บาปรัก...บาปบริสุทธิ์ 83 “ภัทรดิษ”
อย่าเข้าใจฉันผิด โปรดอย่าเข้าใจฉันผิด ฉันขอให้เธอลองเดินมาดูให้ลึกถึงข้างใน ฉันขอให้เธอสัมผัสและอยากให้เธอได้เข้าใจ ว่าทำไมฉันถึงทำอย่างนั้น
“สวัสดีครับคุณนรศร” ผมยกมือไหว้พี่ชายของหนิงทันทีที่เปิดประตูรถปิกอัพคันใหญ่เข้าไปนั่งฝั่งข้างคนขับ คุณนรศรเพียงพยักหน้าให้ ผมรู้สึกถึงบรรยากาศของความมาคุได้ทันทีที่ขึ้นไปนั่งบนรถ ไอ้ปกติผมก็ไม่ได้เป็นคนพูดมากนักหรอก แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันแล้ว ผมไม่มีอะไรติดค้างในใจเรื่องน้องชายผมอีกแล้ว ดังนั้น ผมจึงกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้มากขึ้น ไม่ต้องเก็บความรู้สึกเหมือนเมื่อก่อน
“ทำไมคุณมารับผมดึกขนาดนี้ล่ะครับ” ผมเอ่ยถามไปทันทีที่นึกสงสัย รู้สึกแปลกที่ไม่ได้เกรงกลัวคนข้างๆ เลยแม้แต่น้อย พี่ชายของหนิงเป็นคนตัวสูงใหญ่ ผมคิดว่าผมกับพลัสสูงมากแล้วนะ แต่พี่ชายของหนิงน่าจะสูงกว่า รูปร่างใหญ่ผิวค่อนข้างคล้ำ ผมค่อนข้างบาง ใบหน้าคมสันแต่ดูหม่นหมอง รูปกรามหนามีหนวดเคราค่อนข้างดกเขียวครึ้มไปทั้งใบหน้า แววตาดุเฉี่ยว จมูกค่อนข้าวใหญ่ แต่ดูโด่งสวย ท่าทางตอนวัยรุ่นคงหล่อน่าดู ริมฝีปากหนาได้รูปเม้มอยู่นานกว่าจะขยับเปิดปากออกมาได้
“ท่าทางคุณนี่จะไม่ได้รู้สึกกลัวผมเลยเหรอไง คุณทำให้น้องสาวผมท้องไม่พอ ยังทำให้หนิงต้องตายหลังจากคลอดเด็กอีก” น้ำเสียงเข้มแต่ราบเรียบ ไม่บอกถึงอารมณ์ใดๆ ว่าโกรธ หรือเกลียดผม ยิ่งทำให้รู้สึกใจหาย ผมรู้สึกผิดมากที่ทำให้หนิงต้องประสบชะตากรรมแบบนี้ แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกกลัวพี่ชายหนิงเลยแม้แต่น้อย
“ผมไม่ได้รู้สึกกลัวคุณหรอกครับ แต่ผมรู้สึกผิดกับครอบครัวคุณ และหนิงมากกว่า ผมหวังจะมาอธิบายให้ครอบครัวหนิงได้เข้าใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าผมไม่ยอมรับผิด ที่ผมมาที่นีเพื่อจะบอกว่าเรื่องทั้งหมดผมมีส่วนผิดแน่นอน แต่ขอโอกาสให้ผมได้อธิบาย และรับผิดชอบลูกของหนิงจากพวกคุณ” ผมพูดออกไปด้วยความจริงใจ
“ดี...คุณยังมีความเป็นลูกผู้ชายอยู่พอสมควร ถือว่าคุณโดนใจผม เรื่องของหนิงกับลูก ผมขอกลับไปคุยที่บ้านผมดีกว่า ส่วนที่ผมมารับคุณช้าเพราะผมมีธุระสำคัญจริงๆ ผมไปหาหมอด้วยโรคประจำตัว อาการผมไม่ค่อยดีก็เลยพักนานไปหน่อย” พี่ชายหนิงอธิบายโดยไม่มองหน้าผม สายตายังจับจ้องไปบนถนน เรากำลังขับไปในเส้นทางนอกเมือง
