เชื่อว่าหนิงจะเป็นคนแบบนั้น มัน...มันต่างหากที่เป็นคนผิด ฮือออ” ไอ้สิงห์มันรับความจริงไม่ได้ที่ผมไม่ได้เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ผมเข้าใจมันดี แต่ไม่รู้จะปลอมมันยังไง

        “พอได้แล้ว ทั้งหมดมาจากความคิดของแกเองคนเดียวทั้งนั้น ที่ฉันพาคุณพีทมาเพื่อจะบอกให้รู้ความจริงต่อหน้าหนิงเท่านั้น และฉันไม่สามารถอยู่เลี้ยงหลานตามคำขอของหนิงได้ ฉันจำเป็นต้องคืนลูกให้พ่อไปตามความต้องการของหนิง คุณพีทอยากจะรับลูกคุณคืนไปหรือเปล่า” คุณนรศรอธิบายพร้อมถามผม

        “ยินดีครับ ผมอยากเจอหน้าลูกจะแย่แล้ว ผมขอรับลูกไปเลี้ยงเองครับ” ผมตอบไปอย่างรวดเร็ว แต่ไอ้สิงห์กลับจ้องหน้าผมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ท่าทางยังกับคิดอาฆาตแค้นผมมานาน

        “ไม่ได้ มึงห้ามเอาหลานกูไปไหนทั้งนั้น พี่ศร เราเลี้ยงหลานเองไม่ได้เหรอพี่ เราเลี้ยงคนงานไดตั้งหลายคน ทำไมแค่หลานสองคนเราจะเลี้ยงเองไม่ได้ล่ะพี่” ไอสิงห์ยังคงไม่ยอมฟังพี่ชาย กลับตะคอกใส่หน้าผมแล้วหันไปโวยวายใส่พี่ชายทันที คุณนรศรกลับยืนนิ่งไม่ตอบโต้อะไร

        “สิงห์...แกฟังให้ดีนะ ทั้งหมดมันคือความตั้งใจของหนิง แล้ว...เอ่อ...พี่ไม่สามารถเลี้ยงดูหลานได้เพราะหนิงเองก็รู้ดีจึงได้บอกมาในจดหมายแบบนั้น” คุณนรศรยังไม่ยอมบอกเหตุผลที่ยอมยกลูกคืนให้ผมมา ทำเอาไอ้สิงห์ไม่พอใจ ชักสีหน้าเหมือนตั้งคำถามเค้นให้พี่ชายตอบออกมาให้ได้

        “ฉัน...เป็นมะเร็ง หมอบอกว่าฉันจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน” คุณนรศรพูดออกมาราบเรียบ แต่ทำเอานายปันกับไอ้สิงห์ทำหน้าเหมือนโดนฟ้าผ่า เกิดอาการช็อกเงียบกันไปนาน จนผมต้องเป็นฝ่ายตั้งคำถามเอง

        “คุณนรศรครับ ที่บอกว่าอยู่ได้ไม่นานนี่หมายความว่ายังไงครับ” ผมเริ่มเป็นห่วงสถานะของคนในครอบครัวของหนิงขึ้นมาทันที ท่าทางน้องชายจะยังไม่รู้ชะตาชีวิตของพี่ชายเอาเสียเลย นายปันเองก็คงจะเพิ่งรู้เช่นกัน ท่าทางนายปันจะเป้นคนสนิทของครอบครัวหนิงมากกว่าคนงานทั่วไป

        “หมอบอกว่าถ้าผมเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้อง และปฏิบัติตามคำแนะนำครบถ้วนก็น่าจะอยู่ได้อีกเป็นปี” คุณนรศรพูดจบก็เดินกลับไปที่รถปิกอัพทันที ผมหันกลับไปมองชายหนุ่มสองคนที่ยังยืนนิ่งเป็นหุ่นอยู่กับที่ ไม่มีท่าทีอะไร หรือคำพูดอะไรออกมาจากปากใครเลยสักคน ผมจึงตัดสินใจเดินไปขึ้นรถเงียบๆ คนเดียว

        “คุณรู้ตัวนานแล้วใช่ไหมครับ” ผมถามคุรนรศรทันทีที่เข้าไปนั่งบนรถ คุณนรศรเพียงพยักหน้าให้ผมช้าๆ แล้วมองออกไปยังเบื้องหน้า ผมรอสองคนนั้นอีกสักพักก็ยังไม่มีใครขยับเขยื้อนจนคุณนรศรต้องเปิดประตูลงไปดึงคอเสื้อชายทั้งสองลากมาที่รถ ไอ้สิงห์กับนายปันเดินตามมาเหมือนคนไม่มีแรง ปีนขึ้นกระบะหลังรถไปนั่งเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรเลยสักคำ

        “หลังจากที่ผมไปเก็บข้าวของที่หอพักที่หนิงเช่าอยู่ ผมได้อ่านไดอารี่ของหนิงทุกหน้าก็เลยรู้ว่าคุณไม่ได้เป็นคนผิด น้องสาวผมเองที่ใจแตกไปหลงรักลูกชายมหาเศรษฐีอย่างคุณ เรื่องทุกอย่างเลยเป็นแบบนี้ ตอนแรกหนิงอยากจะเอาเรื่องที่ตัวเองท้องเหนี่ยวรั้งตัวคุณไว้ไม่ให้ไปเรียนเมืองนอก แต่สุดท้ายด้วยความรักที่มีต่อคุณจึงไม่กล้าทำ ได้แต่เก็บตัวเงียบไม่พบปะผู้คน เขียนระบายความในใจความเป็นไปทุกอย่างลงในไดอารี่ไปวันๆ จนกระทั่งคลอดลูก” คุณนรศรพูดออกมายืดยาวระหว่างที่ขับรถออกมาจากวัด

        “กลับถึงบ้านผมจะมอบไดอารี่เล่มนั้นให้คุณ ส่วนลูกของคุณสองคนผมตั้งชื่อตามความต้องการของหนิงตามไดอารี่ คุณสามารถไปแก้ไขได้ตามความต้องการหากคุณอยากเปลี่ยนใจ ผมไม่ว่าอะไร” คุณนรศรยังคงพูดต่อ ไม่ได้นั่งเงียบเหมือนขามา แต่กลับเป็นผมเสียเองที่ได้แต่เงียบ ไม่รู้จะพูดอะไร

        “หนิงเป็นน้องสาวที่ผมรัก และทุ่มเททุกอย่าง หนิงเป็นเด็กดีมาตลอด ผมทำงานส่งเสียน้องให้เรียนหนังสือจนจบปริญญาตรี จนกระทั่งได้เข้าไปทำงานในบริษัทของพ่อคุณ หนิงไม่เคยบอกผมเรื่องของคุณ แต่ผมรู้มาว่าหนิงทำทุกวิถีทางที่จะได้ใกล้ชิดกับคุณ ผมเลี้ยงดูหนิงแทนพ่อมาทั้งชีวิต เรื่องแค่นี้ผมดูออกแต่แรกแล้วว่าหนิงฝันไกลเกินเอื้อม แม้ผมจะพร่ำเตือนหนิงเท่าไร สอนหนิงมากเท่าไร สุดท้ายน้องสาวผมก็ต้องมาเป็นแบบนี้” คุณนรศรพูดพลางปาดหยดน้ำตาออกจากใบหน้า โดยไม่มีเสียงสะอึกสะอื้นแม้แต่น้อย

        “พวกผมเป็นเด็กกำพร้า พ่อแม่ของเราเสียชีวิตตั้งแต่หนิงยังเล็ก ผมกับไอ้สิงห์จึงเอาใจดูแลหนิงมากเป็นพิเศษ ไอ้สิงห์มันยอมออกจากโรงเรียนตั้งแต่จบชั้นมัธยมหกมาหางานทำช่วยผมส่งหนิงเรียนหนังสือ คุณอย่าไปถือมันมากแล้วกัน ทั้งหมดที่มันทำเพราะความรักที่มันมีต่อน้องสาวมากเกินไป” คุรนรศรยังคงพูดต่อไม่หยุด ยิ่งเล่าผมยิ่งรู้สึกสงสารชะตากรรมของครอบครัวนี้เหลือเกิน

        “หลังจากที่ผมเสียชีวิตไปแล้ว ผมขอให้คุณอนุญาตให้น้องชายผมไปเยี่ยมหลานบางแล้วกัน ยังไงมันก็ถือว่าเป็นลุงคนหนึ่ง ผมหวังว่าคุณคงไม่กีดกันหรือรังเกียจพวกเรานะ” คุณนรศรขอผม ซึ่งผมคิดว่ายังไงผมก็ต้องยอมรับครอบครัวหนิงอยู่แล้ว

