Inert 8ร่วงหล่น
ฝัน หลังจากที่จำไม่ได้ว่าฝันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
กำลังร่วงไปสู่หุบเหวไร้ก้น ผ่านความสูงที่ไม่อาจจะจินตนการ ไม่รู้ว่าการร่วงหล่นครั้งนี้สิ้นสุดเมื่อไหร่ แต่ก็นึกจุดจบของมันออก
คงจะหนีไม่พ้นความตาย
ในช่วงวินาทีที่ถอดใจ ไม่สิ จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าจะรอดมาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่เคยหวังอะไรกับสิ่งที่ไม่มีวันเป็นจริง คำว่าปาฏิหาร์ย เคยได้ยินอยู่บ่อยๆ แต่ก็ยังไม่เคยพบเจอกับตัวเองสักที
มีมือยื่นมาจับแขนไว้
เพราะแรงลมที่พัด ทำให้มือยื่นไปทางด้านบน เห็นมืออีกมือหนึ่งคว้าแขนไว้ เงยหน้ามอง แต่ลมก็แรงจนต้องหยีตา มองหน้าเจ้าของมือข้างนั่นไม่ชัด เห็นแต่ริมฝีปาก
เห็นรอยยิ้ม
ยิ้ม ด้วยรอยยิ้มที่ไม่ยินดียินร้ายกับสภาพที่เป็นอยู่ ยิ้มเหมือนไม่แยแสโลกทั้งใบ ยิ้ม ออกมาจากความว่างเปล่าที่ไร้ก้นบึ้ง
สักเสี้ยวหนึ่งในความคิดกระซิบเสียงแผ่ว
มือนี้คงมาเพื่อช่วยเหลือ….
……………………………..
……………………….
ลืมตาโพลงในความมืด เหงื่อโทรมกาย ยกมือขึ้นปาด เหมือนกับออกไปวิ่งกลางแดดจัด
จอห์นยังหลับอยู่ข้างๆ ต้องไปเรียน กี่โมงแล้ว มองนาฬิกา ทำจนเป็นหน้าที่ ในใจไม่ได้รู้สึกว่าตื่นเต้นอะไร แต่ร่างกายเป็นไปเอง คงจะเป็นนาฬิการ่างกายด้วยที่ปลุกให้ตื่นขึ้นมา
ตีสาม
มองออกไปนอกหน้าต่าง เพราะผ้าม่านยังบดบังอยู่ จึงลุกขึ้นจากที่นอน ปวดช่วงเอวยาวลงไป ไม่ได้สนใจ
ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม ไม่มีพระจันทร์ และไม่เห็นดวงดาว
ที่เมืองยังส่องสว่างก็เป็นเพราะคนดิ้นรนหาแสงไฟ ท้องถนนกว้างเงียบเชียบ หมู่บ้านจัดสรรใหญ่ขนาดนี้ ไม่ค่อยจะมีรถขับไปมาอยู่แล้ว
“…ฝันร้ายหรือไง?”
หันกลับไปมอง คนที่คิดว่าหลับอยู่เท้าแขนอยู่กับเตียง จ้องมองมาทางนี้ด้วยตาที่บางครั้งก็เป็นประกาย บางครั้งก็ดำมืด มือข้างหนึ่งกวาดไปบนเตียง ผ้าห่มที่ร่นลงทำให้เห็นคราบชื้นยังติดแน่นอยู่ตรงนั้น
“เปล่า ไม่ได้ฝัน”
“หรอ? แล้วไปยืนทำอะไรตรงนั้นหล่ะ? ถ้าไม่ใช่ฝันร้ายจนต้องตื่นขึ้นมา”
ไม่รู้ว่าเป็นฝันร้ายหรือเปล่า เป็นแค่เพียงเรื่องราวที่สะท้อนความคิดออกมาเสียมากกว่า ไม่ได้บ่งบอกอะไรไปมากกว่านั้นเลย
“พึ่งจะตีสาม ถ้านอนไม่หลับ อยากจะทำอะไรสนุกๆหรือเปล่า”
ไม่ได้ตอบ เดินตัวเปล่าตรงไปทางระเบียง อยากจะออกไปเจออากาศข้างนอกเสียหน่อย ไม่อยากอยู่ในห้องแคบกับคนที่เหนือกว่าแบบนี้นานๆ รู้สึกเหมือนถูกจับทางได้หมด
“ถึงจะรู้ว่าเป็นวิตามิน แต่ก็ยังตอบสนองร้อนแรงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ”
ปล่อยเสียงนั้น ผ่านหูไป
ลมพัดผ่านหว่างขา อย่างน้อยก็น่าจะใส่กางเกงออกมาด้วย แต่บางครั้ง ในหัวก็ว่างเปล่าเสียจนคิดเรื่องพื้นฐานไม่ออก
จอห์นเดินตามออกมา หยิบผ้าขนหนูพันรอบเอวไว้ ก็ยังดี
เท้าแขนกับระเบียงที่สูงเพียงเอว นี่เป็นชั้นสอง แต่ก็สูง สูงมากพอที่จะทำให้เกิดการร่วงหล่นได้ พอออกแรงดันที่แขนหน่อย ตัวก็ยกสูงขึ้น จนรู้สึกว่าถ้าทรงตัวไม่ดี อาจจะตกลงไป
ลมพัดแรง รู้สึกตัวเอนไปข้างหน้านิดหน่อย
“จะทำอะไรหน่ะ!”