“คุณเป็นอะไรเหรอครับ แล้วขับรถไหวหรือเปล่า ให้ผมช่วยขับแทนได้นะครับ คุณจะได้พัก” ผมถามไปเรื่อยเหมือนชวนคุย และคิดว่าอาการของคุณนรศรยังดูไม่ดีเท่าไร เพราะท่าทางดูทรุดโทรมเหมือนคนเพิ่งฟื้นไข้
“ไว้ผมจะบอกคุณทีหลัง แต่ผมยังขับรถได้อยู่ ขอบใจที่เป็นห่วง” พี่ชายหนิงตอบเสียงเรียบ แล้วไม่พูดอะไรต่อ จนผมเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมา อยากจะกดปุ่มเครื่องเสียงในรถเพื่อเปิดเพลง แต่ยังไม่กล้าทำขนาดนั้น จึงได้แต่นั่งมองวิวข้างทางที่มืดมิดจนแทบมองอะไรไม่เห็น เห็นแต่เงาในกระจกหน้าต่างประตูรถสะท้อนไปยังคนขับรถแทน
“โรคของคุณต้องเข้ามารักษาที่ตัวเมืองบ่อยแค่ไหนเหรอครับ” ผมอดสงสัยไม่ได้จึงต้องถามออกไป หากเป็นโรคประจำตัวที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลบ่อยๆ ทำไมคุณนรศรถึงไม่พักในตัวเมืองเสียเลย กลับขับรถไปกลับไกลขนาดนี้ หากเป็นอะไรระหว่างทางขึ้นมาจะทำอย่างไร
“ผมต้องเข้ามาหาหมอให้ดูอาการทุกเดือน ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อนผมก็ไม่ต้องมาบ่อยกว่านั้น ที่สำคัญ ผมมีงานที่ต้องรับผิดชอบหลายอย่าง เลยไม่อยากให้ครอบครัวต้องคิดมากเรื่องผม เอาไว้ผมจะบอกรายละเอียดกับคุณอีกทีแล้วกัน” คุณนรศรยังคงพูดโดยไม่มองหน้าผมเหมือนเดิม ลังจากนั้นเราก็เงียบกันไปตลอดทาง
“ใกล้จะถึงบ้านผมแล้ว ผมกับน้องชายทำสวนลิ้นจี่ที่นี่ และคนงานอีกไม่กี่คนก็พักอยู่ในสวนเลย ที่นี่ไม่สะดวกเหมือนโรงแรมที่คุณพัก ผมหวังว่าคุณคงอยู่ได้นะ” คุณนรศรพูดเหมือนเหยียดใส่ผม แต่ถึงยังไงผมก็ตั้งใจแล้วว่าจะพยายามไม่คิดมากกับคำพูดของครอบครัวนี้ เพราะผมตั้งใจจะมารับผิดชอบความผิดที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว จึงไม่แปลกหากคนในครอบครัวของหนิงจะไม่ชอบผม
“ผมพักที่ไหนก็ได้ครับ อากาศที่นี่ดีจังเลยนะครับ” พอลงมาจากรถ ผมชวนคุณนรศรคุยแบบไม่ใส่ใจคำพูดของคุนรศรเท่าไร บรรยากาศเงียบสงัดมาก มีเพียงลมเย็นๆ ที่พัดมากับเสียงลมกระทบใบไม้ของต้นไม้รอบๆ บริเวณก่อให้เกิดเสียงธรรมชาติที่ไพเราะ ช่วยให้จิตใจผมสงบอย่างไม่น่าเชื่อ
“คุณคงชินกับอากาศในเมืองสินะ ธรรมชาติยังไงก็ต้องดีกว่าแสงสีในเมืองอยู่แล้วล่ะ ตามผมมาข้างในได้แล้ว ที่นี่ยิ่งดึกอากาศยิ่งเย็น” คุณนรศรไม่วายกัดผมอีก พูดจบก็เดินนำผมไปยังบ้านไม้ชั้นเดียวที่สร้างขึ้นอย่างง่ายๆ แต่ดูมีสไตล์ ตัวบ้านทั้งหลังเน้นการโชว์สีธรรมชาติของเนื้อไม้เหมือนบ้านในรีสอร์ททั่วไป หน้าบ้านมีสวนเล็กๆ บนสนามหญ้าที่เรียบง่าย เมื่อลมพัดพริวดอกไม้จากตนไม้รอบๆ ล่วงหล่นเล่นลมสู่พื้นสนามหญ้า คุณนรศรพาผมเดินไปตามทางที่เว้นพื้นที่ส่วนหนึ่งไว้สำหรับเป็นช่องว่างทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินธรรมชาติจากสวนหน้าบ้าน
คุณนรศรล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบกุญแจบ้านออกมาเปิดประตู แล้วเปิดสวิทย์ไฟด้านใน จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างใน ผมจึงเดินตามเข้าไปเงียบๆ ภายในบ้านไม้ดูกว้างไม่มีฝ้าเพดาน ลักษณะเหมือนบ้านพักในรีสอร์ททั่วไป เสาไม้กลางบ้านเป็นตัวรับน้ำหนักคานที่เปิดโล่ง
“เชิญตามสบาย ที่นี่มีห้องนอนสองห้อง คือห้องผมกับห้องน้องชาย แต่ผมไม่สะดวกให้คุณนอนห้องผม คุณนั่งรอที่นี่ก่อน เดี๋ยวผมมา” คุณนรศรพูดจบก็เดินเข้าไปด้านใน ภายในบ้านทั้งหลังตกแต่งทุกอย่างด้วยไม้ขดเงา แม้แต่เฟอร์นิเจอร์ที่ดูเรียบง่ายแต่ประณีตสวยงาม โถงกลางบ้านเป็นพื้นที่ว่าง มีเสาสองต้นแบ่งพื้นที่ตัวบ้าน บริเวณขวามือเป็นพื้นที่ห้องนั่งเล่นมีชุดรับแขกทำด้วยไม้ ไม่มีทีวี ไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก แต่ยังมีไฟฟ้าให้ใช้ บริเวณด้านซ้ายคงเป็นห้องทานอาหาร เพราะมีโต๊ะไม้แบบยาวพร้อมชุดเก้าอี้อีกแปดตัว เหมือนโต๊ะประชุมวางอยู่เท่านั้น ผนังห้องมีหน้าต่างค่อนข้างเยอะ แต่ไม่มีรูปภาพ หรือของประดับแม้แต่ชิ้นเดียว
เดินสำรวจไม่นานก็ทั่วบ้าน อยู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงเอะอะมาจากผนังห้องด้านใน ตรงกลางเป็นช่องทางเดิน มีผนังกั้นห้องฝั่งซ้ายกับฝั่งขวา สุดทางเดินเป็นประตูออกไปสู่หลังบ้าน ผมยังยืนอยู่ตรงกลางบ้านรอเจ้าของบ้านมาบอกผมว่าจะให้ผมนอนตรงไหน
“พี่ให้มันนอนหน้าห้องก็ได้นี่นา ทำไมต้องให้มันมานอนในห้องผมด้วย โธ่โว้ย...เซ็งชิบ” พอประตูห้องนอนฝั่งซ้ายเปิดออก ผมก็ได้ยินเสียงของชายหนุ่มอีกคนดังออกมาก่อน ผมยังยืนอยู่ที่เดิมรอดูสถานการณ์ไม่นานคุณนรศรก็เดินออกมาปิดสวิทย์ไฟห้องโถง