        “ผมยินดีครับ ยังไงผมจะดูแลน้องชายคุณแทนตัวคุณด้วยแน่นอน ผมรับปาก ถือเสียว่าผมชดเชยให้ในเรื่องหนิงแล้วกันนะครับ ยังไงผมก็มีส่วนทำให้เรื่องทั้งหมดเป็นแบบนี้เช่นกัน” ผมพูดออกไปเท่านั้น คุณนรศรก็ก็หันมามองหน้าผมเป็นครั้งแรกตั้งแต่เราเริ่มคุยกัน

        “ผมขอบคุณมาก ผมขอฝากหลาน และน้องชายผมคนนี้ด้วยแล้วกัน” คุณนรศรพูดพลางปาดน้ำตาด้วยลังมือ แล้วขับรถต่อไปเงียบๆ โดยไม่ได้คุยอะไรต่ออีกเลย

ออฟไลน์ pandorads

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
อ่านแล้วน้ำตาคลอ
ซึ้งได้อีกนะคะ เรื่องของพี่พีทเนี่ย

ออฟไลน์ NOoTuNE

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3255
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +317/-15
 :sad4: :sad4:

ชีวิตครอบครัวนี้รันทดได้อีก

ตอนแรกก็คิดว่าคงคู่กับพี่ชาย

แต่มาลงที่น้องชาย แถมยังโดนอีกแน่ๆดูจากขนาดและรูปร่าง  :haun4:


แต่คู่นี้คงมันส์น่าดู

ออฟไลน์ Ryoooo

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +288/-2
 เศร้า ซึ้งกับตอนนี้
แต่คนที่จะตี?กับพีทคือ สิงห์สินะ

ออฟไลน์ romsai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1

ออฟไลน์ gookgik

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1966
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-6
อ่านตอนนี้แล้วสงสารพี่ศรมากที่สุด   เรื่องราวต่อไปคงสนุกขึ้นแน่  พี่พีทจะปราบสิงห์ให้หมอบเป็นแมว  หรือจะกลายเป็นสิงห์ผยอง

 :pig4: :L2:

หมูกระต่าย

  • บุคคลทั่วไป
พี่พีทขนพี่ศรพี่สิงห์แล้วก็ลูกๆกลับบ้านตัวเองด้วยดิ

ออฟไลน์ ujen

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2455
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +183/-13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Folcon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
มาลงต่อได้แบบคุ้มค่าที่รอมานานมากค้าบบบบ^^

เรื่องของพลัสจบแล้ว สงสัยต้องรอลุ้นอ่านตอนพิเศษ จะมีรึเปล่าน้อ อยากรู้ชีวิตหลังแต่งงานของพลัสอิอิ

ส่วนเรื่องของพี่พีท อ่าฮ่า กำลังน่าสนใจ ว่าแล้วก็ไปอ่านก่อนเลยดีกว่า

คนแต่งมาต่อยาวๆแบบนี้ คนอ่านปลื้มมมมมม >.<

ออฟไลน์ aloney

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-4
เฮ้ย !!!!   พี่พีทจะมีสามีอ่อ??

สนุกแน่ๆคู่นี้ 

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3

ออฟไลน์ pk11677

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ฮ่าๆๆ มาอีกคู่แล้วววว ฮึย่ะๆๆ ใครกดใครเนี่ย หึหึๆ
นักเขียนลงไดซะใจมากกก มาที่มายาวๆ

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ POPEA

  • Blood Type :: Y
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2010
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +248/-3
    • http://writer.dek-d.com/popae/writer/view.php?id=794488
ตอนแรกก็คิดว่าคู่กับพี่ ที่ไหนได้
ลงเอยกับคนน้องนี่เอง อิอิ :o8:

ออฟไลน์ charapin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ bulldog17

  • ❤GOT7
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3689
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +265/-12
อ่า...ตอนแรกนึกว่าคู่กับพี่ใหญ่
คุณนักเขียนอ่ะชอบสับขาหลอก
แต่ไม่เป็นไรน้องก็ใหญ่(?)เหมือนกัน :o8:


ออฟไลน์ Still_14OC

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2041
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-7
เห็นม๊ะ เค้าว่าแล้วพี่พีทได้สามีชัวร์ อิพี่สิงห์มันคงยอมโดนพี่พีทกดอ่ะนะ

ออฟไลน์ 4559

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3978
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-8

ออฟไลน์ tuek

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3549
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +214/-3
น่าสงสารศรจริงๆ
ทีแรกนึกว่าพีทจะต้องคู่กับศร
สงสัยต้องคิดใหม่คู่กับสิงห์แน่ๆ
คู่นี้คงมันส์น่าดู

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด