(ต่อ)
“หมอมีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายจะมาบอกนะครับ ..พวกคุณอยากฟังข่าวไหนก่อนเอ่ย?” คุณหมอหนุ่มหน้าตาดีท่าทางมีอารมณ์ขันแบบผิดสถานการณ์(จนน่าเตะ)เดินออกมาจากห้องฉุกเฉินในชุดกราวนด์สีฟ้าพร้อมคำถามที่ชวนให้คนรอฟังข่าวอย่างใจจดจ่ออย่างผมถึงกับอึ้ง..
หมอเอี้ยไรวะเนี่ย?! มันมีด้วยเหรอไอ้บทพูดแบบนี้ ในสถานการณ์แบบนี้น่ะ? ..มึงจะมามีอารมณ์สุนทรีแบบผิดกาลเทศะเกินไปหน่อยไหมวะ? นี่มันเป็นช่วงนาทีแห่งความเป็นความตายของคนคนนึงเลยนะเว้ย มาพูดเหมือนกำลังล้อเล่นได้ไง? ไอ้บ้าเอ๊ย!!
ในขณะที่ผมได้แต่สบถสาปแช่งอยู่ในใจเงียบๆ ใครอีกคนที่อยู่ด้วยกันกลับไม่ทำแบบนั้น
“มันใช่เวลาเล่นมั้ยเนี่ย เชี่ยหมอ?!” มานะเข้ามากระชากคอเสื้อไอ้หมอบ้าโดยแรง
“โอ๊ะยะๆ ..ยังเป็นบอดีการ์ดเลือดร้อนเหมือนเดิมเลยนะครับ มานะคุง~” ไอ้หมอเวรพูดยิ้มๆ ด้วยท่าทางสบายๆ คล้ายกำลังยั่วโมโหอีกฝ่าย ส่วนมือก็แกะมือของมานะออกจากคอเสื้อตัวเองไปด้วย “แต่แบบนี้แหล่ะที่เร้าใจ~”
“ส่วนแกยิ่งแก่ก็ยิ่งโรคจิต ไอ้บ้าเคย์!” มานะกัดฟันพูดเสียงต่ำอย่างพยายามข่มอารมณ์
“เค้าเรียกว่ามีพัฒนาการไงจ๊ะ เบบี๋~”
“เบบี๋พ่องดิ!”
“โอ๊ะยะ หยาบคาย~”
“..........” ผมขมวดคิ้วมองสองคนนั้นสลับไปมาก็ได้ข้อสรุปให้ตัวเองว่า.. พวกมันคงรู้จักกันมาก่อนแน่ๆ ..แต่นี่มันไม่ใช่เวลาจะมามัวยืนหยอกล้อกันหรอกนะเว้ย! ไอ้พวกบ้า!! อาการของฟ้าประทานของกูต่างหากที่พวกมึงควรจะให้ความสำคัญ!
“ฟ้าเป็นยังไงบ้างฮะ หมอ? เค้าปลอดภัยแล้วใช่มั้ย?” ผมโพล่งขึ้นเสียงดังด้วยความเป็นห่วงระคนโมโห(นิดหน่อย.. ก็มันใช่เวลาเล่นไหมล่ะ? พระเจ้าเหอะ!)
คนที่กำลังแง่งๆ ใส่กัน(คนแง่งคือไอ้มานะ ส่วนไอ้หมอเอี้ยนั่นดูดี๊ด๊าจนน่าตบกะโหลกมากมาย)เลยต้องหยุด และเริ่มเข้าเรื่องกันสักที
“อ้อ ใช่ครับ นั่นเป็นข่าวดี..” หมอบ้าหันมายิ้มให้ผมพลางจัดเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง “ตอนนี้คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้ว”
“ขอบคุณพระเจ้า..” ผมพึมพำออกมาอย่างโล่งอกกับสิ่งที่ได้ยิน
“ต้องขอบคุณหมอสิครับ.. หมอเป็นคนช่วยเค้ากับมือ ไม่ใช่พระเจ้าที่ไหนหรอก หมอเองแหล่ะ” ไอ้หมอบ้าพูดแล้วยิ้มแฉ่ง
“ขอบคุณมากกกกกกกฮะ คุณหมอ!” ผมพูดออกแนวประชดประชันเล็กน้อย(เรอะ?)
“ไม่เป็นไร มันเป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้ว” แต่คนฟังกลับไม่มีสะทกสะท้าน ยิ้มรับหน้าชื่นตาบานเลยทีเดียว
ทำไมถึงได้เป็นคนที่โคตรน่าหมั่นไส้ขนาดนี้วะเนี่ย? เชื่อเขาเลย..
