Inert 10
หิว
อากาศร้อนอบอ้าว ข้างนอก ไม่มีแสงสว่างอีก
มืดจนมองไม่เห็นแม้แต่มือตัวเอง
ไฟที่ลอดผ่านใต้ประตูมาหายไปสักระยะแล้ว เดาจากเวลาที่ยามมักเดินตรวจโรงเรียน อาจจะเลยเข้าสู่ช่วงสี่ทุ่ม
ไม่ต้องพยายามให้เหนื่อยเพื่อขอความช่วยเหลือ สวิสต์ไฟอยู่ห่างออกไปจากตรงนี้มาก ตะโกนไปก็ใช่ว่าจะได้ยิน จำครั้งสุดท้ายที่ตะโกนไม่ได้ แต่รู้ว่าใช้เสียงตะโกนนั้นกับใคร
ไม่ได้คาดหวัง ไม่ได้รอคอย
ไม่มีหรอก ในชีวิตจริง ความหวังแบบนั้น ยิ่งทำให้คนที่เพ้อรออยู่เจ็บปวด
เพราะฉะนั้น จึงจะไม่รอ ไม่คาดหวัง เพื่อที่จะไม่ต้องผิดหวัง
หลบหนีความเจ็บปวดด้วยวิธีที่ขลาดยิ่งกว่าใคร เพื่อปกป้องตัวเอง ปกป้องสิ่งที่เหลืออยู่ แม้เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งก็ยังดี
ท้องร้อง อย่างน้อยนั่นก็เป็นสัญญาณแห่งการมีชีวิตที่แสนหดหู่
ริมฝีปากแห้งผาก ทั้งๆที่วิทยาศาสตร์บอกว่าคนเราขาดน้ำได้นานถึงสามวัน
โกหกทั้งนั้น
เผลอหลับไปสองสามครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ
หูยังคอยฟังเสียงด้านนอก
ไม่เข้าใจร่างกายที่ไม่เคยทำงานร่วมกับความคิด
ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วนะ
รู้สึกเหมือนนาฬิกาเดินช้ากว่าเดิม หน่วยวินาที ถูกยืดเป็นนาที และกลายเป็นชั่วโมงอย่างเงียบงัน
ดวงตากำลังจะปิดลงอีกครั้ง
ถ้าไม่ได้ยินเสียงรองเท้าพละที่เสียดเข้ากับพื้นซีเมนต์
ไม่ใช่วิ่งมาทางนี้ แต่เป็นวิ่งออกไป
มีคนอยู่ข้างนอกตลอด เพราะเสียงเดียวที่ได้ยิน คือเสียงรองเท้าคู่นั้น ที่วิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ
ใคร….
แสงสว่างที่ลอดผ่านเข้ามาใต้ช่องประตูทำให้ลืมคำถามนั้นไปจนหมด
ใจเต้น
ประตูถูกเคาะแรงๆ “ไผ่ อยู่ในนั้นหรือเปล่า?”
คลานเข้าไปใกล้ประตูนั้น จับมือทาบไว้กับประตู เห็นแสงสว่างที่ลอดเข้ามาแกว่ง คงเป็นไฟฉาย
ทุบประตูแรงๆสองสามที
อ้าปากออก แต่ไม่มีเสียง
“ได้ยินแล้ว เดี๋ยวจะเปิดให้เดี๋ยวนี้แหละ”
เสียงกุญแจ
เสียงหอบหายใจแรง
ประตูเปิดออก
คิม
เหงื่อหยดลงกับพื้น ผ่านไฟฉายที่ทำให้แสบตา
“…ทำไม?”
“โทรกลับไปที่บ้าน เขาบอกนายยังไม่กลับบ้าน”
“หรอ…”
ไม่คิดจะออกตามหา
ยังไง ตัวตนที่มีอยู่นั้นก็ช่างเลือนราง จะหายไป ก็คงไม่มีใครสังเกต
“พ่อนายอยู่ข้างหน้าโรงเรียน ดีจังเลยที่เจอ…”
“พ่อ…”
“ยามไม่ให้เข้ามา แต่ยามก็ช่วยหาอยู่เหมือนกัน”
ยื่นมือมา
มองอย่างไม่เข้าใจ
“…ลุกขึ้นสิ กลับบ้านกันเถอะ”
ไม่รู้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกหรือเปล่า
ยื่นมือออกไป
มือที่จับตอบกลับมานั่น เปียกชื้นเหงื่อ แต่ก็ช่างอบอุ่น
เผลอหลุบตาลง ไม่กล้าพอที่จะมองตอบสายตาคู่นั้น
โรงเรียนมืดสนิทอย่างที่คิดไว้
“…ปล่อยมือ”
“อ่อ โทษที เราลืม”
ปล่อยออก ยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ “เหงื่อออกเต็มไปหมด เช็ดก่อนสิ”
กำผ้าเช็ดหน้านั่นไว้ในมือ
ยืนนิ่งจนคิมต้องรีบพูดต่อ “ไปเถอะ พ่อนายคงจะกังวลจะแย่แล้ว”
จะเป็นแบบนั้นจริงๆหรือ?