ดูร้อนรน..อาจจะเป็นแบบนั้น
ถูกดึงตัวเข้าหาจนแนบชิด คล้ายกับหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
“คิดจะตายหนีปัญหาหรือไง”
“…ใครคิดจะตาย”
“แล้วเมื่อกี้มันอะไร ดันตัวขึ้นมาขนาดนั้น ถ้าเกิดทรงตัวไม่ดี ตกลงไปยังไงก็ตายอย่างเดียว”
“…..”
แล้วทำไม..ถามไม่ออก
ใกล้ แต่เพราะมืดเลยไม่เห็นใบหน้าตัวเองในนัยน์ตาอีกฝ่าย แต่คิ้วที่ขมวด ทำหน้าเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็ทำให้พาลจะพูดไม่ออกเอาเสียดื้อๆ
“…หึ…”
มือข้างหนึ่งยกขยี้ผมตัวเองจนยุ่งไปหมด ขณะเดียวกันก็ดึงตัวเข้าไปใกล้ รู้สึกถึงบางอย่างใต้ผ้าขนหนู
“…บ้าเอ้ย ทำไมถึงเกิดอารมณ์ขึ้นมาได้ในเวลาแบบนี้นะ?”
ไม่รู้จะตอบอะไรเหมือนกัน..
รู้เพียงแต่ร่างกายที่ทรยศความคิดไปแล้ว รอที่จะตอบสนองแทบไม่ไหว
………………………………
………………………..
คิม
จากคนที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ก็เริ่มที่จะเห็นบ่อยขึ้น คงเป็นเพราะไม่เคยสังเกตุเห็นมาก่อน พอลองมองดูสักครั้ง ก็เริ่มจะรู้สึกถึงตัวตนขึ้นมาในความคิด
กระตือรือร้นเสียจนน่ารำคาญ อาสาทำงานน่าเบื่อในห้อง เป็นหัวหน้าห้องที่แสนดี ดูจอมปลอมเหมือนมีแต่เปลือกนอก อาจจะคล้ายกับจอห์น ซ่อนความเลวร้ายไว้ภายใน
พอถูกชวนคุย เลยยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย
“ไผ่ ไปห้องพักครูกัน”
“….ไม่”
“เอ่อ..งั้นไม่เป็นไรก็ได้ กะจะชวนไปส่งงานเป็นเพื่อนหน่อยนะ”
เดินไปชวนเพื่อนคนอื่น ยกงานที่รวบรวมจากเพื่อนทั้งห้องในอ้อมแขน แล้วเดินหายออกไป
ไม่อยากโดนหลอกอีกเป็นครั้งที่สอง ทุกอย่างนั้น..โกหก มีแต่เรื่องโกหกเต็มไปหมด
นึกถึงภาพที่ไม่อยากเห็น ไอ้ท่าทางเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้นั่น ก็อาจจะเป็นอีกกับดักหนึ่ง ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากนึกถึงอีก แต่บางครั้ง ความคิดก็เป็นระบบที่ยุ่งยากเกินเข้าใจ
….จะเป็นคิมหรือเปล่า ที่อยู่ในความฝัน
ไม่อยากคิดต่อ เพราะฝันนั่นยังเป็นฝันที่ค้างคา กลับกัน อาจมาเพื่อเร่งให้การร่วงหล่นนั้นสิ้นสุดก็ได้ เห็น…เห็นพื้นหินอ่อนที่มีคราบเลือดเป็นทางยาว ตัวสั่น…ได้กลิ่นคาวเลือด
ไม่
ความคิดที่ทำให้แทบจะหยุดหายใจ
ในความวังเวงที่ปนไปกับกลิ่นแห่งความตายนั่น ได้ยินเสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวด ดวงตา ดวงตาหลายสิบคู่กำลังจ้องมองมาทางนี้ เฉยเมยต่อเสียงเรียกร้องขอความช่วยเหลือ
ตัวสั่น แรง แรงจนปากกาในมือร่วงออก ค่อยๆหล่นจากระดับความสูงไม่มากนัก แต่ดูเชื่องชาในสายตา
“ไผ่! ไผ่!”
“..อย่า..อย่ามาจับ”
“ไผ่! ไผ่เป็นอะไร!”
“ไม่!!...ไม่เอาแล้ว พอแล้ว อย่าทำนะ เจ็บ ไม่เอา”
อย่ายื่นมือมา
อย่าสัมผัสแบบนั้น พอ พอสักที
เก้าอี้หมุนไปตามแรงโน้มถ่วงที่ไร้ทิศทาง ล้มลงกับพื้น เห็นสายตาหลายๆคนจ้องมองมาทางนี้ คู้ตัวเข้าหากัน จนเข่าแทบจะชิดกับอก
“ไม่..อย่า อย่านะ ขอร้องหล่ะ ไม่เอา ไม่เอาแล้ว ฮ…ฮึก…ฮือ”
“ใครก็ได้เรียกครูมาที!..ครูห้องพยาบาล ครูอะไรก็ได้ ไผ่! ไผ่เป็นอะไรหน่ะ!”
มือของคิม ยื่นออกมา
จับไว้ที่ข้อแขน เป็นความรู้สึกที่คล้ายกับเดจาวู
รู้สึกหนาวไปถึงกระดูก สั่นไปถึงทุกพื้นที่บนผิวหนัง
“…ไม่เป็นไรนะไผ่ ไม่มีใครทำร้ายไผ่อีกต่อไปแล้ว”
ไม่ได้เป็นคำพูดที่ทำให้รู้สึกสงบลงแม้สักนิด...
……………………………..
………………………
“….ทำไมต้องเรียกมาหาที่นี่”
“ได้ยินมาว่าวันนี้ประสาทเสียกลางห้องเลยหรอ..เล่าให้ฟังหน่อยสิ”
สระว่ายน้ำ ไม่มีคน
ตอนที่เดินเข้ามา ก็เป็นเวลาที่กลุ่มนักว่ายน้ำกลุ่มสุดท้ายเดินออกไป ท้องฟ้ากลายเป็นสีฟ้าเข้ม มองด้วยระดับสายตา ไม่เห็นพระอาทิตย์
เท้าเปล่าจุ่มลงกับผิวน้ำ เกิดเป็นวงคลื่น กระจายออกเป็นวงกว้าง
แสงไฟสปอร์ตไลท์ เห็นเพียงเสี้ยวหน้าของจอห์น
“…ถึงกับจะถูกส่งไปโรงพยาบาลเลยหรอ”
ครูห้องพยาบาลยังนั่งห่างออกไปเกือบเมตร ไม่กล้าละสายตา ถูกเก็บกรรไกร หรือของมีคมออกจนหมดห้อง มีครูผู้ชายยืนอยู่ที่มุมคนหนึ่ง จ้องมองด้วยสายตาระแวง
ไม่ได้ตอบซักคำถาม จึงถูกลงความเห็นว่าสมควรจะอยู่ภายใต้การตัดสินใจของแพทย์
แต่คิมกลับขอไว้ บอกว่าเป็นแค่ความเครียดสะสมจากการอ่านหนังสือ เพราะเป็นคนดี เพราะเป็นหัวหน้าห้อง ศิษย์ที่อาจารย์รัก จึงยอมรับฟัง
เคยอยู่ที่จุดนั่นด้วยความรู้ทางวิชาการ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว
“ในเปลือกที่ว่างเปล่านั้น..มีอะไรอยู่กันแน่นะ…”
ก้าวเท้าเข้ามาหาเร็วๆ ไม่ได้ถอยหนี พอถูกกระชากข้อมือแรงๆ ก็เสียหลัก
ถูกเหวี่ยงตกลงไปในสระน้ำ ได้ยินเสียงกระเซ็น เพราะยังไม่ทันได้ตั้งตัว จึงปล่อยอากาศทั้งหมดออกไปภายในการหายใจแค่ครั้งเดียว
