(ต่อ)
หลังจากให้พี่ยามด้านหน้าเรียกแท็กซี่ให้ ระหว่างที่รอก็ควักโทรศัพท์ออกมาดูวันเวลาและได้เห็นว่านี่มันเกือบจะสิบเอ็ดโมงแล้ว ..อืม วันนี้วันเสาร์เหรอวะ? ดีๆ ไม่มีอารมณ์จะไปเรียนพอดี กลับไปนอนที่คอนโดดีกว่า
..แล้วซินล่ะ? พอคิดถึงพี่ชายฝาแฝดขึ้นมาผมก็กดโทรหาทันที เสียงสัญญาณดังแค่สองสามครั้งก็มีคนกดรับ
“ไอ้ซันเหรอ?” เสียงที่ดังตามสายทำให้ผมถึงกับคิ้วกระตุก หือ..?
“ไอ้กาย? พี่กูล่ะ?”
“ยังไม่ตื่นเลยเนี่ย กูเรียกก็แล้ว สะกิดก็แล้ว ก็ยังนอนอืดเป็นหมาเน่าไม่ยอมขยับ จะเหลือก็แต่ถีบลงจากเตียงนี่แหล่ะที่ยังไม่ได้ทำ” ไอ้กายบอกกลั้วหัวเราะ ผมเลยพลอยหัวเราะไปแล้ว
นี่แปลว่าซินมันสามารถนอนหลับสบายใจไร้กังวลในห้องไอ้กายได้แล้วงั้นเหรอ? เหอ.. ใครได้ประโยชน์ล่ะงานนี้? ฮ่ะๆๆ
“ถ้ากล้าถีบพี่กูเดี๋ยวมึงจะโดนมิใช่น้อย” ผมขู่ไม่จริงจังนัก แล้วถามต่อ “ว่าแต่ซินมันเจ็บมากรึเปล่าวะ? มีแผลมั้ย?”
“แค่ฟกช้ำดำเขียวนิดหน่อยเอง” ได้ยินแบบนั้นผมก็โล่งใจ แต่ประโยคถัดมาทำเอาต้องเลิกคิ้วแปลกใจ “ที่เจ็บมากกว่าคนอื่นก็เห็นจะมีแต่กูนี่ล่ะ เหอะๆ”
“อ้าว มึงไปโดนอะไรตรงไหนล่ะ?”
“ขวดว่ะ กลางหัวเลย แมร่งเล่นทีเผลอ โดนเย็บไปตั้งสิบสี่เข็มแน่ะ”
โห.. เมื่อคืนไม่เห็นซินมันพูดไรเลยวะ?
“สิบสี่เข็ม? แค่เนี่ย? จิ๊บๆ น่า”
“เย็บสด เจ็บตาแหกเหอะ” เสียงไอ้กายบ่น
“เออ แล้วตอนนี้ยังเจ็บอยู่ป่ะ?” ถามสักหน่อย เดี๋ยวมันจะหาว่าไม่ห่วงเพื่อนห่วงฝูง
“ไม่อ่ะ พาราฯช่วยได้ แล้วมึงล่ะ เป็นไงมั่ง?”
ผมขมวดคิ้วกับคำถามนั้น ก่อนจะเกทับมันซะเฉยๆ “ก็ไม่เป็นไง สบายดี ไม่มีใครเซ่อเอาหัวไปรับขวดเหมือนมึงหรอก ฮ่าๆๆ”
“ถ้าไม่โดนหัวกูก่อน รับรองว่าหัวพี่มึงโดนเต็มๆ มึงควรจะสำนึกบุญคุณกูนะ ไอ้น้องชาย”
“ลามปามๆ ใครน้องมึง เชี่ยกาย? แล้วถึงมันจะโดนซินจริง กูก็ว่าหัวมันไม่แตกหรอก ทั้งหมวกแก๊ปหมวกผ้าที่มันใส่ซ้อนกัน แล้วไหนจะเดทร็อคเส้นหนาๆ อีก แค่ขวดเหล้าเล็กๆ น่ะไม่ระคายเคืองถึงหนังหัวมันหรอก มึงเสียสละผิดโอกาสแล้ว ควาย!”
“เออว่ะ กูก็ลืมคิดไป..” แว่วเสียงอีกฝ่ายพึมพำเบาๆ ผมเลยหลุดหัวเราะออกมาอย่างสะใจ
“แต่ยังไงก็ขอบใจมากว่ะที่ช่วยดูแลพี่กู” ผมพูดออกไปจากใจจริง
“ไม่เป็นไร กูเต็มใจ..” ไอ้กายบอกอุบอิบด้วยน้ำเสียงแอ๊บแบ๊ว นึกภาพออกเลยว่ามันต้องกำลังทำท่ากระบิดกระบวนเหนียมอายตามสไตล์ผู้ชายแรดของมันอยู่แน่ๆ ถ้าอยู่ใกล้ๆ นี่โดนตบหัวทิ่มไปแล้ว แต่ไม่ปฏิเสธหรอกว่ามันทำให้ผมยิ้มกว้างออกมาได้
เราคุยกันต่ออีกสองสามประโยคพี่ยามก็มาบอกว่ารถที่ให้เรียกมาแล้ว ผมเลยขอตัววางสาย บอกขอบคุณพี่ยาม แล้วเดินมาขึ้นรถ บอกชื่อคอนโดตัวเองเสร็จสรรพก็กลับมามองหน้าจอมือถืออีกรอบ..
กำลังชั่งใจว่าจะโทรไปเช็คซอลลี่ก่อนดีไหม? ใจจริงก็ไม่อยากจะกลับไปขัดจังหวะสวีทหวานของหมอนั่นกับไอ้ยูรินักหรอก ยิ่งวันนี้วันเสาร์ด้วย เดาได้เลยว่าซอลลี่จะต้องรั้งไอ้ยูให้ขลุกอยู่กับตัวเองทั้งวันแน่ๆ
..หรือว่าจะไปนอนเล่นคอนโดแบรี่ก่อนดี? แบรี่เพิ่งจะแยกออกมาอยู่คอนโดคนเดียวเมื่อครึ่งปีก่อน แต่อยู่แถวลาดพร้าวโน่นแน่ะ เอาไงดี? ไปหรือไม่ไป? โทรเช็คก่อนดีไหม? เผื่อเขามาทำงานที่คณะจะได้ไม่ต้องไปเก้อ หรือไม่ก็แวะไปขอกุญแจเขาก่อน? งืมๆ..
เอี๊ยด!! ระหว่างที่ยังตัดสินใจไม่ได้ จู่ๆ แท็กซี่ที่นั่งอยู่ก็เบรกจนผมซึ่งกำลังเผลออยู่ในภวังค์ถึงกับหน้าทิ่มพรวดไปกระแทกเข้ากับเบาะข้างคนขับเต็มแรง เจ็บแปล๊บแถวๆ แผลเก่าทันที
โอยๆๆ แล้วทำไมต้องมาโดนซ้ำที่เดิมด้วยวะเนี่ยกู จะซวยซ้ำซ้อนไปถึงไหน? ให้ตายเหอะ!
“อุ้ย! ขอโทษครับน้อง เป็นอะไรมากรึเปล่า?” พี่โชเฟอร์รีบกระวีกระวาดหันมาถามผมด้วยอารามตกใจ แล้วก็ต้องแหกปากไปใหญ่เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับผ้าก๊อตที่หลุดออก เผยให้เห็นแผลตรงหางคิ้วที่เริ่มมีเลือกซึมออกมาอีกรอบ “เฮ้ย! หัวแตกเลยเหรอ แค่นี้แตกเลย ตายห่า! แตกจริงด้วย?! ซวยแล้วกู ทำไงดีๆ ทำผู้โดยสารหัวแตก หัวแตกอ่ะ หัวแตก!! โอ๊ยยย ต้องโทรบอกเมียก่อน”
“ใจเย็นพี่ ใจเย็น ..มันแตกอยู่แล้ว” ผมยกมือขึ้นในท่าปรางค์ห้ามญาติ พลางขยับผ้าก๊อตที่เลื่อนหลุดขึ้นมาปิดแผลเอาไว้ตามเดิมก่อนที่พี่คนขับแกจะสติแตกไปมากกว่านี้
“แล้วเกิดอะไรขึ้นพี่?” พอทุกอย่างกลับสู่ความสงบเรียบร้อยผมเลยถามออกไปพลางสอดส่ายหาสาเหตุ..
แล้วก็พอจะเข้าใจเมื่อเห็นท้ายรถเฟอร์รารี่สีขาว ซึ่งไม่ใช่รุ่น 548 เหมือนของเอี้ยฟ้า แต่เป็นรุ่น 599XX สุดไฮโซ(..มันไฮโซตั้งแต่มีเฟอร์รารี่ขับแล้วไหม?)จอดนิ่งสนิทไฟท้ายแดงแจ๋อยู่ข้างหน้า ..ใครวะแมร่ง! บังอาจมาทำให้ตะวันฉายซามะผู้นี้เจ็บตัวซ้ำซ้อนอยู่ได้ เดี๋ยวพ่อก็ออกไปโบกสลบแล้วขโมยรถกลับบ้านซะเลยนี่ ฮึ่ม!
ว่าแต่เจ้าของรถมันหายหัวไปไหนวะ? สตาร์ทรถจอดทิ้งไว้ไม่พอ ยังเสือกเปิดประตูฝั่งคนขับทิ้งไว้ด้วย! จะกล้าหาญชาญชัยไปหน่อยไหมครับท่านผู้มีเงิน?
“ซันนี่ ลงมา” เสี้ยววินาทีแห่งความสงสัยเพิ่งจะผ่านพ้นไป ประตูรถแท็กซี่ฝั่งที่ผมนั่งก็ถูกเปิดออกพร้อมกับแขนยาวๆ มือเย็นๆ และเสียงเนิบๆ พุ่งจู่โจมเข้ามาพร้อมกันแบบไม่ทันระวังตัว ..รู้อีกทีก็ตอนที่ตัวเองถูกฉุดลงมานอกรถแล้วนั่นแหล่ะ
“เฮ้ย! อะไรของมึง? กูบอกกูชื่อซันชายน์! แล้วแม่งจะลากไปไหนวะเฮ้ย! ปล๊อย!!” สติมา แต่ปัญญายังไม่เกิด จึงได้แค่แหกปากโวยวายดีดดิ้นให้ชาวโลกเขารับรู้ไว้ก่อนว่ากูไม่เต็มใจ! ม่ายยยยยย!!
ขณะที่ผู้ก่อเหตุหาสนใจไม่ มันยังบีบต้นแขนผมแน่นไม่ยอมปล่อย แล้วเอื้อมมือไปยื่นแบงค์แดงๆ ให้พี่โชเฟอร์ที่เอ๋อแดกไปแล้วใบนึงทั้งที่เพิ่งจะเลี้ยวพ้นเขตคอนโดมายังไม่ทันถึงสองเมตรด้วยซ้ำ จากนั้นก็จัดการกระชากลากถูผมมายัดใส่ราชรถสีขาวคันล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัว(ต่อหน้าผม)
“ทำเอี้ยอะไรของมึง?!” พอต่างคนต่างเข้ามาอยู่ในรถได้ผมก็ตวาดใส่ด้วยความโมโหทันที ..นาทีนี้ต่อให้เป็นอิตาลีคาร์รุ่นท็อปสุดยอดแค่ไหนก็ไม่มีเวลามาสนใจแล้ว โมโห!!
“กูต้องเป็นคนถามมากกว่ามั้ย?” มันสวนกลับทันที ทั้งน้ำเสียงและแววตาดูมีอารมณ์คุกรุ่นๆ ขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน “เป็นเอี้ยอะไร? อยู่ดีๆ ก็ซัดกูซะหน้าหงายแล้ววิ่งหนีมาแบบนี้”
“.....!....” ผมเสียเวลาอึ้งไปนิดหน่อยกับการแสดงอารมณ์อีกรูปแบบของมันที่เพิ่งจะเคยเห็น
ใช่! และคราวนี้มันก็เกิดขึ้นเพราะผมเอง ไม่ใช่ใครอื่น ถึงมันจะไม่ใช่อารมณ์ที่คนปกติเขาอยากจะเจอกันนักก็เหอะ ..แต่เอาล่ะ พอเห็นมันเป็นแบบนั้นอารมณ์พลุ่งพล่านของผมก็ลดลงไปเกินครึ่ง ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะ...อะไรไม่รู้สิ เหมือนผมจะแอบพอใจอยู่ลึกๆ ..มั้ง(โรคจิตสินะกู?)
ก็..เอาเป็นว่าช่างแม่งมันก่อนแล้วกัน
“ไม่ได้หนี กูแค่จะกลับคอนโด” ผมไหวไหล่เล็กๆ พลางมองผลงานตัวเองที่เห็นเป็นรอยแดงเด่นเด้งอยู่ตรงปลายคางของอีกฝ่ายอย่างนึกสะใจ ..กูไม่เอาเลือดเอี้ยมึงออกเหมือนที่มึงทำกับกูนี่ก็ถือว่าใจดีแค่ไหนแล้ว เฮอะ!
หมอนั่นยกมือลูบคางตัวเองเบาๆ เมื่อเห็นว่าผมกำลังมองอยู่ ผมเลยยักคิ้วยั่วโมโหมันไปทีนึง ก่อนถาม “แล้วไง เสือกตามมาทำไม? หรือจะมาเอาคืน?”
“เออ!”
!!.. เสียงที่กระแทกตอบกลับมาทำเอาแอบเหวอไปเหมือนกัน
ก็แบบ..คิดว่ามันจะมาง้อไง ต้องทำเสียงอ่อนเสียงหวานไรงี้(พูดเหมือนมันเคยทำ?) ..เฮ้ย! นี่ไม่ได้หลงตัวเองนะ แค่พูดไปตามที่เคยเห็นอ่ะ ก็คนปกติเขาต้องทำแบบนั้นกันไม่ใช่หรือไง? แล้วไอ้เอี้ยนี่อะไรวะ?
..เออ! ลืมไป ไอ้บ้านี่มันเป็นข้อยกเว้นของทุกทฤษฏีที่มีบนโลกนี่หว่า
โอยยย คิดมาก สับสน แต่ต้องเก็บอาการ เชิดไว้ ซันชายน์ เชิดหน้าเอาไว้ มันจ้องมาก็จ้องกลับไป ถ้ามันต่อยมาก็แค่สวนกลับไป ..เอาเด่ะ ยอมเจ็บอยู่ฝ่ายเดียวก็ไม่ใช่กูหรอก ชิชะ!
“แต่นั่นจะเป็นทางสุดท้าย ซันนี่” มันชี้หน้าผมเหมือนคาดโทษ ก่อนจะหันไปมองทางข้างหน้า มันเข้าเกียร์แล้วกระชากรถออกด้วยความแรง “ถ้ายังไม่ยอมคุยกันให้รู้เรื่องกูเอาคืนทบต้นทบดอกแน่”
“เหอะ นึกว่ากลัวรึไง..” ผมแค่นหัวเราะพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง แต่ก็ดังพอที่อีกฝ่ายจะได้ยิน
“อย่าท้าทาย” เสียงเนิบๆ เย็นๆ ขู่กลับมา ..อาฮะ นี่มึงกล้าขู่กูงั้นเหรอ? ไอ้เอี้ยฟ้าประทานอย่างมึงกล้าขู่คนจริงอย่างกูงั้นเหรอ?
ผมหันไปมองหน้ามันเพื่อประเมินสถานการณ์เล็กน้อย แล้วก็ได้คำตอบในใจตัวว่า ..โอเค ถ้ามึงกล้าขู่ งั้นกูจะกล้ากลัวก็ไว้วะ!
แง่ว! เป็นคุณคุณจะไม่กลัวหรือไง? ก็ไอ้บ้านี่มันขู่ผ่านทางสีหน้าหรือแววตาเหมือนคนอื่นเขาซะที่ไหน แต่มันเล่นกดดันผ่านชั้นบรรยากาศโทรโพสเฟียร์ราวกับสามารถสั่งขั้วอิเล็กตรอน นิวตรอน โปรตอน ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศให้เคลื่อนไหวตามใจมันได้งั้นแหล่ะ!
ให้ตายเหอะ! ผมล่ะเกลียดไอ้ความสามารถในการปล่อยไอสังหารของมันจริงๆ เลย ..บึ๋ยยย
“เมื่อคืนกูไม่ได้มีอะไรกับจี้หรอกนะ” หลังจากต่างคนต่างอยู่ในโลกของตัวเองมาพักใหญ่ จู่ๆ เสียงเนิบๆ ในโทนคุ้นเคยก็ดังขึ้นเป็นผลให้ผมต้องหลุดออกมาจากโลกส่วนตัวอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่
“กูรู้ ไม่ได้โง่!” ผมตอกกลับ
ก็นะ.. ประตูห้องน้ำก็เปิดอ้าซ่าไว้ขนาดนั้น พ่อบ้านเมรันดรีก็เดินเข้าเดินออกอยู่ตลอด แถมกูก็ยังนั่งหัวโด่อยู่บนโซฟาอีก(..ถึงตอนหลังจะเผลอหลับไปก็เหอะ) ถ้ามึงยังกล้ามีอะไรกันก็ดูจะใจกล้าหน้าหนาเกินมนุษย์โลกไปหน่อยแล้ว!
ผมคิดอย่างหงุดหงิดในหัวใจ ก็นั่นมันไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้ผมรู้สึกแย่สักหน่อยนี่หว่า
“แม้แต่จูบก็ไม่ได้ทำ” ประโยคนั่นทำให้ผมต้องหันไปมองมันตาขวาง
“นี่จะประชดกูใช่มั้ย?!” ผมถามด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง มันเหลือบมามองนิดนึง ก่อนหันกลับไปสนใจถนนตรงหน้าต่อ ..นั่นทำให้ผมหมดความอดทน
“เออ! กูผิดที่กูเผลอ! เพราะอารมณ์มันพาไป กูขอโทษแล้วกัน ..แต่ก็แค่นั้น! กูไม่ได้คิดจะทำอะไร ‘ไอ้จี้ของมึง’ มากกว่านั้นอยู่แล้ว ไม่เห็นว่ามึงจะต้องโมโหถึงขนาดนั้นเลย ถึงมันจะไม่ได้เจ็บอะไรมากมายก็เหอะ แต่มาเหวี่ยงกันแรงแบบนั้นมึงไม่คิดว่าฟันว่าดั้งกูจะหักบ้างไง๊? ถ้าห่วงกันมากขนาดนั้นแล้วเสือกฝากมันไว้กับกูตั้งแต่แรกทำไม? ทำไมมึงไม่พามันมาเองวะ? ..แมร่งเอ๊ย! กูไม่น่ามายุ่งกับพวกมึงเลย ให้ตายเหอะ! มึงเห็นกูเป็นตัวอะไรวะ?!” ผมระเบิดสิ่งที่อัดอั้นตันอยู่ในใจออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อนปิดท้ายด้วยการทุบคอนโซลรถมันซะดังโครมด้วยไม่รู้จะไประบายความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นจากการกระทำของคนข้างๆ ที่ไหนดี
แต่ดูเหมือนยังไม่สาแก่ใจ เลยจัดการปิดท้ายของท้ายด้วยการถีบรถมันไปอีกสองทีซ้อนแบบไม่กลัวมันพัง ..จะพังก็พังไป ไม่ใช่รถกู!
หลังจากนั้นรถทั้งคันก็ตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงลมหายใจของเราเท่านั้นที่ดังสลับกันอยู่
“..จี้ไม่ใช่ของกูซักหน่อย” ผ่านไปอีกสักพักเสียงเนิบจึงพูดขึ้นมาเบาๆ
“ใครจะเป็นของใครหรือไม่ใช่ของใครกูไม่สนใจหรอก!” ผมหันไปตวาดอย่างเหลืออด ..โอเค ยอมรับก็ได้ ไอ้นิสัยวีนแตกแหกปากนี่ผมก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่า มาดามริต้า แอนเดอร์สัน นักหรอก ..ก็แม่ลูกกันนี่ หรือใครจะเถียง?
“มึงต้องสนใจดิ” แต่ไม่ว่าผมจะร้อนใส่ไปยังไง อีกฝ่ายก็ยังคงสกิลความเฉื่อยเอาไว้เท่าเดิม “..ก็กูเป็นของมึงนี่นา”
“..ไม่ใช่เหรอ?” มันยังมีหน้ามาถาม
“.........” ผมเบือนหน้าหนีจากคำถามและแววตาที่คล้ายกับกำลังออดอ้อนนั่น เม้มปากจนแทบจะเป็นเส้นตรง ..ผมไม่อยากจะเชื่ออะไรง่ายๆ อีก ถ้าเพียงแค่ลมปากพล่อยๆ ของหมอนั่น มันไม่ช่วยให้ผมมั่นใจอะไรได้เลย
ผมยังไม่ได้ตัดสินใจ ว่าจะเดินหน้าต่อไป หรือหยุดทุกอย่างเอาไว้เพียงเท่านี้?
“กูไม่รู้ ..มึงถามตัวเองดีกว่า ฟ้า” ผมเอ่ยบอกด้วยความรู้สึกที่อ่อนล้าเต็มทน
จากนั้นเราต่างฝ่ายก็ต่างเงียบกันไปอีกพักใหญ่ จนกระทั่งเอี้ยฟ้าได้เริ่มพูดก่อนอีกครั้งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “จี้ก็เหมือนน้องชายกู คงเพราะเรามีหลายอย่างที่คล้ายๆ กัน...ก็เลยรู้สึกว่าทอดทิ้งมันไม่ได้ ..แต่ที่กูโมโหเมื่อคืนไม่ใช่เพราะจี้ ซันนี่...แต่เป็นเพราะมึง”
“..........”
“กูเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าไม่อยากให้ใครทำแบบนั้นกับมึง กูไม่อยากเห็น กูไม่ชอบ” จู่ๆ มือที่วางทิ้งไว้บนตักก็ถูกดึงไปกุมไว้แน่น
จากนั้นคนทำจึงเริ่มพูดต่อ “เคยบอกไปแล้วไง ว่ากูหึง”
“..........” แต่ผมก็ยังไม่ปริปาก
“แต่เมื่อคืนกูอาจจะเผลอตัวรุนแรงไปหน่อย ..ขอโทษจริงๆ” มือเย็นที่ใช้กุมมือผมเมื่อครู่ เปลี่ยนไปลูบเบาๆ บนผ้าก๊อตที่ติดอยู่เหนือคิ้วขวา
“..........” ผมเอี้ยงหน้าหลบแล้วเอนหัวไปซบที่ขอบประตู หลับตาลงและเลิกสนใจเพื่อนร่วมทางชั่วคราว..
สุดท้ายหมอนั่นก็มาส่งผมจนถึงคอนโดโดยที่ผมไม่ต้องตัดสินใจว่าจะไปหาแบรี่หรือไปไหนดี ..แถมยังไม่ได้โทรขึ้นไปเช็คซอลลี่ด้วยว่าอยู่บนห้องกันหรือเปล่าด้วย
“แล้วมึงจะตามมาทำไมเนี่ย? ไม่กลับไปดูไอ้จี้รึไง?” ผมหันกลับไปถามไอ้คนขับรถไฮโซที่แปลงร่างกลับมาเป็นลูกเป็ดแล้วเดินตามผมต้อยๆ เหมือนเดิมโดยไม่คิดจะถามความสมัครใจของผมแม้แต่น้อยนิด
“ไม่ต้องหรอก เมรันดรีก็อยู่” มันยักไหล่ตอบง่ายๆ ก่อนจะเลิกคิ้วเอียงคอมองผมด้วยท่าทางสงสัย “ยังไม่หายโกรธอีกรึไง?”