“เมื่อกี๊แกบอกว่ามีข่าวร้ายด้วย? ..แล้วข่าวร้ายคืออะไร?” โล่งใจได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกมานะสกัดดาวรุ่งซะแล้วสิผม
เฮ้ย! จริงด้วย! แล้วข่าวร้ายคืออะไรวะ? พ้นขีดอันตรายแล้วยังมีอะไรที่ไม่ดีอีก?
“อ้อ.. เมื่อสักครู่หมอได้ให้เลือดกรุ๊ป Rh – positive กับคนไข้ เพื่อช่วยให้อาการของคนไข้พ้นขีดอันตรายก่อน แต่ความจริงแล้วคนไข้มีกรุ๊ปเลือดเป็น Rh – negative ..เลือดที่ให้ไปจึงอยู่ได้เพียงชั่วคราวและสามารถให้ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น เนื่องจากร่างกายของคนไข้เป็นลบ พอรับเอาเลือดที่เป็นบวกเข้าไป มันก็จะมีการสร้างแอนติบอดี้ขึ้น ทำให้เม็ดเลือดแดงของคนไข้ถูกทำลาย ถ้ามีการให้ครั้งต่อไปอาจเป็นอันตรายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ..และเป็นที่เข้าใจกันว่าเลือดกรุ๊ป Rh- เป็นกรุ๊ปเลือดพิเศษ หรือกรุ๊ปเลือดหายากในไทย ประชากรไทยที่มีเลือดกรุ๊ปนี้มีเพียง 0.3 เปอร์เซ็นต์ของประชาการทั้งหมดเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วเราจะพบเลือดกรุ๊ปนี้ในชาวยุโรปมากกว่า แล้ว...”
“เอาเนื้อๆ เน้นๆ ดิ๊ ไอ้หมอโรคจิต” มานะเอ่ยแทรกการอธิบายยืดยาวนั่นด้วยท่าทางรำคาญ
“โอเค ข่าวร้ายที่หมอกำลังจะบอกพวกคุณก็คือ...ทางโรงพยาบาลของเรากำลังขาดแคลนเลือดกรุ๊ปนี้อยู่พอดีเลยน่ะสิ” ไอ้หมอกวนส้นตีนแจ้งข่าวร้ายทั้งที่ใบหน้ายังระยายด้วยรอยยิ้มไร้กังวล ..แต่คนรับสารอย่างผมแทบลมจับเมื่อฟังจบ
“หมายความว่าไงวะ?!” มานะโพล่งถามขึ้น
คือ.. ผมคิดว่ามันเข้าใจในสิ่งที่หมอพูดแหล่ะ แต่ไม่อยากจะยอมรับมากกว่า(..มันเรียนเภสัชไง คงพอรู้บ้างล่ะมั้งไอ้เรื่องกรุ๊ปเลือดห่าเหวอะไรเนี่ย ผิดกับวิศวะอย่างผมที่ฟังไปงงไป เพิ่งมาเข้าใจก็อีตอนท้ายที่บอกว่าจะไม่มีเลือดถ่ายให้ฟ้านี่แหล่ะ)
“ขาดแคลน..ก็หมายความว่า ‘ไม่มี’ ไงจ๊ะ บอดีการ์ดบอย ..ที่มหาลัยไม่เคยสอนหรือไง?” ไอ้หมอแหย่มานะพอหอมปากหอมคอ แล้วก็หันมาพูดกับผมต่อแบบไม่ทุกข์ร้อน “ตอนนี้ทางเราไม่มีเลือดกรุ๊ปนี้สำรองไว้เลย และเราก็ไม่สามารถเอาเลือดที่มีอยู่ให้กับคนไข้ได้อีกแล้ว ดังนั้น.. ถ้าคืนนี้คนไข้ไม่ได้รับบริจาคเลือด Rh- จากผู้ใจบุญ เค้าก็อาจจะมีชีวิตอยู่ไม่ทันได้เห็นพระอาทิตย์ของเช้าวันนี้ก็ได้”
เดี๋ยวสิ! อะไรกัน? ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
“คุณพอจะมีเพื่อนหรือคนรู้จักที่มีเลือดกรุ๊ปเดียวกับคนไข้บ้างมั้ยล่ะครับ? จะเป็น O A B หรือ AB ก็ได้ ขอแค่เป็น Rh- ก็พอ เพราะคนไข้เองก็เป็น AB ที่รับได้ทุกกรุ๊ปอยู่แล้ว”
เท่าที่ผมนึกออกตอนนี้คือ...ไม่มีเลย
หันไปมองมานะ ก็เห็นไอ้หมอนั่นมีสีหน้าจนปัญญาไม่แพ้กัน
“มานะคุง.. ทำไมเธอไม่ไปขอร้องคนคนนั้นล่ะ หมอได้ข่าวว่าตอนนี้เค้าอยู่ที่นี่แล้วนี่นา” หมอเพี้ยนพูดขึ้นลอยๆ แต่ทำเอาผมหูผึ่ง
ไอ้หมอจะพูดถึงใครผมไม่รู้หรอก แต่ผมรู้สึกเหมือนกำลังเห็นแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิดขึ้นมาทันทีเลย
ในขณะที่มานะเองก็ดูมีความหวังขึ้นมาเช่นกัน แต่คิ้วเข้มนั่นยังขมวดยุ่งคล้ายลำบากใจ
“หมอนั่น...จะยอมช่วยเหรอ?” มานะเปรยเสียงเบาคล้ายถามตัวเองมากกว่า
“ไม่ลองก็ไม่รู้” หมอว่าแบบนั้นแล้วยักไหล่
มานะเสียเวลาคิดอีกเพียงเล็กน้อย ก่อนจะควักโทรศัพท์ออกมาแล้วเดินออกไปคุยห่างจากที่ผมอยู่
ไม่ว่าคนที่มานะโทรไปหาจะเป็นใคร ผมขอภาวนาให้คนคนนั้นตอบรับคำขอร้องของพวกเราด้วยเถอะ...
“เดี๋ยวหมอขอตัวกลับเข้าไปดูคนไข้ก่อนนะครับ”
“อ๊ะ เดี๋ยวครับ” ผมละสายตาจากแผ่นหลังของมานะ แล้วหันกลับมาที่หมอประหลาดแทน “ผมขอยืมโทรศัพท์หมอหน่อยได้มั้ย? พอดีผมไม่ได้พกติดตัวมา”
หมอพยักหน้า แล้วหยิบโทรศัพท์ของตัวเองมายื่นให้ผม “นี่ครับ” ก่อนหายกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉินอีกครั้ง
พอได้โทรศัพท์มาผมก็ออนไลน์ทั้งเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ แล้วทวีตแจ้งความประสงค์ขอบริจาคเลือดกรุ๊ปที่ว่าทันที ..ไม่นานก็มีคนเข้ามาช่วยแชร์ช่วยไลค์ช่วยกันรีทวีต แต่ยังไม่มีใครสักคนที่สามารถตอบรับคำขอของผมได้
!.. จู่ๆ ก็มีคนส่งข้อความเข้ามาทางอินบ็อกซ์ของเฟซบุ๊ค แอ็คเคาน์ที่ใช้เป็นชื่อของไอ้ยูริ แต่ข้อความน่าจะมาจากซอลลี่มากกว่า
AB (Rh-)
Konelo Berlusconi
และบรรทัดสุดท้ายเป็นเบอร์โทรภายในประเทศไทยที่สามารถติดต่อหมอนั่นได้!
โอ้ ขอบคุณซอลลี่ พี่คือเทวดามาโปรดน้องแท้ๆ !!
ผมท่องจำเบอร์จนขึ้นใจ แต่จังหวะที่กำลังจะกดโทรออกก็ต้องสะดุ้งเฮือกกับเสียงสบถอย่างหัวเสียพร้อมกับเสียงแตกหักของอะไรบางอย่าง
“โธ่เว้ยยยยยย!!”
หันไปมองก็เห็นมานะยืนขยี้หัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด เศษซากมือถือแตกกระจายอยู่เต็มทางเดิน ท่าว่าหมอนั่นจะเป็นคนปาเองกับมือ
นี่หมายความว่าคนคนนั้นไม่ยอมช่วยฟ้าประทานงั้นเหรอ?
“นั่นมึงจะไปไหน มานะ?” ผมร้องถามเมื่อจู่ๆ หมอนั่นก็เริ่มออกวิ่งไปตามทางเดิน
“กูจะไปลากคอคนที่มันมีเลือดกรุ๊ปเดียวกับคุณหนูมา มึงรออยู่นี่แหล่ะ” เสียงมานะตะโกนตอบมาก่อนที่เจ้าตัวจะเลี้ยวหายลับตาไป
ผมเลิกสนใจมานะชั่วคราว แล้วกลับมาจดจ่อกับการโทรหาโคเนโรอีกครั้ง
“ติดแล้ว!” ผมร้องดีใจกับตัวเองเมื่อโทรติด เหลือแค่รอว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะรับเท่านั้น
รับสักทีสิ... รับสิ.. รับสิ... รับสิโว้ยยยยยยย
“Ciao~ ..” ในที่สุดก็มีคนรับ!
ผมไม่รอให้อีกฝ่ายได้ถามอะไร รีบกรอกเสียงของตัวเองลงไปเลย “ฮัลโหล! โคเนโร.. ผมซันชายน์นะ ผมมีเรื่องอยากขอร้องคุณ”
“โอ๊ะ ซันนี่?” ทางนั้นส่งเสียงแสดงความประหลาดใจ
แต่กูบอกหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือไงว่ากูชื่อ..ซันชายน์! ไอ้ห่านี่!
ผมล่ะสงสัยจริงๆ ว่าไอ้พวกที่มาจากอิตาลีมันหน้ามึนแบบนี้ทุกคนเลยหรือไง? ..แต่ช่างเหอะ ตอนนี้ผมมีเรื่องที่สำคัญมากกว่านั้นจะพูด
“โคเนโร..ได้โปรดช่วยเพื่อนของผมด้วย..มีคุณคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้ในตอนนี้..เขากำลังแย่..เขาแย่มาก..เลือดของคุณสำคัญกับเขามาก..ผมขอร้อง..ช่วยเพื่อนของผมด้วย..ช่วยฟ้าด้วย..”“ใจเย็น ซันนี่.. คุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ? ผมไม่ค่อยเข้าใจ เพื่อนของคุณเป็นอะไร? แล้วเลือดของผมมันทำไม?”
“ฟ้าประทาน.. เขาเสียเลือดมาก..แต่ทางโรงพยาบาลไม่มีเลือดกรุ๊ปที่จะใช้กับเขาได้เลย..ซอลลี่บอกผมว่าคุณมีเลือดกรุ๊ปที่เราต้องการ...คุณต้องช่วยเขานะ โคเนโร..ผมมองไม่เห็นใครแล้วนอกจากคุณ...ได้โปรดเถอะ” ผมพยายามใจเย็นอย่างที่อีกฝ่ายแนะ และพยายามเรียบเรียงคำพูดให้ฟังเข้าใจง่ายที่สุดเท่าที่สติสัมปชัญญะที่เหลืออยู่ตอนนี้จะสามารถทำได้
“อ่า.. ผมว่าผมพอจะเข้าใจแล้วล่ะ.. แต่ขอโทษนะ ซันนี่.. ผมไม่แน่ใจว่าผมจะช่วยอะไรเขาได้..”
“ทำไม?!” ผมเผลอตวาดใส่ไปด้วยความตกใจ
“..คือผมไม่ค่อยสบายน่ะ” หมอนั่นตอบคล้ายไม่อยากจะตอบซักเท่าไหร่
“ผมก็เห็นคุณแข็งแรงดีนี่นา” ผมท้วง
“ก็..ไม่รู้สินะ แค่กๆ อื้ม.. ผมแค่รู้สึกว่าผมไม่ค่อยสบายเท่าไหร่..” ตอแหล!!!~ ตอแหลชัดๆ เสียงไอแม่งฟังตอแหลโดยสิ้นเชิง! แบบนี้มันตั้งใจบ่ายเบี่ยงกันนี่หว่า! แต่อย่าคิดว่าซันชายน์คนนี้จะยอมง่ายๆ นะ! กูจิกไม่ปล่อยแน่ และถ้ายังไม่ให้กูก็จะตามหลอกหลอนมึงไปตลอดชีเวี้ยดดด! ไอ้แล้งน้ำใจ! ไอ้ไร้จิตเป็นกุศล! ไอ้คนไม่มีมนุษยธรรม! ไอ้อำมหิต! คนจะตายอยู่ตรงหน้ายังไม่คิดจะช่วย จวยเอ๊ย!! ..ทำไมซอลลี่ถึงไปคบกับคนแบบนี้ได้วะ?
กร๊าซซซซซซซ กูอยากกระทืบชาวต่างชาติ!
“คุณมาให้หมอตรวจร่างกายดูก่อนก็ได้ คุณแค่รู้สึกว่าตัวเองอาจป่วย มันก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะต้องป่วยจริงๆ นี่นา” ผมพยายามระงับอารมณ์ที่กำลังพุ่งปรี๊ดๆ ข้างในอกไว้ก่อน แล้วกัดฟันทนสนทนาภาษาสุภาพชนกับคนไร้น้ำใจต่อไป
“...แต่ผมไม่ชอบไปโรงพยาบาล” ไอ้หมอนั่นยังอิดออด
“และผมก็กลัวเข็มด้วย”สรุปคือมึงจะไม่ยอมช่วยกันจริงๆ ใช่ม้ายยยยย?! ไอ้..ไอ้...โหยยย กูนึกไม่ออกแล้วว่าจะด่ามึงว่าอะไรดี! ไอ้หอยจุ๊บเอ๊ย!!
“มันไม่น่ากลัวอย่างที่คุณคิดหรอก มาเถอะนะ ถ้าหมอบอกว่าไม่ได้จริงๆ ผมจะไม่รบเร้าคุณอีกเลย ..นะ โคเนโร ผมขอร้องนะ นึกว่าเห็นแก่ผมที่เป็นน้องของซอลลี่เพื่อนของคุณนะ” “...........” คราวนี้เสียงจากปลายสายเงียบไปเหมือนกำลังตัดสินใจ
“โคเนโร ได้โปรด...”“..โคเน่” จู่ๆ ทางนั้นก็พูดขึ้นมาแบบนั้น
“ห๊ะ?” ผมร้องถามไปงงๆ ..มันคืออะไร? มันไม่ใช่คำตอบที่ผมต้องการนี่!
“เรียกผมว่า ‘โคเน่’ เหมือนพี่ชายคุณสิ”
“โอเค โคเน่.. มาที่โรงพยาบาลเถอะนะ ตอนนี้เพื่อนผมต้องการคุณ” นาทีนี้ให้เรียกอะไรก็ยอมทั้งนั้นล่ะ จะให้เรียก ‘พ่อ’ กูก็ยอมเหอะ!
“ผมไม่สนหรอกว่าเพื่อนคุณจะต้องการผมมั้ย..” เหมือนคนจะได้ยินเสียงหัวเราะแว่วๆ จากปลายสาย ..หรือจะหูฝาดไปเอง?
“ไหนคุณลองพูดซิว่า...คุณต้องการผม” “ได้ๆ ..ผมต้องการคุณ โคเน่ ได้โปรดมาที่นี่..เดี๋ยวนี้” ผมยอมทำตามที่อีกฝ่ายขอโดยไม่เสียเวลาลังเล
“..โอเค ผมจะไป” ในที่สุดอีกฝ่ายก็ตอบตกลง
“ขอพระเจ้าคุ้มครองคุณ โคเน่.. คุณคือพ่อพระของเรา..” ผมพึมพำด้วยความโล่งอกผสมดีใจ กำลังจะยิ้มออกมาเชียว ถ้าไม่ได้ยินประโยคถัดมาจากคู่สายซะก่อน
“..แต่มีข้อแม้นะ”!!.. ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนคนที่เพิ่งจะตะเกียกตะกายปีนขึ้นจากก้นเหวได้สำเร็จ กำลังจะโห่ร้องดีใจให้สาแก่ความเหน็ดเหนื่อย แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากก็ถูกไอ้บ้าหน้าไหนไม่รู้มันถีบจนร่วงกลับลงก้นเหวอีกรอบ ..ฉันใด ฉันนั้น
“รับปากสิ.. ว่าถ้าผมให้เลือดกับเพื่อนของคุณตามที่คุณขอ คุณเองก็จะยอมทำตามที่ผมขอเหมือนกัน” อีกฝ่ายเร่งเร้าเมื่อเห็นว่าผมเงียบไป
“ผมจะทำตามทุกอย่างที่คุณขอ” ผมตอบไปโดยไม่ได้คิดด้วยซ้ำ ตอนนี้จิตใจของผมพะวงอยู่กับความอยู่รอดของฟ้าประทานอย่างเดียว
“เยี่ยม” เสียงโคเนโรหัวเราะเบาๆ มาตามสาย
“โอเค แล้วคุณจะให้ผมไปรับมั้ย? คุณมาที่นี่ถูกรึเปล่า?” ผมถามเมื่อเราตกลงกันได้แล้ว
“ไม่ต้องมารับหรอก จะเสียเวลาเปล่า เดี๋ยวผมไปเอง..” จากนั้นอีกฝ่ายก็กดตัดสายไป ..ผมเพิ่งจะมานึกได้เองว่าตัวเองไม่ได้เอารถมา แล้วนี่ถ้ามันให้ไปรับจริงๆ ผมจะเอาอะไรไปรับมันวะ? ..พูดไม่คิดอีกแล้วกู
แต่เอ๊ะ..
ที่ผมลืมคิดนี่มีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวหรือเปล่าวะ?
“โคเนโร?” ไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำที่เจ้าของชื่อมาปรากฏตัวต่อหน้าผมหลังจากวางสาย ทั้งที่โรงแรมกับโรงพยาบาลมันไม่ได้ใกล้กันเลยสักนิด แถมทั้งพ่อบ้าน ทั้งมานะยังเดินตามกันมาเป็นพรวนอีก
บังเอิญเจอกัน.. หรือยังไง? ไหนมานะบอกว่าจะไปลากคอคนที่มีเลือดกรุ๊ปเดียวกับฟ้ามาไง? แล้วทำไมถึงเดินหน้าบูดเป็นตูดตามโคเนโรมาได้?
เมรันดรีอีก...ไหนว่ามีธุระเร่งด่วน??
“โคเน่ต่างหาก” หมอนั่นพูดยิ้มๆ
“ทำไมคุณมาเร็วขนาดนี้เนี่ย?” ผมถามงงๆ สลัดเรื่องของสองพ่อลูกบุญธรรมนั่นออกไปก่อน
“ผมก็นึกว่าคุณอยากจะให้ผมมาเร็วๆ ซะอีก รู้งี้ไม่น่ารีบเลยแฮะ” โคเนโรพูดทีเล่นทีจริง
ก่อนที่เราจะได้ต่อความยาวสาวความยืดกันไปมากกว่านั้น คุณหมอเพี้ยนคนเดิมก็เดินออกมาจากห้องคนไข้อีกรอบ ผมเลยรีบคว้าข้อมือโคเนโรเข้าไปหาหมอทันที
“หมอ.. คุณคนนี้เค้าจะมาบริจาคเลือดให้ฟ้า ให้บริจาคได้เลยมั้ยฮะ?” ผมถามด้วยความร้อนใจ
“อ้อ ครับ” หมอมองผมยิ้มๆ ก่อนกันไปเขย่ามือทักทายกับโคเนโรอย่างอารมณ์ดี “สวัสดีครับ เวลคัม ทู ไทยแลนด์”
“สบายดีนะ หมอ?” โคเนโรทักตอบเป็นภาษาอังกฤษ
“สบายบรื๋อเลยล่ะ” แต่หมอยังสตีลโชว์สกิลภาษาไทย จากนั้นหมอก็หันไปเรียกพยาบาล แล้วหันกลับมาผายมือเชื้อเชิญโคเนโรให้เดินตาม “งั้นเชิญตามมาทางนี้เลยครับ”
“เดี๋ยวผมมา อย่าลืมสัญญาล่ะ ซันนี่” คนพูดหันมาขยิบตาให้ผม ก่อนเดินตามทั้งหมอและพยาบาลไป
“ได้เลือดจากคนคนนั้น คุณหนูก็ปลอดภัยแล้วล่ะครับ วางใจเถอะ” พ่อบ้านเดินมาแตะไหล่ผมเบาๆ คงเพราะเห็นผมยังทำหน้ากังวลนั่นล่ะ
“อืม...” ผมเม้มปาก พยักหน้ารับคำของพ่อบ้าน ก่อนจะต้องเลิกคิ้วกับเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายยื่นมาให้
“ไปเปลี่ยนชุดก่อนเถอะครับ ชุดของคุณเลอะเลือดคุณหนูเต็มไปหมด”
ผมก้มมองตัวเอง เสื้อยืดบางๆ กับกางเกงนอนที่เอาของฟ้ามาใส่ ตอนนี้มีแต่คราบเลือดเกรอะกรังเลอะเทอะไปหมด
“ขอบคุณ” ผมบอกและรับเสื้อผ้ามา แล้วรีบเอาไปเปลี่ยนที่ห้องน้ำของโรงพยาบาล..
“เป็นไงบ้างครับ คุณหมอ?” ผมลุกจากเก้าอี้นั่งรอ แล้วรีบปรี่เข้าไปหาคุณหมอที่เพิ่งออกมาจากห้องหลังจากได้รับเลือดบริจาคและหายเข้าไปดูฟ้าประทานพักใหญ่ๆ
“หมอเหรอ? สบายมากเลยล่ะ?” คำตอบของหมอทำผมแอบอึ้งไปเล็กน้อย
ผมยังคงยืนยันคำเดิมนะ.. หมอเอี้ยไรวะเนี่ย?!