ร่วงหล่นนี่แหละ คือการร่วงหล่น
ความคิดบอกแบบนั้น เห็นมือของตัวเองอยู่ในสายตา คลอรีนกัดจนแสบไปหมด
น้ำเย็น เย็นเสียจนเหมือนถูกแช่ในธารน้ำแข็ง
มืด เห็นเพียงแสงไฟลางๆ ในมุมมองที่ไม่ชัดเจนนั่น ที่แห่งนี้ ไม่ได้ต่างอะไรจากความว่างเปล่าในตัว มองไม่เห็นว่าตัวเองอยู่ที่ไหน รู้สึกเพียงความหนาว ความเดียวดาย อยู่ลำพังในความเวิ้งว้างที่ไม่มีใคร
สายน้ำแหวกออก ฟองลอยฟ่อดไปหมด เห็นร่างของจอห์นกระโดดลงมาใต้น้ำด้วยกัน
หายใจไม่ออก
ถีบตัวขึ้นไปที่ผิวน้ำ ร่างกายทำไปเอง
อีกนิด…
ถูกดันที่ไหล่ แรงกดมากจนร่างกายจมลง จนแทบจะถึงก้นสระ อึดอัด รู้สึกทรมาน เหมือนปอดปริออก ไม่รู้จะทนได้อีกนานแค่ไหน แต่ตอนนี้ อ้าปาก รู้ว่าไม่มีอากาศ น้ำไหลทะลักเข้าแทนช่องว่างนั่น
ทำเรื่องไร้สาระในช่วงเวลาแบบนี้ คงเป็นชั่ววินาทีของสัญชาติญาณการมีชีวิต ทำแม้แต่กระทั่งสะบัดมือออกจากข้อแขนนั่น แต่แน่น แน่นเกินไป เกินกว่าที่จะหลุดออกง่ายๆ
คงจะตาย..
ตายอยู่ภายใต้สายน้ำที่เหน็บหนาว และมืดมิด ความนึกคิดเลือนลาง
เป็นการตายที่น่าหดหู่ อดที่จะเสียใจไปกับตัวเองไม่ได้
เกิดอย่างโดดเดี่ยว ก็ต้องตายอย่างโดดเดี่ยว
เป็นชั่ววินาทีที่ยืนอยู่บนเส้นด้ายเล็กๆ ความตายมันเป็นอย่างนี้เองหรือ ความรู้สึกก่อนตาย ทำไมเต็มไปด้วยความเสียใจ
ความรู้สึก ผลิบานออกในเวลาที่ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป…
เห็นผมสีน้ำตาลเข้มนั่นเอนไปตามน้ำ เข้ามาใกล้
ใกล้จนริมฝีปากประกบเข้าหากัน
อากาศถูกท่ายเทเข้ามา รู้สึกเหมือนถูกฉุดดึงขึ้นมาอีกครั้ง
มือของจอห์นปล่อยออกจากไหล่ที่กดอยู่ เลื่อนไปตามแนวไหล่ ไปถึงข้อมือ กุมเข้าหาช้าๆ รู้สึกถึงความอบอุ่น บนข้อมือที่เย็นเฉียบ
หลับตาลง…
ร่างกายเคลื่อนเข้าหาอีกฝ่ายไม่รู้ตัว ยกแขนขึ้นโอบรอบคอไว้ จูบที่ถ่ายเทอากาศจากอีกฝ่ายมาจนหมด แต่เพราไม่มีทักษะการว่ายน้ำอยู่ เลยไม่รู้จะเก็บอากาศเหล่านี้ไว้ได้ยังไง
ลิ้นชื้นตามมา
บางครั้ง น้ำก็เล็ดลอดเข้ามาตามรอยประกบที่ไม่สนิทพอ อากาศอาจจะหมดลงแล้ว แต่ร่างกายไม่ยอมขยับ