“ก็บอกว่าไม่ได้โกรธ..” ผมตอบออกไปเพลียๆ
เฮ้อ~ ..ถอนหายใจยืดยาวเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ตลอดทางที่นั่งรถมากับมัน เพราะหลังจากฟังที่มันบอกว่า ‘มันหึง’ ผมก็เงียบไปไม่ได้พูดตอบอะไรอีก บอกตามตรงว่าเลิกโกรธไปนานแล้ว เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าควรจะดีใจหรือเปล่าเท่านั้นเอง
เพราะงั้นก็เลยเงียบ.. แล้วมันก็เลยเอาแต่ถามซ้ำๆ ซากๆ ว่าผมยังโกรธมันอยู่อีกเหรอ? จนผมเหนื่อยที่จะฟัง ..แต่ก็นั่นแหล่ะ ผมยังไม่ได้ตอบอะไรไปให้ชัดเจน ผมต้องการใช้เวลาคิดทบทวนความรู้สึกของตัวเองอีกสักหน่อย
“กลับไปได้แล้วไป ไม่ต้องมาคอยตามหรอก กูอยากพักผ่อน” ผมต้องหันไปใช้น้ำเสียงขอร้อง
“..กูไม่รบกวนหรอก” แต่มันก็ยังหน้ามึนเดินตามมาอยู่ดี
ผมเลยต้องถอนหายใจอีกครั้งและอีกครั้ง ส่ายหัวเป็นเชิงยอมแพ้ แล้วเดินนำมันต่อ ..จนตอนนี้เราเดินเข้ามาถึงในส่วนที่เป็นล็อบบี้ของคอนโด ปกติแล้วจะได้ยินเสียงเพลงป๊อบใสๆ ตามสมัยนิยมดังมาจากห้องของนิติบุคคล แต่วันนี้ดันเปิดเพลง Paparazzi ของ เลดี้ กาก้า แฮะ ..สงสัยคงจะอยากเปลี่ยนแนว ฮ่ะๆ
“I'm your biggest fan, I'll follow you until you love me” เสียงร้องเพลงเบาๆ คลอตามท่วงทำนองที่ได้ยินผ่านหูดังขึ้นจากคนข้างหลัง
พอผมหันไปมองมันก็ยักคิ้วให้รัวๆ พลางร้องเพลงต่อ
“Baby, there's no other superstar, you know that I'll be, your papa-paparazzi”หนังหน้าอย่างมันก็ฟัง เลดี้ กาก้า กับเขาด้วยเหรอ? จะเหนือความคาดหมายไปถึงไหนเนี่ย? ..ผมแค่นหัวเราะกับตัวเอง ท่าทางว่าคงจะมาจากดาวเดียวกันล่ะมั้ง ถึงจูนคลื่นเข้าหากันได้น่ะ เหอะๆ
!.. กำลังจะก้าวเข้าลิฟต์ แต่ก็ถูกไอ้บ้าปาปารัซซี่ที่อยู่ข้างหลังวิ่งตัดหน้าเข้าไปก่อน ผมชะงักนิดนึงเพราะความงง? แต่มันยังคงร้องเพลงท่อนต่อไป พร้อมทั้งชี้ที่หน้าตัวเอง
“Promise I'll be kind” เหอะ ใจดีพ่องดิ! ทำกูคิ้วแตกอ่ะ ไอ้บ้า..
จากนั้นก็เปลี่ยนมาจิ้มที่หน้าอกผม ส่งสายตาเป็นแวววาว พลางร้อง
“But I won't stop until this boy is mine”“ไม่ยักรู้ว่ามึงฟังเพลงแบบนี้ด้วย” ผมก้าวเข้าไปในลิฟต์บ้าง ถามก่อนจะหันหลังให้มันแล้วเอื้อมมือไปกดปิดลิฟต์
“My Idol”
ผมหลุดหัวเราะออกมากับคำตอบนั้นอย่างอดไม่ได้ ขณะที่ไอ้บ้านั่นยังร้องเพลงงุ้งงิ้งๆ ของไอดอลมอนสเตอร์ของมันต่อไปอย่างอารมณ์ดี
..เอาเถอะ คงจะมาจากดาวเดียวกันจริงๆ นั่นแหล่ะ..
TBC. 
Ferrari 599XX