“ใครเค้าสนใจแกกัน เค้าถามถึงคุณหนูต่างหาก” เสียงมานะแทรกขึ้นอย่างหงุดหงิด(..คือมันดูหงุดหงิดงุ่นง่านมากๆ ตั้งแต่กลับมาตอนนั้นแล้วล่ะ ท่าทางมันเหมือนอยากจะอาละวาดอยู่หรอก แต่พอเหลือบตาไปมองเมรันดรีที่นั่งนิ่ง แต่ส่งสายตาปราม ก็เหมือนว่ามันจะพยายามระงับอารมณ์ไว้)
“อ้อ.. คนไข้ปลอดภัยหายห่วงแล้วครับ” ไอ้หมอบ้าว่างั้น แล้วมองสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนกับไม่เคยเห็น “คุณนี่.. พอล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วดูดีชะมัดเลยแฮะ”
“หา?!” ไม่รู้ว่าตั้งแต่เจอกันไอ้หมอเพี้ยนนี่มันทำผมอึ้งไปกี่รอบแล้วนะวันนี้(..เกินจะนับ)
“โอ๊ะยะ ..ทำหน้าแบบนั้นมันเสียมารยาทนะครับ พริตตี้บอย” ..สงสัยว่าผมจะแสดงสีหน้ารังเกียจออกนอกหน้าไปหน่อยมั้ง มันเลยพูดแบบนั้นออกมา เหอๆ
“..แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ หมอชอบสไตล์บอดีการ์ดบอยมากกว่า” แล้วมันก็หันไปลวนลามมานะทางสายตาแทน “ดูร้อนแรงดี~”
“พ่อง!” ก็เลยโดนอีกฝ่ายมอบนิ้วกลางให้ด้วยความดุดัน
“โอ๊ะยะ หยาบคายอีกแล้ว~”
“เอ่อ หมอ.. ผมขอเข้าไปดูฟ้าหน่อยได้มั้ย?” ผมถามแทรกการละเล่นหมาหยอกแมว(?)ของทั้งคู่ด้วยความรำคาญ แง่ง!
“ไม่ได้ครับ” หมอบ้าตอบสวนทันควัน
“ทำไม?!” ผมกับมานะตะโกนขึ้นแทบจะพร้อมกัน
“อาการของคนไข้ยังไม่นิ่ง ขอหมอดูอาการอีกซักหน่อยแล้วกัน”
อะไรวะ? ก็ไหนบอกว่าปลอดภัยแล้วไง? แมร่ง.. ผมได้แต่บ่นอุบอิบอยู่ในใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ยังหล่อจนน่าหมั่นไส้เหมือนเดิมนั่นล่ะ” ไอ้หมอว่ายิ้มๆ ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “ตอนเช้าค่อยเข้าไปดูนะ ..อีกไม่กี่ชั่วโมงหรอก หมอว่าตอนนี้พวกคุณไปพักผ่อนกันก่อนดีกว่า หมอก็ว่าจะไปแอบงีบเหมือนกัน ง้วงง่วง...ฮ้าววว~”
“แต่ว่า..” ผมอิดออดไม่อยากไป
“กลับไปพักผ่อนอย่างที่คุณหมอเคย์ว่าเถอะครับ คุณซันนี่” พ่อบ้านที่ยืนเงียบมานานพูดขึ้นบ้าง “ถ้าเกิดคุณเป็นอะไรไปอีกคน คุณหนูคงไม่สบายใจ”
“ผมไม่เป็นอะไรหรอก.. ผมห่วงฟ้ามากกว่า”
“มึงไปเถอะ ซัน..” มานะก็เห็นด้วยกับคนอื่นๆ
“แล้วมึงล่ะ?” ผมถามมัน
“กูต้องอยู่ดูแลความปลอดภัยให้คุณหนู”
“งั้นให้กู..”
“อย่าดื้อเลยครับ คุณซันนี่ กลับไปกับผมเถอะ” เมรันดรีเอ่ยตัดบทอิดออดของผม
“ไม่หรอก ซันนี่จะไปกับผม” เสียงที่ดังขึ้นจากข้างหลังทำให้พวกเราทุกคนหันไปมอง
โคเนโรเดินยิ้มสบายๆ ทั้งที่หน้าตาดูซีดเซียวจากการเสียเลือดไปไม่น้อยเมื่อครู่ เขาเดินเข้ามาฉุดข้อมือผมแล้วทำท่าจะเดินออกไปโดยไม่อธิบายอะไรอีก แต่ผมขืนตัวเองไว้ด้วยไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะพาไปไหน
โคเนโรหันกลับมามองพร้อมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงถาม
“คุณจะให้ผมไปไหน?” ผมยังขืนตัวเองไว้ แต่ไม่ได้แกะมืออีกฝ่ายออก
“คุณสัญญาแล้วนะว่าจะให้ทุกอย่างที่ผมขอ” โคเนโรทวงสัญญา
“ก็..ใช่” ผมตอบอึกอัก รู้สึกใจคอไม่ดียังไงชอบกล..