อาจถูกว่าที่ทำให้ต้องขับรถออกมารับ ทั้งๆที่ดึกขนาดนี้ ทั้งๆที่หลังจากทำงานหนักตลอดวัน อย่างที่พ่อชอบพูด
เสียงที่ดังก้องในรถ
บรรยากาศที่น่าอึดอัด ทางด้านนอกกระจก ที่ต้องหันไปมองอย่างเลี่ยงไม่ได้
มันจะเกิดขึ้นอีก ซ้ำซาก
พื้นหญ้าเป็นสีดำ ท้องฟ้ามืดสนิท ไม่มีดาว หรือดวงจันทร์
แสงเป็นรูปวงกลม เดินนำพวกเราไป
“ยังไม่ได้หยิบกระเป๋า”
“ตึกปิดแล้ว คงต้องมาเอาวันจันทร์ล่ะนะ”
“อืม”
ตึกเงียบกริบ
มองขึ้นไป ไม่มีใคร สมควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะประตูตึกถูกปิดลงแล้ว
รถจอดอยู่ตรงนั้น
คิมหยุดเดิน ทำให้ต้องหยุดขาไปด้วย
ไม่ชอบเดินนำใคร บางครั้ง มันทำให้รู้สึกหวาดระแวงสิ่งที่อยู่ข้างหลัง
“…เอิ่ม โชคดีนะ”
พยักหน้า
“ดีใจจัง ไผ่ยอมคุยกับเราแล้ว”
“…..”
“เดี๋ยวเราออกจากโรงเรียนทางนั้นน่ะ คงไม่ได้ออกประตูใหญ่ บ้านอยู่หมู่บ้านข้างๆนี้เอง”
พยักหน้า
เท้าไม่ขยับ จึงเป็นรองเท้าคู่นั้น ที่ถอยออกไปก่อน
“ไปแล้วนะ วันจันทร์เจอกัน”
ไฟจากเสาไฟนอกโรงเรียน ทำให้เงาสีดำสนิทยืดยาวออก
หันไปมองในทางที่ตรงกันข้าม
เห็นอีกคนที่ยืนมองอยู่ตรงนั้น
หน้าตาเรียบเฉยจนเดาอารมณ์ไม่ถูก
ไม่รู้ว่าอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เห็นทันทีที่เดินพ้นตึกเรียนมา
จอห์นมองมาทางนี้ ไม่เดินเข้าหา แต่เดินไปอีกทาง โดยปราศจากคำพูดเสียดสีอย่างที่ชอบทำ
มีแต่ความเงียบ
เสียงแตรรถดังขึ้น จึงออกเดิน หันไปมองหลังของอีกคน ที่กำลังจะหายไปจากรั้วโรงเรียน
“ไผ่…หายไปไหนมา”
“….ผม”
“พ่อไม่ได้จะดุ แค่อยากเตือนให้รู้ ว่าอย่ากลับดึกแบบนี้อีก”
“ครับ”
ประตูรถ
ไม่ได้ถูกเหวี่ยงปิดเสียงดัง เป็นแค่การเอื้อมมือออกไปดึงเพื่อให้มันกลับเข้ากรอบปกติ
มองตามมือที่เลื่อนออกจากประตูรถ ไปยังพวงมาลัย
“ทำงานกีฬาสีงั้นหรอ? เห็นเพื่อนไผ่บอก”
“….ครับ”
เงียบกริบ
เสียงเครื่องยนต์ ท้องถนนที่ว่างเปล่า มองออกไปด้านนอก กระจกสะท้อนให้เห็นภาพชายที่ขับรถ จ้องมองไปข้างหน้า เคร่งขรึม
ได้ยินเสียงกระแอมในคอ
“…แล้ว…สนุกหรือเปล่า?”
“…”
แม้แต่พ่อก็ยังดูเกร็งๆที่พูดคำนั้นออกมา
หันมามองเพียงชั่วครู่ แล้วหันกลับไปสนใจทางข้างหน้า
“…สนุกครับ”
“ชีวิตวัยเรียน เดี๋ยวก็ผ่านไป ใช้ให้เต็มที่ล่ะ”
“….ครับ”
ไม่ใช่เสียงที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด
พยายามที่จะอ่อนโยนด้วย…
ภาพสะท้อนในกระจกของตัวเอง หัวคิ้วเคลื่อนเข้าหากัน
ผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือ ถูกกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
……………………………
…………………….
เสาร์ อาทิตย์ ที่เงียบเชียบ
โทรศัพท์มือถือ วางอยู่บนเตียง ดับไปช้าๆ
บ้านหลังนี้ที่ไม่มีใคร
ลองอีกครั้งกับกองหนังสือ ที่ดูสูงขึ้นไปเรื่อยๆทุกครั้ง ที่นั่งอยู่บนเบาะเก้าอี้
ตัวหนังสือ…ดูคล้ายกับภาพเขียน ที่ไม่เข้าใจถึงความหมายของมัน
เหลือบสายตาขึ้นจากหน้ากระดาษ ขวดยาวางอยู่ตรงนั้น
ได้ยินเสียงผู้หญิง เสียงของแม่ “กินยานี่ซะ…” ทันทีที่เห็นขวดพลาสติกนั่น
ลุกขึ้นจากเก้าอี้ หยิบขวดยานั้นติดมาด้วย
เปิดประตูห้องน้ำออก
หมุนฝาขวดยาออก คว่ำมันลง
เสียงเม็ดยากระทบกับน้ำ ดังเหมือนเสียงฝน เมื่อทิ้งตัวลงกับพื้น
หลายเม็ด ที่ตกลงสู่ก้นชักโครกทันที บางเม็ด แกว่งตัวไปมา ก่อนจะลงไปอยู่ร่วมกับเม็ดก่อนหน้านี้
บางส่วน กระทบกับขอบ ร่วงหล่นสู่พื้น
“..หึ หึ ฮ..ฮะฮ่าฮ่าฮ่า”
หัวเราะหนักจนไหล่สั่น
เหนื่อย
ปวดไปทั้งท้อง จนต้องทรุดตัวลงกับพื้นห้องน้ำ
ไม่เคยหัวเราะเต็มเสียงแบบนี้มาก่อน
หัวเราะทำไมกันนะ…
นั่นสิ
ทำไมกัน
ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง
มองขวดยาที่กลิ้งอยู่ที่พื้น และหยุดเมื่อกระทบเข้ากับประตูห้องน้ำ
มันเคลื่อนไหวช้าๆอีกครั้ง เมื่อประตูห้องน้ำถูกดันออก
มองไล่จากเท้าขึ้นไป
แม่มองไปรอบห้องน้ำ อ้าปากออก แต่ไม่มีเสียงใดๆหลุดมา เหมือนความสามารถในการพูด หายไป
“ก..แก แกทำอะไรลงไป?”
“….”
“ตอบมาสิ!แกเทยาทิ้งแบบนี้ทำไม?”
ก้าวเดินเข้ามาหา
แต่ละย่างก้าว เหมือนกำลังนับเวลาที่ถอยกลับ
ก้มหน้าลงอย่างที่เคยชิน
ถูกดึงคอเสื้อขึ้น
“ฉันบอกให้แกกินยานั่นลงไป แล้วแกจะเททิ้งแบบนี้ทำไม?”
ปิดปากเงียบ
ทางเดียวที่จะปลอดภัย คืออยู่กับความเงียบนี้
“ตอบฉันมา! หรือว่าแกพูดไม่ได้แล้ว?”
ฟาดมือลงกับกลางหลัง ยิ่งทำแบบนี้ ก็ยิ่งขดตัวเข้าหากัน
ยาเม็ดหนึ่งถูกหยิบขึ้นมา แก้มสองข้ามถูกบีบ
“อ้าปากออก…อ้าปากออกสิ!”
ยาเม็ดแรก ถูกดันลงไป
นิ้วที่ยื่นเข้ามา กดลึกไปถึงโคนลิ้น
รู้สึกอยากจะอาเจียน หันหน้าหนี แต่ก็ยังถูกดึงให้หันกลับมา
ยาเม็ดที่สอง…
และตามมาเรื่อยๆ
“แกไม่ยอมกินยาแบบนี้มันจะหายได้ยังไงกัน?!”
สำลัก
ยาเม็ดหนึ่งกำลังกดลงกับริมฝีปาก
เบือนหน้าหนี
มือนั้นยื่นตามมา
ผลักออกตามสัญชาติญาณ
แรงทั้งหมดหายไปในชั่วพริบตา ไม่ได้หันไปมองว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งแรกที่ทำ คือไอจนยาเม็ดที่ติดอยู่นั่นหลุดออกมา
“แก..แกกล้าผลักแม่ของแกหรอ? แกมันก้าวร้าว ไม่ว่าจะยังไงก็แก้ไขไม่ได้สินะ…เป็นมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ที่มันกลับมาเป็นอีกก็เพราะแกไม่ยอมกินยาน่ะสิ!!”
ไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัวลุกทัน ก็รีบวิ่งออกมาจากห้องน้ำ เท้ายังไม่พ้นกระเบื้อง ก็ถูกดึงข้อเท้าไว้
ล้มลงกับพื้น
ล้มแรงจนเจ็บที่จมูก แว่นเบี้ยว ดันตัวเองขึ้น สะบัดให้หลุดออกจากแรงที่ยึดอยู่
วิ่ง
วิ่งทั้งๆที่หัวว่างเปล่า พอๆกับเท้า ที่นึกขึ้นได้ก็เมื่อสัมผัสกับคอนกรีตร้อน ยามกลางวัน แดดจัดเสียจนตาพร่า
เร็ว
เร็วกว่านี้อีก
เสียงไล่ตามหลังมา
ไม่มีเสียงอะไรทั้งนั้น
แต่ขาก็วิ่งต่อไปเรื่อยๆไม่หยุด
โดยมีปลายทาง ที่สมองไม่รับรู้ แต่จิตใต้สำนึกขีดเส้นไว้แล้ว…..
…………………………..
…………………….
[Inert10 : complete]
[20.4.55]