“คุณเข้าไปนอนในห้องนี้ได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาคุยกันเรื่องธุระของหนิง” คุณนรศรพูดกับผมจบก็เดินไปเปิดประตูห้องฝั่งขวาเข้าไปข้าง ปิดประตูเสียงค่อนข้างดังเหมือนไม่สบอารมณ์เท่าไร ประตูห้องฝั่งซ้ายยังเปิดอยู่ แสงสว่างจากภายในห้องส่องออกมา ผมจึงเดินไปยังหน้าประตูห้องฝั่งซ้าย
“ขอโทษนะครับที่มารบกวน” ผมบอกชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียว ผิวขาวจัด หน้าตาหล่อเหลาไร้ที่ติ ตัดผมสกินเฮด ร่างกายแข็งแกร่งพร้อมหน้าท้องเป็นลอนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยงาม เหมือนคนออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ กำลังก้าวเดินลงจากเตียง ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแค่กางเกงบ็อกเซอร์สีขาวสะอาดนุ่งอย่างหมิ่นเหม่เพียงตัวเดียวเท่านั้น
“มึงนอนที่พื้นแล้วกัน กูไม่ชอบให้ใครมานอนบนเตียงส่วนตัวกู” ผู้ชายคนนี้ท่าทางจะอายุใกล้เคียงกับผม สีหน้าบ่งบอกได้เลยว่าไม่พอใจในตัวผมสูงมาก ดูจากอาการที่เดินไปเปิดตู้ไม้ใบริมผนังห้องเพื่อดึงผ้านวมหนึ่งผืนโยนลงมากลางห้องให้ผม แล้วก็เดินกลับไปล้มตัวลงนอนบนเตียงเสียงดังโดยไม่มองหน้าผมสักนิด
“ปิดประตูด้วย กูจะนอนแล้ว มึงรีบปิดไฟซะทีสิวะ” เสียงของชายคนนี้ค่อนข้างดังกว่าเดิมเมื่อหันมามองผมที่ยังยืนอยู่กลางห้องนอน ผมตัวรู้ว่าครอบครัวนี้คงไม่ยินดีต้อนรับผมเท่าไร และรู้ว่าผมเป็นใครมาทำอะไรที่นี่ ดังนั้นผมจึงก้มตัวหยิบผ้านวมผืนนั้น แล้วเดินไปปิดไฟห้องนอนให้น้องชายคุณนรศร แล้วปิดประตูออกมาจากห้องอย่างเงียบๆ ผมเดินไปที่ชุดรับแขก วางกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่ไว้บนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง จัดการปูผ้านวมลงบนเก้าอี้รับแขกตัวยาว แล้วหยิบผ้าเช็ดตัวที่เตรียมมาในกระเป๋าเป้มาม้วนเป็นหมอน แล้วนอนบนเก้าอี้รับแขกตัวนั้น ผมดึงชายผ้าที่เหลือจากการรองนอนมาห่มตัวเนื่องจากอากาศที่นี่ค่อนข้างเย็น
คืนนี้ผมนอนไม่หลับ ไม่ใช่เพราะแปลกที่ หรือที่นอนไม่อำนวยต่อการหลับอย่างสบาย แต่ผมมีเรื่องที่ต้องคิดในใจมากมาย ผมคิดว่าลูกของผมไปอยู่ที่ไหน แล้วตอนนี้ใครเป็นคนดูแล อยากจะถามคุณนรศรแต่ก็ไม่กล้า เพราะคิดเอาเองว่าควรจัดการเรื่องขอขมาต่อหนิงให้เสร็จเรียบร้อยก่อน แล้วค่อยจัดการเรื่องลูกของผมอีกที