คนได้รับคำตอบยิ้มดีใจจนตาหยี แต่นั่นกลับทำให้ผมรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงไขสันหลังเลยทีเดียว
“ผมขอให้คุณนอนกับผม ซันนี่”TBC. 
โอเค ณ จุดนี้ ..คนเขียนยอมรับก็ได้ว่าซันนี่มัน ... รั่ว ซึม ลึก ... กร๊ากกกกกก
บางทีก็รู้สึกอยากให้เรื่องมันดราม่าเหมือนกันนะ แต่ด้วยคาแรคเตอร์ของแต่ละคนในเรื่องนี้แล้ว... มันทำไม่ได้จริงๆ ว่ะค่ะ ฮ่าๆๆๆ

--------------------------------------
มานะ มานี ปิติ ชูใจ ปิติมีม้า ม้าชื่อเซ็กเทาว์...

ก็ไม่รู้ว่ามีคนอ่านในนี้เรียนทันเล่มนี้รึเปล่านะ
แต่คนเขียนไม่ทันหรอกนะเออ คนเขียนเรียน กล้า แก้ว น่ะ (เดี๋ยวจะหาว่าแก่ ..เอ๊ะ รึแก่วะ? ฮ่าๆๆ เดี๋ยวนี้เค้ามีแบบใหม่รึยังอ่ะ? หนูไม่ยู้~)
--------------------------------------
รออ่านเรื่องราวเต็มๆ ‘กว่าจะเป็นบอดีการ์ด’ (<- ว่าไปนั่น) ของนายมานะได้ในตอนพิเศษ Your Highness นะจ๊ะ (แต่มีเฉพาะในหนังสือนะ ฮ่ะๆๆ)
--------------------------------------
ปืนที่ใช้ส่องหัวเอี้ยฟ้า(แต่เกือบพลาดไปโดนหัวซันนี่)ค่ะ

ปืนไรเฟิลซุ่มยิง Barrett M82A1 หรือชื่อเล่นคือ "Light Fifty"
นิยมนำมาใช้ในภารกิจซุ่มยิงขบวนรถหรือบุคคลสำคัญ ที่ชอบนั่งรถหุ้มเกราะหรือเฮลิคอปเตอร์ (ตัวนี้สอย ฮ.ร่วงนะฮัฟ)
ใช้กระสุนขนาด .50 BMG (BMG : Browning Machine Gun) หรือขนาด 12.7×99 mm. NATO
ใช้ระบบปฏิบัติการแบบ Short Recoil, Semi-Automatic ความจุ 10 นัด ความแม่นยำ 1.5-2 MOA
ระยะหวังผลอยู่ที่ 1,800 เมตร(เห็นบางที่ว่าไกลสุด 2,500 บางที่ก็ว่า 3,500 ..ก็ไม่แน่ใจว่าอันไหนจริงกว่า แต่ 1,800 นี่ชัวร์ฮัฟ)
รู้สึกว่าในกองทัพไทยก็มีใช้นะฮัฟ ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็นะ แต่ถ้าจำผิดก็ขอสูมาเต๊อะ
(พอดีหาข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง นั่งอ่านจนมึนเบลอไปเลยล่ะค่ะ)
และถ้าใครสนใจหนังเกี่ยวกับ สไนเปอร์(เกรียนๆ) แนะนำเรื่อง Shooter ฮัฟ หนังเก่านิด(2007 มั้ง) แต่มันส์มว้ากกกก
ที่สำคัญ จ่าบ๊อบ(พระเอก)เซะซี่สุดๆ อิอิ

--------------------------------------
สืบเนื่องจากตอนกระโน้นนนนนนนนนน(นานเนอะ ฮ่ะๆ)
เห็นหลายคนสงสัยว่าทำไมเอี้ยฟ้าถึงรู้ว่าแมลงสาบไม่อร่อย??? มันเคยกินใช่มั้ย?? แล้วกินทำไม?
อ่ะ ...ก็ไปถามสิ
"น้องเอี้ยฟ้า น้องเอี้ยฟ้า~ ทำไมหนูถึงได้กินแมลงสาบล่ะลูก?"

"ก็ฟ้าหิวอ่ะ"
ปล. ขำๆ นะ ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องแต่อย่างใด ไม่อยากให้เครียดกันน่ะ อิอิ