บทที่ ๒๓
หวงรัก(ครึ่งหลังจ้ะ

)
การจะพานักเรียนครูออกไปเที่ยวนั้น โตๆ เป็นหนุ่มกันแล้วไม่จำเป็นต้องขออนุญาตผู้ปกครองหรอก แต่กรณีนี้คงต้องละเว้นจ้อยไว้คนหนึ่ง
คุณชายกับคนึงพาจ้อยไปขออนุญาตยายช้อย ไปขออนุญาตกำนันด้วยตัวเองเสร็จสรรพ ผู้ปกครองรายแรกนั้นไม่มีปัญหาหรอก แต่รายที่สองนี่สิ
กำนันเสริมยิ้มแย้มแจ่มใส อนุญาตให้จ้อยไปอย่างยินดี แต่คุณนายพูนทรัพย์กลับตีหน้าบอกบุญไม่รับ อ้างนั่นอ้างนี่ สารพัดจะสรรหามาอ้าง บอกว่าขาดจ้อยไปใครจะช่วยงานบ้างละ ไปเที่ยวนอกเกาะเมืองต้องมีค่าใช้จ่ายบ้างละ คุณนายอ้างที กำนันก็ขัดคอเมียที หวุดหวิดจะตีกันอยู่รอมร่อ จนคนึงกับเลอมานถึงกับมองหน้ากัน ว่ามาทำให้ผัวเมียเขาทะเลาะกันหรือเปล่าหนอ
ลูกชายกำนันขึ้นเรือนมาตอนนั้นพอดี นักเรียนครูตัวเล็กที่นั่งตัวลีบแปะกับพื้น ยิ่งก้มหน้างุดตัวหดจนแทบจมหายลงไปกับพื้นกระดาน
นายสิงห์ สีตลาเพียงปรายตามอง ก่อนเดินผ่านผู้มาเยือนไปโดยไม่ทักทายสักคำ กำนันรีบขอโทษขอโพยแทนลูกชายมารยาททรามยกใหญ่
คนตัวโตเดินไปให้น้ำนกในกรงอยู่ไม่ไกล ไม่ข้องแวะ ไม่ใส่ใจวงสนทนาสักนิด แต่ก็แกร่วอยู่แถวนั้นไม่ยอมไปไหน
“ตกลงจะพาครูไปกี่วันละ” กำนันถามรวบรัด ตะแกรำคาญเมียเต็มที
“ไปเช้าวันเสาร์ ค้างคืนที่บางบาลคืนหนึ่งก็กลับครับ” สิ้นเสียงอาจารย์คนึง เสียงขันสาครใบน้อยตกพื้นดังเคร้งก็ตามมา ทุกคนหันขวับตามต้นเสียง เห็นนักเลงโตเลิ่กลั่กเก็บขันอยู่ข้างกรงนก กระแอมไอแก้เก้อก่อนหันเหไปหาอ่างบัวแทน
จนฟ้าเริ่มมืด คุณชายกับอาจารย์ขอตัวกลับโรงเรียน โดยพาจ้อยกลับไปด้วย ให้เหตุผลว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นมาเตรียมของแต่เช้ามืด กำนันลงไปส่งขึ้นรถ คล้อยหลังผู้มาเยือน คนที่เอาแต่นั่งจ่อมปลิดใบบัวไม่เลิกราได้แต่เงยหน้ามองตามแผ่นหลังเล็กๆ ไปด้วยแววตาละห้อยหา
คุณชายกับอาจารย์หารู้ไม่ คนที่เอาแต่ก้มๆ เงยๆ แถวอ่างบัวดั่งไม่ใส่ใจ จับถ้อยความการสนทนาได้ทุกคำ
*************************
คณะอาจารย์นักเรียนเตรียมออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ ท้องฟ้าผ่องใสเหมือนใบหน้าทุกคน ต่างยิ้มแย้มเริงร่า ค่าที่นานทีปีหนจะได้ไปเที่ยวต่างอำเภอกันสักที สง่ากับสันติแต่งตัวหล่อเฟี้ยว ผมลงน้ำมันเรียบกริบแทบไม่กระดิกสักเส้น จนอาจารย์ประพนธ์ร้องทักว่าโรงเรียนบางบาลเป็นโรงเรียนประถม ไม่มีสาวน้อยมัธยมหน้าแฉล้มให้เกี้ยวหรอก
จ้อยยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นสองสหายโอดครวญเซ็งแซ่ เลอมานลอบมองแล้วอดอมยิ้มไม่ได้ นานเท่าไรแล้วที่เขาไม่เห็นรอยยิ้มของจ้อย อยากขอบคุณแสงตะวันเหลือเกินที่แต่งแต้มสองแก้มขาวซีดนั้นให้แดงเรื่อขึ้น
นอกจากกลุ่มอาจารย์นักเรียนแล้วยังมีคนจากหน่วยหนังเร่อีก ๓-๔ คน ต่างทยอยขนเครื่องทำไฟ เครื่องฉายหนัง ขึ้นรถจี๊ป ดอดจ์สีขาวอย่างขะมักเขม้น จ้อยช่วยยกกระเป๋าฟิล์มหนังที่จะเอาไปฉายขึ้นรถด้วยอีกแรง
หนักไม่ใช่เล่น หนุ่มน้อยผอมกล้องแกล้งถึงกับเซแซ่ด
“มา ข้าช่วย” เสียงทุ้มห้าวมาพร้อมมือแข็งแรงคว้ากระเป๋าหนังใบโตจากมือจ้อยไปอย่างง่ายดาย
ไม่ต้องเงยหน้ามองจ้อยก็รู้ว่าใคร
ไอ้สิงห์!
คนตัวเล็กผงะหนีทันที ตาเบิกกว้างอย่างกับเห็นผี ยามนั้นคณะเดินทางจึงละมือจากสิ่งที่ทำ หันมามอง ‘คนแปลกหน้า’ เป็นตาเดียว
เมฆดำทะมึนก้อนใดมาพร้อมกับชายหนุ่มคนนั้น ไล่ต้อนแสงตะวันบนหน้าจ้อยหายเกลี้ยง
จ้อยมือสั่นจนระงับไม่อยู่ สองขาถอยหลังกรูดไปยืนเบียดข้างหม่อมราชวงศ์เลอมานโดยไม่รู้ตัว
นี่มันอะไรกัน! ในหัวจ้อยมีแต่คำถามเต็มไปหมด มันมาได้อย่างไร มันมาทำไม มันต้องการอะไร?!
แววตานักเลงโตสลดวูบ สายตาใครต่อใครที่มองมาอย่างไม่ต้อนรับ ไม่อาจกร่อนใจเขาได้เท่าสายตาชิงชังของน้องเลย
สง่ากับสันติเดินอาดๆ เข้ามาขวางหน้า มันแน่ละ.. พวกนั้นไม่มีวันลืมเหตุการณ์วิวาทที่เกิดขึ้นในโรงเหล้าคืนก่อนโน้นได้หรอก คุณชายเลอมานกับอาจารย์คนึงก็เช่นกัน ไม่มีสักคนที่จะมองเขาอย่างเป็นมิตร
เขารู้.. มันน่าอาย มันน่าสมเพช เหมือนคนหน้าด้านที่บังอาจเข้ามาเหยียบถิ่นคนที่เคยมีเรื่องกัน ทั้งที่รู้แก่ใจว่าจะถูกต้อนรับแบบนี้ แต่เขาก็ยังจงใจจะมา
“มึงมาทำไม!” สง่าเลือดร้อนกว่าใคร ตะคอกใส่หน้าด้วยสายตาแข็งกร้าว ผลักไหล่หัวหน้าอันธพาลอย่างแรงจนเซ “ถ้าจะมาหาเรื่องกันก็กลับไปซะ!”
“ที่นี่ไม่ต้อนรับคนอย่างมึง!” สันติได้ทีขี่แพะไล่ ผลักอกกว้างๆ นั้นบ้างตามเพื่อน ก่อนเตรียมตั้งการ์ดรับเผื่อเจอหมัดสวน
ทว่าคนถูกผลักไสไล่ส่งไม่โต้ตอบสักนิด ไม่มีแม้สายตากราดเกรี้ยว ชายหนุ่มมองหาคนที่มีสายตาชิงชังน้อยที่สุด ซึ่งคืออาจารย์คนึง.. ไม่สิ.. เรียกว่าชิงชังน้อยที่สุดคงไม่ถูก ดวงตาสีเข้มคู่นั้น.. ‘เรียบเฉย’ ที่สุดต่างหาก
“คนนอกไปด้วยได้ไหม” เสียงทุ้มห้าวมั่นคงแน่วแน่ ใครต่อใครต่างมองมาอย่างประหลาดใจ คนพวกนั้นจะรู้ไหมว่าประโยคสั้นๆ ที่เอ่ยจบลงในไม่กี่วินาที ไอ้สิงห์ใช้เวลาเตรียมใจมาทั้งคืน
เขาหันมองน้อง เจ้าตัวเล็กจับมือคุณชายเลอมานไว้แน่น ก้มหน้าก้มตา ไม่ยอมมองหน้ากันเลย
“ได้ไหม.. ครับ” เขาวิงวอนอาจารย์คนึงอีกครั้ง เติมหางเสียงลงไปด้วยอย่างคนมีการศึกษาเขาพูดกัน
ขั้นแรกอาจารย์หนุ่มตีสีหน้าประหลาดใจ ตามมาด้วยความลำบากใจ หันไปสบสายตาคุณชายที่ยืนอยู่เคียงกัน
“ครูก็ไม่ได้อยากกีดกันอะไรนายสิงห์หรอกนะ” อาจารย์ถอนใจอึดอัด “แต่ว่า.. เรามีที่ไม่พอ”
สิ้นคำปฏิเสธกลายๆ นั้น แววตานักเลงสลดวูบลงอย่างน่าสงสาร แต่คนึงไม่ได้โกหกสักนิด รถจี๊ปที่เขาทำหน้าที่เป็นคนขับ แค่เลอมาน สง่า สันติและจ้อย ก็นั่งกันเพียบคันแล้ว ส่วนรถฉายหนังก็มีประพนธ์ และคนจากหน่วยฉายหนังอีก ๓ คน ไหนจะข้าวของอีก
“แกจะเกาะหลังคาไปก็ได้นะ” สง่าเหยียดหยันเต็มที่ “ของถนัดไม่ใช่เรอะ ปกติก็เกาะพ่อเกาะแม่กินอยู่แล้วนี่”
“สง่า” อาจารย์ปรามเสียงห้วน
“นู่น..ท้ายรถหนังยังมีที่ ไปนั่งกองกับเครื่องปั่นไฟเอาไหมล่ะ” สันติว่าเป็นเรื่องขัน
“ได้” แต่ที่น่าขันยิ่งกว่าคือสีหน้านักเลงโตที่พยักหน้าตกลงทันทีอย่างกระตือรือร้น กระชับกระเป๋าเสื้อผ้าในมือแน่นขึ้น “ยังไงก็ได้ ขอแค่ได้ไปก็พอ”
สง่ากับสันติโห่ฮากันใหญ่ด้วยความสมเพชกึ่งขบขัน ถ้อยคำหยามหมิ่นมากมายพรั่งพรูมา ว่าเป็นกุ๊ยชั้นต่ำแต่ริอ่านอยากไปเที่ยวกับนักเรียนครูบ้างละ ว่าพ่อแม่ไม่มีปัญญาพาไปนอกเกาะเมืองหรือไงบ้างละ แต่สิงห์กลับปล่อยไปเป็นลมผ่านหู สายตาจับจ้องอยู่ที่นักเรียนครูตัวเล็กที่เอาแต่ก้มหน้านิ่งเพียงคนเดียว
“เอ้า ไปก็ไป” เลอมานปรึกษากับอาจารย์อยู่ครู่หนึ่งก็ตอบตกลง “ไปกันหลายๆ คนก็น่าสนุกดี เนอะจ้อย” คุณชายหันไปพยักพเยิดกับจ้อย ซึ่งเอาแต่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“มันจะไปด้วยทำไมว้า เสียบรรยากาศฉิบ” สง่าโอดแว่วๆ เตะปลายหญ้าไปเรื่อยอย่างเซ็งอารมณ์ ตรงข้ามกับลูกชายกำนันที่ยิ้มปากฉีกถึงรูหู กระวีกระวาดขอบคุณอาจารย์และคุณชาย ช่วยขนของขันแข็ง
สิ่งที่เขาทำมันโง่ สิงห์รู้ดี แต่ชีวิตนี้เขาเคยทำเรื่องที่โง่บัดซบที่สุดมาแล้ว จากนี้จึงไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไป สารภาพเลยก็ได้ ว่าเมื่อวานตอนอาจารย์บอกว่าจะพาจ้อยไปค้างคืนที่อื่น หัวใจไอ้สิงห์ระส่ำระส่ายไปด้วยพิษรักห่วงหวง พะวงไปหมดทุกอย่าง น้องจะกินอยู่อย่างไร จะนอนกับใคร ไม่อยากปล่อยให้ห่างสายตา แค่คืนเดียวที่จ้อยจะจากไป ไอ้สิงห์ก็รู้สึกเหมือนมีไฟสุมในอก
จนต้องแบกหน้ามาขอติดตามไปด้วยแบบนี้
แล้วดูน้องสิ คนอื่นแต่งตัวกันหล่อเหลา มีกระเป๋าเสื้อผ้าใส่สัมภาระกันคนละใบ จ้อยกลับมีเพียงย่ามพระเก่าๆ เห็นแล้วอดสะท้อนใจไม่ได้
กระเป๋าฟิล์มหนังใบโตวางบนพื้น ๕-๖ ใบ สิงห์กุลีกุจอจะยกขึ้นรถให้ แต่คุณชายปรามไว้เสียก่อน บอกให้เอาไปแค่เรื่องที่จะฉาย ขืนเอาไปทั้งหมด เขาได้เกาะหลังคาไปอย่างที่สง่าค่อนขอดแน่
“เอาเรื่องทรามวัยกับไอ้ตูบไปก็พอ” คุณชายบอกชื่อหนังที่จะเอาไปฉาย สิงห์พยักหน้าแข็งขัน ก่อนหันหาแนวกระเป๋าเรียงราย
ว่าแต่.. มันใบไหนกันล่ะ?
แต่ละใบมีกระดาษเขียนชื่อหนังติดอยู่ คุณชายบอกว่าเรื่อง ‘ทรามวัยกับไอ้ตูบ’ อย่างนั้นหรือ หัวหน้าอันธพาลพึมพำชื่อหนังแผ่วเบา สอดส่ายสายตาไปทีละใบๆ
มองหาใบที่ขึ้นต้นด้วยตัว ‘ซ’
แปลก.. ไม่เห็นมีเลย
“เอ่อ.. ใบซ้ายสุดน่ะ” เสียงอาจารย์คนึงสงเคราะห์บอกให้ คนความรู้เท่าหางอึ่งมองตาม คิ้วหนาขมวดมุ่น นี่มันขึ้นต้นด้วย ท.ทหาร ไม่ใช่หรือ
มัวแต่ยืนงง สองสหายก็เดินมากระแทกไหล่ คว้ากระเป๋าใบนั้นไปเสียก่อน ขุดด้วยปากถากด้วยตาเต็มที่
“ไอ้โง่เอ๊ย”
“ฮะๆๆ แค่นี้ก็อ่านไม่ออก”
เสียงหัวเราะเยาะดังแว่วมา สิงห์เอาแต่ยืนทื่อ เขาไม่โกรธ ไม่โกรธเลยสักนิด มันเป็นความจริง เขามันโง่กินเกลือกินกะปิอย่างที่พวกนั้นพูด ในแววตาดำดิ่งนิ่งลึก มีเพียงความอดสูตนเองกัดกินใจ
การเดินทางครั้งนี้อลวนอลเวงดีแท้ เลอมานอดคิดไม่ได้ ไหนจะเซอร์ไพร์สที่จู่ๆ ลูกชายกำนันก็มาขอเดินทางไปด้วย กำลังจะออกเดินทางแล้วแท้ๆ ก็เจอเรื่องเซอร์ไพร์สรอบสอง เมื่อจ้อยมากระซิบบอกว่าไม่อยากไปด้วยแล้วเพราะรู้สึกไม่สบายขึ้นมาเฉยๆ เล่นเอาสง่าโวยลั่น แล้วคุณชายก็พบเรื่องเซอร์ไพร์สรอบที่สาม เมื่อนายสิงห์ที่โดดขึ้นท้ายรถฉายหนังไปแล้วเกิดวิ่งตะบึงตะบอนมาแตะแก้มแตะหน้าผากจ้อยเป็นระวิง ดูเป็นห่วงเป็นใยกันเกินเหตุอย่างไรพิกล
พอจ้อยไม่ไป นายสิงห์ก็จะไม่ไปบ้าง พอนายสิงห์ไม่ไป จ้อยก็นึกจะไปขึ้นมา พอจ้อยจะไป นายสิงห์ก็ร้องจะไปด้วยอีก เถียงกันไปเถียงกันมา น่าเวียนหัวที่สุด จนอาจารย์คนึงต้องเอ็ดว่าเลิกเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกันเสียที ตะวันขึ้นสายโด่งแล้ว นั่นล่ะถึงได้เลิกเถียงกัน
สรุป.. ก็ไปกันทั้งคู่นั่นแหละ
แสงแดดเดือนสิงหาคมแรงกล้า จนทุกสิ่งทุกอย่างดูสีเผือดไปหมด มองเห็นเปลวแดดยิบๆ ไหวระริกบนทางลูกรัง ออกจากเกาะเมืองสัก ๑๐ กิโลเมตรก็ถึงโรงเรียนบางบาล ตะวันเกือบตรงหัวแล้ว
อาคารเรียนไม้เก่าซีดเพราะโดดฝนชะแดดเผา เสาธงโดดเดี่ยวหน้าโรงเรียนก็เอนเอียงทำท่าจะหักมิหักแหล่ อาจารย์และนักเรียนครูก้าวลงจากรถด้วยท่าทีสง่างาม มีเพียงลูกชายกำนันที่ตัวงอลงมาอย่างหมดมาดเพราะความเมื่อยขบ ร่างใหญ่โตเป็นซุงค้ำเพนียดต้องนั่งงอก่องอขิงอยู่กับกองเครื่องปั่นไฟและเครื่องฉายหนังท้ายรถ ตะคริวแทบกินตาย
มีครูหลายคนออกมาต้อนรับ ต่างยกมือไหว้ทักทายกันอย่างคุ้นเคย บ่งบอกว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่คนึงมาที่นี่ อาจารย์หนุ่มแนะนำหม่อมราชวงศ์เลอมานแก่ครูใหญ่ว่าเป็นอาสาสมัครจากอังกฤษ แนะนำสง่า สันติและจ้อยว่าเป็นนักเรียนฝึกหัดครู ครั้นพอถึงไอ้หนุ่มตัวโตที่ยืนนวดไหล่หน้ายุ่ง เหล่าครูบางบาลต่างชะงักกึก มองสารรูปเถื่อนถ่อยหัวจรดเท้า
ถ้าบอกว่าเป็นโจรก็เชื่อละ
“นายสิงห์ ลูกชายกำนันเสริมน่ะครับ เขาอยากมาด้วย” คนึงแนะนำไปแล้วเหล่าครูก็ทำหน้าแหยง ก็กิตติศัพท์นักเลงหัวไม้กระฉ่อนเสียขนาดนั้น สิงห์พนมมือไหว้โกกเกก ครูน้อยครูใหญ่รับไหว้ทันที ปากหัวเราะแหะๆ แต่ในใจคิดไปทางเดียวกัน
อย่ามามีเรื่องกับนักเลงถิ่นนี้ก็แล้วกันพ่อคุณ!
เจ้าบ้านเชื้อเชิญคณะผู้มาเยือนขึ้นไปพักบนโรงเรียน เด็กๆ ที่ยืนออกันเป็นกลุ่มใหญ่ใต้ร่มไม้ เดินตามหย็อยๆ ขึ้นไปถึงบนตึกเรียน แอบหลบอยู่ตามขอบประตู ในกลุ่มครูจากเกาะเมือง ใครคนหนึ่งโดดเด่นกว่าใคร ผิวผ่องดุจละอองทอง นัยน์ตาสุกใสดั่งพลอยอำพัน ร่างโปร่งบางสำอางสะโอดสะอง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่แหละ.. คุณชายสูงส่งเชื้อไขศักดินาที่เขาร่ำลือ เด็กน้อยเนื้อตัวมอมแมมที่วันๆ ขลุกอยู่แต่กับกลิ่นโคลนสาบควายต่างจับจ้องเป็นตาเดียว