ผมเฝ้าวนเวียนคิดเรื่องหนิงกับลูกอยู่จนเช้า ดูนาฬิกาข้อมือเป็นเวลาตีห้าครึ่ง ได้ยินเสียงประตูห้องด้านในเปิดออก คุณนรศรเดินออกมาจากห้องตรงไปยังประตูบ้าน ผมจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ยาว แล้วสะบัดผ้านวมพับให้เรียบร้อย และเก็บผ้าเช็ดตัวที่รองหัวลงกระเป๋าเป้อย่างรวดเร็ว
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณนรศร” ผมหันมาเห็นคุณนรศรยืนมองผมค้างอยู่ตรงหน้าประตูบ้าน ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่สีหน้าดูไม่พอใจเท่าไร คนบ้านนี้หน้าตาเป็นแบบนี้ทุกคนเลยหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ หรือเป็นเฉพาะกับผมสุดแท้จะเดาได้
“คุณออกมานอนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร” คุณนรศรไม่กล่าวทักทาย แต่กลับยิงคำถามใส่ผมเสียงดุ ท่าทางจะไม่พอใจมากที่ผมออกมานอนข้างนอกตรงนี้ ผมจึงไม่รู้จะตอบยังไง เมื่อคุณนรศรเห็นว่าผมยังไม่ตอบคำถามจึงเดินย้อนกลับไปยังด้านในบ้าน เคาะประตูห้องน้องชายเสียงดัง
“ไอ้สิงห์...ไอ้สิงห์ เปิดประตู ตื่นแล้วออกมามาคุยกันหน่อย” คุณนรศรทุบประตูเสียงดัง ดูเหมือนน้องชายคุณนรศรที่ชื่อสิงห์จะล็อกห้องเอาไว้ด้วย เดาว่าคงกลัวผมจะเปลี่ยนใจกลับเข้าไปนอนในห้องกลางดึกหรือเปล่า สักพักประตูห้องก็เปิดออก
“อะไรวะพี่ศร คนจะหลับจะนอน แหกปากโวยวายอะไรแต่เช้า” นายสิงห์ออกมาในสภาพไม่ต่างจากเมื่อคืน ต่างกันเพียงตรงเป้ากางเกงบ็อกเซอร์ที่ตุงโด่งรับอรุณยาวเช้า ดูท่าทางคงจะแข็งแรงน่าดู ลำตัวเอนพิงกรอบประตูเหมือนยังงัวเงียเต็มที่ มือข้างหนึ่งล้วงลงไปด้านหลังเกาก้นแบบไม่อายสายตาใคร คงเห็นว่าที่นี่มีแต่ผู้ชาย พูดจบปากก็หาวออกมาด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อนใดๆ
“ทำไมแกปล่อยให้คุณพีทนอนนอกห้อง” คุณนรศรถามน้องชายเสียงเข้ม
“โธ่...นึกว่าเรื่องอะไร ผมไม่ได้ไล่หรือบังคับมันเลยนะพี่ มันออกไปนอนของมันเอง ไม่เชื่อถามมันดูดิ” นายสิงห์พูดออกมาด้วยนำเสียงเบื่อหน่ายเต็มที่ ผมคิดว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีจึงรีบเดินเข้าไปอธิบาย
“ใช่ครับคุณนรศร ผมอยากออกมานอนข้างนอกเองครับ ให้ผมนอนตรงนั้นเถอะครับ ผมนอนที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น เรื่องเล็กแค่นี้เอง อย่าให้มีเรื่องกันเลยนะครับ” ผมรีบแก้ตัวให้นายสิงห์แทน ไม่อยากให้พี่น้องต้องมามีเรื่องกันด้วยที่หลับที่นอนของผม ในเมื่อผมตั้งใจจะมาขอขมาในเรื่องของหนิงก็แย่พอแล้ว