ถ้าตายไปทั้งแบบนี้…
ความคิดแบบนี้ผุดขึ้นมา ไม่ได้รู้สึกดิ้นรน รอบเอวถูกโอบไว้ ถูกดึงตัวเข้าหากัน
ความเสียใจ ลดลงไป จนมองย้อนกลับไปตอนนี้ ไม่เห็นมันอีก
ประกบจูบราวกับนี้เป็นจูบสุดท้ายของชีวิต ข้อมือที่ถูกกำไว้ โดนบีบแน่นจนปลายนิ้วชา
หรี่ตาขึ้น เห็นสมุดลอยอยู่ไม่ไกล กระเป๋ายังอยู่ที่หลัง ของหลายๆอย่างค่อยๆทิ้งตัวลง กล่องดินสออยู่ที่ก้นสระ เท้าเขี่ยถูก มองไม่เห็น เพราะแสงลงมาไม่ถึง
บางอย่าง เคลื่อนที่ช้าจนเหมือนหยุดนิ่ง
คล้ายกับลอยคว้างอยู่ในอวกาศ ไม่มีออกซิเจนให้หายใจ ทุกอย่าง ลอยไปตามกฏสมดุลแรง จนบางครั้ง ก็เหมือนลอยอยู่นิ่งๆ
ริมฝีปากผละออก ถูกดึงแขนขึ้นไป คงจะถึงขีดจำกัด
แสงสว่างค่อยๆชัดขึ้นมาอีกครั้ง
มองสิ่งรอบตัวที่ยังลอยนิ่งๆ สมุดเล่มหนึ่ง กลับลอยขึ้น หน้ากระดาษซับน้ำจนอิ่ม บางแผ่นหลุดออกมา เมื่อแรงถีบที่เท้าไปถึง
พ้นผิวน้ำ
พ้นจากความหนาวเย็น
หายใจจนเหมือนจะไม่ได้หายใจอีก ชั่ววินาทีหนึ่ง รู้สึกถึงความตาย แต่ก็เหมือนถูกดึงขึ้นมาอีกครั้ง ได้ยินแต่เสียงหอบหายใจดัง อยู่ใต้น้ำ ไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งสิ้น
“…นั่นแหละความตาย”
ไม่ได้พูดอะไรออกไป สำลักน้ำจนไอไม่หยุด พอเสียงไอเงียบลง จอห์นก็พูดต่อ
“หนาวเย็น ไม่มีเสียง แบบนี้ยังอยากจะตายอยู่หรือเปล่า…”
ลอยตัวอยู่ใกล้ๆกัน บางจังหวะที่ตีเท้าไปมาใต้ผิวน้ำ ขาก็จะเตะเข้าหากัน จอห์นเป็นเท้าเปล่า ที่เท้าของตัวเองรู้สึกหนัก คงเป็นเพราะรองเท้าผ้าใบอุ้มน้ำจนหนัก
“อึดอัดแบบนี้ ยังอยากจะตายอยู่อีกไหม?”
ไม่รู้จะตอบอะไรออกไป ผิวกายสั่น หนาว หนาวจนปากกระทบเข้าหากัน “ปากซีดไปหมดเลยนะ”
มือนั่นยกขึ้นแตะผิวแก้มช้าๆ หยดน้ำหยดลงจากนาฬิกาข้อมือที่เห็นอยู่ตรงหน้า
ความว่างเปล่าแทนคำตอบ
นิ้วโป้งของจอห์นปาดน้ำที่เลอะแก้มอยู่ “น้ำตาไหลอยู่…กลัวหรือไง”
“ไม่ใช่น้ำตา”
“น้ำตาน่ะ…บางครั้งก็ไม่ได้เห็นเสมอไปหรอกนะ….”…………………………………
………………………..
[Inert 8 : complete]
[18.01.55]
ขออภัยในความล่าช้า เขียนเรื่องอื่นอยู่ ...