“เด็กๆ ส่วนใหญ่ไปช่วยที่บ้านทำงาน จนค่ำละกว่าจะมานี่ แล้วเราก็จะเริ่มฉายหนังให้เขาดู แล้วทีนี้ก็จะมีการขอให้เล็กลุกขึ้นปราศรัยอย่างไรล่ะ” อาจารย์คนึงเล่าขั้นตอนคร่าวๆ ให้ฟัง เลอมานถามว่าจะให้พูดเรื่องอะไร คำตอบก็บอกว่าอยากจะพูดเรื่องอะไรก็ได้
คุณชายเหลือบมองกรอบประตู เห็นหัวดำๆ ผลุบโผล่เป็นกระรอก นัยน์ตาเล็กๆ นับสิบคู่มองมา ยิ่งรู้ว่าถูกจับตามอง คุณชายยิ่งระมัดกริยา ท่วงท่าสง่าผ่าเผย มุมปากแย้มยิ้มเพียงนิดอย่างไว้ตัวอยู่ในที
หากพอเข้าโรงอาหารเพื่อรับประทานอาหารกลางวันตามคำเชื้อเชิญ ‘ตัว’ ที่ถือไว้ก็หนักจนเผลอสลัดทิ้งไม่รู้ตัว
ในโรงอาหาร ผู้คนขวักไขว่ ส่วนมากเป็นผู้หญิง และทุกคนกำลังทำงานกันขะมักเขม้น แม่ครัววัยกลางคนเทแป้งที่ผสมจากข้าวเจ้าต้มสุกแล้วลงในถุงผ้าขาว มีจานทองเจาะรูเอาไว้ เด็กหนุ่มสูงศักดิ์ปราดเข้าไปยืนตาโตอยู่ข้างหม้อใหญ่ที่มีไอขาวลอยกรุ่น มองแป้งไหลเป็นเส้นสายลงในน้ำเดือดๆ ด้วยอาการเหมือนเด็กเห็นของเล่น แล้วก็ครางว่า
“โอ้ สปาเกตตี้”
อาจารย์คนึงยิ้มเอ็นดู แม่ครัวปล่อยก๊าก แก้ให้ใหม่ “ขนมจีนจ้า”
พอได้ยินว่า ‘ขนม’ คุณชายก็ตาลุกวาว มาเริ่มไม่แน่ใจก็อีตอนร่วมสำรับ จ้อยตักน้ำยากะทิสีส้มเนื้อปลาข้นคลั่กราด ‘ขนม’ เส้นขดๆ สีขาวให้ เห็นพวกสง่ากับสันติกินกันเอร็ดอร่อย โดยเฉพาะนายสิงห์ ถึงจะเลี่ยงไปนั่งหลบกินลำพังอยู่มุมเสา แต่ก็เห็นเดินมาเติมใหม่สองสามรอบ
เลอมานเลยเอาส้อมม้วนเส้นยาวๆ เข้าปากบ้าง แต่ทันใดก็แปล๊บซ่านประสาทจนเพดานแทบหด
โอย! มันเผ็ดจนแทบพ่นไฟได้
คนึงหัวเราะ มองหน้าขาวๆ ขึ้นสีเรื่อที่สองแก้ม ปากแดงราวชาดจิ้มเจ่อจนหุบไม่ลง น้ำตาคลอหน่วยราวกับจะไว้อาลัยให้ปลาช่อนในน้ำยา อาจารย์เลยเปลี่ยนเมนูให้ใหม่เสร็จสรรพ
“นี่อะไร” น้ำลายจะยืด สูดเก็บคืนปากแทบไม่ทัน คุณชายมองน้ำแกงแดงๆ ที่ราด ‘ขนม’ อย่างเคลือบแคลง ขอระแวงไว้ก่อน
“น้ำพริก”
“ไม่เอา!” แค่ ‘ยา’ ยังเผ็ดปากห้อย แล้ว ‘พริก’ ล่ะจะขนาดไหน
“ไม่เผ็ดหรอก หวานๆ ลองดู เอ้า” ผู้ใหญ่ปะเหลาะเสียงนุ่ม ตักใส่ช้อนยื่นป้อนเอาใจ ฝ่ายเด็กก็งอแงปั้นปึ่ง ปฏิเสธหัวเด็ดตีนขาด
“ไม่!”
อาจารย์เสือกช้อนยัดใส่ปากดังกรึบ เลอมานตาค้าง รสหวานกลมกล่อมอวลซ่านอยู่ในปาก เคี้ยวๆ ไปก็มีถั่วกรุบๆ อืม.. อร่อยแฮะ
สรุป.. มื้อนั้น คุณชายซัดขนมจีนน้ำพริกเสียสองจาน เล่นเอาแม่ครัวบางบาลยิ้มแต้ไปตามๆ กัน
(มีต่อจ้ะ)