“เห็นมะ มันยากออกมานอนของมันเอง ผมไม่ได้ไล่มันซะหน่อย เสียเวลานอนชิบ” นายสิงห์พูดจบก็ทำท่าจะปิดประตู แต่คุณนรศรยังจับบานประตูเอาไว้
“แกไม่ต้องนอนแล้ว ให้คุณพีทเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อในห้องแก แล้วแกก็พาคุณพีทออกมากินข้าวเช้าด้วยกันที่บ้านพักคนงาน” คุณนรศรสั่งจบก็เดินผ่านหน้าผมออกไปข้างนอก ส่วนนายสิงห์หันมามองหน้าผมตาขวาง เหมือนเกลียดชังในตัวผมมานานแรมปี
“มึงจะยืนรอให้กูไปอุ้มมึงเข้ามาอาบน้ำหรือไงวะ” นายสิงห์มันตะโกนใส่หน้าผมด้วยเสียงดังเหมือนไม่พอใจมากที่เห็นผมยังยืนดูท่าทีอยู่แบบนั้น ผมได้แต่ถอนหายใจด้วยความระอา แล้วหันไปหยิบเป้เดินผ่านเจ้าของห้องที่ยืนกอดอกพิงกรอบประตูเข้าไปข้างใน
“อาบเร็วๆ นะโว้ย” นายสิงห์ตะโกนใส่ผมอีกรอบก่อนจะเดินไปยังเตียงนอน ล้มตัวตะแคงหันหลังให้ผมเหมือนรำคาญผมเต็มที่ ผมชักอึดอัดกับท่าทีเจ้าของห้องมากขึ้นทุกที แต่จำเป็นต้องอดทนเอาไว้เพื่อลูก หลังจากรื้ออุปกรณ์เตรียมตัวอาบน้ำออกมาจนครบผมก็ถอดเสื้อผ้าเหลือแต่กางเกงในตัวเดียว หยิบผ้าขนหนูและอุปกรณ์เดินเข้าห้องน้ำไป
ภายในห้องน้ำค่อนข้างเล็กแต่มีอุปกรณ์ครบครัน ทั้งอ่างล้างหน้า ฝักบัว ชักโครก ผนังกรุด้วยหิน ด้านบนมีช่องระบายอากาศทำให้ห้องน้ำไม่อับชื้น ผมวางอุปกรณ์อาบน้ำบนชั้นติดผนังที่ค่อนข้างโล่ง มีแค่ของใช้ของนายสิงห์คือสบู่กับแชมพูเท่านั้น หน้ากระจกบนอ่างล้างหน้าก็มีแค่มีดโกนหนวด แปรงสีฟันกับยาสีฟัน ราวแขวนผ้ามีผ้าเช็ดตัวสีน้ำเงินเข้มของเจ้าของห้องแขวนอยู่
ผมเลื่อนผ้าเช็ดตัวเจ้าของห้องไปชิดฝั่งด้านหนึ่ง แล้วแขวนผ้าเช็ดตัวของผม ถอดกางเกงในแขวนทับที่ราวผ้าเช็ดตัวแล้วรีบอาบน้ำ ใช้เวลาประมาณสิบนาทีก็เสร็จ ผมหยิบผ้าเช็ดตัวมาเช็ดหยดน้ำตามเนื้อเช็ดตัว เช็ดหัวที่เปียกไปด้วยน้ำ แล้วนุ่งผ้าขนหนูเปิดประตูห้องน้ำเดินออกมารื้อเสื้อผ้าอกจากกระเป๋าเป้
นายสิงห์เดินสวนผมเข้าไปข้างในห้องน้ำแล้วปิดประตูเสียงดัง ผมจึงปลดผ้าจนหนูออกจากร่างกายจนเปลือยเปล่า แล้วก้มลงหยิบกางเกงในตัวใหม่มาสวมขณะที่กำลังดึงกางเกงผ่านขาสองข้างขึ้นมา ประตูห้องน้ำก็เปิดออก พร้อมคนในห้องน้ำที่เนื้อตัวเปียกปอนโผล่ออกมาครึ่งตัว
“สัด...เอากางเกงในใช้แล้วของมึงออกไปจากห้องน้ำกูด้วย” นายสิงห์ตะโกนใส่หน้าผม จ้องมองผมในสภาพเปลือยเปล่ากางเกงในคาแค่เข่า ไม่ใช่ว่าไม่เคยแก้ผ้าต่อหน้าผู้ชายที่ไหน แต่ความตกใจที่นายสิงห์พรวดพราดเสียงดังออกมาจากห้องทำทำให้ผมรีบหันหลังเบี่ยงตัวเองหลบสายตา แต่กางเกงในยังตาอยู่ที่ขาจึงล้มลงกระแทกพื้นเสียงดังโครม
“โอ้ย...” ลำตัวด้านข้างผมล้มลงฟาดกับพื้น ไหล่กระแทกพื้นห้องอย่างรุนแรงจนเจ็บแปลบไปทั้งร่าง กางเกงในก็ยังคาอยู่ที่หน้าแข้ง ทั้งเจ็บทั้งอาย จนต้องด่าไอ้สิงห์ในใจว่าจะเสียงดังหาปู่มันหรือไง ทำให้ผมตกใจขนาดนี้ ถ้าหัวกูฟาดพื้นตายในสภาพนี้กูจะเอาหน้าไปไว้ไหน
“อ้าว...ฉิบหายแล้วมึง” ไอ้สิงห์ตะโกนอุทานเสียงดัง รีบเดินออกมาจากห้องน้ำทั้งที่ยังแก้ผ้าตัวเปียกปอนมาช่วยพยุงผมให้ลุกขึ้น ลำตัวเปลือยเปล่าของเราทั้งคู่สัมผัสกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ไอ้สิงห์มันสูงกว่าผมนิดหน่อย ร่างกายแข็งแกร่งไปทุกส่วนจนน่าอิจฉา แม้กระทั้งส่วนกลางลำตัวก็มีขนาดที่ค่อนข้างเกินมาตรฐานชายไทยทั่วไป
“แขนหักไม่วะ ขวัญอ่อนไปได้นะมึง แค่นี้เสือกตกใจ ฮ่าๆๆ สภาพมึงเมื่อกี้ตลกดีว่ะ ทุเรศชิบ” มันช่วยผมลุกขึ้นมาได้ก็หัวเราะใส่หน้าผมอีก มันหัวเราะเสียงดังจนปากกว้าง รอยยิ้มเยอะยิงฟันขาวโชว์เขียวของมันน่าเอาตีนถีบให้หงายหลังนัก
“เชี่ยเอ้ย...เจ็บโคตร” ผมบ่นออกมาด้วยอาการเจ็บที่ไหล่ด้านซ้าย มือขวาจับไหล่บีบนวดไปมาเพื่อให้บรรเท่าอาการเจ็บมากที่สุด ไม่อยากจะสนใจไอ้สิงห์ให้มากนัก ตอนนี้เริ่มจะทนเก็บอาการไม่อยู่แล้ว อยากจะชกหน้ามันเหลือเกิน ติดที่เจ็บแขนจนแทบขยับไม่ได้
“มานี่...กูทายาให้” ไม่รู้มันไปหยิบหลอดยามาตอนไหน แต่มันดึงมือขวาผมที่จับไหล่ซ้ายตัวเองอยู่ออก แล้วบีบยาลงบนไหล่ซ้ายผมพร้อมนวดไปมา ตัวยาค่อนข้างเย็นซ่า สักพักก็เริ่มรู้สึกสบายขึ้น มันยังคงนวดไหล่ผมลงมาจนถึงต้นแขนซ้าย ไอ้สิงห์มันทายาให้ผมจนทั่วแขนจนเริ่มรู้สึกว่าอาการดีขึ้น
“เฮ้ย...พวกแกทำอะไรกันวะ” เสียงประตูห้องเปิดออก พร้อมคุณนรศรที่ตะโกนเข้ามา ผมจึงรีบหันไปดูคุณนรศรที่ยืนตาโต ทำหน้าตกใจสุดขีดกับสภาพของผมที่ยืนแก้ผ้ากางเกงในคาอยู่ที่หน้าแข้ง และไอ้สิงห์ที่แก้ผ้าตัวเปลือยเปล่าเช่นกันหันหน้าเข้าหาผมในระยะประชิด มือยังจับแขนผมอยู่ที่สองข้าง เป็นแบบนี้ใครๆ ก็เข้าใจผิดกันได้อย่างไม่ต้องแปลกใจ